กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนพฤษภาคม ๒๕๖๕

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 27-05-2022, 17:03
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,618
ได้ให้อนุโมทนา: 216,321
ได้รับอนุโมทนา 741,370 ครั้ง ใน 36,110 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 27-05-2022, 21:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ งานสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือ ไปร่วมงานฝึกอบรมพระนิสิตเพื่อพัฒนาเป็นพระวิปัสสนาจารย์ ของสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เพราะว่าทางมหาเถรสมาคมเล็งเห็นความสำคัญของสถาบันวิปัสสนาธุระ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ซึ่งประกอบไปด้วยวิทยาเขตและวิทยาลัยสงฆ์ทั่วประเทศ สามารถที่จะแผ่ขยายเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมออกไปได้อย่างชนิดที่มากจนคาดไม่ถึง

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อสถาบันวิปัสสนาธุระได้จัดโครงการอบรมพระวิปัสสนาจารย์ขึ้นมา กระผม/อาตมภาพจึงได้ส่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสและพระภิกษุของวัดท่าขนุนจำนวน ๔ รูปเข้าไปร่วมโครงการด้วย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอันดับแรก...วัดท่าขนุนเป็นสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดกาญจนบุรีแห่งที่ ๒๓ และที่สำคัญก็คือ เมื่อตั้งสำนักปฏิบัติธรรมมาได้เพียง ๒ ปีก็ได้รับรางวัลสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งเป็นแค่ประมาณ ๑ ใน ๒๐๐ สำนักในประเทศไทย หลังจากที่ได้้รับรางวัลต่อเนื่องกันมาหลายปี สำนักทั้งหลายเหล่านี้ก็คือสำนักปฏิบัติธรรมที่คัดเลือกออกมาจากสำนักปฏิบัติธรรมทั่วประเทศไทยเกือบ ๒,๐๐๐ แห่ง ก็แปลว่า โดยประมาณแล้วคือ ๑๐ แห่ง จะมีสำนักปฏิบัติธรรมดีเด่นสัก ๑ แห่ง

ตัวกระผม/อาตมภาพเองก็จบปริญญาเอกมาด้วยวิทยานิพนธ์หัวข้อที่ว่า รูปแบบการจัดการสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดที่ได้รับรางวัลดีเด่นในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ กระผม/อาตมภาพก็ต้องเดินทางไปร่วมงาน อันดับแรกเลยก็คือ ทางสถาบันวิปัสสนาธุระขอให้ไปร่วมงานเพื่อเป็นเกียรติด้วย

อันดับที่สองก็คือ ได้บริจาคสนับสนุนงานปฏิบัติธรรมของสถาบันมาโดยตลอด ทางด้านเจ้าหน้าที่ขอให้ไปรับเกียรติบัตร ซึ่งทางพระธรรมวัชรบัณฑิต, (สมจินต์ สมฺมาปญฺโญ ป.ธ.๙, ศ.ดร.) องค์อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยจะเป็นผู้มอบให้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 27-05-2022, 23:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการต่อไปก็คือบรรดาผู้ที่เข้าปฏิบัติธรรมนั้น นอกจากพระภิกษุวัดท่าขนุนแล้ว ก็ยังมีพระภิกษุจากสถานที่ต่าง ๆ ทั้งวิทยาลัยสงฆ์และวิทยาเขตทั่วประเทศ ส่วนใหญ่ก็จะรู้จักมักคุ้นกันในฐานะเพื่อนสหธรรมิกบ้าง เพื่อนร่วมงานบ้าง และที่สำคัญก็คือในฐานะลูกศิษย์ ซึ่งมีมากที่สุด

เมื่อไปร่วมงานและได้ฟังโอวาทจากพระเดชพระคุณพระธรรมวัชรบัณฑิต, ศ.ดร. องค์อธิการบดี ก็ทำให้คิดขึ้นมาได้ว่า ในเรื่องของพระวิปัสสนาจารย์นั้น ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือต้องเรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง คำว่า ทำให้จริง ในที่นี้ก็คือ ต้องทำจนเห็นผล โดยเฉพาะสามารถที่จะแก้ไขปัญหาในการปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ สามเณร แม่ชี หรือว่าฆราวาสที่มาสอบถามได้ทุกเรื่อง

ส่วนใหญ่แล้วที่กระผม/อาตมภาพพบมานั้น พระวิปัสสนาจารย์ส่วนใหญ่ยังมีความสามารถที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในส่วนของการสอบอารมณ์ที่บรรดาโยคีบุคคลมาส่งอารมณ์ในแต่ละวัน ในส่วนนี้ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น กระผม/อาตมภาพก็เข้าไปนั่งฟังอยู่ใกล้ ๆ ด้วย ทำให้รู้ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นตีราคาโสฬสญาณ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า ญาณ ๑๖ ซึ่งเปรียบเป็นของที่มีคุณค่าเป็นแสนเป็นล้าน ลงมาเหลือไม่ถึงสลึงเดียว..!

เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเข้าใจผิดอย่างหนึ่ง ทำแล้วเข้าไม่ถึงจริงอย่างหนึ่ง จึงไม่เข้าใจว่าญาณ ๑๖ ในแต่ละอย่างนั้นความจริงแล้วเป็นอย่างไร

ถ้าหากว่าพระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนกระทั่งแม่ชีและญาติโยมที่ฟังอยู่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ได้ไปศึกษาเกี่ยวกับโสฬสญาณนี้เอาไว้บ้าง ก็จะทราบว่าเริ่มด้วยนามรูปปริจเฉทญาณ ซึ่งญาณนี้ก็คือญาณที่กำหนดจำแนกรูปนามได้ คำว่า จำแนกรูปนามได้ ในที่นี้อย่างหยาบก็คือรู้ว่าอะไรเป็นรูป อะไรเป็นนาม แต่ว่าถ้าหากว่ารู้แค่นี้ก็ยังไม่สมควรที่จะเรียกว่าญาณ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 27-05-2022, 23:30
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เหตุเพราะว่าญาณเครื่องรู้ในแต่ละระดับนั้น มีขึ้นเพื่อช่วยในการตัดกิเลสในจิตในใจของเรา ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นามรูปปริจเฉทญาณไม่ใช่ในเรื่องที่ท่านทั้งหลายจะสามารถจับอาการพองยุบได้ชัดเจน ไม่ใช่อาการที่ท่านทั้งหลายจะสามารถกำหนดพองยุบได้

หากแต่ว่านามรูปปริจเฉทญาณในที่นี้ก็คือ เมื่อตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ท่านทั้งหลายสามารถที่จะหยุดเอาไว้ได้ทันที เห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สักแต่ว่าเป็นรูป สักแต่ว่าเป็นนาม ไม่ไปปรุงแต่งต่อให้เกิดโทษแก่ตนเอง ก็คือตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส ใจครุ่นคิด ก็สามารถที่จะหยุดเอาไว้ ไม่ให้มาทำอันตรายต่อจิตใจของเราได้

ถ้าหากว่ามาถึงระดับนี้ พอที่จะเรียกได้ญาณได้ แต่ยังมีระดับที่ลึกซึ้งยิ่งไปกว่านั้น ก็คือเห็นทุกข์เห็นโทษว่าการปรุงแต่งในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ก่อให้เกิดทุกข์เกิดโทษแก่เรา ในการเวีนนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ก็หยุดการปรุงแต่งทั้งปวงลงไป ด้วยอำนาจของ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านทั้งหลายได้หมั่นเพียรฝึกฝนและสั่งสมมา

ในเมื่อการปรุงแต่งหยุดยั้งลง ทุกอย่างก็หยุดหมด ดับหมด เราสามารถเข้าถึงนิโรธ คือความดับได้ แต่ถ้าหากว่าเข้าถึงชั่วคราวก็ยังไม่จัดเป็นนิโรธที่แท้จริง

การที่จะเข้าถึงความดับที่แท้จริง ก็คือต้องรู้สึกเช่นนั้นอยู่ตลอดเวลาว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะก่อทุกข์ก่อโทษให้แก่เรา แล้วไม่ไปแตะต้อง ไม่ไปเติมเชื้อให้ไฟทั้งหลายเหล่านั้นลุกขึ้นมาเผาผลาญกาย วาจา ใจ ของเรา ก็จะทำให้ท่านทั้งหลายสามารถเข้าถึงญาณนี้ได้อย่างแท้จริง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 27-05-2022, 23:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

คำว่า ญาณ คือ เครื่องรู้ หรือที่โบราณแปลว่า ความปรีชาหยั่งรู้ ดังนั้น...บรรดาพระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกปรือให้จนถึงญาณระดับสุดท้ายที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวมา ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็ยังไม่เรียกได้ว่าเป็นพระวิปัสสนาจารย์อย่างแท้จริง

เพราะว่าวิปัสสนาคือความรู้แจ้ง อาจารย์คือผู้ที่จะนำไปสั่งสอนผู้อื่นต่อ ดังนั้น... อาจารย์ผู้รู้แจ้งอย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้ในญาณทุกอย่าง เพื่อที่ถึงเวลาแล้วจะได้บอกกล่าวแก่ลูกศิษย์ และแก้ไขปัญหาให้ลูกศิษย์ได้อย่างชัดเจน

ข้อต่อไปคือ ปัจจยปริคคหญาณ เป็นญาณที่กำหนดรู้ถึงปัจจัยของนามรูปว่าแต่ละอย่างนั้นเกิดขึ้นมาจากอะไร เมื่อมีสิ่งนี้ก็มีสิ่งนี้ เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ต้องดับลงไป กล่าวง่าย ๆ ว่าเป็นญาณที่รู้ทั่วในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ซึ่งตรงนี้นั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านได้บอกกล่าวแก่กระผม/อาตมภาพเอาไว้ว่าเป็นญาณที่สูงมาก ๆ ท่านบอกว่าเหตุที่ท่านไม่สอนปฏิจจสมุปบาท เพราะว่าปฏิจจสมุปบาทนั้น ถ้าเราเข้าไม่ถึงอริยบุคคลในระดับอนาคามีขึ้นไป ยากนักที่จะรู้เห็นได้ชัดเจนว่า อวิชชานั้นก่อให้เกิดสังขาร คือความปรุงแต่งอย่างไร

ท่านทั้งหลายที่ฟังมาจะทราบว่า ในนามรูปปริจเฉทญาณที่กระผม/อาตมภาพได้กล่าวไปก็คือ เราจะต้องรู้จนถึงหยุดการปรุงแต่งทั้งปวง ถึงจะเรียกว่าญาณอย่างแท้จริง

ในเมื่อมาถึงปัจจยปริคคหญาณนี้ เราก็จะต้องรู้เห็นชัดเจนว่าอวิชชาคือความเขลา ความไม่รู้ บางทีถ้าพูดกันแบบไม่เกรงใจ คือความโง่นั้น ทำให้เราไปนึกคิดปรุงแต่ง จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ความปรุงแต่งขึ้นมา เมื่อความปรุงแต่งเกิดขึ้น วิญญาณคือความรู้สึกก็ย่อมต้องเกิดขึ้น คือรู้สึกว่าสุขหรือทุกข์ หรือว่าไม่สุขไม่ทุกข์ตามไป เป็นต้น

ดังนั้น...ถ้าหากว่าเราเข้าถึงปัจจยปริคคหญาณอย่างแท้จริง ตามที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านได้เมตตาสั่งสอนเอาไว้ ก็แปลว่าเราต้องปฏิบัติให้ได้อย่างน้อยในความเป็นพระอนาคามิผล
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 27-05-2022, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ข้อที่สามคือสัมมสนญาณ แปลว่า ญาณที่กำหนดรู้นามรูป โดยเห็นไตรลักษณ์อย่างแท้จริง ก็คือต้องพิจารณาให้เห็นว่านามรูปทั้งหลายเหล่านี้นั้นไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างไร

ดังที่กระผม/อาตมภาพนำให้บรรดาโยคีบุคคล ที่เข้าปฏิบัติธรรมในช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติของวัดท่าขนุนทุกครั้งว่า ให้เราพิจารณาอย่างไรให้เห็นความไม่เที่ยง ให้เราพิจารณาอย่างไรให้เห็นความเป็นทุกข์ ให้เราพิจารณาอย่างไรถึงจะเห็นความเป็นไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราให้ยึดถือมั่นหมายได้

ญาณทั้ง ๓ อย่างที่ว่ามานี้ ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า ญาณใดญาณหนึ่งก็สามารถทำให้ท่านทั้งหลายเข้าถึงมรรคถึงผลได้แล้ว ไม่ใช่ไปถึงตอนท้ายคือมรรคญาณ ผลญาณ ถ้าหากว่าต้องรอให้ถึงตอนนั้นแปลว่าไม่ทันกิน..!

โยคีบุคคลผู้เข้าปฏิบัติธรรมทุกคนสามารถเข้าถึงโสฬสญาณก็คือญาณ ๑๖ นี้ในญาณใดญาณหนึ่งได้ ตามปัจจัยที่ได้สั่งสมมาเป็นปุพเพกตปุญญตาตั้งแต่ชาติก่อน ๆ

ดังนั้น...ในส่วนของญาณ ๑๖ ไม่ว่าญาณใดญาณหนึ่ง ก็เป็นญาณที่พาเราเข้าถึงมรรคถึงผลทั้งสิ้น ยกเว้นอยู่อย่างเดียวก็คือโคตรภูญาณ ซึ่งเป็นญาณที่เข้าถึงมรรคอย่างเดียว เพราะว่าเป็นญาณที่อยู่กึ่งกลางในระหว่างความเป็นพระโสดาบัน ในความเป็นพระสกทาคามี ในความเป็นพระอนาคามี และในความเป็นพระอรหันต์

คือมองเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าจะเป็นอย่างไร แต่ว่ายังเข้าไม่ถึง พูดง่าย ๆ ว่าเห็นแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะนำมาเป็นสมบัติของตนเองได้ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:49
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 27-05-2022, 23:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,495
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,430 ครั้ง ใน 34,084 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น...พระวิปัสสนาจารย์ทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาให้แตกฉาน ไม่เช่นนั้นแล้วท่านทั้งหลายก็อาจจะสอนคนจนเป็นมิจฉาทิฐิ อย่างเช่นว่า พอถึงเวลาภาวนาไปแล้วพองยุบหาย ท่านก็ไปสรุปว่านั่นคือภังคานุปัสสนาญาณ เป็นการปรีชาหยั่งรู้เห็นความดับ

กระผม/อาตมภาพพอได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็รู้สึกว่าท่านทั้งหลายนั้น นำเอาหลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเปรียบเสมือนโคตรเพชรยอดมงกุฎ ลดค่าลดราคาลงเหลือเพียงเศษแก้วเศษกระจกแตก ๆ เท่านั้น..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะว่าถ้าหากว่าลูกศิษย์ของท่านถือตาม เชื่อตาม ก็จะเป็นการสอนคนให้เป็นมิจฉาทิฐิ ซึ่งเป็นโทษร้ายแรงอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าทำให้ห่างมรรคห่างผลยังไม่พอ อาจจะต้องลงสู่อบายภูมิ กว่าที่จะผ่านพ้นขึ้นมา ได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง ก็เป็นวาระที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างยาวนานเหลือเกิน


ถ้าจะพูดในเรื่องของญาณ ๑๖ ให้ชัดเจนและครบถ้วนแล้ว ก็อาจจะต้องใช้เวลาถึง ๒ - ๓ ชั่วโมง วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายที่ได้ฟังอยู่แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2022 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:03



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว