กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๕ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมกราคม ๒๕๖๕

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 25-01-2022, 09:21
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,056 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๖๕


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-01-2022, 19:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,108 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ที่ต้องมาบันทึกเสียงนอกเวลาเช่นนี้เพราะมีประเด็นร้อนเกิดขึ้นในสังคมไทยของเรา ก็คือกรณีที่ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์พุ่งชน พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือที่เรียกกันว่า หมอกระต่าย ถึงแก่ความตาย

ตรงที่เป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจมากก็คือ อันดับแรกเลย ผู้กระทำผิดกฎจราจรเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเด็นที่สองก็คือ ผู้ตายข้ามทางม้าลาย ประเด็นที่สามก็คือ ผู้ตายเป็นจักษุแพทย์ซึ่งมีอยู่แค่ไม่กี่ท่านในประเทศไทยเท่านั้น ต้องบอกว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรสำคัญทางการแพทย์ไปอย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง แต่ตรงประเด็นนี้จะไม่ขอกล่าวถึง

มากล่าวถึงตรงประเด็นร้อนที่ว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ ได้ไปขออุปสมบท คือบวชเป็นพระเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับหมอกระต่ายผู้ล่วงลับ อยู่ในลักษณะที่ว่าบวชไถ่โทษ คราวนี้ที่เป็นกระแสขึ้นมาเพราะว่ามีญาติโยมจำนวนมากวิพากษ์วิจารณ์กันว่า การบวชให้ผู้ต้องหาคดีอาญานั้น พระอุปัชฌาย์ทำผิด ต้องถูกถอดถอน พูดง่าย ๆ ก็คือ โดนปลดออก ถอดออกจากการเป็นพระอุปัชฌาย์ไปเลย..!

ประเด็นนี้ถ้าท่านทั้งหลายที่ไม่เข้าใจถึงความชัดเจนก็อาจจะใส่อารมณ์ตามไป และก็อาจจะเกิดการวิพากษ์วิจารณ์ ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้างในพระพุทธศาสนา
ในทำนองที่ว่าเป็นพระแล้วยังไม่รู้จักพินิจพิจารณา ไปบวชให้ผู้ต้องหาหรือนักโทษ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-01-2022 เมื่อ 16:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 25-01-2022, 19:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,108 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตรงนี้ถ้าจะกล่าวไปแล้ว เราต้องไปพิจารณากฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๑๗ พุทธศักราช ๒๕๓๖ เกี่ยวกับการแต่งตั้งถอดถอนพระอุปัชฌาย์ ซึ่งมีระบุในหมวดที่ ๓ หน้าที่ของพระอุปัชฌาย์ ข้อที่ ๑๔ ระบุไว้ว่า พระอุปัชฌาย์ต้องงดเว้นการให้อุปัชฌาย์อุปสมบทต่อบุคคลต้องห้ามเหล่านี้ คือ

๑. คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน
๒. คนหลบหนีราชการ
๓. คนต้องหาในคดีอาญา
๔. คนเคยถูกตัดสินจำคุกในฐานเป็นผู้ร้ายสำคัญ
๕. คนต้องห้ามอุปสมบทเด็ดขาดทางพระพุทธศาสนา
๖. คนมีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย อย่างปัจจุบันนี้ก็น่าจะประมาณว่าติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙
๗. คนมีอวัยวะพิการ จนไม่สามารถที่จะปฏิบัติกิจทางพระพุทธศาสนาได้

ทั้ง ๗ ข้อนี้ในส่วนของ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก จะเข้าเกณฑ์อยู่สองข้อ ก็คือ ข้อ ๑ คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดิน ข้อที่ ๓ คนต้องหาในคดีอาญา

คนทำความผิดหลบหนีอาญาแผ่นดินในสมัยก่อนนั้น ถ้ามาบวชเขาถือว่ายกเลิกความผิดทุกอย่างไปโดยปริยาย เราจะเห็นว่าสมัยก่อนมีบรรดาเสือร้าย ๆ มาบวช จนกระทั่งกลายเป็นหลวงปู่หลวงพ่อชื่อดังหลายรูปด้วยกัน ยกตัวอย่างชัด ๆ คือ เสือบุญ เสือบุญบวชจนกระทั่งได้เป็นรองสมเด็จพระราชาคณะหิรัญบัตร ไปสืบหาเอาเองละกันว่าเสือบุญอยู่วัดไหน และเป็นรองสมเด็จพระราชาคณะในสมณศักดิ์ว่าอะไร

คนที่สองก็คือ เสือหรุ่น คนจะรู้จักเสือหรุ่น ๙ ยอด เจ้าของรอยสัก ๙ ยอด ซึ่งเหนียวสะเด็ดยาด ลูกศิษย์เป็นพันเป็นหมื่น

นี่คือผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญา แต่พอบวชมาแล้วทางราชการถือว่าให้อภัยโทษ ในลักษณะของผู้ร้ายกลับใจ โดยเอาตัวอย่างจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้องคุลิมาล ซึ่งองคุลิมาลนั้นฆ่าคนมาเกินพัน เป็นผู้ร้ายสำคัญหลบหนีคดีอาญา แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสถามแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า "ถ้าหากองคุลิมาลเลิกจากการฆ่าคน หันมานุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ประพฤติปฏิบัติตามแบบของพระภิกษุสงฆ์ มีพระธรรมวินัยนี้เป็นที่ยึดถือ มหาบพิตรจะมีความเห็นว่าอย่างไร ?"

พระเจ้าปเสนทิโกศลทูลตอบว่า "ถ้าทำได้อย่างนั้น โยมก็ขออนุโมทนา และจะอุปถัมภ์ค้ำชูด้วยปัจจัยสี่ตามสมควรแก่สมณสารูป" เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-01-2022 เมื่อ 16:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 25-01-2022, 20:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,108 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยก่อนนั้นคำพูดของพระราชาคือกฎหมาย ก็แปลว่าพระองค์ท่านอภัยโทษให้กับผู้ร้ายสำคัญที่ขนาดฆ่าคนมาเป็นพัน ถ้าเข้ามาบวชปฏิบัติธรรม อยู่ในกรอบของพระธรรมวินัยได้ ท่านก็ให้อภัยพร้อมที่จะทะนุบำรุงด้วยปัจจัยสี่

ตรงนี้เราต้องเข้าใจว่า ผู้ร้ายที่ทำความผิดหลบหนีคดีอาญา ส.ต.ต.นรวิชญ์ ไม่ได้หลบหนีคดี ข่าวคราวไปทั่วประเทศไทย พระอุปัชฌาย์อาจารย์ทุกรูปต้องรู้ว่าบุคคลนี้ขับรถผิดกฎจราจร ชนหมอกระต่ายจนถึงแก่ความตาย ในเมื่อไม่ได้หลบหนีคดีอาญา จะจัดอยู่ในประเด็นข้อที่ ๑ ไม่ได้

ข้อที่ ๓ เป็นคนต้องหาในคดีอาญา ตรงนี้มีความชัดเจน ว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก เป็นคนต้องหาในคดีอาญา เพียงแต่ว่าคนต้องหาในคดีอาญานี้ศาลยังไม่ได้ตัดสินความผิด ยังไม่ใช่ผู้ร้าย เป็นผู้ต้องหา แม้กระทั่งทางผู้บังคับบัญชายังให้ปล่อยตัวโดยไม่มีประกัน เพราะเชื่อในเกียรติของความเป็นตำรวจว่าจะไม่หลบหนีคดีนี้

ประการที่สำคัญคือ ไปบวชเพราะสำนึกผิด รู้ว่าตนเองทำผิด ตั้งใจที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายในลักษณะขออโหสิกรรม ซึ่งในลักษณะนี้ต้องเป็นหน้าที่ของพระอุปัชฌาย์พิจารณาดูว่า สมควรที่จะให้การบรรพชาอุปสมบทหรือไม่ ?

คำว่า อุปัชฌาย์นั้น ความหมายหนึ่งแปลว่า ผู้เพ่งดู ก็คือดูว่าบุคคลนี้สมควรที่จะบรรพชาอุปสมบทหรือไม่ ? ดูว่าสังฆกรรมในการบรรพชาอุปสมบทนั้นถูกต้องหรือไม่ ? ก็คือจะต้อง
ไม่เป็นปริสวิบัติ ไม่เป็นกรรมวาจาวิบัติไม่เป็นอักขรวิบัติ เหล่านี้เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-01-2022 เมื่อ 16:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 25-01-2022, 20:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,108 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อพระอุปัชฌาย์พิจารณาดูแล้วว่า ส.ต.ต.นรวิชญ์ ไม่ได้มีเจตนาหลบหนีคดีอาญา ทุกคนรู้กันหมดเพราะประกาศออกสื่อชัดเจนว่า จะบวชเพื่อขออโหสิกรรมกับหมอกระต่าย พระอุปัชฌาย์ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการให้บรรพชาอุปสมบท พิจารณาดูแล้วเห็นว่าสมควร ก็ทำการบรรพชาอุปสมบทให้

ถ้าจะว่าไปแล้วตรงจุดนี้เป็นข้อละเอียดอ่อน ถ้าพระอุปัชฌาย์ส่วนใหญ่รู้ ก็คงจะไม่เสี่ยงที่จะทำให้ตนเองเดือดร้อน นอกจากพิจารณาอย่างชัดเจนแล้วว่า อันดับแรกเลย ไม่ได้มีเจตนาหลบหนีคดีอาญา อันดับที่สอง เมื่อถึงเวลาสึกหาลาเพศออกมาแล้วก็พร้อมที่จะไปสู้คดี หรือไปชดใช้ตามแต่ศาลจะมีคำสั่งให้ทำ

การลงโทษพระอุปัชฌาย์นั้น มีทั้งถอดถอน ระงับการปฏิบัติหน้าที่ (ไม่เกิน ๒ ปี) ให้เข้ารับการอบรมใหม่ ภาคทัณฑ์ และตำหนิโทษ

ดังนั้น...ตรงจุดนี้ถ้าเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงพิจารณาแล้ว โทษของพระอุปัชฌาย์ครั้งนี้ อย่างหนักที่สุดก็คงจะอยู่ที่การตำหนิโทษ คำว่าตำหนิโทษก็คือ ต่อไปคุณต้องพิจารณาให้ดีกว่านี้ เพราะว่าคดีนี้เป็นที่สนใจของคนทั้งประเทศ แม้คุณจะเห็นสมควรให้การบรรพชาอุปสมบท แต่ก็ต้องระมัดระวังกระแสสังคมไว้ด้วย เหล่านี้เป็นต้น

ตรงจุดนี้จะว่าไปแล้ว บรรดาเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ ทุกเสียงนั้น อันดับแรกก็คือ ขาดความชัดเจน เพราะไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ คือไม่รู้กฎเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าพระอุปัชฌาย์นั้นทำอะไรได้หรือทำอะไรไม่ได้ และในขณะเดียวกัน เมื่อขาดความชัดเจนแล้ว ก็ใช้อคติส่วนตัวในการตัดสินไปแล้วว่า สิ่งที่พระอุปัชฌาย์ทำนี้ผิด ทั้ง ๆ ที่เป็นการอุปสมบทบุคคลที่ตั้งใจจะขออโหสิกรรมต่อผู้ตาย ซึ่งจะว่าไปแล้ว ใจคอท่านจะคับแคบเกินไปไหม ? ว่าเมื่อบุคคลหนึ่งรู้สึกสำนึกในความผิดที่ตนเองทำแล้ว พยายามที่จะแก้ไขให้ดีที่สุด ถึงขนาดยอมตนเข้าไปบวช ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2022 เมื่อ 21:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 25-01-2022, 21:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,108 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ใครที่บอกว่าบวชแล้วสบาย เป็นการกล่าวในลักษณะ "ตีหัวเข้าบ้าน" ถ้าบวชแล้วสบาย ทำไมท่านทั้งหลายไม่มาบวช ? แค่พินิจพิจารณาง่าย ๆ ว่า การบวชไม่ใช่สบาย เพราะว่าโดนตีกรอบด้วยศีลอย่างน้อย ๒๒๗ ข้อ สิ่งที่เคยทำได้ ก็ทำไม่ได้ เป็นต้น

ในเมื่อเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ อีกไม่กี่วัน ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ก็จะสึกหาลาเพศออกมา เพื่อที่จะไปสู้คดีต่อ ทำไมเราถึงไม่ใจเย็นลงสักนิดหนึ่ง ? แล้วปล่อยให้ศาลเป็นผู้ใช้ดุลพินิจในการตัดสิน เพราะว่าศาลนั้นคือผู้ที่มีอำนาจตามกฎหมาย เป็นผู้ใช้อำนาจตุลาการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ตัวเราซึ่งปราศจากความรู้หรือหลักวิชาการ แล้วไปตัดสินส่งเดชตามอารมณ์ของตน

ศาลนั้นจะต้องตัดสินตามข้อเท็จจริงซึ่งได้รับมา จากพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลย แล้วพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะว่าการตัดสินของศาลนั้นจักเป็นบรรทัดฐานให้แก่คดีต่อ ๆ ไปด้วย

ดังนั้น...ตรงจุดนี้กระผม/อาตมภาพ กล่าวในฐานะของผู้เป็นพระอุปัชฌาย์อย่างหนึ่ง กล่าวในฐานะของประธานองค์กรพระอุปัชฌาย์รุ่นที่ ๕๑ อีกอย่างหนึ่ง มีความเห็นว่าการที่พระอุปัชฌาย์ให้การอุปสมบทกับ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดกนั้น ถ้าหากจะมีโทษ เพราะว่าให้บรรพชาผู้ต้องหาในคดีอาญา ก็ถือว่าการลงโทษนั้น อยู่ในลักษณะเต็มที่แค่ตำหนิโทษเท่านั้น ไม่ใช่ว่าถึงขนาดถอดถอนออกไปเลย แล้วเมื่อมีคดีนี้เป็นตัวอย่างขึ้นมา ก็เชื่อว่าพระอุปัชฌาย์ทั้งหลายจะมีบรรทัดฐานในการประพฤติปฏิบัติ ในการให้การบรรพชาอุปสมบทต่อกุลบุตรต่าง ๆ ในลักษณะที่ระมัดระวังและรอบคอบยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2022 เมื่อ 21:36
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 25-01-2022, 21:07
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,108 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก็ต้องบอกว่า คดีนี้ความจริงแล้ว แม้ว่าการวิพากษ์วิจารณ์จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พระพุทธศาสนาก็ตาม แต่ก็เป็นเครื่องช่วยให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ทั้งหลายเกิดความระมัดระวังในการให้การบรรพชาอุปสมบท ในการคัดเลือกกุลบุตรเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น

ก็ต้องบอกว่า "ในร้ายมีดี" ขณะเดียวกัน "ในดีก็มีร้าย" เพียงแต่ญาติโยมทั้งหลายที่วิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ อย่าได้ใส่อารมณ์ตามกระแสสื่อโซเชียลมากเกินไป เพราะว่ากำลังใจที่ประกอบด้วย รัก โลภ โกรธ หลง นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ดี ถ้าท่านทั้งหลายเสียชีวิตลงไปในขณะนี้ จิตใจที่แบก รัก โลภ โกรธ หลง อยู่เต็ม มีสิทธิ์ที่จะลงอบายภูมิอย่างแน่นอน

ทำอย่างไรที่เราจะชำระใจของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ มองทุกสิ่งทุกอย่างให้เห็นชัดถึงความเป็นธรรมดาของโลก แล้วใส่สติเข้าไปในการที่จะคิด จะพูด จะทำทุกอย่าง ถ้าท่านสามารถทำอย่างนี้ได้ จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่ดีอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเจริญพรแก่ญาติโยมทั้งหลายที่สนใจฟังข่าวคราวในเรื่องนี้อยู่ ทั้งในที่นี้และทางบ้าน ไม่ว่าจะในประเทศหรือต่างประเทศ ขอให้ทุกคนรักษาใจเอาไว้ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าหากมีสิ่งมัวหมองเข้ามาก็รีบขับไล่ออกไป แล้วระมัดระวังไว้อย่าให้เข้ามาอีก ไม่เช่นนั้นก็เสียทีที่ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ถือศีล ได้ปฏิบัติธรรม แต่ว่าทำไปแล้วไม่สามารถเอามาใช้รักษาตนเองได้ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง..ขอเจริญพร


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอังคารที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เถรี)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-01-2022 เมื่อ 21:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 42 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:13



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว