กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกันยายน ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 03-09-2022, 19:11
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,610
ได้ให้อนุโมทนา: 216,300
ได้รับอนุโมทนา 740,916 ครั้ง ใน 36,090 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 03-09-2022, 22:22
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ กระผม/อาตมภาพมีภารกิจ วิ่งไปที่วัดท้ายเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เพื่อนำเพื่อนพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง ซึ่งกระผม/อาตมภาพเป็นประธานรุ่นอยู่ ไปร่วมกันมอบปัจจัยบูรณะศาลาให้แก่พระครูโสภณปัญญาวรวัฒน์ (มงคล) เจ้าอาวาสวัดท้ายเมือง ผู้เป็นพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกัน ซึ่งวัดของท่านโดนไฟไหม้ศาลา

ต้องบอกว่าในรุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น พรรคพวกเพื่อนฝูงโดนไฟไหม้มาหลายรายแล้ว เริ่มตั้งแต่พระครูเกษมธรรมวิธาน (สมนึก เขมกาโม) เจ้าอาวาสวัดหนองโป่ง จังหวัดสระบุรี โดนไฟไหม้กุฏิไม้แฝดหมดไปทั้งหลัง แล้วก็มาพระครูใบฎีกา จำนงค์ ปิยวณฺโณ เจ้าอาวาสวัดตะลุ่ม จังหวัดสุพรรณบุรี ก็โดนไฟไหม้หอระฆัง แล้วคราวนี้ก็มาถึงคิวของวัดท้ายเมือง

แต่ละครั้งนั้น พรรคพวกเพื่อนฝูงที่เป็นพระอุปัชฌาย์ร่วมรุ่น ท่านที่ไปได้ก็จะไปร่วมกันเป็นกำลังใจ ให้แก่เพื่อนผู้สูญเสียซึ่งทรัพย์สินภายในวัดด้วยอัคคีภัย ที่ไปไม่ได้ก็จะใช้วิธีโอนเงินเข้าบัญชีมา แล้วกระผม/อาตมภาพก็เบิกเอาไปส่งให้กับทางผู้เสียหาย โดยที่มีการรายงานในกลุ่มไลน์อย่างชัดเจนว่าเป็นจำนวนเงินเท่าไร

ในเรื่องพวกนี้ ต้องบอกว่าการจัดตั้งเป็นองค์กรพระอุปัชฌาย์ขึ้นมานั้น ในรุ่นอื่นก็มีการเลียนแบบและจัดตั้งตามเหมือนกัน แต่ว่าไม่มีการทำงานในลักษณะแบบนี้ ของทางองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ ในเขตปกครองคณะสงฆ์หนกลาง นอกจากมีการช่วยเหลือเจือจานกันในหมู่เพื่อนฝูงแล้ว ถึงเวลาถ้าหากว่าพ่อแม่ของเพื่อนร่วมรุ่นเสียชีวิตลง เราก็ยังไปร่วมเป็นเจ้าภาพในงานสวดด้วย และยังมีการทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์อีกอย่างน้อยปีละ ๑ ชิ้น โดยมีการประชุมสามัญประจำปี ปีละ ๒ ครั้ง ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ซึ่งพระเถระผู้ใหญ่ โดยเฉพาะทางมหาคณิสสร ซึ่งเป็นบุคคลผู้คัดเลือกพระเถระมาสอบพระอุปัชฌาย์ให้คำชมเชยเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นก็ได้วิ่งมาร่วมงานหล่อพระ และบวงสรวงพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่วัดหุบกระทิง อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เมื่อมาถึง ปรากฏว่าเจอพระเดชพระคุณพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติสุธี (ยงยุทธ ยุตฺตธมฺโม ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งรู้จักมักคุ้นกัน ท่านเคยไปร่วมงานที่วัดท่าขนุนหลายวาระ โดยเฉพาะร่วมเป็นเจ้าภาพหล่อสมเด็จองค์ปฐมทองคำ ด้วยการถวายทองคำแท่งร่วมบุญไป ๒ บาท เมื่อเจอหน้าจึงทักทายกันด้วยความยินดี

แต่ว่าทางเจ้าภาพนั้นได้กำหนดงานเอาไว้ตอน ๔ โมงเย็น ซึ่งในระยะนี้เป็นระยะที่ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาลและฝนดีมากจนเกินไป การจัดงานในตอนเย็นจึงเป็นเรื่องที่ลำบากมาก กระผม/อาตมภาพเห็นลมฝนมาแรงมาก จึงได้ขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ขอให้หล่อพระเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยฝนตก เมื่อเสร็จสรรพจากพิธีแล้วก็ได้เดินทางเพื่อที่จะเข้าสู่ที่พัก แล้วทำการบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้ เพื่อส่งต่อให้กับพระภิกษุสามเณร และญาติโยมที่ไม่ได้อยู่ในพิธีได้ฟังกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2022 เมื่อ 04:05
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-09-2022, 22:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะกล่าวถึงในที่นี้ก็คือ "ดราม่า" ในวงการสงฆ์ เรื่องที่วัดใหญ่แห่งหนึ่งมีการเปิดฟิตเนสให้พระภิกษุสามเณรออกกำลังกาย โดยมีครูฝึกมาสอนให้อย่างถูกต้องตามวิธีการ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้นั้นไม่ควรที่จะเป็นเรื่องขึ้นมา ถ้าหากว่าไม่ได้มีการนำไปโพสต์ลงโซเชียล โดยที่ลืมไปว่า เรื่องพวกนี้ยังเป็นเรื่องที่ญาติโยมทั่วไปไม่สามารถที่จะรับได้

ถ้าหากว่าเราได้ปฏิบัติตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาวางรูปแบบของพระภิกษุสามเณรเอาไว้ ก็คือการบิณฑบาต เจริญพระกรรมฐาน สวดมนต์ทำวัตร กวาดทำความสะอาดวัดวาอาราม เป็นต้น ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายเคร่งครัดต่อวัตรปฏิบัติเหล่านี้ รับประกันได้ว่า คำว่าน้ำหนักเกินไม่มีอย่างแน่นอน


ไม่ต้องดูใครอื่น ดูตัวของกระผม/อาตมภาพเอง ในช่วงที่ปฏิบัติธรรมอย่างหนัก คืนหนึ่งจำวัดแค่ ๒ ชั่วโมง นอกนั้นก็เดินจงกรมภาวนาตลอด ในช่วงนั้นน้ำหนักตัวอยู่ที่ ๕๔ กิโลกรัมเท่านั้น ท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่า ๕๔ กิโลกรัมนี้มาก ขอบอกว่าถ้าเป็นสาว ๆ ทั่วไป เขาก็จะว่ามาก แต่กระผม/อาตมภาพสูง ๑๗๒ เซนติเมตร น้ำหนักตามมาตรฐานสากลก็คือต้อง ๗๒ กิโลกรัม แต่ปรากฏว่าน้ำหนักแค่ ๕๔ กิโลกรัม ก็เกือบจะมีแต่หนังหุ้มกระดูก แล้วต่อมา เมื่อบรรเทาเบาบางในการปฏิบัติธรรมลงแล้ว ก็ยังคงบิณฑบาตตามปกติ

ปัจจุบันนี้น้ำหนักตัวก็อยู่ที่ ๖๑ กิโลกรัม ทำอย่างไรก็ไม่มากเกินไปกว่านี้ จนพรรคพวกเพื่อนฝูงหลายรายบอกว่า " รักษาหุ่นได้ดีมาก" กระผม/อาตมภาพบอกว่าไม่ต้องรักษา ถ้าคุณเดินบิณฑบาตวันละ ๕ กิโลเมตรแบบผม คุณก็จะมีหุ่นแบบนี้เหมือนกัน นอกจากนั้นการเดินจงกรมภาวนานั้น ถ้าหากว่าทำจริง ๆ จัง ๆ อย่างของหลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่า ท่านเดินกันข้ามวันข้ามคืน แล้วจะเอาไขมันส่วนเกินที่ไหนมาเหลือ มีแต่ไม่พอเสียมากกว่า

เพียงแต่ว่าท่านทั้งหลายที่ออกกำลังกายนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นสำนักเรียน โอกาสที่จะเดินบิณฑบาต โอกาสที่จะปฏิบัติธรรมอย่างหนักก็ไม่มี ดังนั้น..ครูบาอาจารย์จึงสรรหา
เครื่องไม้เครื่องมือในการออกกำลังกายมาให้ แต่ว่าเครื่องมือเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราใช้ผิด ก็อาจจะทำให้บาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือกระดูกเส้นเอ็นได้ หรือว่าบางทีก็ใช้ออกกำลังกายผิดส่วน เป็นต้น จึงต้องจ้างบุคคลผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ฝึกสอน

แต่คราวนี้ก็ไม่สมควรที่จะนำลงในโซเชียล เพราะว่าบุคคลส่วนหนึ่งยังรับไม่ได้ ถ้าหากว่าเราทำกันแบบเงียบ ๆ ก็จะไม่มีปัญหาอะไร แต่การนำลงโซเชียลนั้นคาดว่ามี ๒ สาเหตุ

