กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #141  
เก่า 22-11-2012, 11:51
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ชนะความกลัวด้วย “พุทโธ

ท่านใช้ความกลัวนี้เองเป็นครูหรือเป็นอุบาย เพื่อฝึกจิตให้เห็นเหตุเห็นผลกัน ดังนี้

“...พอความกลัวเริ่มมากขึ้น สติเริ่มจับ คือจิตนี้ห้ามหรือบังคับเด็ดขาดไม่ให้เคลื่อนจากจุดที่ตนต้องการ เช่น เราบริกรรม พุทโธ พุทโธ... ก็ให้อยู่กับคำบริกรรมนี้เท่านั้น เป็นก็ตาม ตายก็ตาม เสือก็ตาม ช้างก็ตาม สัตว์อันตรายใด ๆ ก็ตาม ไม่ไปคิด ไม่ไปยุ่ง ให้รู้อยู่จุดเดียวคือคำบริกรรมนี้เท่านั้น... ‘ไม่งั้น’ มันจะวาดภาพเสือ วาดภาพอันตรายขึ้นมาให้เรากลัว เพราะไปอยู่ในสถานที่กลัวด้วย ในสถานที่มีเสือจริง ๆ ด้วย ต้องบังคับจิตไม่ให้ส่งออกไปภายนอกเลย ให้รู้อยู่กับใจนี้.. เป็นกับตายก็มอบอยู่กับใจนี้...


นี่หมายถึงขั้นเริ่มแรกของการภาวนา ซึ่งต้องอาศัยคำบริกรรม กลัวมากเท่าไรจิตยิ่งติดแนบกับคำบริกรรมไม่ให้ปราศจากเลย ความมุ่งหมายนั้นคือ หมายตายกับธรรมนี้เท่านั้น ไม่ให้จิตไปสู่อารมณ์ที่กลัวนั้น ๆ ธรรมคืออะไร ? คำบริกรรมนั้นแล คือบทแห่งธรรม...

ธรรมแท้จะปรากฏที่จิต ที่จิตกำลังบริกรรมอยู่นั่นแหละ คือสั่งสมพลังของธรรมให้เกิดขึ้นที่ใจ มากน้อยตามความพากเพียรของตน

เมื่อสติได้ติดแนบอยู่กับคำบริกรรม บังคับจิตไม่ให้แย็บออกไปสู่อารมณ์ที่เป็นภัย ซึ่งทำให้น่ากลัวน่าหวาดเสียวนั้น ให้อยู่เฉพาะกับคำบริกรรมนี้ ติดต่อสืบเนื่องกันเป็นลำดับลำดา ก็เป็นการสั่งสมพลังคือกำลังของอรรถของธรรมขึ้นภายในจิตใจ หนุนใจให้มีความแน่นหนามากขึ้น ๆ

จนกระทั่งมันมีความอาจหาญชาญชัย สุดท้ายจิตใจดวงนั้นก็แน่นเหมือนกับหินทั้งก้อนหรือภูเขาทั้งลูก... ทีนี้ความที่เคยว่ากลัว ๆ คิดออกไปหาสิ่งที่น่ากลัวก็ไม่กลัว คิดไปถึงอันใด คำว่าน่ากลัวก็ไม่กลัวทั้งนั้น .. แม้เสือจะเดินมาต่อหน้าต่อตา มันจะเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้อย่างสบายเลยนะ ตามความรู้สึกมันแน่ในใจ ‘ยังงั้น’ ไม่คิดว่าเสือจะทำอะไรได้เลย นี่อาจเป็นความสำคัญผิดของตัวก็ได้ แต่จะสำคัญผิดหรือสำคัญถูกก็ตาม เมื่อจิตได้กล้าถึงขนาดนั้นแล้ว มันเดินเข้าไปลูบคลำหลังเสือได้จริง ๆ ด้วย จิตใจอ่อนโยน เมตตาสงสาร ไม่สะทกสะท้านในเรื่องว่าจะกลัว ความกลัวก็ไม่มี

จิตมันมีกำลังมากเวลานั้น เพราะไม่ให้มันออกนอก กำหนดเข้าเรื่อย ๆ มันก็มีกำลังจนแน่นปึ๋งเลย ขึ้นชื่อว่าอันตรายอะไรก็มาเถอะ ..ว่าอย่างนั้นเลยนะ มันอาจหาญขนาดนั้น เสือก็มา ช้างก็มา ไม่หนีว่าอย่างนั้นเลยนะ คือมันเป็นความอาจหาญของมันจริง ซึ่งเราก็ไม่เคยเป็นมาก่อน มาเป็นเอาตอนฝึกดัดสันดานในขณะกลัวนั่นแล ไม่คิดว่าเสือหรือช้างเป็นต้น จะมาทำลายเราได้เลย จะเดินเข้าไปหามันได้อย่างสบาย

แม้มันจะทำเรา ฆ่าเราให้ตายในขณะนั้น ก็รู้สึกว่าจะตายไปด้วยความอาจหาญนั่นเอง ให้ตายด้วยความกลัวนี่คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเวลานั้นจิตมันมีกำลังมาก นี่เป็นวิธีหนึ่งแห่งการระงับดับความกลัว แห่งการระงับความฟุ้งซ่าน ความก่อกวนตัวเองด้วยอารมณ์ต่าง ๆ ระงับกันอย่างนี้

ทั้งนี้ตามแต่อุบายแยบคายของแต่ละราย จะผลิตขึ้นมาใช้เปลื้องตัวจากความจนตรอกในเวลานั้น ๆ เพราะธรรมหรือสติปัญญาไม่สิ้นสุดอยู่กับผู้ใด สามารถทำให้เกิดให้มีในแง่ต่าง ๆ ได้ด้วยกัน ...

เอ้า! คิดหมด..ในแดนโลกธาตุนี้กลัวอะไร จะมีสิ่งน่ากลัวแม้สิ่งหนึ่งมาปรากฏที่ใจนี้มีไหม ? .. ไม่มีเลย นั่น.. ฟังซิ นั่นละ เมื่อถึงขั้นจิตเป็น อัตตา หิ อัตตโน นาโถ คือช่วยตัวเอง ช่วยอย่างนั้น พึ่งตนเอง พึ่งอย่างนั้น อยู่กับตัวเองด้วยความแน่นหนามั่นคงก็อยู่แบบนั้น .. นี่เป็นสิ่งที่เราลืมไม่ได้ในชีวิต และการภาวนาของเราซึ่งไปอยู่ในสถานที่เช่นนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2012 เมื่อ 13:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #142  
เก่า 23-11-2012, 11:47
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สยบโรคฝีดาษ

“...ปีที่คนเป็นโรคฝีดาษ ฝีดาษนี้ได้เกิดขึ้น บ้านใหญ่ ๆ เป็นร้อย ๆ หลังคา บ้านแตกสาแหรกขาด หนีเข้าไปอยู่ในป่า คนหนีตายนี้ไปอยู่ได้หมดทุกแห่ง ไม่ว่าพุ่มไม้ ไม่ว่าที่ไหน ๆ หาที่หลบที่ซ่อนตัวได้ยิ่งกว่าสัตว์ เวลาคนกลัวตายนี่ กลัวมากกว่าสัตว์ แตกบ้านแตกเมือง..หมู่บ้านเดียวตายวันละ ๑๔ – ๑๕ - ๑๖ ศพ

เราเดินธุดงค์เที่ยวผ่านไปหมู่บ้านนั้น กับโยม ๒ คน คนเขาบอกว่า ‘จะไปหมู่บ้านนั้นทำไม ? ที่นั่นมีแต่ป่าช้าผีตาย

เราก็ว่า ‘ตัวเรานี้แหละ เป็นป่าช้าคนเป็น ถ้าไปจะเป็นอะไร ?’

เราผ่านเข้าไปตรงนั้น เห็นเขาตาย น่าสยดสยองกันทั้งบ้านทั้งเมือง โยม ๒ คนที่ไปด้วยเกิดความกลัว เราจึงว่า ‘ไป๊! เราไม่พากลัว ไม่ต้องกลัว’

ความตายมันอยู่กับเรา ไม่ได้อยู่กับที่นั่นที่นี่แหละ ถ้าเรายังมีลมหายใจ ถ้าเรายังมีลมหายใจแสดงว่าไม่ตาย เดินไปเลย ผ่านไปตรงนี้เลย มองดู ๒ ฟากทาง บ้านเรือนเป็นร้อย ๆ หลังคาไร้ผู้คน แตกหนีเข้าไปอยู่ตามป่า ตามพุ่มไม้ ตามที่ไหน ๆ ตามกอไผ่กอผา ที่ไหนหลบซ่อนไปอยู่หมด

นี่ละ มันถึงได้มองเห็นชัดนะ เห็นจริง ๆ ประจักษ์ตา เขาก่อไฟเอาไว้ ผู้ที่นอนตายเฝ้ากองไฟก็มี ผู้ร้องครางอยู่ตามกองฟืนกองไฟก็มี เราปลูกกระท่อมไว้หลังเล็ก ๆ ไปอยู่กับบ้านน้อย ๙ หลังคาเรือน เขาก็พากันแตกไปหาเรา

นี่ก็แปลกอยู่นะ ธรรมของพระพุทธเจ้าเห็นประจักษ์ ไม่ใช่อวดธรรม ไม่ใช่อวดตัวเอง เอาความจริงมาพูด นี่เราเห็นด้วยตา ไปก็ผ่านไปได้อย่างสบาย ไม่เป็นอะไรเลย เราก็ไปวัดตอนเช้ากำลังจะฉันจังหัน พวกเขารุมเข้ามาถามว่า ‘เป็นยังไงท่าน ท่านสบายดีอยู่หรือ ?’

‘จะเป็นอะไร ไปหาอะไรมาให้เรากิน เรากำลังหิวข้าว อย่ามาถามเรื่องความเป็นความตาย’

เราว่าอย่างนี้ จากนั้นพวกนั้นก็รุมเข้ามา นี่ก็เป็นภาระหนักอยู่ รุมกันเข้ามาอยู่เต็มบ้านน้อย อยู่ตามต้นไม้ แต่ก็เดชะนะ...ไม่เป็นอะไรแม้สักคนเดียว ผู้ที่วิ่งเข้ามาก็หายจากโรคฝีดาษ มันดลบันดาลอะไรนะ ธรรมของพระพุทธเจ้า

ใครเป็นแล้ว เขาห้ามไม่ให้เข้าเป็นอันขาดเลย นี่มันยังรอดเข้ามาได้ มาอยู่นั่นก็จะทำ ‘ยังไง’ ให้อยู่นั่นแหละ จะเป็นอะไรไป เราบอกทำกระต๊อบให้เขาอยู่เสีย ไม่ให้ออกมาเที่ยว ก็เดชะนะไม่เป็นอะไรเลย ๒ คนนี้หาย.. ไม่ตาย แล้วพวกนั้นก็ไม่เป็นอะไร

ทีนี้ตอนจะจากเขาไปละสิ โอ๊ย!...น่าทุเรศจริง ๆ นะ ถึงเวลาเราจะเข้าป่าไปทางภูสิงห์ ภูวัว ไปเที่ยวป่าทางโน้นแหละ เราไปคนเดียว ถึงเวลาจะไปร้องห่มร้องไห้เหมือนเด็กน้อยว่า

‘จะมีที่พึ่งที่ไหน ท่านจากไปแล้วก็หมดที่พึ่งเสียแล้ว’


‘ไม่หมดที่พึ่งทางใจ เอาพุทโธไว้นะ ให้จับพุทโธไว้ มีองค์ศาสดาอยู่ในหัวใจแล้วไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัว นี่เราไป เราก็ไปกับพุทโธ ก็ให้อยู่กับพุทโธนะ’ เราก็บอกอย่างนี้...

พอเดือนมิถุนายน บทเวลาเราย้อนกลับมา เราถามว่า ‘เป็นยังไงทางนี้’

เขาบอกว่า ‘สบายดีอยู่ ไม่เป็นอะไร’

ตั้งแต่นั้นมาสบาย...หายหมด บ้านน้อยไม่เป็นไรสักคนเดียว นี่แหละ ... อำนาจแห่งธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ของเล่น ๆ ดับทุกข์เข็ญได้อย่างแท้จริง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2012 เมื่อ 12:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #143  
เก่า 03-12-2012, 14:46
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พรรษาที่ ๑๑
(พ.ศ. ๒๔๘๗) จำพรรษาที่เสนาสนะป่ายาง บ้านท่าบ่อสงคราม
ตำบลท่าบ่อสงคราม อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม



นิมิตภาวนารู้ ... โยมพ่อตาย

ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นพรรษาที่ ๑๑ ท่านจำพรรษาที่อำเภอศรีสงคราม ในตอนนั้นท่านกำลังออกเร่งประกอบความเพียร ที่ฉันภัตตาหารเป็นกระต๊อบหลังเล็กสำหรับฉันได้เพียง ๓ องค์ ส่วนที่พักทำเป็นแคร่สูงจากพื้นใช้หญ้ามุง

ท่านเล่าถึงภาพนิมิตที่เกิดขึ้นในคืนหนึ่งขณะนั่งภาวนา ดังนี้
“...จิตวิญญาณก็แปลกอยู่ จิตวิญญาณมันถึงกัน มันแปลกอยู่นะ เวลาประมาณตี ๓ ถึงตี ๔ นั่งภาวนาอยู่ แล้วปรากฏเห็นภาพโยมอาน้องพ่อเอาจดหมายมายื่นให้ในขณะภาวนา


พอยื่นให้ปั๊บ เรายังไม่ได้อ่านจดหมาย ความรู้มันก็รับกันทันทีว่า ‘พ่อเสียแล้ว’

พอออกจากที่ภาวนามาเล่าให้เพื่อนฝูงที่อยู่ด้วยกัน ๒ องค์ฟังว่า
‘วันนี้วันที่เท่าไร หมู่เพื่อนจดจำไว้นะ เมื่อคืนนี้ตอนผมนั่งภาวนาอยู่ เห็นภาพนิมิตเข้ามา เห็นโยมอาน้องพ่อเอาจดหมายมายื่นให้ พอยื่นปั๊บ ทางนี้รู้รับกันทันทีว่าพ่อเสียแล้ว’...”


จากนั้นท่านจึงจดวันที่ไว้ หลังจากนั้น ๗ วัน จดหมายก็ส่งมาถึงจริงตามนิมิตและเขียนบอกด้วยว่า “พ่อตายแล้ว”

ปรากฏว่าวันเวลาที่โยมพ่อของท่านถึงแก่กรรมเป็นเวลาเดียวกันกับที่ท่านนั่งภาวนาอยู่ คือตี ๔ ตรงกับวันและเวลาที่จดไว้นั้นพอดี

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-12-2012 เมื่อ 02:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #144  
เก่า 03-12-2012, 14:57
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สอนพญานาค

องค์หลวงตาได้กล่าวถึงหลวงปู่มั่น สมัยที่พักอยู่จังหวัดนครพนม ดังนี้

“...พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ท่านเล่าให้ฟังเองว่า ‘สมัยที่ท่านพักอยู่บ้านสามผง จังหวัดนครพนม พอตกกลางคืนตอนสามทุ่ม ขณะที่ท่านกำลังเทศน์พระเป็นจำนวน ๓๐ - ๔๐ รูป ท่านเทศน์ไปจิตส่งไป.. เห็นพญานาคอยู่เต็มฝั่งแม่น้ำสงคราม เขาพาบริษัทบริวารแห่มาขึ้นอยู่แน่นฝั่งเป็นทิวแถว เขาพากันมาเพื่อมาฟังเทศน์ท่าน เขาฟังเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามมาก เพราะใจขององค์ท่านไม่ได้เหมือนใจพวกเรา.. จ้าไปหมด มองไปไหนเห็นหมด'…”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 18:11
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #145  
เก่า 03-12-2012, 15:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จำน้องสาวไม่ได้ เพราะจากบ้านไปนาน

คราวหนึ่งในช่วงกำลังเที่ยวกรรมฐาน ท่านกลับบ้านมาทำบุญอุทิศให้โยมพ่อ แต่ก่อนไม่มีรถรา ในระหว่างทางเดินมาจากตัวจังหวัดอุดรธานี ท่านเดินสวนกับหญิงสาวรุ่นคนอายุราว ๑๖ - ๑๗ ปี หญิงสาวคนนี้ พอเห็นท่านปุ๊บก็ตรงเข้ามาไหว้นั่งกราบทันที ท่านเล่าเหตุการณ์ในช่วงนี้ ดังนี้

“...เขาผ่านทางมาเห็นเรา เขานั่งไหว้ นั่งกราบ ‘เอ๊ ! เด็กที่ไหนดูลักษณะเข้าที แสดงว่าจะเข้าใจในศีลในธรรมพอประมาณ’ จากนั้นก็เลยถามว่า ‘มาจากไหน ?’


‘มาจากบ้านตาด’

‘แล้วจะไปไหน ?’

‘จะไปอุดรฯ’

‘อยู่บ้านไหน ?’ เราถามซ้ำอีกที

‘อยู่บ้านตาด’

เขาเคอะ ๆ เขิน ๆ นะพอถูกถามว่าอยู่บ้านไหน ? ถามไปถามมา.. เราก็เลยถามว่า ‘เป็นใคร ?’ เขาเลยหัวเราะ เราไม่รู้ว่าเขาเป็นน้องเรา เราถามอย่างนั้นเขายิ้ม ๆ แล้วก็หัวเราะ
‘หือ...มึงหัวเราะหาอะไร บอกมาซิ’


‘อู๊ย... ไม่ทราบว่าจะบอกยังไง’ ก็ถามจุดไต้ตำตอ พี่กับน้องถามกัน ไม่รู้กัน เราไม่รู้เขา ตัวเขาเท่ากำปั้นเวลาเราบวช เวลามาเจอเขา .. เขาเป็นสาวแล้ว อายุได้ ๑๖ - ๑๗ ‘ละมั้ง’

ถามไปถามมา ‘แล้วเป็นใครล่ะ’ เขาก็ยิ่งหัวเราะ เขาไม่กล้าตอบ เราก็เลยเดาเอานะ ‘อีจันดีหรือ ?’ ตอบว่า ‘ใช่แล้ว’

‘โอ๊ย.. อีผีบ้า กูไม่รู้ว่าเป็นมึง มึงเชื่อหรือว่าเป็นน้องกูน่ะ ถ้ามึงเชื่อว่าเป็นน้องกู กูบวชเมื่อไร..มึงรู้ไหม?

มันว่า ‘ไม่รู้’

‘แล้วมึงว่าเป็นน้องกูได้ยังไง ?’

‘ก็พ่อกับแม่พูดอยู่ตลอด’

…นางจันดีนี้ แต่ก่อนตัวมันเท่ากำปั้น เราจำไม่ได้.. ตอนเราบวช ดูอายุเขาจะ ๔ ขวบ ‘มั้ง’ ? ยังเป็นเด็ก เขาว่าไม่ทราบก็ถูกต้องแล้ว

อย่างนั้นละ พี่กับน้องไม่รู้กัน ก็บวชแล้วไม่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องกับบ้าน พอบวชแล้วไปเลย พี่ ๆ น้อง ๆ อะไรไม่เคยสนใจนะ เหมือนทั่วไปในโลกนี้ ไม่มีใกล้มีไกล บ้านน้อง ๆ ไม่เคยเข้าไปเหยียบเลยนะ เหมือนกันหมด...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2012 เมื่อ 18:12
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #146  
เก่า 04-12-2012, 11:12
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นกเขียน...คู่พึ่งเป็นพึ่งตาย

สมัยที่ท่านท่องเที่ยวภาวนาอยู่ทางอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม บรรยากาศตามท้องทุ่งมีนกกระเรียนและนกเขียนลงหากินเป็นฝูง ๆ ขณะที่นกเขียน ๒ ตัวผัวเมียกำลังหากินอยู่นั้น เหตุการณ์น่าสลดสังเวชก็เกิดขึ้นจากน้ำมือนายพรานผู้ใจบาป ดังนี้

ตัวผัวถูกนายพรานยิง พอตัวผัวถูกยิง ตัวเมียบินร่อนขึ้นไปข้างบน ร่อนดูผัวตัวเองถูกปืนกำลังดิ้นทุรนทุรายตายอยู่ต่อหน้า มันเสียใจมาก จึงฆ่าตัวตายตามโดยบินดิ่งหัวปักลงพื้นดินคอหักตายทันที ตายลงตรงซากศพผัวมันนั่นเอง


ท่านให้ข้อคิดคติธรรมจากเหตุการณ์ครั้งนี้ว่า มนุษย์เราต่างก็มีความจำเป็น และหวังความช่วยเหลือระหว่างเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์อยู่ด้วยกันก็หวังพึ่งกัน หากมนุษย์อยู่ด้วยกันพึ่งกันไม่ได้ย่อมไม่มีความหมาย สู้สัตว์ไม่ได้ สัตว์เขายังช่วยกัน ท่านยกเอาเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า

แม้สัตว์เขายังรักกัน เขายังช่วยกันถึงขั้นสละชีวิตยอมตายด้วยกัน ส่วนนายพรานนั่นก็คงดีใจที่ได้นกเอาไปกินทั้งสองตัว มันดีใจจะได้ไปตกนรกนะสิ นกสองผัวเมียนั้น เขาตายด้วยความเสียใจสุดขีดถึงชีวิตสละได้เลย ส่วนตัวนายพรานนี้ก็ดีใจสุดขีดว่า ยิงนัดเดียวได้นก ๒ ตัว ป่านนี้ไอ้คนที่ฆ่าไปจมอยู่ในนรกนั่นแหละ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 04-12-2012 เมื่อ 13:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #147  
เก่า 06-12-2012, 11:25
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สอนเศรษฐีบ้านนอก

อีกคราวหนึ่งระหว่างเดินกรรมฐานไปทางอำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านได้รับนิมนต์ให้เป็นองค์เทศน์ในงานทำบุญบ้าน บทธรรมที่ท่านแสดงในวันนั้น สามารถพลิกชีวิตชายผู้เป็นเศรษฐีคนหนึ่งได้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนี้

“...มีเศรษฐีสองผัวเมีย อายุราว ๕๐ ปี เงินทองข้าวของในสมัยนั้นเรียกว่าค้าเงินหมื่น คนถ้าลงมีเงินหมื่นแล้วร่ำลือกัน เงินล้านสมัยนี้สู้ไม่ได้ สองผัวเมียเขามีเงินเป็นหมื่น ๆ เวลาจะทำบุญให้ทานก็ไม่อยากทำ ผัวไปซื้อของไปจ่ายตลาด ถือตะกร้าเปล่าไปฉันใดก็ถือตะกร้าเปล่ากลับมาฉันนั้น คือซื้อไม่ลงตระหนี่ถี่เหนียว จะซื้ออะไรมากินซื้อไม่ลง ซื้อไม่ได้ ความตระหนี่ไม่ยอมให้ซื้อ แต่มีดีอันหนึ่งพอกลับมาแล้ว เมียถามว่า ‘ทำไมไม่ซื้อของมา’


‘โอ๊ย! ข้อยซื้อไม่ลง เจ้าไปซื้อซะไป๊’ จึงให้เมียไปซื้อแทน

พอเมียไปซื้อ ซื้อมาเท่าไรไม่เคยถามนะ ว่าราคาเท่าไรอันนั้นราคาเท่าไร ๆ กินได้สบาย คือเจ้าของไม่เชื่อตัวเอง นี่ข้อหนึ่งที่เป็นคติอันดี...

วันนั้นเผอิญเราเดินกรรมฐานไปทางนั้น เขานิมนต์เราเป็นองค์เทศน์ เราก็เทศน์ให้ฟัง เทศน์ไปโดนเอาใจดำแก ‘ยังไง’ ไม่รู้นะ จากนั้นแกไปทำงานทำการอะไร .. ไม่พูดทั้งวัน นั่งก็ขรึม เดินก็ขรึม ทำอะไรก็ขรึมไปหมด เคร่งขรึมตลอดเวลา ผิดสังเกต

หมู่เพื่อนจึงถามว่า ‘อ้าว ! เป็นยังไงเพื่อน แต่ก่อนก็เห็นรื่นเริงบันเทิง วันนี้ทำไมถึงเงียบ ๆ ตลอด เป็นอะไรได้รับความทุกข์ความทรมานอะไรบ้าง ? ถึงเป็นอย่างนี้’

‘อ๋อ! ..เรื่องความทุกข์ก็ถือหรือความสุขก็ไม่น่าจะผิด’ แกว่า

‘อ้าว! มันเป็นยังไง ว่าให้ฟังบ้างสิ’ เพื่อนถาม

‘เพื่อน…ก็เมื่อเช้านี้เราไปในงานเขา เขาทำบุญบ้าน ท่านมหาบัวเป็นองค์เทศน์ ท่านเทศน์ถึงเรื่องความตระหนี่ถี่เหนียว แล้วพูดถึงเรื่องความเสียสละ ความตระหนี่ถี่เหนียวมันมากองอยู่กับเราหมด ท่านก็เทศน์ว่าตายไปไม่ได้อะไร เราก็พิจารณาดู.. ตายเราจะเอาอะไรไป เราก็ไม่ได้อะไร!! ตรงนี้ละเศร้าโศก เงินทอง ข้าวของมีมากมีน้อย เท่าไรก็ไม่เป็นประโยชน์ ลูกก็ไม่มี อยู่กันผัวเมียสองเฒ่าเท่านั้นแหละ เลยเกิดความเศร้าโศกเหงาหงอย

แล้วพลิกใจ แต่นี้ต่อไปจะไม่เป็นคนประเภทนี้อีก จะเป็นนักทำบุญให้ทาน หมดก็หมด เป็นก็เป็น ตายก็ตาย ตระหนี่เราก็เคยตระหนี่มาแล้ว ความสุขก็ไม่เห็นมีเท่าไร ก็เหมือนโลก ๆ เขาดี ๆ นี่เอง ดีไม่ดีทุกข์กว่าเขาอีก เพราะเรามีสมบัติมากด้วย เราตระหนี่ถี่เหนียวมาก ต้องหึงหวงมาก เป็นทุกข์กว่าโลกเขามาก คราวนี้จะต้องแบ่งให้กินให้ทาน ให้สม่ำเสมอดั่งที่ท่านว่า’

ตั้งแต่นั้นมาแกเปลี่ยนเป็นคนละคน เมียจะไปจ่ายตลาดก็ไป ผัวไปจ่ายตลาดจ่ายได้สบายเลย ทำไมแกพลิกได้ขนาดนั้น แล้วการทำบุญให้ทาน นี่..จนเป็นหัวหน้าเขาเลย มีงานอะไร ๆ เขาต้องมาเชื้อเชิญแก...”

เวลาผ่านไปหลายปีนับแต่วันนั้นมา ท่านมีโอกาสพบกับชายเศรษฐีคนนี้อีกครั้งในงานศพหลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม ที่วัดอรัญญวิเวก บ้านข่า อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ท่านเล่าว่า
เราก็นึกว่าแกตายไป ๕ ทวีปแล้วนะ แกเข้ามาหา ได้บวชเป็นพระ เข้ามากราบทักถามว่า ‘ท่านมหา... ท่านจำผมได้ไหม ?’..”


เศรษฐีคนนั้นเล่าชีวิตของแกให้ท่านฟังว่า “ผมได้เป็นผู้เป็นคนมาก็เพราะท่านมหา อยู่ไหนก็ตามผมกราบท่านไม่ลืมเลย ผมไม่นึกว่า ผมจะได้พบท่านมหาอีก วันนี้ยังมาพบกันจนได้ บุญผมมี ท่านมหาเป็นคนลากผมขึ้นจากนรก ผมเป็นผู้เป็นคนมาทุกวันนี้เพราะท่านมหาเทศน์อยู่ที่บ้าน ผมเป็นผู้เป็นคนมาตั้งแต่บัดนั้น

เวลานี้ผมชื่นบานหรรษาภายในจิตใจ การทำบุญให้ทานผมก็ไม่อัดไม่อั้น ทานเสียเต็มที่แล้วก็มาบวช เสียสละไปหมดเลย ความตระหนี่ถี่เหนียวก็เคยตระหนี่ ความเสียสละก็เคยเสียสละ เสียสละจนบวช ผมนี่เต็มภูมิ เต็มภูมิทั้งสอง”

พอเล่าจบลง แกก็ก้มลงกราบแล้วกราบเล่า ด้วยเห็นบุญเห็นคุณของท่านมิรู้ลืม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-12-2012 เมื่อ 15:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #148  
เก่า 07-12-2012, 11:44
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ถวายลูกเป็นน้องชาย

ในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๗ - ๒๔๘๘ ท่านได้มาเที่ยวกรรมฐานแถวบ้านสามผง อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ได้พบกับโยมคนหนึ่ง ซึ่งรู้สึกผูกพันกับท่านถึงขนาดขอถวายลูกชายซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ ให้เป็นน้องชายของท่านเลยทีเดียว ดังนี้

“...ท่านอาจารย์เกิ่งนี้ก็เป็นคนสามผง ลูกศิษย์ชั้นผู้ใหญ่องค์สำคัญองค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น ท่านอาจารย์เกิ่งนี้ แต่ก่อนท่านเป็นอุปัชฌาย์ ท่านอาจารย์เกิ่ง อาจารย์สีลานี้ ล้วนแล้วแต่เคยเป็นอุปัชฌาย์มาก่อนในฝ่ายมหานิกาย แล้วเกิดความเคารพเลื่อมใส เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมจากหลวงปู่มั่นเราแล้ว หลวงปู่มั่นไปกรรมฐานที่บ้านสามผงที่ตั้งวัดอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนเป็นดง เลยยกวัดญัตติใหม่หมดเลย อุปัชฌาย์ท่านอาจารย์เกิ่งนี้องค์หนึ่ง ท่านอาจารย์สีลา บ้านวา อากาศอำนวยนี้องค์หนึ่ง โละหมดอุปัชฌาย์ ญัตติเป็นธรรมยุตเป็นกรรมฐานทั้งหมดเลย เจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปญัตติให้ทางสามผง เอาโบสถ์น้ำ สีมาน้ำ บวช


ท่านอาจารย์เกิ่ง ... ยกขบวนไปญัตติเลย ญัตติทั้งวัด ๆ อุปัชฌาย์เกิ่งหมดหมดทั้งวัด อุปัชฌาย์สีลาก็ยกหมดทั้งวัด ญัตติใหม่ นี่เป็นลูกศิษย์องค์สำคัญของท่านองค์หนึ่ง ก็คงเป็นนิสัยวาสนาจะเกี่ยวโยงอะไรกันมากับท่านนั่นแหละ นี่ละสายบุญสายกรรม หากเป็นมาเองนะ ท่านได้รับการอบรมกับหลวงปู่มั่นมาเต็มที่แล้ว จากนี้ท่านก็แยกออกไปนู่น ลงชลบุรี ไปทางชลฯ ท่านเลยไปตั้งวัด นั่นท่านอาจารย์เกิ่งนะนั่น

เหตุที่ท่านเหล่านั้นจะเข้าอกเข้าใจทางด้านธรรมปฏิบัติ ก็ท่านอาจารย์เกิ่งไปพักที่นั่น ตั้งที่นั่น ไปอยู่หลายปีนะ บางพระ ท่านไปพักที่นั่นหลายปี แล้วแถวนั้นท่านตั้งสำนักไว้ในที่ต่าง ๆ ตามประชาชนเขาขอร้องให้สร้างวัด ท่านเป็นพระที่จริงจังมากนะ เด็ดเดี่ยว ท่านอาจารย์เกิ่ง เราก็คุ้นกับท่านอยู่แล้ว ... ท่านจริงจังมาก ข้อวัตรปฏิบัติเคร่งครัดทางธรรมวินัย

นี่..มหาอาบ* นี่เป็นคนบ้านสามผง เป็นลูกศิษย์ท่านอาจารย์เกิ่ง แล้วท่านถวายกับสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ไปเป็นลูกศิษย์สมเด็จพระมหาวีรวงศ์เรา ลูกศิษย์เดียวกัน อาบนี่ก็เป็นน้องชาย ลูกอยู่ทางกรุงเทพฯ เรามาเที่ยวทางนี้.. เราไปเที่ยวทางบ้านสามผง พ่อของมหาอาบนี่มาเห็น.. จะถูกชะตากัน ‘ยังไง’ ไม่ทราบนะ เราก็แบบเดียวกันนี้แหละ เราก็ไปองค์เดียวของเราเที่ยวกรรมฐาน ไปแวะพักที่วัดป่าสามผงนี้เป็นวัดท่านอาจารย์มั่นสร้างขึ้น วัดสามผงนี่วัดป่า เดี๋ยวนี้มันก็ลุกลามเข้าไปแหละ บ้านถึงแล้ว แต่ก่อนห่างตั้งกิโล อยู่ในดงเสือนะนั่นน่ะ เสือเข้ามาในวัด ในตอนที่เราไปนั้นก็ยังมี เพราะมันเป็นดงต่อกับดงใหญ่โน้น ยังไม่ได้ถูกทำลาย

ตอนที่เราไปเที่ยว พ.ศ. ๘๗ - ๘๘ ‘มั้ง’ เราไปเที่ยวแถวนั้น นี่แหละ พ่อเลยมาถูกชะตากัน ‘ยังไง’ ไม่ทราบ กับเรานะ เลยขอลูกชายทางโน้น พ่ออยู่ทางนี้
‘ขอถวายลูกอยู่กรุงเทพฯ อยู่ทางโน้นให้เป็นน้องชาย


ว่า ‘งั้น’ นะ มหาอาบถึงได้เป็นน้องชายมานี่ เข้าใจไหม พ่อนะถวาย ลูกอยู่กรุงเทพฯ พ่อถวายเป็นน้องชาย เราไปพักอยู่ที่นั่น แต่ก่อนมันเป็นดงใหญ่ตรงนั้น ตอนที่เราไปป่ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลยนะ พ.ศ. ๘๗ - ๘๘ เป็นดงธรรมชาติ ๑๐๐% วัดป่าก็เป็นวัดป่าจริง ๆ เป็นดงเสือ มันอยู่ข้าง ๆ มากัดหมูในวัดก็มี...

ท่านอาจารย์เกิ่งเป็นคนเด็ดเดี่ยวจริงจังมากทุกอย่าง คล้ายคลึงกับนิสัยพ่อแม่ครูจารย์มั่นเรา นิสัยเด็ดเดี่ยวจริง ๆ ว่าอะไรเป็นอันนั้นเลยเทียว นี่ละ หลวงปู่มั่นเราเป็นอย่างนั้น เด็ดเดี่ยว ว่าอะไรเป็นอันนั้น ท่านอาจารย์เกิ่งก็เหมือนกัน นิสัยแบบเดียวกัน มาพบก็คุยกันสนิทสนมกันอยู่กับท่านนะ

ตอนที่คุยกันพอสมควรก็คือ ตอนที่ท่านมากราบเยี่ยมพ่อแม่ครูจารย์มั่นที่บ้านโคกนามน สกลนคร ท่านมาจากเมืองชลฯ มีลูกศิษย์ตาผ้าขาวมาคนหนึ่ง แล้วมีพระติดตามองค์เดียว เพราะท่านบอก ท่านมาชั่วคราวแล้วท่านจะกลับ ท่านว่า ‘งั้น’ กลับเมืองชลฯ ก็ได้คุยกันตรงนั้นแหละ ... เราดูลักษณะแล้ว ดูลักษณะท่าทางตอนท่านไปนามน เพราะได้ยินชื่อของท่าน มันต้องดูซิ เพราะเราได้ยินชื่อมาก่อน ถ้าปรากฏว่ามีชื่อเสียงอยู่บ้างแล้ว มันยิ่งจะดูถนัดนะ เรามันเป็นนิสัยอย่างนั้น ดูจริง ๆ

ท่านอาจารย์เกิ่งมีวาสนาน่าเกรงขาม ท่านเด็ดขาด ท่านก็คุยกับเราบ้างเล็กน้อยในฐานะว่าเราเป็นมหาแหละ อยู่บ้านนามน จากนั้นท่านก็ไปบ้านสามผง แล้วก็กลับออกลงไปทางนู้นอีก ดูลักษณะท่าทางของท่านสำคัญอยู่...”

================================

ปัจจุบัน รศ.อาบ นคะจัด อดีตมหาเปรียญ ๖ ประโยค เป็นอาจารย์สอนทางเกษตรศาสตร์ เวลามีปัญหาด้านภาวนาก็จะถามองค์หลวงตา เพราะลงใจสุดขีดกับท่านทางภาคปฏิบัติ เนื่องจากภาคปฏิบัติเคยอยู่ด้วยกันมาแล้ว

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 07-12-2012 เมื่อ 13:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #149  
เก่า 11-12-2012, 11:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระอาจารย์เกิ่ง บางพระ ชลบุรี

“...ท่านอาจารย์เกิ่ง ท่านเป็นพระที่จริงจังมากนะ เด็ดเดี่ยว ... อันนี้เราไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ได้ทราบว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุนะ... แต่เรายังไม่ได้ไปเห็นจริง ๆ ที่ว่าเป็นพระธาตุแล้วนะ เรายังไม่ไปเห็น แต่เราก็เชื่อไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว เพราะเชื่อปฏิปทาการดำเนิน ความสัตย์ความจริงของท่าน เคร่งครัดในธรรมวินัยมาก ลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทางจังหวัดชลฯ น้อยเมื่อไร ลูกศิษย์ลูกหาท่านอาจารย์เกิ่งนี่ ทั้งพระทั้งอะไรนะ ประชาชนก็เยอะ พระก็เยอะ แล้วจากนั้นก็ต่อเนื่องกันไปเรื่อย ๆ ...

พระกรรมฐานเราเกี่ยวโยงกันตั้งแต่โน้นละ ตั้งแต่ท่านอาจารย์เกิ่งไปเป็น รู้สึกจะเป็นครั้งแรกเลย.. ทางฝ่ายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่นลงไปทางเมืองชลฯ นะ มีท่านอาจารย์เกิ่ง จากนี้ก็องค์นั้นไป องค์นี้ไป ท่านอาจารย์เกิ่งเป็นหลักอยู่นั้นนาน โอ๊ย...หลายปีนะ เราไปพบกันอยู่ที่สกลนคร ที่ท่านมาเยี่ยมหลวงปู่มั่น พบกันกับเราที่สกลนคร


ตอนนั้นท่านอยู่จังหวัดชลฯ อยู่นะ ท่านยังไม่มา ท่านมาเยี่ยมบ้านของท่านด้วยความจำเป็น แล้วก็มากราบพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ก็ได้พบกันกับเราที่สกลนคร จากนั้นท่านก็กลับไปเมืองชลฯ คือตอนนั้นท่านยังอยู่โน้น ท่านยังไม่มา ตอนแก่นี่ท่านถึงได้ย้ายมาทางสามผง ก็มามรณภาพทางนี้

โห... ท่านเป็นพระเด็ดเดี่ยวมากนะ แต่เรายังไม่ได้เข้าไปดูที่สำนักของท่าน.. บางพระ ว่าอยู่บางพระ ว่า ‘งั้น’ นะ จังหวัดชลฯ ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นหากไม่ได้เข้า ท่านอยู่จริง ๆ สำนักนั้นอยู่ที่ตรงไหน บอกแต่ว่าบางพระเท่านั้นแหละ ท่านอยู่นาน แล้วแถวรอบ ๆ นั้นยังมีนะ แตกสาขาออกไป

พวกพระพวกอะไรที่มารับการศึกษาจากท่าน เป็นลูกศิษย์ลูกหาของท่านกระจายออกไป ตามเกาะตามอะไรก็มีอยู่ทางนั้นนะ เราไปอะไรเขาเลยบอก นี่..สำนักนี้เราลืมแล้วแหละ เราไปเห็นสำนักนี้ก็ท่านอาจารย์เกิ่ง.. ท่านมาสร้าง พาลูกศิษย์มาสร้างที่นี่ ไม่ใช่บางพระนะ แถวนั้นแหละ เป็นเกาะอะไรไม่รู้ เราก็ไปซอกแซก มันก็ดื้อเหมือนกันนั่นแหละ ไปที่นั่นที่นี่ เห็นหมด ท่านเป็นพระที่น่าเคารพมาก ...

พูดถึงเรื่องท่านอาจารย์เกิ่ง ท่านไปทำประโยชน์ทางเขตเมืองชลฯ นี้มากที่สุด ดูว่าไม่ได้ไปทางระยองนะ ทราบว่าอยู่เขตเมืองชลฯ กว้างขวาง สำนักต่าง ๆ ออกจากท่านองค์เดียว มีลูกศิษย์ลูกหาไปตั้งสำนัก มีความเคารพเลื่อมใส บวชอยู่กับท่าน แล้วก็แยกออกไปตั้งหลายแห่ง จนกระทั่งทุกวันนี้ นี่ท่านอาจารย์เกิ่ง ทราบว่าอัฐิของท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว แต่เรายังไม่ได้เห็น แต่เราค่อนข้างจะเชื่อไว้แล้ว ถึงยังไม่เห็นก็ตาม เพราะเชื่อปฏิปทาของท่าน ... ตอนที่ได้คุยกันพอสมควรก็คือ ตอนที่ท่านมากราบเยี่ยมพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอยู่สกลนคร ท่านมาจากเมืองชลฯ จากนั้นก็ได้พบกันทางสามผงอีกทีหนึ่งนะ ตอนท่านย้ายมาแล้ว ท่านแก่แล้ว ได้พบกันทีหนึ่ง ปีท่านอยู่สามผงเป็นอุปัชฌาย์ ญัตติมาอยู่นั้น ท่านอาจารย์สีลาก็เสียแล้ว ท่านก็เสียแล้วแหละ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-12-2012 เมื่อ 20:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #150  
เก่า 12-12-2012, 11:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

วิชาจับเสือที่บ้านสามผง

อีกเรื่องหนึ่งในคราววิเวกที่บ้านสามผงแห่งนี้ ท่านได้พบกับโยมคนหนึ่ง.. เคยเป็นพระลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ดังนี้

“...มีอีตาคนหนึ่ง แกเรียนวิชาจับเสือมา เขาเล่าให้ฟัง แกชื่อหอม เป็นลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ ตอนนั้นแกสึกแล้วแหละ แกมีครอบครัวอยู่ทางสามผง เขาเล่าให้ฟัง พอดีแกก็มาวัด ก็แกลูกศิษย์พระนี่ ก็ลูกศิษย์ท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ มาก็เลยถาม ‘ทราบว่าเรียนวิชาจับเสือได้จริง ๆ หรือ ?’


‘ก็จับได้บ้างแหละครับ’ แกก็ปิดตามหลักวิชาของเขา เขาไม่เปิดเผย

คือวิชาถ้าพูดเปิดเผยนักเป็นการโอ้อวด วิชาไม่ขลัง เขาก็ต้องรักษาตามหลักวิชาของเขา เราก็ซอกแซกถาม นี่ละที่ว่าแกมาไล่เสือในนี้ เสือโคร่งใหญ่มันมาอยู่ข้างวัดนั้นนะ มันไม่หนี วัวปล่อยเข้าไปทีไร มันกัดเอา ๆ แกก็เข้าไปไล่เสือ มันกลัวมากนะเสือ ๆ กลัวแกมากนะ แกเคยจับได้เสือดาวตัวหนึ่ง แกเล่าให้ฟัง ไล่เสือดาว ได้เสือดาวตัวหนึ่ง แกจับได้จริง ๆ นะ กัดแกไม่เข้า นี่เรียกว่าเสือกลัวมาก อย่างนั้นแหละวิชา นี่พูดต่อหน้ากันเลย เราก็เป็นนิสัยอย่างนี้.. ซอกแซก เรื่องถามนี้ละเอียดไปเลยแหละ ไม่ว่าอะไร.. ถามแกละเอียดลออ แกบอกว่า แกจับจริง ๆ แหละ ‘เสือโคร่งแกจับได้ไหม ?’

‘ถ้าเจอก็คิดว่าจะจับได้’

นั่นแกว่า คิดว่าจะจับได้ ความจริงคือ จับได้ว่า ‘งั้น’ เถอะนะ เพราะฉะนั้น แกจึงไปไล่เสือในนั้นออกหมดเลยนะ ถ้าแกไปไหน เสือแตกฮือ ๆ เลย ..กลัวแกมากนะ กลัวอีตาคนนี้ ไม่ทราบเป็น ‘ยังไง’ นี่ละวิชา เขาเรียกวิชา เข้าดงนั้นเสือแตกหนีหมดเลย ถ้าเวลาเสือมันมากัดวัวแล้วก็บอกแก แกก็มาเข้าไปหาเลย แกไม่มีปืนผาหน้าไม้แหละ เข้าไปเฉย ๆ แต่เสือแตกฮือเลย..กลัว นี่วิชาเสือ มันเหมือนกับวิชาขี่เสือ...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-12-2012 เมื่อ 12:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #151  
เก่า 13-12-2012, 11:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เสือกลัวหลวงปู่ตื้อ

หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม เป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์หนึ่ง มีจิตใจกล้าหาญชาญชัยมาก ท่านมีอายุพรรษามากกว่าองค์หลวงตา ในเรื่องที่ว่าเสือเกรงกลัวท่านนั้น องค์หลวงตาเล่าความเป็นมาดังนี้

“...อย่างหลวงปู่ตื้อ ดังที่ผู้เฒ่าเล่าให้ฟัง คือคาถาของผู้เฒ่าเป็นคาถาที่ทำให้เสือใจอ่อน กลัว ใจไม่มีกำลังจะต่อสู้ คาถามันครอบเอา อำนาจของคาถาครอบเอาไว้ เสือใจอ่อนลงไปเลย ทำอะไรไม่ได้ ท่านมีคาถาขู่เสือ เป็นครูเสือก็ได้ ขู่เสือก็ได้... หากครูแบบหนึ่ง เป็นครูแบบพระ ไม่ได้ขี่เสือ


หลวงปู่ตื้อ บ้านข่าสามผง เราเคยไปพักอยู่เหมือนกัน แต่ก่อนไปภาวนา เสือชุมมากแถวนั้น หลวงปู่ตื้อท่านมีคาถาเป็นครูเสือ ไปอยู่ไหนเสือมักมานอนเฝ้าอยู่รอบ ๆ ข้าง ๆ ที่พักท่าน ท่านไปอยู่แม่ฮ่องสอน ไม่อยู่ในป่า เสือก็มาอยู่ด้วย เสือโคร่งใหญ่นะ มันมาแอบอยู่ด้วย

ผู้เฒ่าไม่ได้สนใจกลัวมันแหละ เพราะเป็นครูมัน คนอื่นนั่นซิ พระไปอยู่ด้วย พอดีกลางคืนพระปวดเบาจะออกมาเบา ออกมา.. เสือมันนอนอยู่ข้าง ๆ เสือฮ่า ๆ ใส่ เสียงร้องจ้า.. วิ่ง

มันไม่มีอะไร มันจะเป็นอะไร มันไม่เป็นไรหรอก’ หลวงปู่ตื้อบอก ‘ไม่เป็นไร..มันตื่น..บางทีมันอาจทักทายเฉย ๆ ก็ได้’


ท่านว่าอย่างนั้น มันโฮก ๆ ใส่ท่าน พระก็โดดเข้ากุฏิ กุฏิพังกระมัง ? พระองค์นั้นมาอยู่ได้คืนเดียว วันหลังเผ่นเลย กลัวเสือ ‘โอ๊ย..อยู่ไม่ได้แล้ว’

‘ไม่เป็นไรหรอก อยู่จะเป็นไรไป มันก็อยู่กับคนดีแล้วนี่’ ท่านว่า ‘งั้น’ นะ

มันอยู่แอบ ๆ อย่างนี้ไม่ออกมาหาคนหรอก บางทีก็เห็นตัว บางทีไม่เห็น มันอยู่ในป่า คนอยู่อย่างนี้ แต่ถ้ามีคนแปลกหน้ามามันคำรามนะ ท่านว่าให้มันทำ มันไม่ทำหรอก เพราะมันเป็นหมาของพระ..ว่า ‘งั้น’ เถอะ รักษาเจ้าของ ใครมาแปลก ๆ หน้านี่ไม่ได้ มันขู่คำราม ‘ว่างั้น’
‘...อย่าไปขู่เขานะ...’


พอท่านว่า ‘ยังงั้น’ มันก็เงียบเลย เวลาท่านไปไหนมาไหน เสือมักจะตามไปรักษาท่าน รักษาเงียบ ๆ นะ มันอยู่ในป่า..เสือ ท่านไปพักภาวนานี่ เสือมักจะมาอยู่ข้าง ๆ ถ้ามีคนแปลกหน้ามา เราถึงจะรู้ว่ามีเสือนะ ถ้าไม่มีคนแปลกหน้ามาก็เหมือนไม่มีเสือ มันไม่แสดงตัว มันอยู่รอบ ๆ ข้าง ๆ ถ้ามีคนแปลกหน้ามา พระแปลกหน้ามา มันคำรามใส่ บางทีขู่คำรามเฮ่อ ๆ ใส่ พระเลยตกใจร้อง ‘เสือ ๆ’

หลวงปู่ตื้อบอกว่า ‘โอ๊ย...ไม่เป็นไรหรอก มันรักษาพระ มันอยู่นี้เป็นประจำ ไม่เป็นไร ไม่ต้องกลัวมัน’

นี่หลวงปู่ตื้อเป็นอย่างนั้นนะ ท่านว่าข้ามไปเที่ยวตั้ง ๕ อำเภอ มันยังตามไปนะ เสือตัวนี้ อันนี้เรายังไม่เล่าให้ฟังถึงเรื่องเจ้าคณะอำเภอ เขาจะมาขับไล่ท่าน อันนี้ขบขันดีนะ

ตอนกลางคืน แต่ก่อนไม่มีไฟฟ้า มีแต่ตะเกียงเจ้าพายุ เจ้าคณะอำเภอเห็นท่านไปอยู่ในป่าจะมาขับไล่ท่าน จุดตะเกียงเจ้าพายุหิ้วมากลางคืนจะมาขับไล่ท่าน พอมาถึงวัด เสือตัวนั้นออกมาคำรามใหญ่เลย เฮ่อ ๆ ทางนี้เปิดเลย ตะเกียงเจ้าพายุคงจะตกฟากแม่น้ำโขง..ไปใหญ่เลย

ตกลงเสือขับเสียก่อน คณะที่มานั้นยังไม่ได้มาขับหลวงปู่ตื้อหรอก ถูกเสือขับเสียก่อนแล้ว เผ่นใหญ่เลย ไปใหญ่เลย แตกทั้งญาติทั้งโยมทั้งพระ แตกไปด้วยกัน ฮือ ๆ เลย เสือมันคำรามใส่ มันยังไม่ทำอะไรหรอก มันก็เหมือนกับหมามีเจ้าของ ก็คาถาท่านครอบไว้นี่ มันกลัว..ใจมันลง มันไม่ถือเป็นข้าศึก ถือเป็นเหมือนเจ้าของ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2012 เมื่อ 12:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #152  
เก่า 14-12-2012, 14:16
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พรรษาที่ ๑๒-๑๖
(พ.ศ. ๒๔๘๘-๒๔๙๒) จำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองฝือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

ข้อวัตรปฏิบัติ ณ วัดป่าบ้านหนองฝือ

ในช่วงจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนองฝือ หลวงปู่มั่นพักอยู่ด้วยความผาสุก พระธุดงค์ที่ไปอาศัยร่มเงาท่านก็ปรากฏว่าได้กำลังจิตใจกันมาก แม้จะมีจำนวน ๒๐-๓๐ องค์ในพรรษา ต่างก็ตั้งใจปฏิบัติต่อหน้าที่ของตน ๆ ไม่มีเรื่องราวให้ท่านหนักใจ มีความสามัคคีกลมกลืนกันดีมากราวกับอวัยวะเดียวกัน

ยามเช้าเมื่อฉันจังหันเสร็จแล้ว ต่างองค์ต่างก็เข้าหาทางจงกรมในป่ากว้าง ๆ ติดกับวัด ทำความเพียรเดินจงกรมนั่งสมาธิตามอัธยาศัย จวนบ่าย ๔ โมงถึงเวลาปัดกวาดลานวัด ต่างก็ทยอยกันออกมาจากที่ทำความเพียรของตน ๆ พร้อมกัน ปัดกวาดลานวัดเสร็จแล้วจึงขนน้ำขึ้นใส่ตุ่มใส่ไหน้ำฉัน น้ำล้างเท้า ล้างบาตรและสรงน้ำ หลังจากนั้นต่างก็เข้าหาทางจงกรมทำความเพียรตามเคย

ถ้าไม่มีการประชุมอบรม ก็ทำความเพียรต่อไปตามอัธยาศัยจนกว่าจะถึงเวลาพักผ่อน ปกติ ๗ วันท่านจัดให้มีการประชุมครั้งหนึ่ง หากมีผู้ประสงค์จะศึกษาธรรมเป็นพิเศษ หรือถามปัญหาธรรมกับท่านก็ไม่ต้องรอจนถึงวันประชุม สามารถหาโอกาสที่ท่านว่าง เช่น ตอนหลังจังหัน ตอนบ่าย ๆ ตอนราว ๕ โมงเย็น หรือกลางคืนราว ๒ ทุ่มก็ได้

เวลาท่านสนทนาหรือแก้ปัญหาธรรมกัน รู้สึกน่าฟังมาก เป็นปัญหาเกี่ยวกับธรรมภายในบ้าง เกี่ยวกับสิ่งภายนอก เช่น พวกกายทิพย์บ้าง ฟังแล้วทำให้เพลิดเพลินอยู่ภายใน ไม่อยากให้จบสิ้นลงง่าย ๆ ทั้งเป็นคติทั้งเป็นอุบายแก้ใจในขณะนั้น เพราะผู้มาศึกษากับท่านมีภูมิธรรมภายในเหลื่อมล้ำต่ำสูงต่างกันเป็นราย ๆ ไป และมีความรู้แปลก ๆ ตามจริตนิสัยมาเล่าถวายท่าน จึงทำให้เกิดความรื่นเริงใจไปกับปัญหาธรรมนั้น ๆ ไม่มีสิ้นสุด
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #153  
เก่า 17-12-2012, 12:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เวลามีโอกาส ท่านก็เล่านิทานที่เป็นคติให้ฟังบ้าง เล่าเรื่องความเป็นมาของท่านในชาติปัจจุบัน แต่สมัยเป็นฆราวาสจนได้บวชเป็นเณรเป็นพระให้ฟังบ้าง บางเรื่องก็น่าขบขันน่าหัวเราะ บางเรื่องก็น่าสงสารท่าน และน่าอัศจรรย์เรื่องของท่าน ซึ่งมีมากมายหลายเรื่อง

การอยู่กับครูบาอาจารย์นาน ๆ ทำให้จริตนิสัยของผู้ไปศึกษามีการเปลี่ยนแปลงไปในทางดีตามท่าน วันละเล็กวันละน้อยทั้งภายนอกภายใน จนกลมกลืนกับนิสัยท่านตามควรแก่ฐานะของตน ทั้งมีความปลอดภัยมาก มีทางเจริญมากกว่าทางเสื่อมเสีย.. ธรรมค่อยซึมซาบเข้าสู่ใจโดยลำดับ เพราะการเห็น การได้ยิน ได้ฟังอยู่เสมอ ความสำรวมระวัง อันเป็นทางส่งเสริมสติปัญญาให้มีกำลังก็มากกว่าปกติ เพราะความเกรงกลัวท่านเป็นสาเหตุไม่ให้นอนใจ ต้องระวังกายระวังใจอยู่รอบด้าน

สัลเลขธรรม ๑๐ ประการ เป็นหลักธรรมที่หลวงปู่มั่นถือเป็นเครื่องดำเนินขัดเกลาซักฟอกกิเลสตลอดมา ดังนี้

“...อัปปิจฉตา (ความมักน้อยในปัจจัย ๔) ใครจะไปมักน้อยยิ่งกว่าพ่อแม่ครูจารย์มั่นของเรา คิดดูตั้งแต่หนุ่มน้อยจนกระทั่งเฒ่าแก่ ท่านมีสมบัติอะไรติดเนื้อติดองค์ของท่าน... ไม่ปรากฏ ไปที่ไหนท่านไปอย่างง่ายดาย มีเฉพาะบริขาร ๘ เท่านั้น


สันตุฏฐิตา (ยินดีในปัจจัย ๔ ตามมีตามเกิด) ไม่มีคำว่า “พะรุงพะรัง” มีสมบัตินั้น มีสมบัตินี้ไม่ปรากฏ มีเท่าไรก็แจกจ่ายไปหมด ที่อยู่ก็เป็นกระต๊อบกระแต๊บอยู่อย่างนั้น ไม่หรูหราอย่างกุฏิที่ท่านพักอยู่บ้านหนองเผือนาในนี้ ก็ว่ากุฏิพอประมาณ

เรื่องที่ว่าอยู่ในที่วิเวกหรือ วิเวกตา (ชอบสงบวิเวก) มีแต่ความสงัดทั้งวันทั้งคืน ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่มีอะไรมายุ่งมาเกี่ยว

วิริยารัมภา การแนะนำสั่งสอนเพื่อความพากความเพียรนี้ ท่านเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ไม่ได้พูดเรื่องอื่นนอกจากความเพียร องค์ท่านเองถึงเวลาท่านก็ลงเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาตามกำหนดกฎเกณฑ์ ตามเวล่ำเวลา ไม่เคลื่อนคลาดเลย

อสังสัคคณิกา (ไม่คลุกคลี) นี้ก็ไม่เคยปรากฏว่าใครไปยุ่งท่านได้ แม้แต่ประชาชนญาติโยมไปหาชั่วกาลชั่วเวลานี้ ท่านยังไม่อยากจะต้อนรับด้วยซ้ำ กับพระกับเณรเหล่านี้เหมือนกัน ให้ไปหาภาวนา มีแต่ไล่ไปภาวนา อย่ามายุ่งกันในเวลาไม่ควรยุ่ง เพราะฉะนั้น เวลาพระเณรขึ้นไปหาท่านจึงไปเพียงไม่กี่องค์ในเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งควรจะขึ้นไปหาท่าน

ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติหลุดพ้นใครเป็นผู้ทรงไว้ ก็ท่านทั้งนั้นเป็นผู้ทรงไว้ นี่รวมแล้วก็เป็นสัลเลขธรรม ๑๐ ประการ เป็นแนวทางที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว ดังที่ท่านกล่าวว่า สมาธิ ปัญญา ก็เป็นแต่ละข้อ ๆ ของสัลเลขธรรม แล้วก็วิมุตติญาณทัสสนะก็เป็น ๑๐ สุดยอดแห่งธรรมแล้ว...

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2012 เมื่อ 20:02
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #154  
เก่า 18-12-2012, 11:34
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ญาณหยั่งทราบของหลวงปู่มั่น

ในระยะที่อยู่ศึกษากับหลวงปู่มั่นนั้น ท่านคอยสังเกตดูทุกแง่ทุกมุมของหลวงปู่มั่น และเห็นว่าไม่เหมือนครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ ที่ท่านเคยประสบมา สำหรับหลวงปู่มั่นนั้น ไม่ว่าท่านแสดงสิ่งใดออกมา ย่อมสามารถเอาเป็นคติธรรมได้ทั้งนั้น ดังนี้

“...ดูทุกแง่ทุกมุม เราดูจริง ๆ นะ เพราะเราตั้งใจไปศึกษากับท่านจริง ๆ ... บางทีท่านก็พูดมีทีเล่นทีจริงเหมือนกัน กับเราในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ ก็พ่อกับลูกนี่แหละ แต่เรามันไม่ได้ว่าทีเล่นทีจริงนี่นะ มันเอาเป็นจริงทั้งนั้นเลย


ท่านจะพูดแง่ไหน ท่านมีคติธรรมออกมาทุกแง่นะ ถึงแม้จะเป็นข้อตลกนี่ ท่านก็มีคติธรรมออกมา มีธรรมแทรกออกมา ไม่ได้เป็นแบบโลกนะ...

พูดถึงเรื่องความเลิศเลอที่สุดภายในหัวใจก็ดี ภายนอกก็ดี การประพฤติปฏิบัติของท่านก็ดี รู้สึกว่าที่เราผ่านครูบาอาจารย์มานี้ ไม่มีใครเหมือน ท่านพร้อมทุกอย่าง

ยิ่งท่านเทศน์ถึงเรื่องเทวบุตรเทวดาแล้ว โอ๊ย... ฟังแล้ว เราพูดจริง ๆ นะ เราเป็นจริง ๆ นี่นะ ฟังแล้วน้ำตาร่วงเลยนะ พวกเทพพวกเทวดามาเยี่ยมท่าน มาฟังเทศน์ท่าน แต่ท่านจะพูดในเวลาเฉพาะนะ ท่านไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้านะ นั่นแหละ เห็นไหม..จอมปราชญ์

ท่านรู้หนักรู้เบา รู้ในรู้นอกนะ รู้ควรไม่ควร เวลามีโอกาสอันดีงามอยู่เพียง ๒ - ๓ องค์ คุยกันแล้วก็เสาะนั้นเสาะนี้.. อยากรู้อยากเห็น ท่านก็ค่อยเปิดออกมา ๆ ทางนี้ก็ค่อยสอดค่อยแทรกเข้าไป ครั้งนั้นบ้าง ครั้งนี้บ้าง หลายครั้งต่อหลายหน....”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-12-2012 เมื่อ 16:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #155  
เก่า 19-12-2012, 10:42
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านกล่าวถึงญาณหยั่งทราบของหลวงปู่มั่นเกี่ยวกับเทวบุตรเทวดาว่า

“...เรื่องเทวบุตร เทวดา อินทร์ พรหม ที่มาเยี่ยมท่าน ท่านบอกว่า
มาอยู่ที่สกลนครนี้ พวกเทวดามาเกี่ยวข้องน้อยมาก จะมาเป็นเวลา คือมาในวันเข้าพรรษา วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันออกพรรษา นอกนั้นเทวดาไม่ค่อยมากัน’ หมายถึงเทวดาชั้นสูงนะ ‘พวกสวรรค์ พวกภูมิเทวดามาห่าง ๆ เหมือนกันนะ’


ส่วนไปอยู่เชียงใหม่ โห... ต้อนรับแทบทุกวัน ท่านว่า ‘ยังงั้น’ ไม่มีเวลาว่างเลย เทวดาชั้นนั้น ๆ ที่มาเป็นชั้น เป็นชั้น ๆ มาเป็นลำดับลำดา... พวกเทวดา เช่น ดาวดึงส์นี้มา.. การแต่งเนื้อแต่งตัวนี้มีลักษณะไหน รูปร่างนี้จะหยาบไป อย่างนี้.. ความละเอียดนะ ละเอียด เรื่องของเทพนั้นละเอียด แต่เมื่อเทียบกับเทพทั้งหลายแล้วจะละเอียดต่างกัน .. ‘เป็นชั้น ๆ ๆ ๆ’ ขึ้นไป...

นั่นละ เห็นไหม ญาณหยั่งทราบ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-12-2012 เมื่อ 15:56
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #156  
เก่า 20-12-2012, 10:35
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ความรู้ของหลวงปู่มั่น เกี่ยวกับการแสดงความเคารพระหว่างพระพุทธเจ้ากับบรรดาพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย ท่านกล่าวไว้อย่างน่าอัศจรรย์ ดังนี้

“...บรรดาพระอรหันต์ขีณาสพทั้งหลาย นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาเสมอกันด้วยความบริสุทธิ์ ดังที่ท่านพระอาจารย์มั่นแสดงเรื่องนิมิตว่า
‘พระพุทธเจ้าในครั้งพุทธกาล ท่านเคารพกันอย่างไร ?’


ปรากฏในนิมิตบอกว่า ‘บรรดาพระสงฆ์สาวกทั้งหลายหลั่งไหลมา พระพุทธเจ้าก็เสด็จมา ใครมาถึงก่อนนั่งก่อนเป็นลำดับ ๆ ตามที่มาถึงก่อนถึงทีหลัง ไม่ได้คำนึงถึงอาวุโสกัน พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็ประทับอยู่ทางท้ายสงฆ์โน้น’

ท่านอาจารย์มั่นเกิดปริวิตกขึ้นมาว่า ‘เพราะเหตุไร จึงเป็นอย่างนั้น ? ความเคารพกันครั้งพุทธกาลเป็นอย่างนี้หรือ ?’

ก็รู้ขึ้นมาทันทีว่า ‘นี้คือวิสุทธิธรรม เสมอกันอย่างนี้ ไม่ว่าใครมาก่อนมาหลัง นั่งตามลำดับที่มา คือเป็นความเสมอภาคไม่ว่าผู้น้อยผู้ใหญ่ อาวุโส ภัณเต เพราะความบริสุทธิ์เสมอกัน’

ท่านพระอาจารย์มั่นปริวิตกว่า ‘ถ้าเคารพตามสมมุติแล้ว ความเคารพกันของท่านเป็นอย่างไรหนอ ?’

‘ท่านพลิกพรึบเดียวเท่านั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ตรงหน้า แล้วบรรดาสาวกเรียงตามลำดับลำดา นี่คือการเคารพกันโดยทางสมมุติ ความเคารพในทางสมมุติเป็นอย่างนี้ นี่ตามอาวุโส ภัณเต อย่างนี้ ท่านแยกทั้งวิมุตติทั้งสมมุติ ให้เห็นอย่างชัดเจน

การเคารพกัน.. ก็ไม่มีอะไรจะนิ่มนวลยิ่งกว่าท่านผู้สิ้นกิเลสเคารพกัน ไม่เป็นพิธีรีตอง ไม่เป็นอะไรเล่ห์ ๆ เหลี่ยม ๆ เหมือนกับคนที่มีกิเลสทำต่อกัน ท่านเคารพกันอย่างถึงใจ เคารพคุณธรรม เคารพความจริง การเคารพความจริงด้วยความจริงภายในใจนี้ ท่านจึงทำได้สนิท

ส่วนปุถุชนจำพวกชนดะ เวลาแสดงออกทางมารยาทนั้นดูสวยงาม แต่งามในลักษณะตกแต่ง ไม่ใช่ตัวจริง.. ออกมาจากของจริงคือธรรมแท้ แต่ภายในมันแข็งทื่อ.. ไม่เหมาะสมกันกับอาการภายนอกที่อ่อนโยนในการแสดงออก

ฉะนั้น โลกจึงลุ่ม ๆ ดอน ๆ สูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่สม่ำเสมอเหมือนกับความจริงที่เป็นออกมาจากความจริงแท้...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2012 เมื่อ 02:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #157  
เก่า 21-12-2012, 11:39
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านกล่าวถึงบทธรรมที่หลวงปู่มั่นเคยเทศน์ในท่ามกลางสานุศิษย์บ่อยครั้ง ดังนี้

“...ธรรมของพระพุทธเจ้าแม้จะเป็นของจริง แต่เมื่อสิงสถิตอยู่กับปุถุชน ธรรมนั้นก็กลายเป็นธรรมปลอม ครั้นสิงสถิตอยู่กับพระอริยเจ้าจึงเป็นของจริงตามส่วนแห่งธรรมและภูมิของผู้บรรลุ


คนที่รู้จักธรรมพองู ๆ ปลา ๆ กับคนที่ไม่รู้จักธรรมเสียเลย คนเหล่านี้จะไม่สามารถรู้ธรรมว่าเป็นของจริงหรือปลอมได้เลย

แต่คนที่รู้จักธรรมแท้ พร้อมทั้งที่เกิดขึ้นแห่งธรรม และที่ดับแห่งธรรมโดยความรอบคอบด้วยปัญญา และพร้อมทั้งความไม่ถือมั่นในธรรม ผู้นี้เองจะสามารถรู้จักธรรมที่แท้จริงหรือธรรมปลอม ในเมื่อธรรมสิงสถิตอยู่กับบุคคลนั้น ๆ ได้อย่างชัดเจน”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-12-2012 เมื่อ 14:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #158  
เก่า 24-12-2012, 11:29
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงปู่หลุยเด่นทางมักน้อย

องค์หลวงตาได้กล่าวถึงหลวงปู่หลุย จนฺทสาโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่องค์หนึ่งของหลวงปู่มั่น และมีโอกาสได้จำพรรษาร่วมกัน ๑ พรรษา ที่วัดป่าบ้านหนองผือในปีแรก ดังนี้

“...ไปหาสิ บรรดาลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเรา องค์ไหนจะเหมือนท่านอาจารย์หลุยไม่มี เรายกให้เลยเรื่องมักน้อย จนกระทั่งย่ามขาดหมดทั้งข้างนอกข้างใน มันมีสองชั้น เราไปจับย่าม.. ท่านขึ้นทันทีเลย


‘จับทำไม ? มันยังดีอยู่’

มันจะดีอะไร เราไม่ใช่คนตาบอด ดู.. มันดีอยู่ข้างใน คือชั้นในดีอยู่ ท่านพูดของท่านก็ถูก ไอ้เราไปจับก็ถูก ก็เราดู.. มันดูไม่ได้ ดูข้างนอก อย่างนั้นละ ที่ท่านใช้ ...

ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีคำว่าสดสวยงดงามอะไรเลย ผ้าก็เอาจีวรเก่า ๆ มาอย่าง ‘งั้นละ’ ท่านมักน้อยมาก ในบรรดาลูกศิษย์พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นเรานี้ ท่านอาจารย์หลุยเป็นที่หนึ่ง ความมักน้อยนะ ... เป็นพระที่ปรารถนาน้อยที่สุด ...

แต่กับเรานี่ก็คุ้นกันมาก อันนี้ก็แบบเดียวกัน ขบขันจะตายไป เราเดินจงกรมอยู่ในป่าลึก ๆ หนองผือ ท่านไปหาเรา ไปหาที่กุฏิไม่เจอ ถามพระว่า ‘ท่านมหาไปไหน ?’

‘ท่านเดินจงกรมอยู่ในป่า ทางเข้าไปนี่.. ในป่า’ ท่านก็ไปเลย ไปหาเรา นี่ละมันขบขันที่ว่า ท่านสนิทกับเรามากนะ พอเข้าไปเสียงกุบกับ ๆ กลางคืน ก็ไม่มีไฟนี่ เดินไปก็โดนนั่นโดนนี่ไป เสียงกุบกับ ๆ เราก็เดินจงกรมไม่มีไฟอีกนั่นแหละ เราก็ดี พอไปก็ประมาณต้นเสานี่ละ กุบกับ ๆ เข้าไป เราวิตกถึงพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนะ เอ๊.. พ่อแม่ครูอาจารย์เป็นอะไร ‘น้า’ มีใครมาหาเราละนี่ เกี่ยวกับท่านแน่ ๆ ...

จูงไม่ถอยนะ นั่น.. จูงมาเรื่อย บุกออกมาจากป่า มืด ๆ นะ จนกระทั่งมาถึงที่โล่งแจ้งถึงปล่อยมือ แล้วก็เดินไปด้วยกัน ... พอไปถึง เราก็เลยถาม ‘ใครมานี่ ?’

‘ผมเอง’ ท่านว่า ท่านก็รู้ทิศทางของเราว่าอยู่ตรงไหน เข้าใจไหม กุบกับ ๆ เข้ามา ... มาก็คว้าแขนเรา จูงเลย ดึงจากนั้นมา

‘เอ้า..จะเอาไปไหนอีก ?’

‘ไปหาท่านอาจารย์ละซี’

‘ไปหาอะไร ?’

‘ไปฟังเทศน์’

‘อ้าว.. เมื่อคืนนี้ผมก็ไป ทำไมท่านอาจารย์ไม่ไป’ เราว่า

ก็นั่นนะซิขึ้นเลย ‘ถ้าไปแต่ผมไม่ได้ โอ๊ย.. ถูกไล่ลง’ เราไปท่านไม่ว่าอะไร ก็นิสัยต่างกัน นั่น..ท่านเมตตาแบบหนึ่งนะ ท่านอาจารย์หลุยขึ้นไปนี่

‘มาทำอะไร..หลุย ?’ ขึ้นเลยนะ... ไล่ บางทีก็ไล่ลงไป ‘ไปนะ’ ไล่

นี่คือเมตตาแบบหนึ่ง เข้าใจไหม ใช้ต่อลูกศิษย์ นี่คนละแบบ ๆ ไม่ซ้ำกันนะ กับท่านอาจารย์หลุยนี้แบบนี้ กับท่านอาจารย์หลุยท่านใช้เมตตาแบบนั้น กับลูกศิษย์คนนี้ใช้เมตตาแบบนี้ ไม่ได้ซ้ำกันนะ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่น

เรื่องความมักน้อยนี่ยกให้ท่านอาจารย์หลุย ไม่มีใครสู้ มีอะไร ๆก็ไม่เอา ใช้ของใหม่ ๆ ไม่ใช้ ใช้แต่ของเก่า ๆ ทั้งนั้นละ นี่.. อัฐิของท่านก็กลายเป็นพระธาตุแล้ว พูดถึงเรื่องความสนิทกัน ท่านสนิทมากกับเรา นิสัยชอบพูดเล่น ไม่ถือเนื้อถือตัว การถือเนื้อถือตัวไม่มี...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-12-2012 เมื่อ 17:46
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #159  
เก่า 26-12-2012, 12:56
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ลวดลายพุทธภูมิหลวงปู่มั่น

ในช่วงที่อยู่ศึกษากับหลวงปู่มั่น ท่านมีโอกาสได้สอบถามเกี่ยวกับสีผ้าของพระในครั้งพุทธกาล ตลอดถึงความรู้อัศจรรย์ของหลวงปู่มั่น ดังนี้

“...เรื่องหลวงปู่มั่นที่เราเรียนถามท่าน เวลาท่านพิจารณา นั่นเห็นไหม ท่านพิจารณาตลอดสีผ้า เราอยากทราบก็ซอกแซก ท่านบอกว่า
สีผ้ามีอยู่ ๓ ขั้น สีแก่นขนุนอ่อน สีแก่นขนุนปานกลาง สีแก่นขนุนแก่


ทีนี้ก็มีช่องที่จะถาม ‘แล้วสีเหลืองอย่างธรรมดาที่พระใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีไหม

ท่านบอก ‘ไม่มี ไอ้สีเจ้าชู้ สีขุนนาง มันจะมีในพระพุทธเจ้าได้ 'ยังไง’

ใส่เด็ดมากเลยนะ พิจารณา ๆ แล้วมีอยู่ ๓ แก่นขนุนสีอ่อน สีกลาง สีแก่ ท่านว่าอย่างนั้น ท่านใช้นี้รู้สึกจะเป็นกลาง ๆ นะ สีที่ท่านครองเป็นสีกลาง สีอ่อนก็มีบ้างเป็นบางระยะ ผ้าที่ย้อมใหม่ก็เป็นสีแก่นขนุนอ่อนอยู่บ้าง จากนั้นที่ท่านใช้เป็นประจำก็สีกลางหรือแก่ มีอยู่สาม ท่านบอกเวลาที่ท่านพิจารณาดูถึงเรื่องอดีต โห...น่าอัศจรรย์นะ เห็นไหมล่ะ ความรู้ของท่าน เพราะแต่ก่อนท่านปรารถนาพุทธภูมิ ท่านพูดเองจึงชัดเจนซิ

เพราะฉะนั้น ลวดลายของพุทธภูมิหรือของศาสดาจึงมี ถึงไม่มีเต็มที่ก็มีปรารถนาพุทธภูมิ เวลาภาวนาไปเท่าไรจิตมันก็ยิ่งเข้มข้นเข้า จะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร.. เรื่องโพธิสัตว์ โพธิญาณจะแย็บเข้ามาเลยทุกครั้ง ท่าน ‘ว่างั้น’ นะ ทุกครั้งพอจะเข้าด้ายเข้าเข็ม คือเวลาจะพุ่งสายโพธิญาณโพธิสัตว์ผ่านเข้ามาเลยถอย เพราะผ่านเข้ามาก็เป็นสมบัติของตัวเอง ท่านว่าสายโพธิสัตว์ก็คือเรื่องของท่านเอง ผ่านเข้ามา ท่านก็ถอย ท่าน ‘ว่างั้น’

ทีนี้ความอยากพ้นจากทุกข์ก็หนักเข้าเป็นลำดับ เลยมาประมวล ท่านว่า ‘งี้นะ’ เรื่องเป็นพระพุทธเจ้าก็เลิศเลอ ปรารถนามา ก็ปรารถนาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนสัตว์โลกได้มากเต็มภูมิของศาสดาแต่ละพระองค์ ๆ เวลาท่านจะออกนะ แต่ความบริสุทธิ์หลุดพ้นจากทุกข์นั้นเสมอกัน ท่านว่า ‘งี้นะ’

‘เออ...เอาละ ทีนี้ถอยนะ แนะนำสั่งสอนใครไม่ได้ ก็สั่งสอนเจ้าของให้หลุดพ้นจากทุกข์นี้ก็พอแล้ว’


ท่านว่า ‘งั้น’ เลยตั้งเป็นคำสัตย์ขอหยุด ขอพัก ของดเลย เรื่องสายโพธิสัตว์โพธิญาณ จะมุ่งเฉพาะสาวกภูมิ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์โดยถ่ายเดียวเท่านั้น แล้วก็ปลงใจลง ปลงใจลงในสาวกภูมิ จากนั้นมาจิตมันก็พุ่ง ๆ เลยเชียว ท่านบอกว่า แต่ก่อนพอจะเข้าด้ายเข้าเข็มทีไร สายพุทธภูมิก็ผ่านเข้ามา ผ่านเข้ามาอยู่อย่างนั้น

ท่านประมวลทุกอย่างแล้วมาลงในสายสาวกภูมิ คือความหลุดพ้นจากทุกข์ เป็นจิตที่บริสุทธิ์เสมอกันหมด ไม่ว่าพระพุทธเจ้า สาวก ท่านเลยเอาจุดนี้ เออ...เอาอันนี้แหละ จากนั้นมาจิตมันก็พุ่งเลย ท่านว่า อันนี้หมายความว่า ท่านยังไม่ได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดองค์หนึ่งนะ ... เลยผ่านออกได้ ...

ถ้าลงพระพุทธเจ้าได้ทรงทำนายแล้วว่า ต่อจากนี้ไปเท่านั้น ๆ ท่านจะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่าอย่างนั้น สาวกข้างขวาว่านั้น สาวกข้างซ้ายว่าอย่างนี้แล้วเท่านั้น จะแก้ ‘ยังไง’ ก็ไม่ตก ถ้าลงพระพุทธเจ้าทรงทำนาย ... ถ้าเข้าเขตพยากรณ์แล้ว ‘ยังไง’ ก็มีแต่ไปข้างหน้า แก้ไม่ตก นี่เรียกว่าญาณของพระพุทธเจ้า ถ้าลงได้เล็งดูจุดไหนแล้วเป็นอื่นไปไม่ได้ ต้องเป็นอย่างนั้น นี่... เช่นอย่างได้รับพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าพระองค์ใดแล้ว ‘ยังไง’ ก็ต้องไปเป็นแบบนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2012 เมื่อ 16:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #160  
เก่า 02-01-2013, 14:04
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

การมาอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ ยังไม่เห็นความสำคัญในคำตักเตือนสั่งสอนอยู่แล้ว ก็เท่ากับจะเริ่มสร้างสิ่งทำลายตนขึ้นในเวลาเดียวกัน นี่แล เป็นสิ่งที่ไม่ทำให้สนิทตายใจกับหมู่คณะที่มาอาศัย ว่าจะได้สิ่งที่เป็นสาระอะไรบ้างไปเป็นหลักข้อปฏิบัติในกาลต่อไป เห็นมีแต่ความไม่สำคัญไปเลย ความจริง ธรรมที่นำมาสั่งสอนหมู่คณะทุก ๆ แขนง ได้พิจารณากลั่นกรองแล้วกลั่นกรองเล่าจนเป็นที่แน่ใจ มิได้สอนด้วยความพรวดพราด หลุดปากก็พูดออกมาทำนองนั้น แต่สอนด้วยความพิจารณาแล้วทั้งสิ้น ทั้งส่วนหยาบ ส่วนละเอียด การกำหนดทิศทางเดินจงกรมเคยได้อธิบายให้หมู่คณะฟังมาหลายครั้งแล้ว จนน่ารำคาญทั้งผู้สอนผู้ฟัง แทนที่จะพากันพิจารณาตามบ้าง พอเป็นพยานแห่งการมาศึกษา แต่ทำไมความฝ่าฝืนจึงโผล่ขึ้นมาอย่างไม่อายครูอาจารย์และใคร ๆ ที่อยู่ด้วยกันบ้าง

การพิจารณาทิศทางของความเพียร ท่าต่าง ๆ นี้ ผมเคยพิจารณามานานและทราบมานานแล้ว จึงกล้านำมาสั่งสอนหมู่คณะด้วยความแน่ใจ เมื่อเห็นความฝ่าฝืนจึงทำให้อดสลดสังเวชใจไม่ได้ว่า ต่อไปจะเห็นแต่ของปลอมเต็มวัดเต็มวา เต็มศาสนา และเต็มพระเณร เถรชี พุทธบริษัท เพราะความชอบใจ ความสะดวกใจพาให้เป็นไป มิใช่ความไตร่ตรองดูเหตุดูผลด้วยดีพาให้เป็นไป ศาสนานั้นจริง.. ไม่มีที่ต้องติ แต่ศาสนาจะถูกต้องติ เพราะผู้ปฏิบัติดึงศาสนามาเป็นเครื่องมือของกิเลสที่มีเต็มหัวใจ ผมน่ะกลัวตรงนี้เอง เพราะเห็นอยู่กับตาดังที่ว่าอยู่ขณะนี้แล...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2013 เมื่อ 17:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 3 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:10



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว