#1
|
||||
|
||||
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันลอยกระทง วันที่ ๑๕ - ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๗
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ลอยกระทงมาจากงานดีปวาลีของทางประเทศอินเดีย พอมาถึงเมืองไทยก็แปลงเป็นตามประทีป ดีปะ ก็คือ ทีปะ ก็คือ ประทีป ทีปะส่วนใหญ่สมัยก่อนก็หมายเอาดวงเทียน บางทีคำว่า "ทีปะ" มีอีกความหมายหนึ่งก็คือ "แผ่นดินใหญ่" ที่คนไทยใช้คำว่าทวีป คราวนี้การลอยกระทงก็น่าจะมาเริ่มกันตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ก่อนหน้านั้นอาจจะมี แต่ว่าไม่ชัดเจน มาชัดเจนในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ที่ระบุถึงงานเผาเทียนเล่นไฟ เมืองสุโขทัยนี้ดั่งมีจักแตก ถ้าเป็นสมัยนี้ก็คงประมาณทัวร์ลง..! ประเพณีในบ้านเราผูกพันกับศาสนาพราหมณ์แล้วก็การนับถือผี ในเมื่อความผูกพันมีกับศาสนาพราหมณ์มาแต่ต้น พิธีกรรมต่าง ๆ ก็เลยเป็นไปตามแบบศาสนาพราหมณ์เป็นเสียส่วนมาก เพราะว่าพราหมณาจารย์ต่าง ๆ ที่เดินทางจากชมพูทวีปในสมัยนั้นเข้ามาในสุวรรณภูมิ ส่วนใหญ่ก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ทรงความรู้ สมัยก่อนเขาเรียนไตรเพท หรือว่าไตรเวท มี ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท ระยะหลังพอเนื้อหาแตกหน่อแตกกอออกไปเยอะมาก ก็มีคัมภีร์ที่สี่ขึ้นมาเป็นอาถรรพเวท ซึ่งก็คือพวกเวทมนต์คาถาอย่างที่นิยมกัน ในเมื่อศาสนาพราหมณ์เป็นผู้รู้ ไปที่ไหนก็จะได้รับการต้อนรับจากผู้มีอำนาจของที่นั่น เราจะเห็นได้ว่าศาสนาพราหมณ์นี่เกาะติดกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาตั้งแต่ต้น เมื่อเป็นผู้รู้สามารถให้คำแนะนำต่าง ๆ ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นราชครูบ้าง ให้เป็นโหราจารย์บ้าง คอยดูฤกษ์ล่าง ฤกษ์บน คอยแนะนำวิธีการหลักการต่าง ๆ ให้กับผู้นำ ทำอย่างไรถึงจะรักษากำลังใจของบริษัทบริวารเอาไว้ได้ แต่ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์มากก็คือ ศาสนาพราหมณ์ไม่ได้มีความคิดที่จะครอบงำผู้นำของบรรดากลุ่มชนต่าง ๆ ที่ตนเองเข้าถึง ก็คือมีหน้าที่แนะนำก็ทำไป ไม่ทำก็แล้วไป แม้แต่ในยุคนครวัด นครธม อาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่เขาก็มีข้อตกลงกันอย่างเป็นทางการเลยว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ถือพราหมณ์ ปุโรหิตาจารย์ต้องถือพุทธ ถ้าปุโรหิตาจารย์ถือพราหมณ์ พระมหากษัตริย์ต้องถือพุทธ เป็นความใจกว้างของศาสนาพราหมณ์อย่างหนึ่ง ถ้าเป็นศาสนาอื่นคาดว่าคงครอบงำสถาบัน ชี้นำจนกระทั่งเปลี่ยนศาสนาไปทั้งประเทศแล้ว แบบเดียวกับอาณาจักรศรีวิชัย ระเด่นปาทาซึ่งถือศาสนาพุทธแต่แรก ไปตั้งเมืองปาเล็มบังเป็นศูนย์กลางอาณาจักรศรีวิชัย ได้ราชธิดาของสุลต่านที่มาอ่อนน้อมเป็นมเหสี ปรากฏว่าโดนชักนำให้ไปนับถือศาสนาอิสลาม อาณาจักรศรีวิชัยที่ยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดรวบเอาปักษ์ใต้ของไทยไป รวมกับสุมาตราอินโดนีเซียทั้งหมดกลายเป็นอิสลาม..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 23-11-2024 เมื่อ 09:09 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราจะเห็นว่าตั้งแต่ยุคสุโขทัย กรุงศรีอยุธยา รัตนโกสินทร์ของเรา ศาสนาพราหมณ์อยู่ใกล้ชิดกับพระมหากษัตริย์มาตลอด แต่นอกจากไม่ได้ครอบงำสถาบันแล้ว ยังยอมรับการแต่งตั้งจากสถาบันด้วย อย่างพวกตำแหน่งราชครูวามเทพมุนี วามะ ก็คือพราหมณะ ซึ่งก็คือ พราหมณ์ หลายต่อหลายคนนามสกุลก็ยังบอกความเป็นพราหมณ์อย่างชัดเจน อย่างนามสกุล "รังสิพราหมณกุล" ซึ่งบอกไว้ชัด ๆ เลยว่าเป็นพราหมณ์
เมื่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ ประเพณีต่าง ๆ โดนดัดแปลงมาเป็นพุทธจนหมดเพราะว่าในหลวงรัชกาลที่ ๔ ออกผนวชถึง ๒๗ พรรษา พิธีพราหมณ์ต่าง ๆ จะเริ่มด้วยพิธีพุทธก่อน อย่างเช่นว่าการสมาทานศีล การเจริญพระพุทธมนต์ การเจริญชัยมงคลคาถา แล้วค่อยต่อด้วยพิธีพราหมณ์อย่างเช่นการบวงสรวงสังเวย การแรกนาขวัญ เหล่านี้เป็นต้น คราวนี้ในเรื่องของศาสนาเราต้องเข้าใจว่าเป็นหลักยึด เป็นหลักยึดเพื่อให้จิตใจของเรามั่นคง เนื่องจากมั่นใจว่ามีที่พึ่ง ตั้งแต่โบราณมาจะเห็นว่าอะไรที่ลึกลับ ยิ่งใหญ่ มีอำนาจเหนือตน ก็จะถูกยกขึ้นเป็นที่เคารพ อย่างเช่นว่า ภูเขา ต้นไม้ โดยเฉพาะอย่างปัจจุบันนี้ที่เข้าไม่ถึง อย่างยอดเขาไกรลาสที่ฝรั่งเรียกว่าเคทู (K2) ตัว K ก็มาจากคำว่าไกรลาสนั่นแหละ เคทูไม่ใช่ยอดเขาที่สูงที่สุด เพราะยอดเขาที่สูงที่สุดก็คือยอดเขาเอเวอเรสต์ (Everest) รองจากเอเวอเรสต์ก็มาเป็นเคทู (K2) แล้วตามมาด้วยคันเชนจุงกา (Kanchenjunga) เคทูแม้จะติด ๑ ใน ๘ ยอดเขาสูงที่สุดในโลก แต่ไม่ได้สูงแบบเอเวอเรสต์ เพียงแต่ว่าเป็นยอดเขาที่ไม่ต้อนรับผู้คน ใครตั้งใจจะปีนพอใกล้ยอดเขาก็มักจะเกิดภัยธรรมชาติ พายุบ้างหิมะบ้าง จนกระทั่งขึ้นไม่ถึง ก็เลยกลายเป็นที่เคารพ เคารพในพลังอำนาจที่ตนเองไม่เข้าใจว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ที่เราสวดมนต์กันตอนเช้า ๆ ที่ว่า พะหุง เว สะระณัง ยันติ............ปัพพะตานิ วะนานิ จะ
อารามะรุกขะเจต๎ยานิ................มะนุสสา ภะยะตัชชิตา มนุษย์เป็นอันมากเมื่อโดนภัยเบียดเบียน ก็เข้าหาที่พึ่ง ปัพพะคือภูเขา วะนาคือป่า อารามในที่นี้น่าจะหมายถึงศาสนสถาน รุกขะคือต้นไม้ เจต๎ยานิคือเจดีย์ ยึดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นที่พึ่ง เนตัง โข สะระณัง เขมัง...............เนตัง สะระณะมุตตะมัง แต่ว่าที่พึ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เป็นที่พึ่งอันเกษม ไม่เป็นที่พึ่งอันอุดม พูดง่าย ๆ ก็คือยึดถือไม่ได้อย่างจริงจัง โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ...............สังฆัญจะ สะระณัง คะโต แต่ว่าการยึดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งนั้น เอตัง โข สะระณัง เขมัง..................เอตัง สะระณะมุตตะมัง จึงเป็นที่พึ่งอันเกษม เป็นที่พึ่งอันสูงสุด เอตัง สะระณะมาคัมมะ....................สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ เมื่อยึดในที่พึ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้ว ย่อมมีความสามารถในการทำให้กองทุกข์ทั้งหลายหมดสิ้นลงไปได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2024 เมื่อ 15:35 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
คราวนี้ในเมื่อคนเราโดยธรรมชาติแล้ว เคารพในสิ่งที่ลึกลับ ยิ่งใหญ่ เข้าถึงได้ยาก บ้านเราก็เลยถือศาสนาผีมาก่อน แล้วก็มาถือพุทธ มาถือพราหมณ์
คราวนี้พอนานไปศาสนาพุทธมีสัจธรรมคือหลักการปฏิบัติที่เป็นไปตามกำลังใจของคน ก็คือท่านสอนว่า ให้เว้นจากการฆ่าสัตว์..พูดง่าย ๆ ก็คือเราไม่อยากให้คนอื่นฆ่าเรา เราก็อย่าไปฆ่าคนอื่น เว้นจากการลักทรัพย์..เราไม่อยากให้คนอื่นมาลักขโมยเรา เราก็อย่าไปลักขโมยคนอื่น เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการโกหก เว้นจากการดื่มสุราเมรัย..ก็โดยนัยยะเดียวกัน ในเมื่อมนุษย์เรามีตรรกะคือความสามารถในการคิดตรอง หาเหตุหาผลได้ เห็นว่าศาสนาพุทธมีเหตุผล สมควรแก่การเชื่อถือ ก็น้อมเอามาเป็นหลักยึดประจำใจของตนเอง จึงทำให้ศาสนาพุทธของเราเด่นขึ้นมา แต่อย่าลืมว่าผีและพราหมณ์แฝงมาอยู่เป็นร้อยเป็นพันปีแล้ว ไม่สามารถที่จะละทิ้งไปได้ทั้งหมด แม้กระทั่งสมัยที่หลวงปู่มั่น หลวงปู่ตื้อ ไปเผยแผ่ศาสนาในป่าในดงทางด้านภาคเหนือของเรา ต่อไปสิบสองปันนา ต่อไปประเทศลาว ประเทศจีนก็เหมือนกัน ถึงขนาดต้องเอารูปพระพุทธเจ้าไปบอกเขาว่า "นี่เป็นหัวหน้าผีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ถ้านับถือหัวหน้าผีแล้ว ผีเล็กผีน้อยจะไม่กล้าเบียดเบียนอีก" ก็คือต้องปรับเข้ากับความเชื่อเดิม ๆ ของเขาที่ฝั่งรากลึกมานานมาก เขาถามว่า "ถ้านับถือหัวหน้าผีแล้วต้องทำอะไร ?" ท่านบอกไปว่า "ให้ภาวนาพุทโธ ถ้าภาวนาพุทโธแล้วหัวหน้าผีชอบใจ ก็จะช่วยรักษาให้อยู่เย็นเป็นสุข" ก็เป็นวิธีเผยแผ่ที่ต้องเรียกว่าปรับให้เข้ากับความเข้าใจของพวกเขา ถ้าพูดมากกว่านั้นเขาก็ไม่เข้าใจ เห็นพระเดินจงกรม พวกข่าก็มาถามว่า "เดินหาอะไร ?" ท่านก็บอกว่า "เดินหาดวงแก้ววิเศษ" เขาถามว่า "ดวงแก้ววิเศษคืออะไร ?" ท่านบอกไปว่า "คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เดินภาวนา พุทโธ..ธัมโม..สังโฆ พุทโธ..ธัมโม..สังโฆ ถ้าความเพียรพยายามทำได้ถูกต้อง ทำได้ตรงทาง ก็จะพบกับดวงแก้ววิเศษที่พาให้ทุกคนมีความสุขความเจริญทั้งชาตินี้และชาติหน้า" ก็ทำให้พวกข่าเขาหัดเดินจงกรมภาวนา ทั้ง ๆ ที่เขาก็ไม่รู้หรอกว่านี่คือการเดินจงกรม เขาเดินหาแก้ววิเศษ เดี๋ยวพวกเราก็เดินหากันบ้างนะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-11-2024 เมื่อ 15:38 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ดังนั้น..ในเรื่องของศาสนาในปัจจุบันนี้ ที่สับสนมากก็เพราะว่าการศึกษาเข้าถึงได้ง่าย แต่หาผู้รู้จริงได้ยาก สมัยก่อนเขาต้องศึกษาตามขั้นตอน อย่างเช่นว่าท่องอักขระบาลีให้ได้ ผสมตัวให้ได้ อ่านให้ได้ ค่อย ๆ แปลไปตามขั้นตอน พอแปลได้ก็เริ่มแปลอรรถกถา แปลอรรถกถานะ..ไม่ได้แปลพระไตรปิฎก แปลอรรถกถาเพราะว่าอรรถกถาก็คือสิ่งที่บรรดาพระเถระต่าง ๆ ท่านอธิบายขยายความเอาไว้ จะได้รู้ว่าถ้าเราศึกษาพระไตรปิฎก ควรที่จะทำความเข้าใจไปในแนวทางไหน
ไม่ใช่อยู่ ๆ กูก็ไปคว้ามา จะเอาเฉพาะพุทธวจนะ แล้วก็ตีความเข้าป่าเข้าดงไปเลย ก็คือรู้ไม่พอ จินตนาการบรรเจิดอีกต่างหาก ก็เลยไปกันใหญ่..! กลายเป็นว่าคนพุทธด้วยกันนี่แหละที่อวดรู้ แล้วก็กลายเป็นทำลายหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมาก คือเหมือนอย่างกับว่าคนสมัยนี้ ส่วนหนึ่งเข้าหาศาสนาพุทธเพราะต้องการความสะใจ ประหลาดดี..! ศาสนาพุทธของเรามีประโยชน์ตรงไหน ? มีประโยชน์ตรงที่ว่านำเอาหลักธรรมไปประพฤติปฏิบัติ ป้องกันไม่ให้ตนตกไปในทางที่ชั่ว ไม่ใช่ให้ศึกษาเรียนรู้แบบงู ๆ ปลา ๆ แล้วเอาไปคุยทับกัน มันสะใจดี ฟังแล้วบ้าไปเลย..! แต่ในเมื่อสังคมเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องอยู่ในลักษณะที่ว่าถ้าคนอื่นตาบอด เราต้องตาดีให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็เดินชนกันหัวร้างคางแตก แล้วต่างคนต่างก็โทษอีกฝ่ายว่าตาบอด..! คนตาบอดถือตะเกียงเดินมา คนตาดีก็สงสัยว่า "กลางค่ำกลางคืน แกตาบอดมองอะไรไม่เห็น แล้วจะถือตะเกียงไปทำไม ?" คนตาบอดตอบว่า "ถือเพื่อให้พวกคนตาดีอย่างแกไม่เดินมาชน" สรุปแล้วก็คือ คนตาบอดมีความเข้าใจมากกว่า เพราะว่าตัวเองตาบอด กลางวันกลางคืนเหมือนกัน เดินไม่ชนใครอยู่แล้ว แต่คนตาดีกลางคืนมองไม่เห็น มักจะเดินมาชนคนตาบอด คนตาบอดก็เลยต้องถือตะเกียงให้คนตาดีดู..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2024 เมื่อ 18:53 |
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
สำคัญที่สุดคือพวกเราต้องพยายามในการประพฤติวัตรปฏิบัติธรรมของเราให้เข้มแข็งจริงจัง จนกระทั่งเข้าถึง ถึงเวลาจะได้อธิบายขยายความที่ถูกต้องได้ สำคัญที่สุดก็คือ อย่าเอากิเลสไปชนกับคนอื่น ต้องครูบาอาจารย์ของกูเท่านั้นถึงจะถูก ต้องสายนี้เท่านั้นถึงจะถูก ต้องวัดท่าขนุนเท่านั้น..ฉิบหายเลย..!
เนื่องเพราะว่า "ต้อง" ทั้งหมดที่ว่ามานั้น มาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเหมือนกับพ่อครัวใหญ่ แสดงวิธีการทำอาหารไว้ ๘๔,๐๐๐ วิธี ใครถนัดแบบไหน ทำแบบไหนอร่อย ก็ไปขายให้คนอื่นเขากิน คนกินแล้วชอบใจก็ไปเป็นลูกค้าประจำ จนกลายเป็นกรรมฐานสายโน้น กลายเป็นกรรมฐานสายนี้ แล้วใช่ของตัวเองไหมเล่า ? ก็มาจากพระพุทธเจ้าทั้งนั้น แล้วคนกินก็ดันไปเถียงกันเอง "นี่ต้องก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นถึงจะใช่ ข้าวราดแกงของแกไม่ใช่" คนโน้นก็บอกว่า "ข้าวราดแกงกับก๋วยเตี๋ยวมันเฮงซวย ใช้ได้ที่ไหน ต้องขนมปังไส้ทะลักเท่านั้น" กลายเป็นเอากิเลสไปชนกัน จึงเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังที่สุด เพราะนักปฏิบัติจะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่อยากสอนคนอื่นเขา ถ้ารู้จริงแล้วสอนยังพอทน ถ้ารู้ไม่จริง ไปตีความเอาเองนี่ จะพาคนอื่นเตลิดเปิดเปิงหลงทางไปด้วย เพราะว่าการปฏิบัติพอไปถึงระดับหนึ่ง อุปกิเลสตัวหนึ่งที่เรียกว่าญาณ..ญาณะ..เครื่องรู้ จะปรากฏขึ้น จะคิดหาเหตุหาผลได้ทุกอย่าง สามารถดึงเอาความเชื่อมโยงมาได้ทั้งหมด ตำรากี่เล่มกูดึงมาได้หมด คิดว่าตัวเองเก่ง..บรรลุแล้ว โดยที่ลืมสังเกตไปว่า เรื่องที่รู้ทั้งหมดนั้น ยิ่งคิดยิ่งกว้างออกไป หาจุดจบไม่ได้ มันบอกเราทุกเรื่องยกเว้นทางพ้นทุกข์..! เขาถึงได้ใช้คำว่า อุปกิเลส คือใกล้จะเป็นกิเลส ยึดเมื่อไรเป็นกิเลสทันที เป็นเรื่องที่นักปฏิบัติต้องระมัดระวังเป็นอย่างสูง ตั้งหน้าตั้งตาทำให้เกิดผลจริง ๆ แล้วเราจะอยู่ในบุคคลประเภทไหนค่อยว่ากันไป ประเภทแรกก็คือ หม้อเปล่าปิด ไม่มีความดีกูก็หุบปากไว้ ประเภทที่สองก็คือ หม้อเปล่าเปิด ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง..โม้แม่งได้ทุกเรื่อง..! ประเภทต่อไปก็คือ หม้อเต็มปิด ถึงรู้กูก็ไม่สอนใคร สอนผิดเดี๋ยวกูจะซวยไปด้วย..! ประเภทสุดท้ายก็คือ หม้อเต็มเปิด รู้จริง สอนถูก ถึงตอนนั้นก็ต้องไปค่อย ๆ พิจารณาเลือกเอาว่าเราจะเป็นบุคคลประเภทไหน ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2024 เมื่อ 18:57 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ก่อนทอดกฐินวัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖ วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันสุดท้ายของกาลกฐิน ถือว่าการทอดกฐินในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีนี้ ส่วนบุคคลที่จำพรรษาหลังก็สิ้นสุดลงในวันนี้ แล้วไปปวารณากันในวันพรุ่งนี้ ขาดใครอีกหนึ่งรูป ? คณะปูรกะ ผู้มาให้ครบองค์สงฆ์เพื่อจะได้รับกฐินได้ คือระยะหลังมีผู้รู้มากไปหน่อยบอกว่า "ไม่ครบ ๕ รูป รับกฐินไม่ได้" บ้าง "ไม่ใช่วัด รับกฐินไม่ได้" บ้าง พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้จำพรรษาในป่าช้า ในป่าชัฏ ในถ้ำ โคนไม้ แม้กระทั่งในโอ่งน้ำ ในกองเกวียน คราวนี้กฐินเขาถวายพระที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ในเมื่อจำพรรษาถ้วนไตรมาส ต่อให้ไม่ได้อยู่ในวัด ก็ต้องรับกฐินได้ ไม่ใช่ไปฟันธงกันบอกว่า "ไม่ใช่วัด..รับกฐินไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 30-11-2024 เมื่อ 08:19 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (เสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจบ) ตื่นได้แล้ว..! เผลอทีไรคนเปิดปล่อยเลยเวลาทุกที..! ความจริงเป็นเครื่องยืนยันว่าสมาธิดีนะ เพราะว่าถ้าสมาธิไม่ดีจะหลับไม่ได้ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์ด้วย จะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าฤทธิ์โดยวิบากกรรม ภาษาบาลีเรียกว่ากัมมวิปากชาฤทธิ์ ทำให้สามารถหลับได้ เนื่องเพราะว่าการหลับนั้น อย่างน้อยต้องเข้าถึงปฐมฌานขั้นหยาบถึงจะหลับได้ แต่คราวนี้เราต้องเข้าใจว่าปฐมฌานนั้นเป็นคุณสมบัติของพรหม ปฐมฌานอย่างหยาบสามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑ คือ ปริสัชชาพรหม ปฐมฌานขั้นกลางสามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๒ คือ ปโรหิตาพรหม ปฐมฌานขั้นละเอียดสามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๓ คือ มหาพรหม แต่ว่าคนและสัตว์ที่เข้าถึงปฐมฌานอย่างหยาบด้วยกัมมวิปากชาฤทธิ์ ไม่สามารถจะเกิดเป็นพรหมได้ เนื่องเพราะว่าไม่ได้เกิดจากการฝึกฝน อานิสงส์ของฌานสมาบัติที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ดี หรืออรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ดี จะมีอานิสงส์ด้วยการตั้งใจฝึกหัดจนเกิดขึ้น แบบเดียวกับเราไม่ได้คิดรักษาศีล แต่ไม่ผิดศีลเลยสักข้อเดียว ก็ไม่ได้อานิสงส์อะไร เพราะว่าขาดเจตนาคือความตั้งใจ บาลียืนยันว่า เจตะนาหัง ภิกขะเว ปุญญัง วะทามิ เจตะนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจนั่นแหละเป็นบุญ" หรือว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจนั่นแหละเป็นกรรม" ก็แปลว่าการทำโดยไม่เจตนา ขาดความตั้งใจ ไม่เป็นบุญหรือไม่เป็นกรรม ก็เลยไม่มีอานิสงส์ ก็คือไม่มีผลได้ที่จะก่อให้เกิดเป็นพรหมได้ ทั้ง ๆ ที่หลับเป็นกันทุกคน..! เนื่องเพราะว่าถ้าไม่มีฤทธิ์ตัวนี้บังคับให้เราหลับ ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ก็จะตายกันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อยู่ไม่ถึงอายุ ร่างกายไม่ได้พัก แบตฯ หมด..ตาย เขาเรียกว่าอายุกขยมรณะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 30-11-2024 เมื่อ 13:12 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
อายุกขยมรณะ ตายเพราะหมดอายุ สมมุติว่ากำหนดเอาไว้ที่ ๑๐๐ ปี ถ้าถึง ๑๐๐ ปีแล้วตาย เรียกว่าตายเพราะหมดอายุ
กัมมักขยมรณะ ตายเพราะหมดกรรม เหมือนอย่างพระโลสกเถระ วันหนึ่งกินข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ดข้าวสุก ไม่รู้ว่าอยู่มาได้อย่างไร ๒๐ กว่าปี ก็เพราะว่ากรรมรักษา เมื่อถึงเวลาหมดกรรมกลายเป็นพระอรหันต์ ก็มรณภาพนิพพานวันนั้นเลย บาลีเขาว่า สมสีสี (สะ-มะ-สี-สี) ก็คือหมดกิเลสพร้อมกับหมดอายุ ปุญญักขยมรณะ ตายเพราะหมดบุญ กำลังบุญค้ำอยู่ทำให้เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าเป็นพรหมได้ หมดบุญต้องจุติคือตาย แต่คำว่าจุติไม่ใช่ตาย จุติคือเคลื่อนไปจากที่นั่น แล้วไปอยู่ที่อื่น ส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ต่ำกว่าเดิม..! อาหารักขยมรณะ ตายเพราะหมดอาหาร อาหารที่ว่ามี กวฬิงการาหาร อาหารก็คือข้าวน้ำกับขนมทั่ว ๆ ไปที่เราเข้าใจนั่นแหละ มนุษย์ปกติไม่ได้กินสัก ๗ วันก็น่าจะม่องเท่งแล้ว..! วิญญาณาหาร อาหารก็คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ใจต้องการ เห็นรูปสวย ๆ ชื่นใจ แก่จะตายอยู่แล้วยังอยู่ได้อีกตั้งพักหนึ่ง เพราะว่าอยากจะดูรูปสวย ๆ..! ผัสสาหาร คือลมหายใจเข้าออกหรือว่าปราณ คำว่าปราณตัวนี้หมายถึงชีวิต ก็คือพลังชีวิต เห็นชัดที่สุดก็คือลมหายใจของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็แปลว่ายังไม่ตาย แต่ว่าเห็นคนไข้หลายคนยังมีลมหายใจอยู่เพราะเครื่องยังช่วยอยู่ แต่จิตไปนานแล้ว สงสัยเลยถามเทวทูตท่าน ท่านบอกว่า "เหมือนกับรถ ที่วิ่งมาเร็ว ๆ แล้วน้ำมันหมด เครื่องดับ รถยังไหลไปได้อีกพักหนึ่งตามแรงเฉื่อยที่วิ่งมา เดี๋ยวหมดแรงเฉื่อยก็หยุด แบบนี้ก็เหมือนกัน" จิตออกจากร่างไปแล้วแต่ร่างกายยังไม่ตาย เพราะว่าลมหายใจยังมีอยู่ แต่ความจริงจิตออกจากร่างนี่ตายแล้วนะ แต่แรงเฉื่อยทำให้ร่างนี้ยังไปต่อได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2024 เมื่อ 01:54 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
มาพูดถึงเรื่องตายทำไม ? ฟังแล้วเศร้าใจใช่ไหม ? เตือนสติให้รู้ไว้ว่าความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเรายังจะมัวประมาทอยู่อีกไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเหมือนกับอยู่บนบ้านที่ไฟกำลังไหม้ จะนอนสบายหรือเร่งหาทางหนี ? เห็นนอนสบายกันเสียเยอะ..! ส่วนพวกเราตะกายมาหาทางหนีอยู่ตรงนี้ แล้วลองคิดดู..ประชากรไทยตั้ง ๖๘ ล้านคน มาปฏิบัติธรรมวันลอยกระทงกันแค่นี้..! แต่วัดอื่นเขาบอกว่าวัดเราคนมาปฏิบัติธรรมเยอะนะ ก็เลยสงสัยว่าตกลงวัดเขานี่มีกันกี่คน ? ในเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วว่า เอาแค่ประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ประชากร ๖๘ ล้านคน เราปฏิบัติธรรมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ หวังความหลุดพ้นกี่คน ? น้อยจนน่าท้อใจ แล้วจะท้อไปทำอะไร ? เราท่านต้องไม่ลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์ บางทีท่านหวังผลแค่คนเดียว มีครั้งหนึ่งประชาชนฟังเทศน์กันอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ท่านพูดให้เปสการีธิดาฟังอยู่คนเดียว เปสการีแปลว่าผู้กระทำการทอผ้า ก็คือช่างหูก สมัยก่อนเขาทอผ้าด้วยหูก สมัยนี้เขาเรียกว่ากี่ จะเป็นกี่เอวหรือเป็นกี่กระตุกก็ได้ เปสการีธิดาก็ไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ถึงเวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์ใหม่ เจอหน้าเปสการีธิดา พระองค์ก็ทรงตรัสถาม "ดูก่อนเปสการี ดูกรธิดาช่างหูก เธอมาจากไหน ?" เปสการีธิดาทูลตอบว่า "ไม่ทราบพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้า "แล้วเธอจะไปไหน ?" เปสการีธิดา "ไม่ทราบพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้า "เธอไม่ทราบหรือ ?"เปสการีธิดา "ทราบพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้า "เธอทราบหรือ ?" เปสการีธิดา "ไม่ทราบพระเจ้าข้า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2024 เมื่อ 01:57 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
พระพุทธเจ้าประทาน สาธุ เปสการีธิดากลายเป็นพระโสดาบันเลย ส่วนชาวบ้านด่าเช็ด..! หาว่า "อีเด็กไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ บังอาจไปเล่นลิ้นกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!"
พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมาจากไหน ?" เปสการีธิดาไม่รู้ว่าชาติก่อนตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ก็เลยตอบว่า "ไม่ทราบเจ้าค่ะ" พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ ?" เปสการีธิดาตอบว่า "ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือรู้ว่า ถึงไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่รู้ว่าชาตินี้ตายแน่..! พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอทราบหรือ ?" ตอบว่า "ไม่ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหนอีกเหมือนกัน เมื่อพระพุทธเจ้าถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ ?" เธอตอบว่า "ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือรู้ว่าทำความดีจะมีสุคติเป็นที่ไป คราวนี้กลายเป็นพระโสดาบัน เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก คนเป็นพระโสดาบันแล้วเขาไม่อยู่กันนานหรอก เดี๋ยวก็ไปแล้ว มีแต่พวก "โซดา" อย่างพวกเรานี่แหละ ที่ไปไม่รอด เดี๋ยวช่วงบ่ายของเราปฏิบัติธรรมกันต่อ เพียงแต่ว่าพระมีงานก็คือ ต้องลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์ พระพุทธเจ้าให้พระทวนศีลทุก ๑๕ วันจะได้ไม่ลืม แต่ความจริงน่าจะทวนกันทุกวันนะ ถ้าหากว่า ๑๕ วันทวนที ปัจจุบันนี่เห็นลืมอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็ไปปีนเสา เดี๋ยวก็ไปโหนกระแส เพราะว่าลืมศีลตัวเอง เขาติดต่อจะให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปออกโหนกระแส บอกเขาไปว่า "ไม่มีเวลาจะเล่น" ถ้าจะเล่นก็ไปเล่นกันเอง..! เพราะฉะนั้น..พระเราต้องทวนศีลอย่างน้อย ๑๕ วันครั้งหนึ่ง แต่บาลีไม่ได้ใช้คำว่า ๑๕ วัน ท่านใช้คำว่า อฑฺฒมาสํ แปลเป็นภาษาไทยว่า กึ่งเดือน ก็คือครึ่งเดือนครั้งหนึ่ง กึ่งก็คือครึ่งหนึ่ง ถ้าก้ำกึ่งก็ตรงกลางพอดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-11-2024 เมื่อ 02:01 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
พวกเรายุคนี้แปลไทยเป็นไทยไม่ค่อยได้กันแล้วนะ ฟังรู้เรื่องแต่แปลไม่ออก บวชเป็นสมณะถือหม้อคอลุ่นบิณฑบาต คอลุ่นนี่เป็นอย่างไร..? ลุ่นแปลว่าเกลี้ยง ๆ เปล่า ๆ อย่างเช่นว่าตัวลุ่น ๆ ไม่มีอะไรเลย อย่างนี้ก็คือแก้ผ้ามา..!
ภาษาโบราณเขามีเยอะ พวกเราไม่ค่อยจะทัน วันก่อนมีคนอ่านโคลงออกไมค์เป็นพิธีกรด้วย เขาไม่เข้าใจคำว่า "ห่อน" แปลว่าอะไร เขาเลยไปอ่านว่าหอน หอนนั่นเสียงหมา..! คำว่า "ห่อน" ภาษาโบราณแปลว่า "ไม่" "แต่ก่อนบ่ห่อนกลัว วัวจัก หายนา" ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะกลัวว่าวัวจะหาย ไม่ยอมล้อมคอกสักที ห่อนกลัวก็คือไม่กลัว ถ้าไปอ่านตำราเก่า ๆ ดูท่าจะเหลือแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่แปลออก คนอื่นแปลไม่ได้กันแล้วกระมัง ? พวกตำรายา น้ำตาลิง น้ำพิงกะได ทากะได กินกะได ความจริงเขาเขียนว่า น้ำตำลึง น้ำผึ้งก็ได้ ทาก็ได้ กินก็ได้ แต่คนสมัยก่อนเขาเขียนสระกับวรรณยุกต์ไว้บรรทัดบนโน่น คนรุ่นใหม่มองแต่บรรทัดนี้ก็เลยกลายเป็น น้ำตาลิง ไม่ใช่น้ำตำลึง..! หรือไม่ก็ที่โบราณใช้ ง.งู สองตัวแทนเสียงอัง อย่างเช่น กาพย์ฉบงง ๑๖ อ่านว่า กาบ-ฉะ-บัง แต่เราจะเห็นเป็น ฉบ-งง เลยทำให้พวกเราขาดความรุ่มรวยในอักขระ แล้วก็เลยไม่สามารถที่จะร้อยเรียงให้ออกมาเป็นร้อยกรองเพราะ ๆ ได้ พูดไปก็เศร้าใจนะ เรียนมาเสียเยอะเสียแยะ เดี๋ยวเอาไว้ถ้าถึงยุคเมทริกซ์เมื่อไร แล้วจะให้พวกเราเอาแฟล็ชไดรฟ์มา โหลดเอาข้อมูลจากหัวหลวงพ่อไปดีกว่า แต่คงต้องหลายเทราไบต์หน่อยนะ เพราะว่าอ่านหนังสือหมดห้องสมุดไปตั้งแต่ชั้น ป. ๒ พอเข้าเรียน ป. ๕ ย้ายไปอีกโรงเรียนหนึ่ง ก็อ่านหมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด..! เริ่มเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สมัยนั้นเขาใช้ตัวย่อว่า ม.ศ. อ่านหมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด เสร็จแล้วก็ยังซื้อเองอ่านเอง จนกระทั่งก่อนบวชก็เลยสละหนังสือที่จะท่วมบ้านตายให้เขาไปตั้งห้องสมุดได้อีกหนึ่งห้อง ปัจจุบันนี้ก็ยังมีห้องสมุดวัดท่าขนุนอยู่ เดินเข้าไปดูหน่อยสิว่าเขามีหนังสืออยู่กี่เล่ม ? นั่นน่ะ..หลวงพ่อเล็กอ่านแล้วทั้งนั้นนะ เป็นอย่างไรเก๋..ฟังแล้วเครียดไหม ? เอาหัวที่ไหนมาจำวะ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2024 เมื่อ 00:52 |
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
เพียงแต่อยากจะบอกกับพวกเราว่า ถ้าตั้งใจฝึกหัด สภาพจิตของเรานี้ ต้องบอกว่ามีอานุภาพมหาศาลเกินกว่าที่เราจะคาดถึง เนื่องเพราะว่าพอจิตของเราสงบ จะสามารถย้อนดูบันทึกบุญกรรมของแต่ละคนไปได้มากจนเราคิดไม่ถึง
แต่ว่าบุคคลที่จะย้อนดูได้ไม่จำกัดเลยมีแค่ไม่กี่คน มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรเถระ พระโมคคัลลานะเถระ พระมหากัสสปะเถระ พระอนุรุทธเถระ พระนางปชาบดีโคตมีเถรี พระนางอุบลวรรณาเถรี พระนางภัททากัจจานาเถรี พระนางภัททกาปิลานีเถรี เป็นต้น พระนางภัททกาปิลานีเถรี ที่ก่อนหน้านั้นเป็นคู่หมั้นของพระมหากัสสปะ เป็นชีวิตคู่ที่เซ็งมากเลย พ่อแม่บังคับให้แต่งกัน ต่างคนต่างเป็นลูกเศรษฐี ต่างคนต่างไม่อยากแต่ง ถึงเวลาเขาส่งตัวเข้าหอก็เอาพวงมาลัยคั่นกลางเตียงไว้ นอนคนละฝั่ง ตื่นเช้าก็มาเล็งดูพวงมาลัยก่อนว่าด้านไหนเหี่ยว เพราะว่าถ้าไฟราคะเกิด พวงมาลัยด้านนั้นจะเหี่ยวเร็วกว่า ก็อยู่กันมาอย่างนั้นแหละ ก็คือต่างคนต่างไม่อยากแต่ง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร โดนพ่อแม่บังคับ..! ก็รอจนพ่อแม่ตาย ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ก็บอกกับนางภัททกาปิลานีว่า "ดูก่อนน้องหญิง เธอจงรับทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปเถิด ส่วนเราจะออกบวช" นางภัททกาปิลานีก็เกิดความรู้สึกเดียวกัน จึงบอกว่า "สมบัติที่ท่านไม่ต้องการเหมือนน้ำลายที่ถ่มทิ้งแล้ว เราจะรับไปทำไม ? เราก็จะออกบวชบ้าง" ก็เลยประกาศแจกทรัพย์สมบัติให้กับคนทั้งหมด ตัวเองก็เหลือผ้านุ่งผืน ผ้าห่มผืน ถือไม้เท้าหนึ่งอัน ต่างคนต่างตั้งใจว่า "มีพระอรหันต์อยู่ที่ไหนในโลก เราขอบวชอุทิศเฉพาะพระอรหันต์องค์นั้น" แล้วก็เดินออกจากบ้านไปเรื่อย จนกระทั่งไปถึงทางแยก พระมหากัสสปะก็บอกว่า "ดูก่อนน้องหญิง ตอนนี้เราถือเพศเป็นนักบวชแล้ว เดินตามกันแบบนี้คนจะนินทาเอาได้" พระมหากัสสปะจึงบอกให้แยกทางกันไป นางภัททกาปิลานีก็เลี้ยวซ้าย พระมหากัสสปะก็เลี้ยวขวา คราวนี้พวกเราเข้าใจหรือยังที่ว่า "ผู้หญิงต้องซ้าย ผู้ชายต้องขวา" มีที่มาจากตรงนี้เอง คนหนึ่งไปซ้าย ในภายหลังได้พบสำนักภิกษุณี บวชก็เป็นพระอรหันต์ ส่วนพระมหากัสสปะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จมารับที่ใต้ต้นไทร เรียกว่าพหุปุตตนิโครธ แสดงว่าตอนนั้นลูกไทรกำลังดกมาก พหุปุตต คือ ลูกมาก นิโครธหรือนิโครธะก็คือต้นไทร พระพุทธเจ้าประทานโอวาท ๓ ข้อ ไม่เห็นบวชใหม่ให้เลย เพราะถือว่ากำลังใจท่านสละ ตัดออกเพื่อบวชแล้ว ซึ่งความจริงกำลังใจของทั้งสองท่านอย่างน้อยต้องอยู่ระดับสกทาคามี ไม่อย่างนั้นผู้หญิงกับผู้ชายหนุ่ม ๆ สาว ๆ อยู่ด้วยกันแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ทำอะไรกันบ้าง นั่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด แต่พระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวว่ากำลังใจท่านเป็นอย่างไร ไปบอกเอาตอนบวชแล้วว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่..! เห็นหรือยังว่าเขาเป็นกันง่าย ๆ ทำไมหลายคนทำมาตั้งนานไม่เป็นอะไรสักทีเลย นี่อาตมาว่าตัวเองด้วยกระมัง..?! เดี๋ยวพวกเราทำการบวชเนกขัมมะฯ อย่างเป็นทางการกันหน่อย แล้วค่อยปฏิบัติธรรรมต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-11-2024 เมื่อ 00:57 |
สมาชิก 25 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
ก่อนทำวัตรเย็น วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ หลังจากทำวัตรเสร็จ พวกเราเดินลงไปลอยกระทงกัน ใครเดินไม่เก่งมีสิทธิ์ตะครุบกบได้ ทั้ง ๆ ที่กบไม่ค่อยจะมีหรอก อาตมภาพตั้งใจจะสร้างลานสำหรับลอยกระทงเป็นระยะทางยาว ๓๐๐ เมตร จากหัวสะพานหลวงปู่สายฝั่งนี้ยาวออกไปทางสะพานคอนกรีตใหญ่ ซึ่งก็คือแทบจะตลอดหน้าแนววัดท่าขนุนนั่นแหละ..! แต่ปรากฏว่าทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิในช่วงนั้นมาขอร้องว่า "หลวงพ่ออย่าสร้างเลย เพราะถ้าหลวงพ่อสร้างเมื่อไหร่ คนจะไม่ไปลอยกระทงที่ท่าน้ำเทศบาล แต่จะมาลอยกระทงที่วัดท่าขนุนกันหมด..!" ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำลดชั้นลงไปเป็นสามระดับ ระดับหนึ่งก็น่าจะประมาณ ๒ - ๓ ขั้นบันได เผื่อว่าถ้าน้ำขึ้นมากเราก็ลอยกระทงกันด้านบน ถ้าน้ำลดเราก็ตามลงไปลอยขั้นสุดท้าย โดยที่จะมีรั้วรอบขอบชิด กันไม่ให้เด็กหรือคนแก่ตกน้ำ ได้แต่วางแผนอย่างเดียว ไม่ทันจะทำ ทางนายกเทศมนตรีเขามาขอร้องก็เลยไม่ได้ทำ ปล่อยให้เป็นที่ธรรมชาติเหมือนเดิม ถึงเวลาก็เดินกันโซซัดโซเซหัวทิ่มหัวตำลงไปลอยกระทง ตื่นเต้นดีเหมือนกัน..! ลอยกระทงเสร็จใครอยากจะดูผางประทีปก็ต้องขึ้นยอดเขา คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่อาตมาเองหลังจากที่อดข้าวมาสามวันตอนเข้ากรรมฐาน ก็ยังสามารถเดินขึ้นยอดเขาไปเพื่อไปร่วมงานตักบาตรเทโวได้ ใช้เวลาประมาณ ๕ นาทีกว่า ๆ ลองดูสิว่าอย่างพวกเราที่ไม่ได้อดข้าวจะเดินกี่นาทีถึงยอดเขา ได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล" ใช่ไหม ? อาจจะเป็นเพราะว่าอดข้าวแล้วน้ำหนักหายไป ๕ กิโลกรัม ก็เลยตัวเบา เดินง่ายขึ้น ลองอดดูบ้างก็ดีนะ ๙๐ ชั่วโมงน้ำหนักหายไป ๕ กิโลกรัม อาจจะเป็นเพราะว่าฉันน้ำน้อยด้วย เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นโบราณเข้ากรรมฐาน เขาจะให้กรองน้ำใส่บาตรไปบาตรเดียว น้ำหนึ่งบาตรอย่างเก่งก็ไม่เกิน ๓ ลิตร ตลอดเจ็ดวันฉันน้ำแค่นั้น เพราะว่าถ้าฉันมากก็ต้องเสียเวลาไปห้องน้ำ ฉันน้ำน้อยและไม่ได้ฉันอาหารด้วย น้ำหนักลดฮวบ ๆ ไปเลย ประมาณ ๑๘ ชั่วโมงจะหายไป ๑ กิโลกรัม..! พวกเราที่ลดความอ้วนไม่ได้เพราะว่าไม่สามารถห้ามใจตัวเองให้ไม่กิน แค่นั้นเอง ถ้าห้ามใจตัวเองให้ไม่กินได้อย่างอาตมภาพก็สบาย พูดว่าไม่ก็คือไม่ จบกันแค่นั้นเลย บอกกับร่างกายว่า "อีก ๙๐ ชั่วโมงข้างหน้าค่อยมาเรียกร้อง ตอนนี้ไม่มีให้" ร่างกายก็เชื่อฟังดี ถึงเวลาไม่รู้สึกหิวอะไรเลย เข้ากรรมฐานภาวนาไปเรื่อยเปื่อย ไปกราบครูบาอาจารย์บ้าง ถามโน่น นี่ นั่น กับญาติผู้ใหญ่บ้าง ถ้าหากว่าใครห้ามปากตัวเองไม่ให้กินของชอบได้ จะรักษาศีลได้ทุกข้อ กี่ร้อยกี่พันข้อก็รักษาได้ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามปากตัวเอง กับกำลังใจในการห้ามไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ใช้กำลังใจเท่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : เมื่อวานนี้ เมื่อ 08:31 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
สภาพร่างกายพอถึงเวลา ระบบเมตาบอลิซึมจะเตือนให้รู้ว่าร่างกายต้องการอาหารแล้ว ถ้าเตือนแล้วเรายังไม่ฟัง ก็จะบีบให้เราปวดหัว เป็นเรื่องปกติเลย ปวดขมับสองข้าง คล้าย ๆ กับเป็นไมเกรน แต่ความจริงร่างกายของเราสามารถตั้งระบบได้ ก็คือบอกกับร่างกายว่า "ไม่มีให้กิน..! อีก ๑๐ ชั่วโมงค่อยมาทวง" ก็คือคืนนี้ไม่กินให้เอ็งอีกแล้วนะ พอโดนเข้าไปสัก ๒ - ๓ ครั้ง ร่างกายก็จะจำว่า "ช่วงนี้ไม่มีให้กิน" ก็จะเลิกทวงไปเอง
แต่ส่วนใหญ่ก่อนที่จะผ่านช่วงที่เลิกทวงเรา ก็ไม่ไหวเสียก่อน ความจริงก็ไม่ได้ไม่ไหวอะไรหรอก ก็แค่กลัวตาย ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะหิวเป็นลมตาย ใช่หรือเปล่า ? ความกลัวทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งหมด ตรงจุดนี้อาตมภาพสามารถอธิบายได้ชัดแจ้งมาก เพราะว่าตามดูอยู่เป็นปี ๆ ว่าพวกเรากลัวอะไร ท้ายสุดสรุปได้ว่ากลัวตาย..! กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก กลัวทำไม ? เดี๋ยวมันโดดเกาะ..ขยะแขยง..ทนไม่ไหว..ตาย..! โห..อะไรจะบอบบางปานนั้น..! กลัวเสือกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ? ตาย..! กลัวงูกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ? ตาย..! กลัวผีหลอก หลอกแล้วเป็นอย่างไร ? ผีบีบคอเราตาย..! สรุปแล้วลงที่เดียวหมด อย่าเสียเวลาเถียงกับคนที่นั่งดูนั่งเถียงกับตัวเองมาเป็นปี ๆ อย่างอาตมาเลย จะไปบอกว่าอันนี้ไม่ใช่ ไม่ได้กลัวตาย แค่กลัวเจ็บ มีหลายคนนะ..เถียงตัวเองด้วย "ไม่ได้กลัวตายหรอก กลัวเจ็บ" เจ็บมาก ๆ แล้วมึงเป็นอะไร ? ตาย..! ก็คือสรุปว่ากลัวตายนั่นแหละ สมัยนั้นยังอยู่วัดท่าซุง วัดท่าซุงน่ายุคนั้นสงสารมากคืออเนจอนาถ ป่าช้าวัดท่าซุงไม่ใช่ป่าช้าธรรมดา เป็นป่าทึบเลย รกเลย เป็นดงไผ่ ป่าช้าวัดท่าซุงอยู่บริเวณที่เป็นตึกรับแขกใหม่ทุกวันนี้ ที่เรียกว่าตึกรับแขกใหม่ก็เพราะว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านถล่มป่าช้าออก แล้วก็สร้างตึกใหม่ ก่อนหน้านี้ท่านรับแขกอยู่ที่ตึกนวราชบพิตร ข้างหอนาฬิกาหน้าโบสถ์ อาตมภาพก็ต้องโน่น ฝ่างูเงี้ยวเขี้ยวขอกับหนามไผ่เข้าไป ไปถึงก็กางกลด ปูผ้าพลาสติก เหน็บชายผ้า แล้วก็นั่งกรรมฐานอยู่ในนั้นแหละ ซ้ายก็ระแวง ขวาก็ระแวง ว่าจะมีตัวอะไรมาหรือเปล่าวะ ? ผีจะหลอกหรือเปล่า ? ตอนใหม่ ๆ นี่พอย้อนกลับไปดูแล้วตลก พอกลางดึกเสียงงูเลื้อยมา ใบไม้ขยับแกรก ๆ ๆ ๆ กะดูจากเสียงแล้ว เต็มที่ก็ตัวแค่นิ้วชี้เท่านั้นแหละ อีกสักพักหนึ่ง ใจเริ่มปรุง ไม่ได้หยุดแค่นั้น "ตัวแค่นิ้วชี้ ถ้ามีพิษ กัดเราก็ตายนะ..!" เอ้อ ใจปรุงไปโน่น..! ความรู้สึกตอนนี้ "เฮ้ย..น่าจะใหญ่กว่านั้นอีกหน่อยมั้ง ?!" จากที่ตอนแรกมั่นใจว่าไม่เกินนิ้วชี้ ตอนนี้รู้สึกว่าน่าจะตัวใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย เพราะว่าเริ่มกลัวแล้ว ปรุงไปปรุงมาไม่กี่ชั่วโมง งูตัวนั้นรู้สึกว่าจะใหญ่เป็นเสาเรือนแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2024 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ท้ายที่สุดด้วยความบ้าไม่ค่อยกลัวอะไรง่าย ๆ ก็คือกระผม/อาตมภาพมีนิสัยว่าถ้าขึ้นหน้าแล้วตาย ถอยหลังแล้วตาย จะขึ้นหน้าอย่างเดียว มีคติประจำตัวว่า ขึ้นหน้าไปตายเขายังชมว่าเรากล้า ถ้าถอยหลังมาตายเขาจะว่าเราขี้ขลาด เปิดกลดออกไปส่องไฟดูเลย..! แหม..งูปล้องฉนวนขาวดำตัวยาวแค่สองคืบ ไม่เท่านิ้วชี้ด้วย เล็กเกือบเท่านิ้วก้อย ปล่อยให้กูหลอกตัวเองว่ามึงโตเกือบเท่าต้นเสา..! นั่นคือสภาพจิตของเราที่กลัว แล้วปรุงแต่งไปเรื่อย
หลวงตาสินทรัพย์ถึงได้ตั้งฉายาตนเองว่า "พระสิ้นคิด" ก็คือถ้าไม่คิดก็ไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาก็เพราะเราไปคิด คิดอะไร ? อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า สมมติว่าเขาลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ใส่น้ำเปล่า ๆ มาให้ชามหนึ่ง เราจะกินไหม ? ไม่มีใครอยากกิน ถ้าไม่ใช่หิวไส้ขาดจริง ๆ ละก็หมายังเมินเลย..! แล้วเราทำอะไรล่ะ ? ใส่หมูสับ ลูกชิ้น กุ้งแห้ง ตั้งฉ่าย หอมซอย ผักชี พริกป่น น้ำส้มสายชู น้ำตาลอีกนิด ยิ่งปรุงยิ่งอร่อย ปรุงมากเท่าไรก็น่ากินมากเท่านั้น ก็เลยกินไม่เลิก..! ถ้าหยุดคิดได้นี่จะมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย..ไม่ต้องคิดมาก ความจริงแล้วไม่ได้คิดมากหรอก คิดแค่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ได้มาช่วยเราคิดหรอก เพราะฉะนั้น..ใครบอกว่าเป็นคนคิดมาก ไม่ใช่หรอก "มึงคิดคนเดียว" คิดเสียจนนอนไม่หลับ ลองย้อนไปดูใหม่สิ อาตมาสมัยที่คิดจะสึก "เดี๋ยวเราสึกนะ ไปหางานทำ ได้เงินเดือนแค่นี้ เก็บเงินซื้อบ้านสักหลัง ซื้อรถสักคัน แต่งเมียสักคน มีลูกสักสองคน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาบวชใหม่" มันรู้ด้วยนะว่าถ้าไม่ให้มาบวชใหม่เดี๋ยวจะไม่สึก ต้องเปิดทางให้กลับมาบวชใหม่ บังเอิญอาตมาเป็นคนมีสติ ไอ้ห่..ก็ตอนนี้มึงบวชอยู่แล้ว จะตะกายไปลำบากทำไมวะ ?! จบ แล้วก็เริ่มต้นใหม่อีก "ถ้าเราสึกนะ..ฯ" อีกแล้ว..! ลองไปดูความคิดตัวเอง ทุกคนเป็นแบบนี้หมดมันจะ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ครบวงจรแล้วจบ จบแล้วก็ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ อีกเหมือนเดิม คิดอยู่ได้สามวันสามคืนไม่ต้องนอน เก่งจริง ๆ..! หมอเขาบอกว่าเป็นย้ำคิดย้ำทำ..ใช่ไหม ? อันนี้ย้ำคิดยังไม่ได้ย้ำทำ พวกย้ำทำนี่บางทีล้างมือจนถลอกก็มี เพราะฉะนั้น..ต้องทำสมาธิให้มากขึ้น เพื่ออะไร ? กำลังสมาธิสูงขึ้นจะได้รั้งตัวเองให้หยุดได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนรถเบรคแตก จะตกเหว ไม่มีกำลังที่จะหักห้ามตัวเอง เอาวะ..ดูเน็ตฟลิกซ์ไป ห้าทุ่มแล้ว หิวฉิบหายเลย แต่เราตั้งใจว่าจะไม่กิน พอห้าทุ่มครึ่ง "ไม่ไหวแล้วโว้ย..! อ้วนเป็นอ้วนละวะ" กินอีกจนได้..! ก็เพราะว่ากำลังไม่พอที่จะห้ามตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-11-2024 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 24 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
เพราะฉะนั้น..อาตมภาพจึงได้กล่าวว่าปัญหาในการปฏิบัติธรรมเกือบทั้งหมด คำตอบอยู่ที่สมาธิ สมาธิทรงตัวได้นี่จบเกือบทุกอย่างเลย ยกเว้นความเป็นพระอริยเจ้าตอนท้าย อันนั้นต้องอาศัยกำลังสมาธิมาเสริมปัญญา ปัญญาเป็นอาวุธ ไม่มีกำลังก็จะยกไม่ขึ้น ต้องเอาอาวุธมาเพื่อที่จะตัด ในที่นี้ก็คือตัดกิเลส พูดเสียน่ากลัวเลย ไปตัด ไปหั่น ไปฟันทิ้ง ฆ่ากันให้ตาย ขายกันให้ขาด ความจริงไม่ใช่หรอก แค่อย่าไปยุ่งกับมันก็พอ..!
ปฏิบัติธรรมไปให้สติสมบูรณ์พร้อม ปัญญาสมบูรณ์พร้อม ตาเห็นรูป ก็จะหยุดทันทีเลย จะคิดต่อไม่ได้ เพราะรู้ว่าถ้าคิดแล้วจะเป็นอย่างไร ? สมมติว่าเห็นโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ เราคิดอะไร ? หยุดคิดทันไหม ? วันก่อนสาวเขาส่งรูปมา เป็นอะไร ? เป็นราคะ..ใช่ไหม ? พวกชวนขายตรง ไม่กี่ปีมีรถลัมโบร์กีนีขี่ เป็นอะไร ? โลภะ..โลภไปแล้ว ไอ้ห่..นั่นวันก่อนเราอัพสเตตัสขึ้นแล้ว ดันมากดอันไลค์เรา ฆ่าแม่งเลย..! โทสะอีกแล้ว โทรศัพท์เครื่องเดียว รัก โลภ โกรธ หลง มาครบเลย..! ทุกอย่างถ้าหากว่าหยุดคิดได้ รัก โลภ โกรธ หลง จะเกิดไม่ได้ แต่คราวนี้ปัญญาจะต้องพอนะ ถ้าพอจะโคตรเร็วเลย..! คือจะบอกได้ทันทีเลยว่า ถ้าคิดแบบนี้จะเป็นประโยชน์แบบนี้ ถ้าคิดแบบนี้จะเป็นโทษแบบนี้ ก็จะหยุดด้านที่เป็นโทษ เอาด้านที่เป็นประโยชน์ พวกเราลองไปทำดู ภายในวินาทีเดียวเท่านั้น จะสามารถสรุปทุกอย่างให้เรา ออกมาอยู่ในลักษณะของการไม่แพ้กิเลส ก็คือถ้าทำอย่างนี้จะเป็นราคะ ทำอย่างนี้เป็นโลภะ ทำอย่างนี้เป็นโทสะ ทำอย่างนี้เป็นโมหะ แต่ถ้าทำอย่างนี้กุศลจะเจริญ แล้วจะเลือกอะไร ? คนมีปัญญาก็ต้องเลือกด้านที่เจริญด้วยกุศล ถามว่าแล้วจะตั้งหน้าตั้งตาเจริญไปถึงไหน ? ก็ทำไว้ ทำไว้เพราะว่าสิ่งนี้ดีเราถึงได้ทำ เว้นสิ่งที่ชั่วเพราะว่าสิ่งนั้นจะทำให้เราตกต่ำ ละชั่วทำดี ละชั่วทำดีไปเรื่อย ท้ายที่สุดถ้าเต็มเมื่อไรก็จะพอเอง ก็แปลว่าเราต้องเกาะความดีไว้ก่อน พวกที่มาถึงก็ สุญญตา อนัตตา เกาะอะไรไม่ได้เลย นี่อย่าเพิ่งไปเชื่อ พวกนั้นดีแต่ตำรา ไม่เคยทำหรอก ถ้าเราไม่เกาะแล้วเราจะเอาอะไรมาปล่อยจ๊ะ ? คนแบมืออยู่จะมาปล่อยอะไรได้ ก็แปลว่าเราต้องเว้นชั่วแล้วเกาะดีไปก่อน เหมือนอย่างกับคนขึ้นที่สูง ไต่บันไดก็เกาะราวบันไดเพื่อความมั่นคง พอถึงเวลาเราถึงจุดหมาย สมมติว่าถึงห้องนอนแล้ว บางทีปล่อยราวบันไดเดินเข้าห้องไปตอนไหนตัวเองยังไม่รู้เลยเพราะขาดสติ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2024 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ปล่อยตอนไหนยังไม่รู้เลย ขอยืนยัน ลักษณะของผู้ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน บางท่านกว่าจะรู้ อ้าว..กูหมดกิเลสแล้วหรือนี่ ? ยังดีที่รู้..!
รู้เสร็จโดนหลอกหรือเปล่าหนอ ? ก็มาไล่ทบทวนกันใหม่ อันนี้คือญาณ ๓ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัจจญาณ รู้ว่าความเป็นจริงเป็นอย่างนี้ กิจจญาณ ต้องทำอย่างไรถึงจะเข้าถึงได้อย่างแท้จริง กตญาณ ทบทวนเพื่อความมั่นใจว่าเราเข้าถึงแล้วแน่ ๆ นักปฏิบัติต้องอยู่ในลักษณะอย่างนี้ บารมีเราไม่ถึงพระพุทธเจ้าหรอก แต่ท่านทำวิธีไหนเราก็ทำวิธีนั้น ท่านบอกว่ามรรคมีองค์แปด เราก็ลุยตามไปเลย สัมมาทิฏฐิ มีแล้ว ถ้าไม่มีไม่มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เพราะว่าเห็นว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง ร่างกายนี้เป็นทุกข์ ร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ไม่พึงปรารถนาอีก ไปพระนิพพานดีกว่า สัมมาทิฏฐิเต็ม ๆ เลย สัมมาสังกัปปะ คิดอย่างไรให้ถูก ? ก็คิดที่จะพ้นจากกองทุกข์ คิดที่จะละ ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ คิดที่จะละชั่วทำดีนั่นแหละ สัมมาวาจา ก็อย่าไปโกหกใคร อย่าไปด่าว่าใคร อย่าไปพูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน อย่าไปพูดวาจาเหลวไหลไร้ประโยชน์ รู้ไหมว่าพระพุทธเจ้าสอนเราให้ทำของง่าย แต่พวกเราเก่งโคตร..ไปทำแต่ของยาก..! ท่านบอกว่าให้เว้นจากการฆ่าสัตว์ ก็แค่ไม่ทำเท่านั้นเอง แล้วลองไปฆ่าสัตว์ดูสิ สมมติจะฆ่าควายสักตัวหนึ่งต้องใช้เรี่ยวใช้แรงขนาดไหน ? ต้องใช้คนเท่าไร ? กว่าจะฆ่าได้ยากแค่ไหน ? แต่ถ้าเราไม่ฆ่านี่จบเลย..ใช่ไหม ? เว้นจากการลักทรัพย์ ไม่ขโมยเขาไม่ต้องเสียเวลาไปหาลู่ทาง ไม่ต้องกลัวคนอื่นรู้ ไม่ต้องกลัวตำรวจจับ ไม่ต้องกลัวเจ้าทรัพย์สู้ แค่ไม่ลักเท่านั้นเอง..! แต่เรากลับเว้นของง่ายไปทำของยาก น่าทึ่งมากนะ โคตรเก่งเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2024 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
สัมมากัมมันตะ ท่านบอกให้มีการกระทำที่ถูกต้อง ก็รักษาศีลนี่แหละ เว้นการฆ่าสัตว์ เว้นการลักทรัพย์ เว้นการประพฤติผิดในกาม เว้นการดื่มสุรายาเสพติด
สัมมาอาชีพ ทำงานที่ไม่ผิดกฎหมายและไม่ผิดศีลธรรม งานผิดศีลธรรมเป็นอย่างไร ? อย่างเช่นว่ารับซื้อของโจร ขายยาเสพติด มีอาชีพเป็นคอลเซ็นเตอร์ คอลเซ็นเตอร์นี้จริง ๆ แล้วเป็นศูนย์ประชาสัมพันธ์ คอยตอบคำถามของเรา แต่ปัจจุบันคำว่าคอลเซ็นเตอร์นี่บรรลัยเลย หาดีไม่ได้สักอย่างเดียว..! สัมมาวายามะ ความเพียรชอบ สรุปจบแค่นั้นเลย มีความชั่วอยู่ในใจไหม ? ถ้ามีก็ขับไล่มันออกไป..ระมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา มีความดีอยู่ในใจไหม ? ถ้าไม่มีทำให้มีขึ้นมา..มีอยู่แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่แหละความเพียรที่ถูกต้อง สัมมาสติ ท่านบอกว่าเอาสติดำเนินไปในกาย เวทนา จิต ธรรม แบบนั้นฟังยาก ให้รู้ว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา..กูไม่เอาแล้ว..จบ..! สัมมาสมาธิ ทำสมาธิให้ได้ต่ำสุดต้องเป็นปฐมฌานละเอียด ไม่อย่างนั้นกำลังยังไม่พอตัดกิเลส ถ้าทำครบตรงนี้ โอกาสหลุดพ้นมีแน่นอน ถ้าฉลาดมากก็หลุดพ้นเร็ว ถ้าฉลาดน้อยก็หลุดพ้นช้า สรุปลงมาเหลือแค่ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่ความจริงเป็น ปัญญา ศีล สมาธิ เพราะว่าสัมมาทิฏฐิและสัมมาสังกัปปะเป็นปัญญา สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะและสัมมาอาชีวะเป็นศีล สัมมาวายามะ สัมมาสติและสัมมาสมาธิเป็นสมาธิ พระพุทธเจ้าสอนมรรคแปด แล้วมาย่อเหลือสาม อาตมภาพขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทำสมาธิ ศีลเรารักษาเป็นปกติอยู่แล้ว ปัญญาไม่ค่อยใช้กัน หัวสมองซีกซ้ายว่างเปล่า หรือว่าหัวสมองซีกขวาว่างเปล่า ? ว่างไปเสียซีกหนึ่ง..ใช่ไหม ? ยังดีที่ไม่เอาขี้เลื่อยใส่เข้าไปแทน..! เอ้า..บ่นพอแล้ว ได้เวลาทำวัตรค่ำกันก่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2024 เมื่อ 03:15 |
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ มีใครเชื่อบ้างว่ามีคนไปซักผ้ามาแล้วด้วย ? พวกเรามักจะทำอะไรช้า เพราะว่าอันดับแรก สติยังไม่พอ ทำเร็วแล้วพลาดได้ อันนี้เป็นเรื่องปกติ อันดับที่สองก็คือ คิดว่าตัวเองมีเวลามาก ไม่เคยคิดว่าลมหายใจนี้หมดไป ไม่รู้ว่าลมหายใจหน้าจะมีหรือเปล่า ? ก็เลยทำอะไรช้า ใจเย็น เห็นแล้วน่าสงสาร..! เป็นการช้าเพราะประมาท ไม่ใช่ช้าโดยธรรมชาติเหมือนหอยทาก หอยทากเร่งให้ตายก็ได้แค่นั้นแหละ ไปเร็วกว่านั้นไม่ได้หรอก เต็มที่ของเขาแล้ว ส่วนพวกเรานั้นยังพัฒนาได้ อาตมาตั้งแต่อยู่กองโรงเรียนฝึกนักเรียนนายสิบ พอเป่านกหวีดปรี๊ดปลุกขึ้นมานี่ สามนาทีจับเวลาทันทีเลย ตั้งแต่เก็บมุ้ง หมอน พับที่นอนให้เรียบร้อย ลงไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ ห้องส้วม กลับขึ้นมาแต่งตัว แล้วลงไปจัดแถวให้พร้อม ให้เวลาสามนาที ทั้งหมดที่ว่ามานั่นแหละ..! สามนาที ขอยืนยันว่ามีเวลาเหลือด้วย ลองหัดดูบ้าง แล้วเราจะมีเวลาทำความดีเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย..! ตอนช่วงนั้นก็ภาวนาจนชินแล้ว เพียงแต่ว่าการเรียนวิชาทหารนั้นหนักมาก ปลุกตั้งแต่ตีห้า ทั้งวิ่งทั้งกายบริหาร กว่าจะเสร็จสรรพเรียบร้อยก็เจ็ดโมงไปแล้ว มีเวลาอยู่ในโรงเลี้ยงแค่ไม่กี่นาทีสำหรับกินอาหารเช้า บางทีก็เป่าเสียงนกหวีด ปรี๊ดแรกเริ่มกิน ปรี๊ดที่สองต้องอิ่ม แล้วปรี๊ดแรกกับปรี๊ดที่สองบางทีห่างกันแค่สองวินาที..! อิ่มไม่อิ่มก็ต้องอิ่ม..ได้สักคำก็ยังดี..! แล้วก็ไปเตรียมเคารพธงชาติ หลังจากนั้นก็ฝึกยุทธวิธีการรบ ระเบียบแถว ท่าอาวุธ อาวุธศึกษา โน่น..ห้าโมงเย็นเลิก..วิ่งครับ วิ่งออกกำลังต่อไป กว่าจะกายบริหารเสร็จอะไรเสร็จบางทีก็เกือบทุ่ม มีเวลากินข้าว อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ ก็สามนาทีเหมือนเดิม แล้วยังไม่ได้นอนนะจ๊ะ ให้เวลาขัดรองเท้า เข็มขัด เครื่องหมาย ทุกอย่างให้เงาวับภายในไม่กี่นาทีเท่านั้น เสียงนกหวีดปรี๊ดแรกเตรียมตัวนอน ปรี๊ดที่สองต้องหลับเลย ก็แปลว่าเราจะนอนประมาณสองทุ่ม พอสามทุ่มก็ปรี๊ดปลุก ไปฝึกยุทธวิธีรบเวลากลางคืน กว่าจะได้นอนอีกทีก็ตีหนึ่ง ตีสองทุกคืน ตีห้าปลุกอีกแล้ว..! ลองมีชีวิตแบบนี้ดูบ้างไหม ? ด้วยความที่เห็นคุณค่าของการภาวนา ถึงจะนอนตีสองแล้วตีห้าต้องตื่นก็ตาม พอตีสามต้องลุกมาภาวนา เป็นความเคยชินที่ร่างกายจะตื่นเองโดยอัตโนมัติ ลุกขึ้นมานั่งภาวนา รักษากำลังใจของเรา ปรากฏว่าเพื่อนที่เหนื่อยจะตายชักก็ลุกมากวนตีนเราได้เหมือนกัน..! แทนที่จะนอน ถึงเวลาก็คลานมาพนมมือรอบเตียงเลย "หลวงพ่อขอสองตัว..!" พวกเพื่อนเรียกหลวงพ่อตั้งแต่ยุคนั้นเลยนะ..! ไม่นานนี่ก็ยังมาที่นี่กัน ๔ คน ๕ คน บอกว่า "ให้ไปงานเลี้ยงรุ่นดูบ้าง" ถามไปว่า "มึงเลี้ยงกันกี่โมง ?" ตอบมาว่า "ห้าโมงเย็น" บอกไปว่า "เออ..มึงไปเถอะ กูจะไปแดกกับมึงได้ที่ไหน..?!" หนอยแน่..เลี้ยงรุ่นห้าโมงเย็น..! เกษียณกันหมดแล้ว ค่อยมีเวลามาหากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2024 เมื่อ 19:48 |
สมาชิก 17 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
เวลาวิ่งก็วิ่งภาวนา เวลาฝึกกายบริหารก็ภาวนาไปด้วย ต่อให้โดนซ่อมโดนลงโทษก็ภาวนาไปด้วย ถึงได้ยืนยันว่า เราสามารถภาวนาได้ทุกอิริยาบถ หกคะเมนตีลังกาอย่างไรก็ภาวนาได้ ขอให้ตั้งใจทำจริง ๆ เท่านั้น แล้วดีอยู่อย่างก็คือเราจะไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะว่าจิตกับประสาทเป็นคนละส่วนกัน
มีการลงโทษอยู่อย่างหนึ่งเขาเรียกปั่นจิ้งหรีด บางคนเรียกเหล้า ทบ. ก็คือเจอเข้าไปเมาหัวทิ่มทุกราย เขาให้ก้มเอานิ้วมือขวาจิ้มพื้นไว้ มือซ้ายลอดใต้แขนขวาไปดึงใบหูขวาเอาไว้ แล้วก็หมุนไป จะวนซ้ายหรือวนขวาก็ได้ตามจำนวนที่เขาสั่ง ต่ำสุดก็ ๒๐๐ รอบ รับประกันว่าเงยหน้าขึ้นมานี่เดินไม่เป็นสักราย เอียงซ้ายเอียงขวาแล้วก็ล้มฟาดตึง..! เมา..! อาตมาก็ปั่นไปเรื่อย ๆ อยากให้ปั่นเท่าไรก็สั่งมา กูจะทำให้..! ก็คือจิตเราอยู่ข้างในไม่ได้ออกไปข้างนอก ก็เลยไม่รู้สึกเมากับคนอื่นเขา ท้ายที่สุดเพื่อนที่นอนอยู่กระชากขาให้ล้ม พอล้มลงไปกระซิบใส่หูว่า "ไอ้ห่..มึงล้มสักทีสิวะ เพื่อนฝูงจะตายห่..หมดแล้ว..!" ไม่ยอมล้มสักที ครูฝึกเลยสั่งลงโทษไม่เลิก..! จึงทำให้เข้าใจว่าในเรื่องของจิตกับกายนี่ จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ทุกวันนี้เจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหนก็ตาม อย่างตอนนี้ร่างกายก็แย่อยู่นะ แต่บอกมันว่า "ไปทำงานก่อน มีเวลาแล้วค่อยพัก" ครูฝึกเขาสอนมาตั้งแต่ยุคนั้นแล้ว "เวลานอนของพวกเอ็งอีกเยอะ อีตอนอยู่ในโลงศพ..! มึงไม่ต้องรีบนอนหรอกตอนนี้" ตอนอยู่ในโลงศพใครปลุกก็ไม่ลุกแล้ว หรือพอ "โอม..จงลุก..จงลุก" กูก็ลุกเลย แค่นั้นก็บ้าจี้เกินไป..! เพราะฉะนั้น..ถึงเวลาจิตเป็นนาย เราสั่งกายทำอย่างไรก็ได้ สั่งว่าต้องไหวก็ต้องไหว นี่เป็นมโนสัญเจตนา คือจิตที่จดจำได้ว่า ใจตั้งมั่นเอาไว้แบบนั้น ไม่ถึงเป้าหมายไม่เลิก ไม่ถึงเป้าหมายไม่ล้มความตั้งใจ ไม่ถึงเป้าหมายกูไม่ตาย ถึงตายกูก็ต้องไปให้ถึงเป้าหมาย..! อันนี้ไม่ได้พูดเล่นนะ ลองไปอ่านในพุทธวงศ์ดูสิ พระเจ้าสังขจักรบรมจักรพรรดิ ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลื่อมใสศรัทธาสุดขีด ตัดศีรษะตัวเองถวายเป็นพุทธบูชา ด้วยความมุ่งมั่นของจิต ประคองศีรษะถวายถึงพระหัตถ์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศตั้งความปรารถนาขอบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วร่างกายถึงล้ม แปลว่าต่อให้ตายกูก็ต้องทำให้สำเร็จก่อน..! ส่วนพวกเรานะหรือ ? "ช่างมันเถอะ ลืม ๆ มันซะ" ตั้งใจลดน้ำหนักได้สองวันก็เลิกแล้ว "กินต่อดีกว่า อ้วนก็ช่างแม่งเหอะ" ใช่หรือเปล่า ? ใช่ไม่ใช่ก็ช่างมัน เหมาว่าใช่ก็แล้วกันนะ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-11-2024 เมื่อ 19:54 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|