กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๔ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔

Notices

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนกรกฎาคม ๒๕๖๔

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 15-07-2021, 20:55
ตัวเล็ก's Avatar
ตัวเล็ก ตัวเล็ก is offline
กรรมการเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2009
ข้อความ: 10,530
ได้ให้อนุโมทนา: 215,928
ได้รับอนุโมทนา 737,092 ครั้ง ใน 35,905 โพสต์
ตัวเล็ก is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๔


__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 16-07-2021, 00:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,141 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้เป็นวันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เอาเรื่องภายในวัดของเราก่อน ก็คือการอุปสมบทหมู่ช่วงเข้าพรรษา ปกติแล้วกระผม/อาตมภาพ เปิดโอกาสให้ผู้บวช มีเวลาตัดสินใจว่าอยู่ไหวหรือไม่ไหวในช่วงเข้าพรรษาตลอด ๓ เดือน เพราะว่าต้องรอรับกฐินด้วย จึงให้บวชก่อนประมาณ ๗ วัน ใครคิดว่าอยู่ไม่ไหว ก็จะได้สึกหาลาเพศเสียก่อนที่จะเข้าพรรษา แต่ว่าปีนี้ผิดพลาดตรงที่ไม่ได้แจ้งรายละเอียดให้กับทางด้านทิดกวาง (นายกำพร พิเชฐสกุล) ซึ่งเป็นผู้ที่คอยฝึกสอนให้ขานนาค ทำให้เข้าใจกันว่าจะไปบวชในวันอาสาฬหบูชา ซึ่งวัดท่าขนุนของเราไม่เคยทำมาก่อนเลย จึงทำให้การซักซ้อมขานนาคไม่ทัน

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ให้เลื่อนไปบวชในวันศุกร์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เวลาบ่ายโมงตรง เหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าวันที่ ๒๒ ช่วงเย็น กระผม/อาตมภาพมีงานพุทธาภิเษกที่วัดกลางบางแก้ว เกรงว่าจะกลับมาไม่ทัน เพราะว่าติดเคอร์ฟิว ถ้าจะให้ไปบวชวันที่ ๒๔ ซึ่งเป็นวันอาสาฬหบูชา ก็ค่อนข้างจะขลุกขลัก เพราะว่าวัดเรามีงานหลายอย่างด้วยกันอยู่แล้ว

ส่วนวันนี้เรื่องงานที่ไปมาก็คือ การไปเป็นประธานวางศิลาฤกษ์ตึกสงฆ์อาพาธของโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย ที่พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. เป็นเจ้าภาพใหญ่ในการหาทุนเพื่อสร้างให้กับทางโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ย

ในเรื่องนี้ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจว่า พระของเรานั้น ในปัจจุบันเป็นเหมือนส่วนเกินของสังคม ไม่เหมือนอย่างกับสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ช่วงนั้นพระเราได้รับความเคารพจากญาติโยมเป็นอย่างสูง ไม่ว่าจะขึ้นรถลงเรือ ไปเหนือล่องใต้ ผู้ใดพบเห็นก็ถือว่าเป็นเนื้อนาบุญใหญ่ ให้การอนุเคราะห์สงเคราะห์ฟรีทุกอย่าง

แต่มาสมัยนี้มีคนจำนวนมากด้วยกัน โดยเฉพาะนักวิชาการที่เรียนสูง ๆ พากันเข้าใจว่าพระเราเป็นกาฝากสังคม เอาเปรียบชาวบ้าน ต่อให้ทำความดีแค่ไหนก็หลับหูหลับตา ทำเป็นมองไม่เห็น ดังนั้น..การที่จะได้รับการอนุเคราะห์สงเคราะห์จากญาติโยมเหมือนก่อนก็เลยน้อยลง

โดยเฉพาะยามเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าโรงพยาบาล ส่วนใหญ่ก็ต้องไปนอนปะปนอยู่กับชาวบ้าน ถ้าหากว่าไม่ใช่มีญาติโยมที่มีฐานะช่วยหาห้องพิเศษให้อยู่ต่างหาก
หลายต่อหลายครั้งด้วยกันที่กระผม/อาตมภาพ เห็นแล้วเวทนาสงสาร แม้กระทั่งตนเองไปอยู่ที่โรงพยาบาลสงฆ์ได้แค่วันเดียว ก็ต้องขออนุญาตกลับ เพราะว่ามีเรื่องที่ทำให้พระเราต้องอาบัติศีลขาดหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2021 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 16-07-2021, 00:18
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,141 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ประการแรกก็คือ เท่าที่เห็นมาภายในหนึ่งวัน พระท่านที่ไปอยู่โรงพยาบาลสงฆ์ฉันอย่างน้อย ๕ มื้อ ซึ่งตรงนี้อาตมภาพรับไม่ได้ แล้วก็ยังมาเซ้าซี้ซักไซ้กวนใจอาตมภาพในตอนนั้น ซึ่งเพิ่งจะอายุ ๓๐ ว่าทำไมไม่ฉันอาหาร เป็นพระหนุ่มฉันมื้อเดียวจะอยู่ได้อย่างไร ?

ประการที่สอง พระของเราห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน (ผู้ที่มีศีลน้อยกว่า) ที่เป็นชายเกิน ๓ คืน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้น ซึ่งในสมัยพุทธกาลเราไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร แต่ในสมัยนี้เราจะเห็นว่าอนุปสัมบันจำนวนหนึ่ง จะเป็นชายก็ไม่ใช่ชาย จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่หญิง พระพุทธเจ้าท่านจึงกันไว้ให้ตั้งแต่ ๒,๖๐๐ ปีมาแล้ว

ประการที่สามก็คือ พระภิกษุของเราห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบันที่เป็นหญิงแม้ชั่วขณะหนึ่ง พูดง่าย ๆ ว่าเอนหลังลงแตะพื้นก็โดนอาบัติ ศีลขาดไปแล้ว แต่ว่าที่เห็นก็คือ ญาติโยมที่เป็นผู้หญิงจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ไปนอนเฝ้าหลวงปู่หลวงพ่อของตน แล้วก็ยังมีเรื่องอีกเยอะแยะมากมายที่ทำให้เกิดความสลดใจ

อย่างเช่นว่าหายป่วยแล้วแต่ไม่ยอมออกจากโรงพยาบาล ทะเลาะกับหมอทะเลาะกับพยาบาลอยู่ทุกวัน ต้องการจะอยู่ต่อเพราะว่ามีรายได้ดี..! เนื่องจากคนไปสงเคราะห์พระป่วยกันเป็นจำนวนมาก ต่างคนต่างแย่งเตียงที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุด เพราะว่าญาติโยมที่เข้ามาก็จะเริ่มถวายจากตรงนั้นก่อน เป็นการประกันว่างานนี้ได้แน่..! ในเมื่อทนไม่ไหว อาตมภาพก็เลยต้องหมอบอกว่า "ขอกลับไปตายที่วัด..!" ทนดูพวกเดียวกันไม่ได้ นั่นเป็นประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งก็คือ การที่พระของเราพอไม่ได้อยู่ต่างหาก ก็จะเป็นเหตุให้ต้องอาบัติศีลขาดได้มาก จึงต้องมีการสร้างตึกสงฆ์อาพาธเพื่อแยกพระออกมาอยู่ต่างหาก ถ้าหากว่าทางผู้อำนวยการโรงพยาบาลมีความเข้าใจ จัดหาหมอหรือพยาบาลที่รู้จักดูแลภิกษุไข้มาได้ ก็จะเป็นเรื่องที่วิเศษมาก แต่ถึงทำไม่ได้ ขอให้แยกออกมาต่างหาก เพื่อป้องกันอาบัติต่าง ๆ ไปได้หลายข้อก็ยังดี

อย่างของอาตมภาพนั้น แม้ว่านอนเตียงอยู่ ดึงม่านปิดรอบเตียงแล้ว ก็มีโยมผู้หญิงที่เฝ้าหลวงปู่เตียงข้าง ๆ มาเปิดทุกครั้ง ทันทีที่ปิดม่าน เขาก็จะรูดเปิดทันที จนกระทั่งอดรนทนไม่ไหวถามว่ามายุ่งอะไรกับเตียงของอาตมาด้วย ? เขาบอกว่า "ขออาศัยพัดลมด้วย ของเตียงหลวงปู่เตียงเดียวเย็นไม่พอ" ทันทีที่รูดม่านปิด ก็แปลว่าเขาจะไม่ได้พัดลมจากทางด้านนี้ อาตมาถึงได้ "เซ็ง" ในอารมณ์ว่า "กูพยายามจะหนีอาบัติ แต่มันก็ทำให้กูต้องอาบัติทุกครั้ง..!" ก็เลยอยู่ไม่ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-07-2021 เมื่อ 18:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 16-07-2021, 00:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,141 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แล้วการที่เราสร้างตึกสงฆ์อาพาธขึ้นมา ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะตัวเรา แต่ว่าเป็นประโยชน์ต่อคณะสงฆ์ในทิศทั้ง ๔ หมายความว่า ทั้งสังฆมณฑล ท่านใดเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามาบริเวณนั้นก็มีสิทธิ์ที่จะใช้งานร่วมกันได้ ถ้าหากว่าเป็นโรงพยาบาลทองผาภูมินี่ไม่มีปัญหา ต่อให้เขาบอกว่าเตียงเต็ม หาเตียงไม่ได้อย่างไร ถ้ากระผม/อาตมภาพยกหูโทรศัพท์โทรไป เตียงจะมีทันที เพราะว่าถ้าเตียงโรงพยาบาลไม่พอ ก็มายกเอาเตียงพยาบาลจากวัดท่าขนุนไปได้ แต่ว่าที่อื่นไม่ใช่อย่างนั้น

ดังนั้น...ถ้าหากว่ามีกำลังพอ มีงบประมาณพอ จึงควรที่จะช่วยกันสร้างเพื่อให้มีทุกโรงพยาบาล อย่างน้อย ๆ พระภิกษุสามเณรของเราจะได้รับความสะดวกสบายในการดูแล และถ้าสามารถตั้งกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณรได้อย่างวัดท่าขนุน ก็จะยิ่งเป็นการแบ่งเบาภาระของพระภิกษุสามเณรได้อีกมาก เพราะว่าท่านทั้งหลายเมื่อมาบวชแล้ว ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรให้กับทางครอบครัว เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา สมัยนี้เข้าโรงพยาบาลทีหนึ่งก็หลายพันหรือเป็นหมื่น ถ้าเข้าโรงพยาบาลเอกชนก็อาจจะโดนเป็นแสน..!

ดังนั้น...ถ้ามีกองทุนขึ้นมาก็จะช่วยตรงนี้ได้มาก แต่อาตมภาพก็จำกัดเอาไว้ว่า "ห้ามเข้าโรงพยาบาลเอกชน" ยกเว้นอยู่ท่านเดียวก็คือมหาหนึ่ง (พระมหานันทวัฒน์ อคฺคธมฺโม) เพราะว่าเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน มัวแต่ไปรอโรงพยาบาลรัฐ อาจจะมรณภาพเสียก่อน..! ก็เลยให้นำเข้าโรงพยาบาลเอกชนไป ขนาดนอนแค่พักเดียวเท่านั้น โดนไป ๗๘,๐๐๐ บาท..! ถ้าไม่มีกองทุนรักษาพยาบาลฯ ก็คงได้สิ้นลมกันไปข้างหนึ่ง

เรื่องต่อมาก็คือระหว่างที่วางศิลาฤกษ์ ทางโรงพยาบาลด่านมะขามเตี้ยรับผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ เข้ามาหลายราย รถพยาบาลวิ่งมาส่ง เจ้าหน้าที่ซึ่งสวมชุดป้องกันทางการแพทย์ (PPE) นำเข้าไปในสถานที่ซึ่งแยกออกมาเป็นพิเศษต่างหาก

ขอให้พระภิกษุสามเณรของเรา ตลอดจนทั้งญาติโยมทั้งอยู่ที่นี่และอยู่ที่บ้านได้เข้าใจว่า เรื่องของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ นั้น ไม่ได้จากเราไปง่าย ๆ ยิ่งการบริหารจัดการแบบเปะปะ หาทิศทางไม่ได้ หวังประโยชน์มากกว่าที่จะหวังความสุขของประชาชน ก็ยิ่งทำให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายมากขึ้นไปอีก..!

ดังนั้น..พวกเราต้องดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะว่าพวกเรามีข้อบกพร่องอยู่ก็คือ พอนานไปก็มักจะประมาทแล้วก็หย่อนยาน อาตมภาพเกิดเป็นทหารมาทุกชาติ ในช่วงจังหวะที่ข้าศึกหย่อนยานเมื่อไร จะโดนอาตมภาพตีค่ายแตกทุกครั้่ง ต่อให้เขาไม่หย่อนยาน อาตมภาพกับพวกพ้องก็จะก่อกวนทุกคืนจนกระทั่งหย่อนยานไปเอง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2021 เมื่อ 02:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 16-07-2021, 00:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,141 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าพวกเราสังเกต จะเห็นว่าช่วงเดือนแรกที่เขาประกาศเรื่องเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ อาละวาด พระวัดท่าขนุนไม่ป้องกันอะไรเลย บิณฑบาตกันตามสบาย แต่พอเดือนที่สอง อาตมาสั่งใส่หน้ากากอนามัยทุกรูปทันที เพราะว่านั่นจะเป็นช่วงที่คนอื่นเริ่มประมาทแล้ว เพราะว่าผ่านมาเป็นเดือน แล้วทุกคนก็เห็นว่าสิ่งที่อาตมภาพทำไปนั้นมีเหตุผล เพียงแต่ว่าตอนนั้นอาจจะคิดไม่ถึง

อีกประการหนึ่งก็คือ ทางวัดของเรา ในช่วงวันหยุดต่อเนื่องวันอาสาฬหบูชา ไปจนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เรารับบุคคลที่ฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย ๑ เข็มเข้ามาปฏิบัติธรรม เหตุที่ต้องทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน ก็เพราะว่าช่วงนี้ญาติโยมนั้นเคว้งคว้าง หาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้ ถ้าหากว่าเรายังไม่เปิดโอกาสให้มาวัดได้ ให้มาปฏิบัติธรรมได้ ก็จะโดนกิเลสพาไปกินเสียหมด..!

ในวาระที่โยมต้องการที่พึ่งมากที่สุด พระต้องเป็นที่พึ่งของเขาได้ คราวนี้การที่ท่านทั้งหลายจะเป็นที่พึ่งของเขาได้ ก็ต้องพยายามปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้เต็มที่ แต่ไม่ใช่ปฏิบัติโง่ ๆ แบบท่านปู (พระพงษ์สิทธิ์ สนฺตจิตฺโต) บอกว่าผมปฏิบัติมาทั้งวันไม่บรรลุ ผมหมดกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว ไอ้นั่นมันควายชัด ๆ..! ลองไปอ่านดูในพระไตรปิฏกสิ หลวงปู่หลวงตาบางรูปปฏิบัติตั้งแต่เริ่มบวชตอนอายุ ๒๐ ไปบรรลุตอน ๘๐ สั่งสมผลการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาถึง ๖๐ ปีเต็ม ๆ มึงทำวันเดียวจะบรรลุ เก่งเกินไปไหม..!?

ตรงจุดนี้จึงเตือนว่า ให้พวกเราใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ แต่การปฏิบัติธรรมนั้นเป็นการสั่งสมความดี เราไม่ใช่สุดยอดบุคคลอุคฆฏิตัญญู ที่ฟังธรรมแล้วบรรลุเลย เราเป็นได้แค่เนยยบุคคล ที่ต้องจ้ำจี้จ้ำไชปากเปียกปากแฉะกันอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะต้องบ่นตัวเองด่าตัวเอง เพื่อที่จะเอาดีให้ได้ ดังนั้น..จึงต้องใช้ความเพียรพยายามเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะความอดทน ถ้าอดทนไม่พอ เป็นพระเป็นเณรไม่ได้สักรายหนึ่ง เพราะว่าถึงเวลาก็มักจะสึกหาลาเพศไปก่อน

ดังนั้น..รักที่จะปฏิบัติธรรมก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วย หัดดูเสียบ้างว่าครูบาอาจารย์แต่ละรูปแต่ละท่าน กว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์ได้ ถ้าเป็นนักรบก็แผลทั้งตัว เย็บจนเข็มหลง ไม่รู้ว่าจะเย็บตรงไหนก่อน ไม่ใช่ว่าถึงเวลามานั่ง "ชิล ๆ" ๑๐ นาทีแล้วกูก็ต้องบรรลุ..! แบบนั้นต้องสร้างบารมีมาอย่างน้อยก็ ๑ อสงไขยแสนกัป ไม่ใช่ทำแค่ไม่กี่วันอย่างพวกเรา

ถ้าใครยังเข้าใจผิดตรงนี้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุสามเณร แม่ชีฆราวาส จะอยู่ในวัดหรืออยู่ทางบ้านก็ตาม โปรดเข้าใจเสียใหม่

ในหลวงรัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ว่า "หนทางแห่งเกียรติศักดิ์ จักโรยด้วยดอกไม้ หอมหวนยวนจิตไซร้ ฤๅมี" ไม่มีอะไรง่ายครับ ยากทั้งนั้น ถ้าไม่ยาก ก็วัดไม่ได้ว่าบารมีของเราเพียงพอที่จะบรรลุมรรคผลหรือเปล่า รบกวนเวลาทุกท่านมามากพอแล้ว ก็ขอเจริญพรไว้แต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-07-2021 เมื่อ 18:10
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:22



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว