#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ หลัง เรียกตามภาษาชาวบ้านสมัยก่อนคือวันโกน
วันนี้นับว่าเป็นวันมงคลอย่างยิ่งของวัดท่าขนุนของเรา ก็คือท่านสมศักดิ์ อนุราชเสนา เจ้าหน้าที่ประจำพระราชวังระดับ ๑๐ พิเศษ กรมมหาดเล็กฯ เป็นผู้แทนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชธิดา และเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี อัญเชิญผ้าไตรพระราชทานและเครื่องสังฆทานทรงจบ มาถวายให้แก่กระผม/อาตมภาพที่วัดท่าขนุนแห่งนี้ การถวายผ้าไตรเป็นการส่วนพระองค์ในลักษณะอย่างนี้ จังหวัดกาญจนบุรีของเรายังไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้น..คุณโกวิท เพชรงาม รก.ผอ.กลุ่มพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกาญจนบุรี จึงต้องจัดสถานที่ไปถ่ายรูปรายงานทางสำนักพระราชวังไป ตรงจุดไหนที่ไม่สมควรก็ต้องแก้ไข จนกระทั่งสำเร็จเรียบร้อยลงอย่างที่ทุกท่านได้เห็น ท่านสมศักดิ์ ผู้แทนพระองค์ สอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวต่าง ๆ ของวัดท่าขนุนและงานที่กระผม/อาตมภาพได้ทำไป โดยเฉพาะย้ำถึงความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ตลอดจนกระทั่งท่านเจ้าคุณพระสินีนาฏฯ เกี่ยวกับเรื่องการศึกษาของคณะสงฆ์ ทั้งนักธรรม บาลี และปริยัติสามัญ โดยแจ้งให้กระผม/อาตมภาพทราบว่า จะได้รับพระราชทานเครื่องเขียนต่าง ๆ สำหรับอนุเคราะห์ต่อนักเรียนนักธรรมและนักเรียนบาลีอีกวาระหนึ่ง แต่ครั้งนี้คงจะต้องพร้อมกันหลายวัด ได้แต่รอว่าเมื่อไรจะได้รับโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญเครื่องเขียนพระราชทานมาอีกครั้ง กระผม/อาตมภาพจึงได้เรียนท่านไปว่า "ช่วงที่ผ่านมาทางจังหวัดกาญจนบุรี พระภิกษุ สามเณร นักเรียนทั้งบาลีและนักธรรม ที่ได้รับการคัดเลือกไปรับเครื่องเขียนพระราชทาน มีบางรายที่ตัดใจใช้ไม่ลง เอาขึ้นหิ้งไปบูชาไว้แทน" ท่านผู้แทนพระองค์ตอบว่า "ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่เห็นสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเป็นของมงคลใหญ่ในชีวิต แต่โดยพระราชประสงค์ก็คือ ต้องการให้พระภิกษุสามเณรได้ใช้งานจริง ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2023 เมื่อ 01:25 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องของการรับของพระราชทานแล้วต้องใช้เพื่อฉลองพระเดชพระคุณนั้น เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่โบราณ แม้กระทั่งผู้ใหญ่ให้ของมา ก็ต้องใช้ให้ท่านเห็น สมัยก่อนเวลาผู้ใหญ่ประทานของให้ บางทีก็ถามว่า "รับหรือไม่ ?" ผู้ที่ได้รับก็จะตอบว่า "รับประทานขอรับ" แล้วส่วนใหญ่ที่ได้รับในสมัยนั้นก็คือ สำรับกับข้าวที่ผู้ใหญ่ท่านกินไปแล้ว อยู่ในลักษณะที่ว่าเป็นของดี ซึ่งข้าทาสบริวารไม่ค่อยจะได้พบได้เห็น
เมื่อยกสำรับลงมา ทางผู้ดูแลก็จะจัดการปาดเช็ดปากจานชามให้เรียบร้อย คือไม่ให้ดูเลอะเทอะว่าคนกินมาแล้ว ถ้าหากว่าเป็นกับข้าวที่พร่อง ก็พยายามเกลี่ยให้ดูเต็ม แล้วค่อยประทานคือมอบให้กับข้าทาสบริวาร เมื่อข้าทาสบริวารรับไป เขาถึงได้ใช้เรียกอาการนั้นว่า "รับประทาน" ในเมื่อส่วนใหญ่ได้เป็นอาหาร พวกเราก็เลยใช้คำว่า "รับประทาน" แทนคำว่า "กิน" ไปอีกคำหนึ่ง ส่วนทุกวันนี้ที่เราใช้คำว่า "ทาน" นั้นใช้ผิด เพราะคำว่า "ทาน" ภาษาบาลีแปลว่า ให้ กินก็คือกิน ถ้าจะเอาคำสุภาพก็ "รับประทาน" ไม่ใช่ "ทาน" ใครรู้ตัวว่าใช้ผิด ขอให้แก้ไขด้วย ดังนั้น..เมื่อรับพระราชทานมาแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องใช้ฉลอง อย่างที่เห็นครองอยู่นี่ ก็คือผ้าไตรพระราชทาน แม้กระทั่งอาสนะ พัดลมและนาฬิกาเรือนนี้ก็ใช่ แล้วก็ยังมีของที่อยู่ในย่ามอีก แต่ไม่บอกว่าเป็นอะไร เพราะว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ดี สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีก็ดี เสด็จในกรมหลวงราชสาริณีฯ ก็ตาม หรือแม้กระทั่งท่านเจ้าคุณพระสินีนาฏฯ ต่างก็ต้องการในส่วนของบุญกุศล ถึงได้เจาะจงพระราชทานลงมา เราจะเสียดายของไม่ได้..! อยากจะเก็บขึ้นหิ้งบูชาขนาดไหน ก็ต้องใช้ฉลองพระเดชพระคุณไปก่อน หลังจากนั้นใช้ไปจนช้ำ ๆ สักหน่อยหนึ่ง ถ้าอยากจะเก็บจริง ๆ แล้วค่อยว่ากัน แต่อาตมภาพไม่เคยเสียดายของ ใช้กันจนกระทั่งพังไปข้างหนึ่ง หรือไม่ก็ได้รับพระราชทานใหม่นั่นแหละ..! อีกส่วนหนึ่งก็คือในเรื่องของการศึกษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะศึกษาพระกรรมฐานแล้ว ยังศึกษาภาษาบาลีด้วย เห็นความสำคัญของการแปลบาลีให้ถูกต้อง เพราะว่าภาษาบาลีเป็น "ภาษาตาย" ก็คือไม่มีคนใช้แล้ว การเปลี่ยนแปลงความหมายจึงไม่เกิดขึ้น ยกเว้นแต่ว่าภาษาปัจจุบันที่แปล ๆ มาจึงจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย บาลีถ้า "กัตฺวา" เมื่อไรก็ "ไป" ถ้า "ภุญฺชติ" เมื่อไรก็กิน ของเรากินไหม ? บางทีไปต่างจังหวัด เจอเสียงตวาดจากผู้ใหญ่ "จะแดกหรือไม่แดก..!" ก็กินเหมือนกันใช่ไหม ? ไม่ว่าจะเสวย กิน รับประทาน ยัดห่า สวาปาม ก็กินเหมือนกันหมดนั่นแหละ..! นั่นคือความหมายที่เปลี่ยนไปมากในภาษาของเรา แต่บาลีใช้คำเดียว จึงเป็นภาษาที่รักษาพระไตรปิฎก คำว่า บาลี มาจาก ปาลธาตุ ในความรักษา อยู่แล้ว แปลชัด ๆ เลยว่า รักษาไว้ซึ่งพระไตรปิฎก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2023 เมื่อ 01:32 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ในเมื่อพระองค์ท่านศึกษาแล้ว ยังสนับสนุนด้านการศึกษาอีก แม้กระทั่งการสอบแต่ละสนาม ก็พระราชทานเลี้ยงภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณร กระผม/อาตมภาพเองฉันหมดเรียบทุกครั้ง บางท่านก็แตะ ๆ เขี่ย ๆ ไปหน่อยเดียว ถามว่า "ทำไม ?" ท่านบอกว่า "เย็นมาก" คือทำไว้นาน ทำให้ไม่ได้ของร้อน จึงฉันไม่ลง ส่วนกระผม/อาตมภาพไม่เคยรังเกียจอาหาร จะเย็น จะร้อน แม้กระทั่งอาหารบูด ก็ฉันมามากแล้ว..!
อาหารพระราชทานเป็นของดีที่ไม่ใช่ว่าจะได้เจอกันง่าย ๆ และที่สำคัญที่สุดก็คือ กระผม/อาตมภาพฉันหมดเกลี้ยงแล้ว ยังลอกเอาสติกเกอร์ที่ติดหน้ากล่องอาหารไปติดไว้บนที่สูงด้วย เกรงว่าถ้าหากว่าทิ้งลงถังขยะไปทั้งแบบนั้น จะเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คนที่ให้ความเคารพต่อสถาบัน หรือให้ความเคารพต่อพระรัตนตรัย เราก็ต้องระมัดระวังในทุกเรื่อง อย่างวันนี้ที่บรรดาเจ้าหน้าที่ซึ่งติดตามท่านผู้แทนพระองค์มา ขอให้วัดท่าขนุนเผยแพร่เฉพาะในเฟซบุ๊กหรือเว็บไซต์ของตนเอง ใครอยากได้ให้ไปก็อปปี้เอา แล้วสิ่งที่เตือนไว้ก็คือ เลือกภาพที่ดูดีที่สุด ซึ่งเป็นหลักการที่วัดท่าขนุนใช้มาตลอด ที่กระผม/อาตมภาพดุญาติโยมไปหลายคน เวลาครูบาอาจารย์ทำอะไร ชอบถ่ายเบื้องหลัง พอหลุดออกไป ภาพบางภาพทำให้ครูบาอาจารย์โดนเขาตำหนิไม่รู้ตัว..! ต้นไม้ล้มทับตัวอาคารในวัด กระผม/อาตมภาพไปเลื่อยต้นไม้ ญาติโยมก็ภูมิใจที่ครูบาอาจารย์ของตัวเองขยัน ลงมือทำด้วยตัวเอง ถ่ายเอารูปไปลงเฟชบุ๊ก จนต้องด่ากันตรงนั้นเลย..! เพราะว่าการตัดต้นไม้เป็นการพรากของเขียว ผิดพระวินัย เดี๋ยวจะไปเจอไอ้พวกเถรตรง อ่านภาษาบาลีไม่แตก เขาจะด่าเอา แล้วจะเกิดโทษกับตัวเอง เราเองจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้น..ภาพประเภทขุดดิน ฟันหญ้า ตัดต้นไม้ ไม่ถ่ายได้จะดีที่สุด ถ่ายแล้วก็อย่าเผลอปล่อยหลุดออกไป เพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจ คิดแค่จะปล่อยให้วัดรกจนเลี้ยงเสือได้..! พระภิกษุสามเณรห้ามพรากของเขียวก็ไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2023 เมื่อ 01:37 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
โดยที่ไม่ได้คิดว่า การทำความสะอาดวัด ทำให้วัดวาอาราม สว่าง สะอาด สงบ คนเห็นก็อยากจะเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้ว ได้รับผลดีในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ก็เป็นการยังพระพุทธศาสนาให้เจริญ ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วก็ไปเถรตรงว่า พระภิกษุห้ามพรากของเขียว ซึ่งกระผม/อาตมภาพอยากจะกำหนดเอาไว้ที่นี่ว่า "ถ้าพรากของเขียวไม่ถึง ๑ ไร่จะปรับอาบัติ..!"
ถ้าถามว่าฝืนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเอาไว้ผิดไหม ? ผิด..แต่การทำให้วัดวาอาราม สะอาด สว่าง สงบ คนอยากเข้าวัด มีบุญมากไหม ? มี..ในเมื่อดีชั่วหักกลบลบล้างกันแล้วพอมีกำไร กระผม/อาตมภาพหน้าด้านทำอยู่แล้ว ปล่อยให้ไอ้พวกหน้าบางปล่อยให้วัดรกเป็นป่า แล้วหาคนเข้าวัดไม่ได้ จนพระพุทธศาสนาพังลงในเวลาอันรวดเร็วต่อไป..! พวกเราขยันทำของเราไปเถอะ ถ้าใครไม่ทำต่างหากที่อาจจะโดนตบหัวหลุด..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-08-2023 เมื่อ 01:40 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|