สาเหตุแรกก็คือ คิดว่าเพื่อสุขภาพของพระภิกษุสามเณร ลงโซเชียลไปเพื่อเป็นตัวอย่างแก่วัดวาอารามอื่น หรือว่าลงโซเชียลไปเพื่อให้รู้ว่าการที่พระสงฆ์สามเณรปฏิบัติตนตามหลัก ๕ ส. ซึ่งทางคณะสงฆ์ถือว่าเป็นนโยบายอย่างหนึ่ง นับว่าเป็นการสนองนโยบายของเจ้านาย ก็ไม่น่าจะมีความผิด แต่ว่าญาติโยมทั้งหลายรับไม่ได้ จึงมีการวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางเสีย ๆ หาย ๆ

ส่วนอีกข้อหนึ่งนั้น ถือว่ากระผม/อาตมภาพมองโลกในแง่ร้าย ก็คือหวังยอดไลค์อย่างเดียว แล้วก็เอาไปลงโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง ถ้าอย่างนั้น ผลกระทบที่ย้อนกลับมา ก็ต้องบอกว่าท่านต้องทนแบกรับกันไปเอง เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2022 เมื่อ 04:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 03-09-2022, 22:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,474
ได้ให้อนุโมทนา: 151,107
ได้รับอนุโมทนา 4,404,003 ครั้ง ใน 34,063 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดในที่นี้ก็คือ การที่เด็กน้อยอายุ ๕ ขวบขอแม่ไปบวชเณร โดยบอกว่าตั้งใจจะบวชเพื่อพระนิพพาน เมื่อแม่ถามว่า "ทำไมถึงนั่งหลับตาทุกวัน ?" เด็กน้อยบอกว่า "ลืมตามาก็เห็นแต่ทุกข์..!" เรื่องทั้งหลายเหล่านี้มีแต่บุคคลอนุโมทนา และกระผม/อาตมภาพก็อนุโมทนาด้วย แต่ว่าอย่างน้อยต้องให้เด็กได้เรียนจบภาคบังคับ ก็คือการศึกษาภาคบังคับนั้น ปกติแล้วก็เรียน ๑๒ ปี อย่างน้อยก็จะต้องจบชั้นมัธยมปีที่ ๖

แต่ว่าในปัจจุบันนี้ ทางคณะสงฆ์มีแผนกปริยัติสามัญอยู่แล้ว ถ้าหากว่าตั้งใจให้ลูกบวช พ่อแม่ก็ต้องให้ลูกได้บวชและศึกษาในวัดที่มีการเรียนแผนกปริยัติสามัญ เพื่อที่จะได้ศึกษาวิชาทางโลกในระดับหนึ่ง จนอ่านออกเขียนได้ จะได้ศึกษาธรรมะได้ดีขึ้น หรือว่าศึกษาในทางโลก จนจบอย่างน้อย ชั้น ป.๖ เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ชำนาญในการเรียนเขียนอ่าน แล้วค่อยเข้าไปบวชเพื่อศึกษาธรรมะต่อไป หรือว่าถ้าหากอดทนรอได้ ก็เรียนให้จบปริญญาตรีไปเลย จะได้ไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องการโดนตำหนิติเตียนทีหลัง แล้วหลังจากนั้น เราค่อยมาทุ่มเทให้กับการบวชปฏิบัติธรรม

เรื่องของหนูน้อยนี้ ต้องบอกว่าเป็นปุพเพกตปุญญตา คือการสั่งสมบุญมาดีแต่ปางก่อน และโชคดีที่เกิดในครอบครัวซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่ไม่ขวาง แต่ว่าขอให้เรียนต่อก่อน เมื่อเรียนไปถึงระดับที่สมควรแล้ว ก็ยินดีที่จะให้ลูกบวชเช่นกัน

แต่ว่าบุคคลที่กำลังใจไม่ได้อยู่กับทางโลกแล้ว ถ้าไม่ใช่ปล่อยวางได้จริง ๆ ก็คงจะต้องทนทุกข์ทรมานไป จนกว่าที่จะเรียนได้ในระดับที่พ่อแม่ต้องการ แล้วหลังจากนั้นถึงจะได้ปฏิบัติธรรมตามที่ตนเองปรารถนา

ขออำนวยอวยพรให้หนูน้อยสามารถที่จะอยู่ไปจนตลอดรอดฝั่ง ได้เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานของตน จะได้เป็นกำลังใหญ่แก่พระศาสนาต่อไป

วันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๓ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-09-2022 เมื่อ 04:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 50 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:52



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว