#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๖
|
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันศุกร์สิ้นเดือนที่คนกรุงเทพมหานครและปริมณฑลกลัวกันมาก เพราะว่ารถจะติดอย่างชนิดที่เรียกว่าแทบจะไม่กระดิก
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าจำนวนรถยนต์ในกรุงเทพมหานครนั้นมีมากกว่าพื้นที่ถนน พื้นที่ถนนในกรุงเทพมหานครสามารถรองรับรถยนต์ได้ประมาณ ๔ ล้าน ๔ แสนคันเท่านั้น แต่ว่ารถยนต์ทุกประเภทที่จดทะเบียนรวมกันในกรุงเทพมหานครมีประมาณ ๙ ล้านคันเข้าไปแล้ว มากกว่าพื้นที่ถนนถึงเท่าตัวกว่า..! ถ้ารถทุกคันออกสู่ท้องถนนพร้อมกัน กรุงเทพมหานครจะกลายเป็นอัมพาตทันที แต่เหตุที่ทุกวันนี้ยังวิ่งได้อยู่ ก็เพราะว่าบางบ้านมีรถหลายคัน แล้วเวลาการทำงานก็เหลื่อมล้ำกัน จึงทำให้ยังสามารถที่จะใช้รถใช้ถนนกันในลักษณะ "ทนติดเอา" ไปได้จนทุกวันนี้ ถ้าจะแก้ไขปัญหาทั้งหลายเหล่านี้ ก็เกรงว่าบรรดานักการเมืองของเราจะไม่ยินดีช่วยเหลือประชาชน เนื่องเพราะว่าบริษัทรถยนต์ส่วนใหญ่ก็เป็นผู้อุปถัมภ์พรรคการเมืองทั้งนั้น เมื่อได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงมักจะต้องหาทางให้บริษัทเหล่านี้จำหน่ายรถได้มาก ๆ ถ้าต้องการที่จะแก้ไขการจราจรติดขัดในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลอย่างแท้จริงนั้น อันดับแรกเลยก็คือต้องจำกัดจำนวนรถยนต์ อันดับที่สองก็คือต้องสนับสนุนขนส่งสาธารณะให้มีจำนวนมากและคล่องตัว ตรงเวลากว่านี้ ส่วนใหญ่แล้วเราทั้งหลายที่ไปต่างประเทศก็จะเห็นกันอยู่ อย่างเช่นว่าประเทศญี่ปุ่นนั้น ถ้าหากว่าใครจะซื้อรถยนต์ต้องมีที่จอดรถยนต์เสียก่อน เมื่อไปแจ้งแล้ว ทางบริษัทจำหน่ายรถยนต์ก็จะมาตรวจสอบสถานที่ เมื่อมั่นใจว่าท่านมีที่จอดอย่างแท้จริงแล้วถึงจะจำหน่ายรถยนต์ให้ ไม่เช่นนั้นแล้วบริษัทจะโดนลงโทษหนักมาก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:11 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพไปดูแล้วก็ยังกลัวอยู่ว่า ถ้าเป็นบ้านเรา ค่าจอดรถยนต์แพงขนาดประเทศญี่ปุ่น หลายคนคงได้ล้มละลายสิ้นเนื้อประดาตัวเป็นแน่..! เนื่องเพราะว่าในชั่วโมงปกติ ค่าจอดรถตกชั่วโมงละ ๘๐๐ เยน ก็ราว ๆ ๒๐๐ กว่าบาท ถ้าหากว่าในช่วงดึก อย่างเช่นว่าตี ๑ ตี ๒ ก็ประมาณชั่วโมงละ ๖๐๐ เยน หรือว่าเกือบ ๒๐๐ บาท..!
ในเมื่อมีการควบคุมกันในลักษณะนี้แล้ว เขายังมีการจัดการขนส่งสาธารณะ โดยเฉพาะรถไฟ ซึ่งตรงเวลามาก ผิดเวลาเต็มที่ไม่เกิน ๓ วินาทีเท่านั้น ทุกคนจะรู้ว่าถ้าท่านขึ้นรถไฟขบวนนี้ จะไปถึงที่ทำงานเวลาไหน แล้วส่วนที่น่าทึ่งมากก็คือญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เล็กมาก แต่ว่าสถานนีรถไฟแต่ละแห่งนั้นกว้างขวางชนิดที่เราจ้ำเต็มฝีเท้าแล้วยังเหนื่อย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงทำให้ประเทศญี่ปุ่นนั้นมีสโลแกนว่า "อยากไปถึงเร็วให้ใช้ขนส่งสาธารณะ อยากไปถึงช้าให้ใช้รถยนต์ส่วนตัว" เขาจึงสามารถที่จะแก้ไขปัญหารถยนต์ได้ โดยเฉพาะบริษัทห้างร้านของญี่ปุ่นถึงจะมีรถยนต์ ส่วนใหญ่แล้วบุคคลทั่วไปจะไม่นิยมใช้รถยนต์ แต่ใช้การขนส่งสาธารณะ เนื่องเพราะว่าการซื้อรถยนต์นั้น ปีแรกถือว่าจ่ายภาษีตามปกติ ปีที่สอง ภาษีเพิ่มขึ้นมาเกือบครึ่งราคาของรถยนต์คันนั้น ปีที่สามภาษีเกือบจะซื้อรถยนต์คันใหม่ได้เลย จึงไม่มีใครที่คิดอยากจะมีรถยนต์ส่วนตัว นอกจากบุคคลที่เงินถุงเงินถัง จนไม่รู้ว่าจะเอาเงินไปทำอะไรแล้ว อีกประเทศหนึ่งที่กระผม/อาตมภาพอยากจะยกตัวอย่างก็คือประเทศออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลียนั้น ถ้าท่านจะซื้อรถยนต์คันใหม่ ต้องนำรถยนต์คันเก่าไปให้เขายุบเป็นเศษเหล็กเสียก่อน แล้วถอดเอาทะเบียนของคันเก่านั้น มาใส่ข้อมูลของรถยนต์คันใหม่เข้าไปแทน การเสียภาษีก็เสียเฉพาะเวลาที่ท่านใช้งาน อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าเดินทางไปต่างประเทศ ๑ เดือน ท่านสามารถถอดทะเบียนรถยนต์ไปฝากไว้กับสถานีตำรวจ แจ้งงดใช้รถยนต์ แล้วปีนั้นท่านก็เสียภาษีแค่ ๑๑ เดือน อีก ๑ เดือนที่ท่านฝากทะเบียนไว้ เพราะว่าไม่ได้อยู่ใช้รถยนต์ ท่านก็ไม่ต้องเสียภาษี เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:13 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
แล้วประเทศออสเตรเลียนั้น ยังมีการควบคุมรถยนต์ใหม่อย่างเคร่งครัดมาก ก็คือในแต่ละปีจะให้เพิ่มได้กี่เปอร์เซ็นต์ อย่างเช่นว่าปีนี้ให้มีรถใหม่เพิ่มได้ ๒ เปอร์เซ็นต์ ปีโน้นให้มีรถใหม่เพิ่มได้ ๓ เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในลักษณะอย่างนี้ แทบจะไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของรถยนต์ใหม่กันเลยทีเดียว เพราะว่ารถยนต์ร้อยคันให้เพิ่มได้แค่ ๒ คัน หรือว่า ๓ คันเท่านั้นเอง..!
ถ้าบ้านเราเอาระบบนี้มาใช้งาน เชื่อมั่นว่าเราสามารถที่จะควบคุมจำนวนรถยนต์ได้ และเมื่อสนับสนุนขนส่งสาธารณะให้มีความคล่องตัว ถึงเวลาขึ้นแล้วสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้ตรงเวลา ก็เชื่อว่าไม่มีใครอยากที่จะมีรถยนต์เอาไว้ให้เกะกะ เนื่องเพราะว่าเสียภาษีก็แพง ค่าที่จอดก็แพง แถมยังใช้งานไม่ได้อย่างใจเหมือนอย่างกับรถสาธารณะอีกด้วย อีกสักครู่หนึ่ง กระผม/อาตมภาพต้องออกไปร่วมงานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิและงานลานบ้านลานวัฒนธรรม ซึ่งไปในสองฐานะ ฐานะแรกก็คือเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาในการจัดงานเทศกาลฯ อีกฐานะหนึ่งก็คือประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอทองผาภูมิ ที่ต้องลงไปดูแลเรื่องของงานลานบ้านลานวัฒนธรรม แต่เนื่องจากว่าเขากำหนดเวลาพิธีเปิดเอาไว้ที่ทุ่มครึ่ง กระผม/อาตมภาพจึงไม่สามารถที่จะเดินทางไปได้แต่เช้า เพราะว่าในช่วงบ่ายนี้มีการประชุมพระสังฆาธิการในเขตปกครองคณะสงฆ์ภาค ๑๔ แล้วเมื่อประชุมเสร็จ กระผม/อาตมภาพต้องมาบันทึกเสียงให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะได้เดินทางไป จะต้องพยายามที่จะให้พิธีเปิดงานนั้นจบสิ้นลงไม่เกิน ๒ ทุ่มครึ่ง ไม่เช่นนั้นกระผม/อาตมภาพก็คงจะมาลาเรียกำเริบ สั่นอยู่ในงานให้ขายหน้าชาวบ้านเขาอย่างแน่นอน..! งานเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิที่ผ่านมาไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เนื่องเพราะว่ามีปัญหาหลายอย่างด้วยกัน ปัญหาที่หนึ่งก็คือ ผลไม้ชื่อดัง เช่น เงาะทองผาภูมิ หรือว่าทุเรียนทองผาภูมิ มีไม่เพียงพอที่จะรองรับนักท่องเที่ยวได้ตลอดงานทั้ง ๕ วัน ประการที่สองก็คือราคาผลไม้นั้นแพงมาก อย่างเช่นว่าปีนี้ ทุเรียนทองผาภูมิราคากิโลกรัมละ ๑๗๐ - ๑๘๐ บาททีเดียว ซึ่งราคานี้ ท่านทั้งหลายที่อยู่กรุงเทพมหานคร สามารถซื้อทุเรียนดี ๆ ในราคารับประกันนี้ได้เลย ก็คือถ้าคุณภาพไม่ดีก็ไม่ต้องเอาไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:16 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
สาเหตุที่สามก็คือมีบุคคลนำเอาผลไม้ที่อื่นมาจำหน่าย หรือว่านำเอาผลไม้อ่อนที่อายุยังไม่ถึงเข้ามาจำหน่าย ทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงของเทศกาลผลไม้ของดีทองผาภูมิ
แต่ว่าคณะกรรมการเมื่อประชุมกันแล้วกลับแก้ไขปัญหาผิดจุด อย่างเช่นว่าคนมาน้อย แทนที่จะดูว่าเกิดจากสาเหตุอะไรทั้งหลายที่กระผม/อาตมภาพกล่าวมา ก็กลายเป็นว่าไปเพิ่มสิ่งที่คิดว่าจะเรียกคนได้ อย่างเช่นว่า จัดการประกวดธิดาชาติพันธุ์ หรือว่าการจ้างวงดนตรีมาแสดงตลอดทั้ง ๕ วัน ซึ่งเป็นรายจ่ายที่แพงขึ้นโดยใช่เหตุ แล้วบุคคลที่จะมาดูดนตรี ฟังดนตรี หรือว่ามาเต้นเอามันนั้น ก็เป็นคนละกลุ่มกันกับบุคคลที่ตั้งใจมาชิมผลไม้ของดีของเรา แต่ว่าในช่วงการประชุมหลายวาระที่ผ่านมาของคณะกรรมการจัดงาน กระผม/อาตมภาพก็ติดงานสำคัญทางคณะสงฆ์บ้าง ติดงานพุทธาภิเษกที่ให้คนอื่นไปแทนไม่ได้บ้าง จึงไม่ได้เข้าร่วมประชุมแม้แต่ครั้งเดียว..! ทำให้ไม่มีใครทักท้วงว่างานของเรานั้นแก้ไขปัญหาผิดจุดไปแล้ว เนื่องเพราะว่าคนเราส่วนใหญ่ก็มักจะรักตัวเอง ทักท้วงไปแล้วก็เกรงว่าคนอื่นจะเกลียดขี้หน้าของเรา..! คราวนี้ท่านทั้งหลายทำงานโดยไม่ได้เห็นแก่ส่วนรวม หากแต่ว่าทำโดยเห็นแก่ส่วนตัวในลักษณะอย่างนี้ นอกจากจะผิดหลักธรรมทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง เนื่องเพราะว่าเข้าไม่ถึงตัวปัญหา ในเมื่อเราไม่เข้าใจในตัวปัญหา เข้าไม่ถึงตัวปัญหา ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือว่าปรับปรุงงานนั้นให้ดีขึ้นมาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:18 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากว่า ถ้าการที่เราลงทุนเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แล้วมีผลไม้ไม่พอจำหน่ายทั้ง ๕ วัน หรือว่าที่จำหน่ายอยู่ก็ราคาแพงเกินไป ตลอดจนกระทั่งเป็นผลไม้ที่อื่นแทรกเข้ามาบ้าง เป็นผลไม้อ่อนที่ไม่ได้อายุในการจำหน่ายบ้าง ก็ย่อมทำให้นักท่องเที่ยวที่เคยมาแล้วเข็ดหลาบ ต่อไปก็ไม่มาในงานนี้อีก
นักท่องเที่ยวใหม่ ๆ ที่หลงเข้ามา เมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ อย่างเช่นว่าซื้อทุเรียนไปแล้ว อาทิตย์หนึ่งก็ยังไม่สามารถที่จะกินได้ เพราะว่าเป็นทุเรียนอ่อน ไม่สุกเสียที เขาทั้งหลายเหล่านั้นก็คงจะเข็ดและบอกต่อ ๆ กันไปว่า "ไปถึงนอกจากจะเจอของแพงแล้ว ยังเจอผลไม้อ่อนอีกต่างหาก" เขาทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่ตัวคนเดียว เดี๋ยวนี้สื่อโซเชียลต่าง ๆ ไปเร็วมาก ย่อมทำให้ข่าวคราวทั้งหลายเหล่านี้กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วงานผลไม้ของเราก็อาจจะย่ำแย่ จนกระทั่งล้มละลาย ไม่สามารถที่จะจัดงานต่อ ๆ ไปได้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายรักที่จะทำงานเพื่อส่วนรวม ต้องประกอบไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่เห็นแก่หน้าใคร ส่วนท่านที่เข้ามาค้าขาย ก็อย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากนัก ท่านเอากำไรแต่น้อย ขายสินค้าได้มาก ก็เท่ากับได้กำไรมาก แต่ถ้าหากว่าท่านโลภมาก ก็จะเกิดอาการลาภหาย เหมือนอย่างกับสุภาษิตคำพังเพยไทย อย่างในปีที่ผ่าน ๆ มาก็เป็นได้ สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๓๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-07-2023 เมื่อ 03:20 |
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|