กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 16-01-2023, 20:20
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 332
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 18,249 ครั้ง ใน 805 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 17-01-2023, 00:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,148
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็น "วันครู" ซึ่งจะว่าไปแล้ว เรื่องของครูในปัจจุบันนี้ลดคุณค่าลงไปมาก เกิดจากทั้งสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป บรรดาเด็ก ๆ คิดว่าตัวเองฉลาด ไม่จำเป็นที่จะต้องมีครูก็ได้ จึงไม่ให้ความเคารพ ไม่ให้ความสำคัญต่อครูที่สั่งสอนวิชาความรู้ให้กับตัวเองประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งเกิดจากครูที่ขาดจิตสำนึกในความเป็นครูอย่างแท้จริงส่วนหนึ่ง ทำให้คุณค่าของความเป็นครูลดลง พูดง่าย ๆ ว่าทำตัวเองไม่สมกับความเป็นครู จึงทำให้คนไม่เห็นความสำคัญและลดคุณค่าของครูลงไป

ประการสุดท้าย เกิดจากนโยบายซึ่งมาจากระดับบริหารในกระทรวง ตลอดจนถึงรัฐบาล ที่ไม่สามารถจะดูแลครูให้ดีไปกว่านี้ จึงเกิดสารพันปัญหาขึ้น โดยเฉพาะปัญหาหนี้สินของครูที่กลายเป็นดินพอกหางหมูมากขึ้นทุกที ๆ จนปัจจุบันนี้หนี้สินแทบจะทับครูตายแล้ว..!

เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องการเอกสารรายงานผลงานต่าง ๆ จำนวนมากมายมหาศาล จนครูแทบจะไม่มีเวลามาเตรียมการเรียนการสอนให้ดี ปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ทับถมมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน จึงทำให้ความสำคัญของครูลดน้อยถอยลงไป

ในส่วนที่ยังให้ความสำคัญกับครูอยู่มาก ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในแวดวงของผู้ที่ศึกษาไสยเวทย์พุทธาคมต่าง ๆ ตลอดจนกระทั่งบรรดานักร้องนักแสดงทุกสาขา ท่านทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยบารมีของครูบาอาจารย์เป็นส่วนหนึ่ง ที่จะช่วยเหลือให้เกิดความสำเร็จตามที่ตนเองต้องการ

แม้กระทั่งในการปฏิบัติธรรมของพวกเรา เมื่อถึงเวลาก็มีการบูชาครู อาราธนาบารมีครูใหญ่ ก็คือพระพุทธเจ้า ตลอดจนกระทั่งพระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆเจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ซึ่งระบุไว้ชัดเจนเลย บางสาย บางสำนัก ก็มีคำภาวนาหรือว่าคาถา ซึ่งคำภาวนาหรือคาถาเหล่านั้น ส่วนใหญ่ก็ได้มาจากพรหม เทวดา หรือว่าครูบาอาจารย์ที่ทรงฤทธิ์ ทรงอภิญญา ผูกเอาไว้ อยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าใครเอ่ยหรือว่าใช้พระคาถานี้ ก็แปลว่าเป็นลูกศิษย์ หรือว่าเป็นบุคคลในสายวิชาเดียวกัน บรรดาครูบาอาจารย์ท่านก็จะส่งกำลังมาเสริมให้ สิ่งที่เราทำก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าการที่เรากระทำด้วยตนเองล้วน ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2023 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 17-01-2023, 00:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,148
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

โดยปกติแล้ว ครูคนแรกของเราคือแม่ ครูคนที่สองคือพ่อ ครูคนที่สามคือครูบาอาจารย์ที่สอนศิลปวิทยาการต่าง ๆ เพื่อให้พวกเรามีวิชาความรู้ในการเลี้ยงตัวเองและครอบครัว เมื่อกล่าวถึงคุณครู เขาถึงได้ใช้คำว่า "พระคุณที่สาม" ก็คือต่อจากแม่และพ่อมา จัดอยู่ในลำดับที่สาม

แต่ว่าเราท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งฆราวาสหญิงชายที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา เราต้องไม่ลืมว่า ครูใหญ่ที่แท้จริงของเราก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์ท่านทรงเป็นครูที่ประเสริฐที่สุด ทนความทุกข์ยากลำบากมานับชาติไม่ถ้วน เพื่อแสวงหาหนทางในการขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสาร นำเวไนยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่แดนแห่งอมตสุขคือพระนิพพาน ถ้าไม่ได้ความเสียสละอย่างยิ่งของพระองค์ท่าน เราก็จะไม่มีพระธรรม แล้วก็ไม่มีพระสงฆ์ แต่ว่าด้วยความเสียสละตนเองของพระองค์ท่าน ยอมทุกข์ยากลำบากมาเป็นกัปกัลป์อนันตชาติ จึงก่อให้เกิดพระธรรมและพระสงฆ์ขึ้นมา จนครบพระรัตนตรัย

ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรม ไม่ต้องมาก แค่เข้าถึงปฐมฌานในเบื้องต้นเท่านั้น กำลังสมาธิภาวนาที่สามารถกดกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้สงบนิ่งลงชั่วคราว ในเมื่อไฟใหญ่ ๔ กอง คือไฟโลภะ ไฟราคะ ไฟโทสะ และไฟโมหะ ซึ่งเผาเราอยู่ตลอดเวลา โดนอำนาจสมาธิกดดับลงไป เราจะมีความสุขเยือกเย็นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต

ถ้ารู้จักใช้ปัญญาพิจารณาไปว่า เราเป็นปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลส แค่เข้าถึงสมาธิเบื้องต้นยังมีความสุขขนาดนี้ บุคคลที่เข้าถึงสมาธิเบื้องกลางและเบื้องปลาย จะมีความสุขขนาดไหน ?


พระโสดาบัน ที่ปิดอบายภูมิลงอย่างสิ้นเชิง จะมีความสุขขนาดไหน ?

พระสกาทาคามี ที่สามารถระงับรักและโกรธลงได้ จนเกือบจะไม่ปรากฏมาเลย จะมีความสุขขนาดไหน ?

พระอนาคามี ที่สามารถตัด ราคะ โทสะ ได้อย่างเด็ดขาด ไม่ต้องเสียเวลาลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จะมีความสุขขนาดไหน ?

แล้วพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่พ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง จะมีความสุขขนาดไหน ?

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นจอมอรหันต์ สั่งสอนบุคคลบรรลุมรรคผลมานับไม่ถ้วน พระองค์ท่านจะมีความสุขขนาดไหน ?


เราคิดแค่นี้ก็จะเห็นคุณพระรัตนตรัยว่า มีความเลอเลิศขนาดไหน ควรแก่การเคารพบูชาขนาดไหน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2023 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 17-01-2023, 00:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,488
ได้ให้อนุโมทนา: 151,148
ได้รับอนุโมทนา 4,405,388 ครั้ง ใน 34,077 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระธรรม พระอริยสงฆ์ก็ตาม กระทำหน้าที่ในการถ่ายถอนสัตว์โลกให้หลุดจากห้วงวัฏสงสาร โดยไม่ได้หวังการเคารพกราบไหว้จากพวกเราเลย

พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญหน้าที่ในพุทธัตถจริยา คือการประพฤติปฏิบัติในความเป็นพระพุทธเจ้าว่าจะต้องกระทำอย่างไรบ้าง ญาตัตถจริยา ในความเป็นพระพุทธเจ้า จะสงเคราะห์พระญาติพระวงศ์อย่างไรบ้าง โลกัตถจริยา ในความเป็นพระพุทธเจ้า จะสร้างประโยชน์สุขแก่โลกอย่างไรบ้าง พระองค์ทำตามเจตนาปรารภตั้งแต่แรก เมื่อตั้งความปรารถนาในการบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ หลักธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าช่วยป้องกันไม่ให้เราตกสู่อบายภูมิ ไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิ หรือว่าเป็นปัญญาก็ตาม

พระอริยสงฆเจ้าทั้งหลาย เมื่อสามารถพ้นจากอบายภูมิ ตลอดจนกระทั่งพ้นการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว ก็แนะนำสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชน ดำเนินตามรอยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในฐานะอนุพุทธะ เพื่อประโยชน์แก่มหาชนเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่มหาชนเป็นจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่โลก โดยไม่ได้หวังความเคารพกราบไหว้จากพวกเราเลย แม้กระทั่งครูบาอาจารย์ที่เป็นอุบาสกอุบาสิกา ตลอดจนกระทั่งฆราวาสทั่วไป ถ้ามีความเป็นครูอย่างแท้จริง ก็ดำเนินตามรอยเดียวกันนี้

ดังนั้น..ไม่ว่าจะเป็น "นักเรียนเลว" แค่ไหนก็ตาม ไม่คิดที่จะกราบไหว้บูชาหรือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อะไรเลย ก็เท่ากับว่าท่านทั้งหลายทำตัวเองให้ตกต่ำเอง แม้ว่าจะอ้างสิทธิเสรีภาพอะไรก็ตาม ก็เป็นการอ้างในลักษณะของความฉลาดแบบเฉโก ไม่ใช่ฉลาดแบบโกวิโทหรืออว่ากุสโล

ดังนั้น..ในส่วนทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ไปใส่ใจ และคาดว่าครูบาอาจารย์ทั้งหลายก็คงไม่ได้ใส่ใจ แต่ละท่านก็ยังคงทำหน้าที่แม่พิมพ์ ในการสั่งสอนกล่อมเกลาศิษย์ แม้ว่าในปัจจุบันนี้จะเน้นหนักในเรื่องของวิชาการ ลดในด้านของคุณธรรม จริยธรรมลง แต่ก็ยังมีพระภิกษุสามเณร แม่ชี ตลอดจนกระทั่งอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ที่ทั้งสั่งสอนและทำตัวเป็นตัวอย่างแทนอยู่ได้

บุคคลที่สร้างบุญสร้างบารมีไว้ดี ย่อมได้พบกับครูบาอาจารย์ที่ดี สามารถที่จะศึกษาศีลธรรม และปฏิบัติตามจนกลายเป็นคุณงามความดีส่วนตัวที่เรียกว่า คุณธรรม เมื่อผู้คนเห็นคุณงามความดีส่วนตัวนั้นแล้วยึดถือเป็นแบบปฏิบัติตาม ถึงได้เรียกว่าจริยธรรม เรื่องพวกนี้จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับบุญบารมีที่เราสร้างสมมาแต่อดีต ที่เรียกว่า ปุพเพกตปุญญตาด้วย

ดังนั้น..ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะเห็นความสำคัญของความเป็นครูหรือว่าไม่เห็นก็ตาม ก็ขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจของแต่ละคนว่าหยาบละเอียดอย่างไร เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะบังคับกันได้ ได้แต่ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม สมดังพระบาลีที่มีมาในสังยุตตนิกาย สคาถวรรค ที่ว่า ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นใด ก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้น กลฺยาณการี กลฺยาณํ ปาปการี จ ปาปกํ บุคคลผู้ทำความดีย่อมได้รับผลดี บุคคลผู้ทำความชั่วย่อมได้รับผลชั่ว ด้วยประการฉะนี้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-01-2023 เมื่อ 03:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:40



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว