|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#141
|
||||
|
||||
ถาม : พอพูดถึงกำลังใจ แล้วกำลังใจนี่คืออะไรครับ ?
ตอบ : ความดีทั้งหมดที่คุณสร้างสมมาใน ศีล สมาธิ ปัญญา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2016 เมื่อ 15:45 |
สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#142
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาฝึกปกติ เมื่อเราคิดเราจะไปแยกจิตเหมือนคุยกับตัวเอง เหมือนคนบ้าที่คุยกับตัวเอง ?
ตอบ : ผิดตั้งแต่คิดแล้ว คิดเมื่อไรก็ทุกข์ เพราะความคิดถ้าไม่ไปอดีตก็ไปอนาคต ทำอย่างไรที่เราจะหยุดอยู่กับปัจจุบันได้ ดูอาการเกิดดับให้เห็นเป็นปกติธรรมดาอย่างนั้น ถาม : แต่ไม่ใช่ว่าตั้งใจคุยกับจิต หรือเตือนจิตว่าอย่าทำอย่างนี้...? ตอบ : ถ้าหากว่าลักษณะอย่างนั้นเขาเรียกว่าความเป็นทิพย์ของใจ แต่ว่าความเป็นทิพย์ก็มีทั้งความเป็นจริงแล้วก็มีทั้งอุปาทาน ต้องฝึกซ้อมให้คล่องจริง ๆ ไม่อย่างนั้นจะแยกไม่ออก ส่วนใหญ่แล้วอุปาทานคือสิ่งที่เรายึดเอาไว้จากสิ่งที่เราอ่านมา ได้ยินได้ฟังมา แล้วพอไปเจอเข้ากับเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ก็ไปยึดเอาของเก่าของเราเป็นหลัก เขาถึงได้เรียกว่าอุปาทาน ถาม : แล้วความเป็นทิพย์ของใจเกิดได้อย่างไรครับ ? ตอบ : มีสภาพปกติของใจอย่างนั้น จิตมีสภาพรู้ แต่เพียงแต่ว่าการรู้นั้น ถ้าเราต้องการรู้ที่สุดคือการรู้ธรรมที่แท้จริง เรียกว่ารู้ธรรมที่แท้จริงคืออะไร คือรู้เห็นอริยสัจ ฉะนั้น...การรู้ต่าง ๆ ควรจะรู้ในลักษณะของการลด รัก โลภ โกรธ หลง ของเรา ไม่ใช่รู้เพื่อที่จะฟุ้งซ่านไปใหญ่ไปโต ไม่ว่าสวรรค์กี่ชั้น พรหมกี่ชั้น พระนิพพานเป็นอย่างไรกูจะรู้ให้หมด ลักษณะอย่างนั้นกลายเป็นเอากิเลสมาทับถมตัวเองมากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2016 เมื่อ 15:47 |
สมาชิก 148 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#143
|
||||
|
||||
ถาม : จิตนี้จริง ๆ มีแค่ดวงเดียว มีเกิดดับ ๆ ตามอารมณ์ แล้วกายละเอียดเป็นอย่างเดียวกับจิตไหมครับ ?
ตอบ : ก็คือจิตนั่นเอง เราต้องการเห็นเป็นดวงก็เป็นดวง ต้องการเห็นเป็นกายก็เป็นกาย ก็คือผู้รู้ที่อยู่ข้างใน แล้วผู้รู้ตัวนี้มีสภาพอย่างไร ? มีสภาพตามกำลังใจของเราตอนนั้น ถ้ากำลังใจต่ำก็มีสภาพเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วแต่ระดับของใจ ถ้าสภาพจิตดีก็เป็นเทวดา เป็นพรหม ถาม : แล้วจริง ๆ อทิสมานกายสามารถแยกเป็นหลาย ๆ กายได้ ? ตอบ : เป็นจิตเดียว แต่สามารถทำงานหลายอย่างพร้อมกันได้ จึงสามารถแยกเป็นร้อยเป็นพันพร้อม ๆ กันได้ แต่ไม่ว่าปลายจะแยกออกไปเท่าไร ต้นสายก็มีหนึ่งเดียว ถาม : แล้วใช้ประโยชน์อย่างไรครับ ? ตอบ : ก็ถ้าขี้เกียจขึ้นมาก็แยกใจทำงานหลาย ๆ พร้อมกันได้ ถ้าขยันขึ้นมาก็ค่อย ๆ ทำทีละอย่างไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2016 เมื่อ 15:48 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#144
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เราเปิดร้านอาหารแล้วเราไปซื้อเนื้อสัตว์ จะทำให้ศีลข้อฆ่าสัตว์มัวหมองไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้สั่งให้ฆ่าและไม่ได้ลงมือฆ่าเองก็ไม่เป็นไร ถาม : การที่เราไปจ่ายตลาดบ่อย ๆ แล้วร้านนั้นเขาเตรียมของให้เราโดยที่เราไม่ได้บอก ? ตอบ : เรื่องของเขา ไม่ได้เกี่ยวกับเรา ถาม : การตั้งใจไปหาแหล่งเนื้อสด กุ้งสด แต่เราต้องการแค่ความสด ไม่ได้สั่งให้ฆ่า ? ตอบ : ถ้าหากว่ายิ่งสดเท่าไรก็ยิ่งเสี่ยงต่อความเป็นโทษเท่านั้น อาตมาเคยเดินเข้าไปในร้านอาหารร้านหนึ่ง แล้วสั่งได้แต่ผัดกะเพราไข่ดาว เพราะกุ้งหอยปูปลาเป็น ๆ ว่ายเต็มตู้ไปหมด แล้วเขาก็ถือสวิงมารอตักว่าจะสั่งตัวไหน...! ถาม : ถ้าเราจะตั้งใจจะถือศีลให้ละเอียดจะเปิดร้านอาหารได้ไหมครับ ? ตอบ : เปิดร้านมังสวิรัติสิวะ...! ถาม : แต่คนไม่ค่อยเข้า ? ตอบ : จะไปกังวลอะไร ไม่กินก็เรื่องของมึง กูจะนั่งถือศีล...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 21:45 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#145
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมพุทธคุณถึงมีอายุเวลาว่า ๒,๐๐๐ ปีบ้าง ๓,๐๐๐ ปีบ้าง ?
ตอบ : ไม่มีอายุเวลา ที่มีอายุเวลาเป็นไปตามกำลังสมาธิของคนทำที่อธิษฐานทิ้งไว้ ถาม : หมายความถ้าคนสร้างอาราธนาพุทธคุณ พุทธคุณก็ไม่มีวันเสื่อมอยู่แล้ว ? ตอบ : ไม่มีวันเสื่อมอยู่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:10 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#146
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาเราสวดมนต์ครับ พลังของการสวดมนต์มาจากไหน ?
ตอบ : เกิดจากกำลังใจที่แน่วแน่ ยิ่งแน่วแน่เท่าไร กำลังก็สูงมากเท่านั้น สรุปง่าย ๆ ว่าเกิดจากสมาธิ ถาม : แต่ไม่ได้แปลว่าสวดมนต์กำลังสมาธิจะน้อยกว่าเวลานั่งสมาธิจริง ๆ ? ตอบ : อาตมาสวดได้ยันพระนิพพานเลย ใครทำได้น้อยก็ผลน้อย ใครทำได้มากก็ผลมาก แล้วแต่ตัวเอง การทำสมาธิไม่ได้บังคับว่าต้องนั่งทำอย่างเดียว อยู่ในอิริยาบถอะไรก็ทำได้ ทำอะไรอยู่ก็สามารถทรงสมาธิได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:11 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#147
|
||||
|
||||
ถาม : ข้อสุดท้ายครับผม
ตอบ : เอาให้แน่นะ...มีเกินโดนเหวี่ยง...! ถาม : คำถามสุดท้ายของตอนนี้ครับ พระปัจเจกพุทธเจ้าทำไมท่านอธิษฐานอย่างนั้น ทำไมท่านไม่อธิษฐานที่จะสอนคนอื่นด้วย ? ตอบ : ท่านเบื่อคุณน่ะ...! รับผิดชอบตัวเองคนเดียวก็เป็นภาระมากอยู่แล้ว ไปรับผิดชอบคนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนก็ไม่ไหว เพียงแต่ว่าท่านต้องการจะรู้เหมือนกับพระพุทธเจ้า ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เห็น พูดง่าย ๆ ว่าอยากรู้ครบแต่ไม่อยากมีภาระ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:12 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#148
|
||||
|
||||
ถาม : คำถามสุดท้ายของสุดท้ายครับ เพื่อนเราเขามีคำถามว่า ถ้าเราเหยียบสัตว์โดยไม่ตั้งใจแล้วสัตว์นั้นยังไม่ตายดี ก็ตั้งใจสงเคราะห์ด้วยการเหยียบซ้ำอีกทีให้ตาย เป็นบาปกรรมหรือไม่ ?
ตอบ : ครั้งแรกไม่มีโทษฆ่าสัตว์ ครั้งที่สองโทษเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถาม : เขาหวังดีกับสัตว์นั้นไม่ให้ทรมาน ? ตอบ : อันดับแรก สัตว์นั้นมีชีวิตอยู่ อันดับ ๒ เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต อันดับ ๓ เราตั้งใจฆ่า อันดับ ๔ เราลงมือฆ่า อันดับ ๕ เราฆ่าสำเร็จ แบบนี้เกิดโทษ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เต็ม ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปก็ลงไป ๒๐ ฉะนั้น...ครั้งที่สองนี่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ถาม : สมมติว่าเราขี่มอเตอร์ไซค์แล้วหมามาจะกัดเรา เราจึงเตะเพื่อป้องกันตัว ? ตอบ : รถมอเตอร์ไซค์ล้ม...รับประกันได้เลย หมาที่บ้านอาตมาชอบให้คนเตะมาก ลากคนลงจากมอเตอร์ไซค์ทั้ง ๆ ที่กำลังเตะนั่นแหละ บอกแล้วว่าการกระทำเขาดูที่เจตนา แม้แต่กฎหมายก็ยังพิจารณาว่าเจตนาฆ่าหรือไม่เจตนาฆ่า เจตนาทำร้ายหรือไม่เจตนาทำร้าย เรื่องของหลักธรรมก็คล้ายคลึงกัน ถามว่าบาปไหม ? บาปก็น้อยลงหน่อยเพราะป้องกันตัว ถาม : การที่เราป้องกันตัวบาปจะน้อยลง ? ตอบ : อาจจะเหลือ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายเขาโดยตรง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:14 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#149
|
||||
|
||||
ถาม : ผมตั้งใจเตรียมของไว้ใส่บาตรแต่ผมลืมบอกคนในบ้าน ปรากฏว่าคนในบ้านเอาไปกินเอง เราตั้งใจชำระหนี้สงฆ์แทนได้ไหมครับ ?
ตอบ : ไปบอกเขาว่าเราตั้งใจทำอย่างนี้ ๆ แต่ปรากฏว่าคุณกินไป เราก็เลยชำระหนี้แทน โปรดโมทนาด้วย ต่อไปจะได้รอบคอบกว่านี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:14 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#150
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "การช็อปปิ้งเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์มาแต่โบร่ำโบราณ ตัวอย่างการช็อปปิ้งที่เลยเวลาโดยไม่เจตนาคือท่านแม่มัทรี วันที่ชูชกมาขอกัณหาชาลีท่านโดนเทวดาแกล้ง เพราะถ้าเก็บผักผลไม้ได้มากเหมือนเดิม ได้ง่ายเหมือนเดิม กลับไปทันก็จะไม่ให้กัณหาชาลี ก็เลยโดนเทวดาแกล้ง ที่ ๆ เคยหาได้ก็หาไม่ได้ ต้องเดินไกลไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งห่วงลูกทนไม่ไหว “เอาละ...ถึงได้น้อยก็กลับแล้ว” เทวดาก็ยังอุตส่าห์แปลงเป็นเสือเป็นสิงห์ไปขวางทางไว้อีก ตรงจุดนี้เวลาที่เขาเทศน์มหาชาติพอโอดครวญขึ้นมา คนฟังประเภทน้ำตาไหลน้ำตาร่วง ท้ายสุดต้องควักกระเป๋าติดกัณฑ์ถึงจะเลิกครวญสักที
ตำราของหลวงปู่สังข์เฒ่า วัดละหารไร่ ตกทอดมาถึงหลวงปู่ทิม ท่านก็เลยทำลูกอมเทียนมัทรี ลูกอมเทียนมัทรีพอถึงเวลาเขาจะเทศน์มหาชาติ ก็จะให้ตั้งเทียนขี้ผึ้งเป็นราวพราวไปหมดเลย แล้วก็จุด ๆ ให้เยอะที่สุดเพราะต้องการน้ำตาเทียน พอเทศน์ไปถึงตอนที่มัทรีกำลังคร่ำครวญถึงลูก ก็ให้สาวพรหมจารีรีบไปเก็บน้ำตาเทียน ร้อนมือแค่ไหนก็ต้องเก็บรวบรวมไว้ให้มากที่สุด เก็บไปถึงตอนที่พระนางมัทรีใจอ่อน ยอมโมทนาตามพระเวสสันดรที่ให้ลูกเขาไปก็หยุดเก็บ เขาเอาเคล็ดลับแค่นั้นแหละ ว่าแม่ที่รักลูกปานจะขาดใจยังอุตส่าห์สละลูกได้ ต้องมีการตากแดดกี่เสาร์กี่อังคารให้ยุ่งไปหมด เอากระดาษสาลงอักขระเป็นไส้ แล้วเอาเทียนมาแผ่หุ้ม ปั้นเป็นลูกอม เป็นมหานิยมสุด ๆ ขนาดแม่รักลูกแทบขาดใจยังสละลูกให้ได้ ฉะนั้น...ไปเอ่ยปากขออะไรใครก็คงไม่พลาด เพียงแต่ว่าลูกอมเทียนมัทรีทำยาก มาถึงสมัยนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะสาวพรหมจรรย์หายากมาก สมัยก่อนเครื่องรางของขลังมีหลายอย่างที่เกี่ยวเนื่องด้วยสาวพรหมจารี อย่างเช่นว่าต้องไปขอด้ายที่สาวพรหมจารีเขาปั่น แล้วเอามาพันตะกรุด พันลูกอม พูดง่าย ๆ ก็คือ ถือเคล็ดว่าเป็นหญิงสาวที่ใคร ๆ ก็หมายปอง พวกเคล็ดลับอะไรต่าง ๆ โบราณเขามีอยู่ ถ้าหากว่าเข้าถึงก็ทำได้ขลังกว่าชาวบ้านเขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:18 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#151
|
||||
|
||||
"อาตมาทำของได้ขลังแต่ก็ไม่ได้มีวิชาความรู้พวกนี้หรอก ขอพระอย่างเดียวเลย ถึงมีก็ไม่เสียเวลาไปทำหรอก เอานิสัยหลวงพ่อวัดท่าซุงมาใช้ หลวงพ่อวัดท่าซุงได้ตำราพระร่วงมาก็เปิด ๆ อ่าน เสร็จเรียบร้อยโยนเก็บ จนกระทั่งพระร่วงท่านต้องมาเอง ท่านไปเป็นพรหมอยู่ข้างบน ให้ทำโน่นทำนี่หน่อย "ไม่เอาหรอก...ยาก" โดยเฉพาะธงมหาพิชัยสงครามท่านบอกว่ายาก ท่านไม่ทำ ต่อรองไปต่อรองมา ท้ายสุดทำแบบให้เขาพิมพ์มาก็ได้ ถ้าเขียนจริง ๆ นี่ผืนหนึ่งนี่คงต้องเขียนเป็นเดือน พิมพ์มาก็เสกไม่เป็น จนพระร่วงท่านบอกว่าเดี๋ยวจะเสกให้ สรุปแล้วก็คือหลวงพ่อมีหน้าที่สั่งให้เขาทำเท่านั้น
แล้วคนที่ลอกแบบออกมาเก่งสุด ๆ เลยก็คือท่านเจ้ากรมเสริม ท่านไม่รู้จักอักขระบาลีสักตัวเดียว แต่ลอกแบบออกมาได้โดยที่เขียนอักขระผิดแค่ไม่กี่ตัว ผิดเพราะเข้าใจว่าเขียนอย่างนั้น ท่านเก่งจริง ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:20 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#152
|
||||
|
||||
ถาม : อักขระเป็นตัวขอมหรือคะ ?
ตอบ : เป็นอักขระขอม บ้านเราที่ใช้มี ๒-๓ อย่าง ถ้าไม่ใช่อักขระขอมก็เป็นตัวฝักขามของทางเหนือ หรือไม่ก็ตัวธรรมของอีสาน แต่เห็นวันก่อนเขาส่งรูปมาให้ดู บอกว่าแขวนตะกรุดมานาน ไม่รู้ว่าหลวงพ่อจารอะไรก็เลยแกะออกมาดู เห็นท่านเขียนข้างในว่า “รักนะ จุ๊บ..จุ๊บ” แหม...หลวงพ่อนี่สุดยอดจริง ๆ แสดงว่าเมตตามาก ถาม : ตัวบาลี สันสกฤตไม่มีเขียนเป็นยันต์บ้างหรือคะ ? ตอบ : เขียนยาก โดยเฉพาะสันสกฤต ถึงเวลาจะมีขีดแขวนข้างบน คือคำหนึ่งจากช่วงนี้ถึงช่วงนี้ ๆ ในเมื่อเขามีไม้แขวนเสื้ออยู่ก็ต้องอ่านตามไม้แขวนเสื้อ ไม่อย่างนั้นจะอ่านเป็นคำอื่น บาลีสันสฤตบ้านเราเป็นบาลีไทย คือเขียนลง “อะ” ลง “อัง” พวกนั้น ส่วนตัวสันสกฤตจริง ๆ ไม่ใช่บาลี บาลีจริง ๆ เป็นภาษาที่ตายแล้ว ไม่มีการพัฒนาแล้ว สันสกฤตยังพัฒนาไปเรื่อย ฉะนั้น...ทางด้านสายมหายานเขาจารึกพระไตรปิฎกด้วยอักษรสันสกฤต ส่วนทางด้านเถรวาทของเราจารึกด้วยภาษาบาลี ในเมื่อภาษาบาลีเป็นภาษาที่ตายแล้ว กี่ปี ๆ ก็ไม่มีการเปลี่ยนคำแปล ความหมายจึงไม่เคลื่อน ถาม : ก็นิยมแล้วว่าคือตัวไทย ? ตอบ : ใช้อักษรไทยแต่อ่านแบบบาลี ถาม : ภาษาเขียนบาลีจริง ๆ มีแบบไทยไหมคะ ? ตอบ :ไม่มี เพราะบาลีเป็นภาษาอัศจรรย์ เป็นด้วยอักษรอะไรก็อ่านแบบบาลีได้ เขาเรียกตันติภาษา คือ ภาษาที่มีแบบแผนอย่างแน่นอน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:22 |
สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#153
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าไม่คิดมากก็มีความสุขดี ถ้าคิดมากก็เครียดแล้วก็ทุกข์ ส่วนใหญ่คนเราชอบหาทุกข์ใส่ตัวเพราะคิด จะบอกว่าคิดมากก็ไม่ได้เพราะว่าคิดอยู่คนเดียว ฉะนั้น...อย่าคิดคนเดียว ไม่ใช่อย่าคิดมาก พระท่านว่า “อะตีตัง นานวาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง, อย่าไปหวนคิดถึงอดีตและอย่าไปฟุ้งซ่านถึงอนาคต ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ, การที่เราจะเห็นธรรมะได้ต้องอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น”
หยุดใจให้นิ่งแล้วจะเห็นทุกสิ่งได้ มีหลักการปฏิบัติของสายพองยุบเขาบอกว่า ฟุ้งซ่านก็ให้ “ฟุ้งหนอ” นั่นผิดหลักตั้งแต่แรกแล้ว ไปตามรู้อารมณ์ฟุ้งรู้ไปทำไม ? รู้ว่าตัวเองฟุ้งแล้วได้อะไร ? มีแต่ต้องหยุด พอใจสงบแล้วเราถึงจะมองเห็นว่าใจของเราเป็นอย่างไร เหมือนอย่างกับน้ำ พอนิ่งแล้วเราถึงจะเห็นว่าใต้น้ำมีอะไร ไม่ใช่กวนจนตะกอนขุ่นคลั่กแล้วก็ไปนั่งดู คงจะได้เห็นหรอก แต่ว่าท่านก็ยืนยันของท่านว่านี่แหละวิปัสสนาแท้ ต้องบอกว่าเป็นความเข้าใจผิดในความเข้าใจผิด และคงจะสอนผิด ๆ แบบนี้ไปอีกนาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:24 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#154
|
||||
|
||||
พระอาจารย์ให้โยมยืมปลัดขิกของหลวงพ่อยิด "เอ้า...ให้ยืม ไปเคาะ ๆ แตะ ๆ ที่ร้าน หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก คาถาเขาว่าอะไรนะ ? กัณหะ เนหะ นะโมพุทธายะ ขอให้ขายดีกว่าเดิม ๕ เท่า ๑๐ เท่าก็ว่าไป ดูว่าจะปางตายไหม ? ขอคืนด้วยนะ ให้ยืมแค่ตอนขายเท่านั้น
พวกลูกศิษย์ดีมากเลย พออาจารย์ตาย ก็ปล้นเลย ตัวนี้เป็นปลัดขิก ๙ หัว หรือ ๙ ยอด หลวงพ่อยิดท่านใส่ไว้ในพานครู หลวงพ่อยิด วัดหนองจอก ประจวบคีรีขันธ์ ใครว่าท่านบวชตอนอายุมาก พรรษาน้อย พรรษาไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าทำจริงหรือเปล่า ? ภาวนาตอนเคาะ ๆ แตะ ๆ ขอบารมีท่านสงเคราะห์ ที่เหลือก็ว่าพระคาถาเงินล้านของเราไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-04-2016 เมื่อ 05:26 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#155
|
||||
|
||||
เก็บตกเดือนเมษายน ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|