|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#141
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พระพุทธรูปสำคัญ ๆ ของประเทศไทย อย่างเช่น พระพุทธชินราชก็ดี หลวงพ่อโสธรก็ดี มีมนุษย์หรือเทวดาที่จัดสร้างไว้ ไม่ทราบว่าท่านเหล่านี้ยังเสวยกุศลอยู่ในสวรรค์หรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : มีผู้สร้างหลายท่านไปพระนิพพานแล้ว หลายท่านก็เวียนตายเวียนเกิดมาหลายชาติหลายภพแล้ว หลายท่านอาตมาก็รู้จักด้วย การสร้างบุญในครั้งนั้นร่วมกันสร้างหลายคน ท่านที่มุ่งตรงระยะทางก็สั้นกว่า ถึงเป้าหมายไปแล้วก็มี ท่านที่ไม่ได้มุ่งตรง มีการแวะพักบ้างระยะทางก็ยาวขึ้น เวลามากขึ้น ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มี มาตกระกำลำบากในโลกมนุษย์ก็มี เป็นเทวดานางฟ้าหรือพรหมอยู่ก็มี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:10 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#142
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เฉพาะหลวงพ่อพระพุทธโสธรมีผู้ไปบูชาเยอะมาก แต่ว่าส่วนใหญ่ไปลักษณะของการบนบานศาลกล่าว น่าจะเป็นเทวดาที่รักษาหลวงพ่อโสธร เป็นผู้ประทานความสำเร็จให้แก่ผู้บนบาน ?
ตอบ : นอกจากเทวดาที่รักษาท่านมีจิตเมตตาให้การสงเคราะห์ไม่เลือกหน้าแล้ว บุญกุศลเดิมที่เราทำมาเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะทำให้เรื่องที่เราอธิษฐานหรือบนบานศาลกล่าวนั้นสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อาตมาเคยเปรียบเทียบว่าเหมือนกับน้ำแก้วหนึ่ง ถ้าหากว่าเราขาดน้ำอยู่แค่นิดเดียว แล้วตั้งใจว่าขอน้ำของท่านก่อน แล้วเราจะตักคืนทีหลัง ถ้าอย่างนั้นท่านสงเคราะห์ให้ได้ แต่ถ้าเรามีน้ำอยู่นิดเดียว ติดก้นแก้วอยู่ ไปขอใช้ของท่าน ถ้าท่านมีไม่พอเหมือนกัน เราเติมลงไปไม่เต็มแก้ว สิ่งที่เราบนอย่างไรก็ไม่สำเร็จ ดังนั้น..ท่านที่บนสำเร็จก็มี ไม่สำเร็จก็มี ขึ้นอยู่บุญเก่าที่เราสั่งสมไว้ด้วย ถ้าหากว่าอยู่ในจำนวนที่พอเหมาะพอสมแล้ว เรายังสัญญาว่าจะสร้างความดีเพิ่มเติม เช่น การถวายสังฆทานก็ดี จะสร้างพระแก้บนก็ดี ถวายผ้าไตรจีวรก็ดี หรือไม่ก็บวชลูกบวชหลาน เป็นต้น ผลบุญนี้เมื่อเติมเข้าไปก็พอเหมาะ พอสมพอควรกับผลรับที่จะพึงได้ สิ่งที่เราหวังไว้ก็จะสำเร็จ แต่ถ้าหากว่าสร้างไว้ไม่เพียงพอ เติมเท่าไรก็ยังไม่เต็ม ก็ไม่สามารถที่จะบนแล้วสำเร็จเช่นคนอื่นได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:11 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#143
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีคนพูดถึงการตัดกรรมไว้มาก จะเป็นไปได้หรือครับว่า คนที่ทำกรรมไม่ว่าเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม จะไปตัดผลของกรรมได้ ?
ตอบ : การตัดกรรมในพุทธศาสนา มีอยู่ข้อหนึ่งเรียกว่าอโหสิกรรม อโหสิกรรมนั้นเกิดได้ด้วย ๒ สาเหตุ สาเหตุแรก...โจทก์และจำเลยอยู่ต่อหน้ากัน กล่าวสำนึกความผิด ขอโทษขออโหสิกรรมกัน ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหนึ่งตกลง ก็แปลว่ากรรมนั้นสิ้นสุดลง สาเหตุที่สอง...บุคคลที่สร้างกรรมนั้น ชำระจิตใจของตนเองบริสุทธิ์จนกระทั่งเข้าสู่พระนิพพาน กรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะตามได้ กลายเป็นอโหสิกรรมโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่าเป็นการตัดกรรมในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้ากล่าวไว้แต่เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นก็ถือว่าแล้วแต่ใครจะเชื่อ ถาม : หมายความว่าถ้าบรรลุพระนิพพานแล้ว กรรมทั้งหมดก็เป็นอโหสิกรรมถูกไหมครับ ? ตอบ : เป็นอโหสิกรรมไป เขาก็ไม่ได้อยากอโหสิกรรมให้หรอก แต่ว่าลูกหนี้หนีไปต่างดาวแล้ว เจ้าหนี้ก็ไม่มีความสามารถตามไปทวงด้วย ก็จบกันแค่นั้น ถาม : ท่านไม่มีอายตนะที่จะรับรู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสแล้ว กรรมจึงไม่สามารถส่งผลได้หรือครับ ? ตอบ : ไม่ใช่..สิ่งที่ท่านทำประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว บุญบาปจึงไม่สามารถที่จะตามท่านได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:13 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#144
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ในเรื่องของมาร พญามารที่มีฤทธิ์มากเพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่พระโพธิสัตว์ทุกรูปทุกนามก็ต้องเกิดเป็นมารมาด้วย ถ้าถามว่ามีฤทธิ์มากไหม ? ต่อให้หางแถวของมารเล่นงานเราก็หงายท้องเหมือนกัน ต้องบอกว่าเป็นมวยคนละชั้นกัน ท่านเองมีการซักซ้อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนเราเองนี่นาน ๆ จะขยับที ไม่มีทางลุ้นท่านได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของฤทธิ์ของอภิญญาต่าง ๆ เทวดาท้ายแถวยังเหนือกว่ามนุษย์หัวแถวเยอะ เพียงแต่ว่าถ้ามนุษย์หัวแถวนั้นเป็นโลกุตรอภิญญาตั้งแต่ระดับพระโสดาบันขึ้นไป เทวดาท่านก็ยอมยกให้ เพราะว่าความดีสูงกว่าท่านมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:14 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#145
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ขอถามเรื่องของนาคพิภพ จริง ๆ แล้วร่างของนาคนี้ไม่ใช่ร่างจริง เป็นร่างเนรมิตใช่ไหมครับ ?
ตอบ : นาคมี ๒ ประเภทด้วยกัน ประเภทหนึ่งเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราชที่เป็นบริวารของท้าววิรูปักข์ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เวลาปฏิบัติหน้าที่ก็แต่งตัวเป็นรูปงู เครื่องแบบของท่านเป็นอย่างนั้น ถ้าอย่างนี้ถือว่าเป็นร่างเนรมิต พอหมดหน้าที่ก็กลับเป็นร่างเทวดานางฟ้าสวยงามเหมือนเดิม ส่วนนาคอีกประเภทหนึ่งเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ กายเป็นงูนั้นเป็นเพศภาวะดั่งเดิมของท่าน แต่ว่าท่านสามารถเนรมิตลักษณะเหมือนเทวดานางฟ้าที่สวยงามได้ แต่ถ้าหากว่าขาดสติก็จะกลับคืนไปเป็นเพศของงูใหญ่ตามเดิม ถาม : แล้วที่มีรอยไหม้ตามโบสถ์ ตามฝากระโปรงรถนั้น เป็นรอยนาคจริงไหมครับ ? ตอบ : ไม่ใช่...ถ้านาคมาจริงบ้านหลังนี้ไม่พอหรอก เลื้อยทีก็ราบไปทั้งหลัง รอยเล็กแค่นั้นไม่ใช่รอยนาคหรอก แต่ว่าท่านสามารถหดตัวลงเป็นงูตัวเล็กได้นะ เพียงแต่ว่างูเลื้อยอย่างไรก็ต้องเป็นรอยงูอยู่ ถ้าท่านตั้งใจแสดงต้องไม่ใช่มีสารพัดขาแบบนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:15 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#146
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมเคยฟังเทศน์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่งในทีวี ท่านพูดเกี่ยวกับเรื่องนาคไว้ว่า นาคสามารถจะเนรมิตร่างให้เป็นเรือก็ได้ เป็นผู้หญิงสวยก็ได้ เป็นคนก็ได้ แล้วก็สามารถจะเอาคนที่อยู่ริมน้ำให้ตกน้ำไปก็ได้ จริง ๆ แล้วเป็นอย่างนั้นไหมครับ ?
ตอบ : เป็นตามที่ท่านว่า แต่ส่วนหนึ่งที่เรานึกไม่ถึงก็คือ นาคตัวเดียวสามารถเนรมิตคนเป็นร้อย ๆ คน พร้อม ๆ กันได้ ไม่ใช่เนรมิตเป็นคน ๆ เดียวนะ เป็นร้อย ๆ คนเลย ถาม : ถ้าอย่างนี้นาคก็มีฤทธิ์มาก แต่ก็ยังเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่ามนุษย์ ก็น่าจะมีสมาธิ มีฤทธิ์ได้ แต่ทำไมไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ ? ตอบ : ในภูมิของความเป็นเดรัจฉาน ปัญญาที่เข้าถึงธรรมอย่างแท้จริงยังไม่มี ความมืดบอดในภพภูมิที่ต่ำกว่าทำให้เข้าถึงธรรมไม่ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้รู้ว่าธรรมะดีอย่างไร จึงพยายามสร้างสมบุญกุศลเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลา ที่น่าเสียดายมากกว่าก็คือภูมิมนุษย์ของเรานี่แหละ เราอยู่ในภพภูมิที่มีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ แต่แทนที่จะสั่งสมความดีเพื่อที่จะบรรลุมรรคผลให้เร็วขึ้น กลับกลายเป็นว่าน้อยคนที่จะทำอย่างนั้น เราลองมานึกว่าปัจจุบันนี้ประชากรโลกจำนวนหกพันล้านคนแล้ว มีคนที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจริง ๆ ถึงหกล้านหรือเปล่า ? แล้วหกล้านคนที่ว่านี้ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริง ๆ มีถึงล้านคนไหม ? ฉะนั้น..เราเสียท่าสัตว์เดรัจฉานอย่างพญานาค เขารู้ว่าอะไรดี เขาก็พยายามสั่งสมบุญความดี ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากภพภูมิที่ต่ำอย่างนั้น เราอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า กลับละทิ้งโอกาสของตนไป เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:16 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#147
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมพบกับบุคคลหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายกับเข้าทรงได้ แต่อยู่นอกพระพุทธศาสนา เขาสามารถที่จะบอกเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำพอสมควร ถ้าเหตุการณ์ในระยะใกล้ ๆ นี้จะแม่นยำมาก ไม่ได้รู้เพราะตัวเขาเอง เขาบอกว่ามีพญานาคมาบอกเขาอีกที เขาสามารถติดต่อได้เพราะเหตุใดครับ ?
ตอบ : มีกรรมเนื่องกันมา ถ้าไม่มีกรรมเนื่องกันมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่สามารถจะทำได้ ในเรื่องของร่างทรง ถ้าหากว่าเป็นการทรงจริง ๆ เราดูถูกไม่ได้เลย เพราะว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีกรรมเนื่องมา ขณะเดียวกันบางท่านก็ต้องการสร้างบุญบารมีเพิ่มเติม จึงมาให้การสงเคราะห์แก่คนหมู่มาก การทรงจริงมีข้อสังเกตว่า ๑.จำกัดด้วยระยะเวลา บางร่างทรงมาเฉพาะวันพระ บางร่างทรงมาเฉพาะวันพฤหัสบดี บางร่างทรงมาเดือนละ ๑ ครั้งเฉพาะวันพระใหญ่ ร่างทรงบางร่างมาปีละครั้งเดียว ๒.ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่เรียกร้องผลประโยชน์จากผู้อื่น ต้องการความเคารพมากกว่า ดังนั้นสิ่งที่ต้องการมักจะเป็นดอกไม้ธูปเทียน หรือถ้าเป็นเงินบูชาครูก็ ๓ บาท ๖ บาท ๙ บาท เต็มที่ที่เคยเจอมาคือ ๑๐๘ บาท ๓. สิ่งที่ท่านบอกมักจะมีผลตามนั้น ถ้าหากว่าเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าร่างทรงนั้นเป็นจริงหรือปลอม ให้ดูได้จากข้อสังเกตทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าใครก็ตามที่ไปแล้วทรงได้ทุกเวลา ให้หมายเหตุไว้ในใจก่อนว่าน่าจะปลอม สมัยอาตมายังอยู่ที่วัดท่าซุง มีอยู่วันหนึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านปรารภว่า “เฮ้ย...เล็ก ข้ายังไม่ทันจะตายเลย สำนักทรงหลวงพ่อฤๅษีลิงดำมี ๖๐ กว่าสำนักแล้ว” นั่นท่านบอกให้รู้เลยว่าปลอมแน่ ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:18 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#148
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : นรกเป็นที่ที่ลงโทษสัตว์ สัตว์ทุกตัวตนก็รักสุขแล้วเกลียดทุกข์ นรกก็เป็นที่ที่มอบความทุกข์ให้กับสัตว์ทั้งหลาย เมื่อสัตว์ได้รับความทุกข์นั้นแล้ว สัตว์จะเข็ดหลาบแล้วจดจำไหมครับ ? ถ้านรกไม่ได้มีไว้ให้สัตว์จดจำ แล้วนรกจะมีประโยชน์อะไร ?
ตอบ : นรกไม่ได้เกิดมาเพื่อประโยชน์ นรกเกิดมาเพราะคุณสร้างขึ้นมาเอง ทุกสิ่งที่เราทำ ไม่ว่าจะดีหรือชั่วก็ตาม เท่ากับว่าเราได้สร้างนรก สวรรค์ พรหม พระนิพพานขึ้นมา ในเมื่อเราทำ ถึงวาระเราก็ต้องรับผลอันนั้น เขาถึงใช้คำว่า "กฎของกรรม" แต่ว่าขณะเดียวกันสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เมื่อผ่านการเกิดในภพภูมิใหม่ ถ้าความจำส่วนนี้ถ้าไม่ได้รับการฝึกหัดก็จะลบเลือนไป เหตุที่เป็นดังนั้นก็เพราะว่า ถ้าเราทำความดีเพื่อต้องการไปสวรรค์ก็ไม่ใช่ความดีที่แท้จริง ขณะเดียวถ้าเราไม่ทำความชั่วเพราะกลัวนรก ก็ไม่ใช่การทำความดีหนีชั่วที่แท้จริงเหมือนกัน ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะต้องเกิดจากน้ำใสใจจริงของเรา ว่าเราต้องการละชั่วทำดีเพื่อมรรคผลหรือว่าเพื่อความดีนั้นจริง ๆ เหมือนอย่างกับเขาไม่ได้ต้องการที่จะสร้างคุกขึ้นมา แต่เพราะคนไปปล้น ไปฆ่า ไปก่ออาชญากรรมต่าง ๆ จึงจำเป็นที่ต้องมีคุกขึ้นมาเพื่อเอาคนทั้งหลายเหล่านี้ไปรวมกันไว้ ไม่ให้ไปสร้างความลำบากเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แต่ขณะเดียวกันเราก็จะเห็นว่า นักโทษจำนวนมากด้วยกันเข้าคุกไปแล้วก็ใช่ว่าจะเข็ดหลาบ หากแต่กลายเป็นไปฝึกวิชาจนกระทั่งทำชั่วได้ถนัดขึ้น เป็นการพัฒนาขึ้นในทางชั่ว ไม่ใช่พัฒนาขึ้นในทางดี ฉะนั้น..สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มีขึ้นไม่ได้หวังประโยชน์ต่อการที่ลงโทษแล้วให้หลาบจำ แต่ว่ามีขึ้นเพราะการกระทำของเขาเอง ตัวเขาทำตัวเขาเอง เขาจึงได้รับกรรมนั้น ๆ พอศึกษาไปแล้วจะรู้ว่าคนเราชั่วกว่าที่คิด แต่ขณะเดียวกันพอทำความดีก็ดีกว่าที่คิดอีกเหมือนกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:20 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#149
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เป็นไปได้ไหมครับว่าคน ๆ หนึ่งยังไม่สิ้นบุญ แต่ว่าต้องมาตายก่อนกำหนด ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขายังไปเกิดไม่ได้ เพราะว่ากุศลเก่ายังค้างอยู่ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อครับ ?
ตอบ : บุคคลไม่ได้สร้างบุญอย่างเดียว แต่ว่ามีการสร้างบาปไปด้วย เมื่อถึงวาระบาปหนักในด้านปาณาติบาตมาถึง ต่อให้มีบุญเหลือมากเพียงใดก็ตาม บาปตัวนี้ก็จะมาตัดรอนกำลังบุญนั้นลง ให้ไปรับความชั่วนั้นก่อน เขาเรียกว่า อุปฆาตกรรม เมื่อถึงเวลายังไม่หมดบุญแต่ต้องตายไป ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องไปรับบาปนั้นก่อน หรือว่าไปรับบุญนั้นก่อน เพราะว่าโดยกฎกติกาแล้วต้องรออายุขัยความเป็นมนุษย์หมดลง ถึงจะไปรับบุญรับบาปนั้นได้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้จึงมีศัพท์เรียกเฉพาะว่า สัมภเวสี คือบุคคลที่เร่ร่อน ยังไม่มีที่ไปอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้อยู่ในอาการที่เขาเรียกว่า "ตายโหง" คำว่า "ตายโหง" ส่วนใหญ่เราก็คิดว่าไม่ดี แต่ว่าในทางปฏิบัติแล้ว การตายโหงกลับได้เปรียบ เพราะว่าถ้าหากญาติสนิทมิตรสหายรู้ ทำบุญส่งไปให้ ทำไปเท่าไรเขาก็ได้เท่านั้น มีสิทธิ์โมทนาเต็ม ๆ เลย บ้านเราจะมีการกำหนดเป็นประเพณี พอถึงเวลาก็สวดศพ ๓ วัน ๕ วัน เป็นการทำบุญอุทิศให้กับผู้ตาย แล้วหลังจากนั้นก็มีการทำบุญ ๗ วัน ทำบุญ ๕๐ วัน ทำบุญ ๑๐๐ วัน ทำบุญครบรอบปี ถ้าท่านทั้งหลายเหล่านี้ยังไปรับความดีความชั่วไม่ได้ เมื่อได้รับผลบุญที่อุทิศไป เขามีความสุขความสบายเหมือนกับเทวดาเหมือนกับนางฟ้า เขาก็ไม่ต้องไปทนทุกข์ยากลำบากอยู่ในเขตนั้น รอเวลาหมดอายุขัยความเป็นมนุษย์ก็รับความดีไปเลย แต่ถ้าหากว่าญาติพี่น้องไม่รู้จักทำบุญให้ เขาก็ต้องร่อนเร่ อด ๆ อยาก ๆ บางทีก็พยายามที่จะไปปรากฏกายเพื่อที่จะเรียกร้องให้ญาติของตนทำบุญให้ ก็โดนกล่าวหาว่ามาหลอกหลอนกันอีก ดังนั้น..คนที่ตายเพราะหมดบุญมีน้อย คนที่ตายเพราะโดนอุปฆาตกรรมมาตัดรอนมีมาก เพราะว่าเราสร้างบุญสร้างบาปสับสนปนเปกันไป กรรมที่เราได้ทำเอาไว้โดยเฉพาะฆ่าคนหรือสัตว์ใหญ่ไว้ มักจะเป็นอุปฆาตกรรมสำคัญที่มาตัดชีวิตของเราก่อนที่จะหมดบุญนั้นลง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:22 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#150
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : สัมภเวสีได้รับบุญจากการบวชเนกขัมมะกับสังฆทาน สามารถไปพระนิพพานทันทีได้เลยหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ คนถวายสังฆทานให้ยังนั่งอยู่ตรงนี้เลย แล้วจะให้คนรับไปพระนิพพาน..! เราทำได้แค่ไหนคนรับก็ได้แค่นั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:23 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#151
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ปัจจุบันนี้มีผู้มีจิตศรัทธาได้สร้างสมเด็จองค์ปฐมไว้ในหลาย ๆ วัด เรียนถามว่าอานิสงส์การสร้างสมเด็จองค์ปฐม จะเทียบเท่ากับในสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีได้สร้างไว้สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าสร้างด้วยทองคำแบบท่านก็เทียบกับท่านได้ แต่ส่วนใหญ่ที่สร้างเห็นเป็นปูนเสียมาก รูปเคารพโดยเฉพาะรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งสร้างด้วยวัตถุมีค่าสูงเท่าไร อานิสงส์ก็มากขึ้นเท่านั้น เพราะสิ่งนั้นหามาได้ยาก เรายังพากเพียรพยายามที่จะเสาะหามาเพื่อสร้างขึ้น สมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อสร้างสมเด็จองค์ปฐม เฉพาะทองคำที่บริจาคมาโดยบุคคลทั่วไป ๗๘ กิโลกรัม นี่นับเฉพาะทองนะ บรรดาทองที่ติดเพชรติดพลอยมาด้วย ท่านคัดออกเก็บเอาไว้บรรจุแทน เพราะว่าเพชรพลอยถ้าลงเตาหลอมจะระเบิดหมด แต่ว่าท่านที่เรามองไม่เห็นตัวเล่นทองเป็นแท่ง ๆ เลย พวกนี้รวยกว่าเรา มาแต่ละก้อนอย่างกับอิฐมอญ ถ้าเราสร้างด้วยวัสดุมีค่าขนาดหลวงพ่อก็อานิสงส์เท่ากัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:24 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#152
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ผมยังติดใจเรื่องที่ว่าอาชีพดารานักร้องเป็นบาปเป็นกรรม แล้วอาชีพอะไรที่ดี เป็นอาชีพแนะนำในทางพระพุทธศาสนา นอกจากมาบวชแล้วครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่สรุปปิดท้ายเสียก่อนโดนแน่ เพราะอาตมาจะแนะนำให้ไปบวช..! อาชีพอะไรก็ได้ที่ไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองและศีลธรรม พระพุทธเจ้าท่านเรียก สัมมาอาชีวะ สามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เพื่อเป็นการหนุนเสริมให้ตัวเองมีความคล่องตัวในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น เพราะว่าเมื่อเราทำมาค้าขายจนกระทั่งมีฐานะดี ก็สามารถทำบุญได้เต็มที่ การสนับสนุนพระศาสนาของเราก็มาก การสร้างบุญสร้างบารมีของเราก็มากไปด้วย แต่ว่าให้เว้นจากมิจฉาวณิชชา ก็คืออาชีพที่ขัดต่อหลักของพุทธศาสนา ก็คือการขายอาวุธ ขายยาพิษ ขายสุรา ขายมนุษย์ และขายสัตว์ที่มีชีวิตเพื่อให้เขาฆ่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ถ้าเป็นพุทธมามกะไม่ควรทำ ต่อให้เราขายอาวุธแต่ไม่ได้บังคับให้เขาไปฆ่า คนเขาเอาอาวุธนั้นไปฆ่าฟันกันเอง คนที่ไม่เข้าใจก็จะกล่าวโทษว่าเราคนขายเป็นผู้สนับสนุน ถ้าหากว่าเราปฏิบัติความดีอยู่ในระดับของพระอริยเจ้า คนที่กล่าวโทษนั้นก็จะเกิดโทษหนักมาก ท่านจึงกำชับไม่ให้พุทธมามกะ คือบุคคลที่ปฏิญาณตนนับถือพุทธศาสนานั้น กระทำอาชีพทั้งหลายเหล่านี้ ป้องกันคนเดือดร้อนเพราะปากและใจที่ไปคิดไปว่าเขา ส่วนอาชีพอื่นถ้าไม่ผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ทำไปเถอะ ขนาดเปิดร้านขายยาไม่ได้ฆ่าสัตว์สักตัวยังโดนว่าจนได้ เพราะเขามาซื้อยาถ่ายพยาธิพอดี..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:26 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#153
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เมื่อปฏิบัติแล้วคนที่ไม่ได้สมาธิอาจจะไม่มีอะไร แต่คนที่เริ่มได้สมาธิจะมีอะไรต่าง ๆ มาปรากฏเรื่อย ๆ จิตใจก็จะหวั่นไหว พอถูกทำลายสมาธิไป การที่จะกลับมาปฏิบัติแล้วได้สมาธิอีก ก็เป็นเรื่องที่ยากกว่าจะได้เท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม อะไรเป็นเหตุปัจจัยให้สมาธิมีความมั่นคงและสามารถไปได้ถึงฌานสมาบัติครับ ?
ตอบ : กระทำอย่างต่อเนื่อง รักษาอารมณ์ปฏิบัติไว้ในทุกอิริยาบถ ส่วนใหญ่พวกเราทำแล้วทิ้ง ในเมื่อทำแล้วทิ้งช่วงเวลาที่ใจสงบจะมีน้อย แต่เวลาฟุ้งซ่านมีมากกว่า ทำให้อกุศลกรรมเข้าได้มากกว่า กำลังใจจึงไม่ทรงตัว โดยเฉพาะเวลานั่งสมาธิ พอลุกแล้วเราทิ้งหมดเลย ไม่มีการประคับประคองรักษาอารมณ์นั้นไว้ การเจริญสมาธิภาวนาเหมือนกับว่ายทวนน้ำ เราต้องว่ายอยู่ตลอดเวลา ถ้าปล่อยเมื่อไรก็จะไหลตามน้ำไป ดังนั้น..การปฏิบัติให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จริงจัง จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด ถ้าหากว่าขาดความสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง จริงจังแล้ว โอกาสที่สมาธิทรงตัวจะมีน้อยมาก แต่ว่าบุคคลที่เคยทำได้แล้ว ถ้าวางกำลังถูกก็จะทำได้ไม่ยาก แต่ถ้าหากว่าวางกำลังใจผิด ไปทำเพราะอยากได้เหมือนเดิม จะกลายเป็นความฟุ้งซ่าน สมาธิก็จะยิ่งทรงตัวยากขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:28 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#154
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การทรงกำลังใจให้เต็มในกรรมฐาน โดยการไล่ไปเรื่อย ๆ ส่วนตัวผมเองจะเริ่มจากพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ แต่พอทำไปถึงจุดหนึ่ง จะมีคำถามแย้งมาว่า ที่เราเคยรู้ว่ากำลังใจเต็มแล้วในกรรมฐานนั้น ๆ เราหลอกตัวเองหรือเปล่า ?
ตอบ : หลอกตัวเองแน่นอน เพราะว่ากำลังใจเต็มนั้นมี ๒ ประเภทด้วยกัน เต็มที่ของโลกียฌาน อย่างน้อยกำลังใจในกรรมฐานกองนั้นต้องทรงฌาน ๔ ได้ ถ้าหากว่าเต็มที่ในด้านโลกุตรธรรม กรรมฐานกองนั้นต้องส่งผลให้เราเข้าพระนิพพานได้ ถาม : แล้วการทรงสมถะดังกล่าวต้องระดับไหนครับ คือนึกก็เป็นฌาน ๔ ทันทีเลยหรือครับ ? ตอบ : นึกเมื่อไรต้องเข้าฌาน ๔ ได้เมื่อนั้น ถ้ายังไม่คล่องตัวถึงระดับนั้นก็ยังเชื่อไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:28 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#155
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เทวดายังต้องไปทำบุญ เทวดายังต้องไปกราบพระบรมสารีริกธาตุ หรือว่ายังทำวัตรอยู่ได้ไหมครับ ? หรือว่าเป็นเทวดาแล้วเสวยสุขอย่างเดียว ?
ตอบ : เทวดาที่เป็นสัมมาทิฐิ มีความเห็นว่าตนเองได้ดีมาเพราะบุญกุศล ก็จะเสริมสร้างบุญกุศลนั้นไปเรื่อย ๆ ส่วนเทวดาที่ท่านไม่รู้จริง ๆ จะเรียกว่ามิจฉาทิฐิก็ไม่เต็มปาก เมื่อขึ้นไปพบกับทิพยสมบัติก็เสวยสุขโดยที่ไม่ได้สนใจว่าสิ่งนี้มาอย่างไร และจะหมดสิ้นไปอย่างไร ฉะนั้น..แบ่งออกได้ทั้ง ๒ ฝ่าย ท่านที่รู้ว่าตนเองได้ดีเพราะอะไร ก็พยายามเสริมสร้างความดีไป ส่วนท่านที่ไม่รู้สาเหตุ หลับหูหลับตาเสวยสุขอย่างเดียว รอบุญหมดเมื่อไรเหลือแต่บาปล้วน ๆ ก็เฮงไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:29 |
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#156
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้ามีเงินตกอยู่เราเก็บไปทำบุญได้ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าเงินตกอยู่ เก็บขึ้นมาไม่ถือว่าผิดศีล ถือเป็นลาภลอยที่เกิดขึ้น แต่ว่าบางทีเก็บเงินไว้เป็นของตัวเอง จะทำให้ขัดลาภใหญ่ที่จะมา สมมติว่าไปเจอเงินตกอยู่หนึ่งร้อยบาท เราเก็บใส่กระเป๋าเอาไว้ แต่ว่าจริง ๆ อีกไม่กี่วันเราจะถูกรางวัลที่ ๑ ก็เลยกลายเป็นว่าตัวนี้มาขัดลาภสิ่งที่ควรจะได้ เขาถือว่าได้แล้วก็เลยให้แค่นั้น ลาภที่มากไปกว่านั้นก็เลยไม่มา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:30 |
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#157
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : บางทีเรานั่งแท็กซี่อยู่ เรานั่งกอดอกแล้วรู้สึกว่ามือใหญ่ เป็นปีติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เริ่มเข้าสู่ความเป็นปีติ ถาม : แล้วเราจะเก็บอารมณ์นี้ไปพิจารณาหรือว่าแค่ดูเฉย ๆ ? ตอบ : กำหนดรู้ไว้เฉย ๆ ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ให้ดูลมหายใจเข้าออก มีคำภาวนาอยู่ก็ให้กำหนดคำภาวนาไป ไม่ต้องไปให้ความสนใจ ถ้าอยู่ ๆ รู้สึกว่าเกิดระเบิดตูม แท็กซี่กระจายไปทั้งคันเลย ก็ปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น ถาม : ถ้าเป็นตอนขับรถละคะ ? ตอบ : ถ้าเป็นตอนขับรถมักจะใช่ แต่ว่าให้รีบคลายกำลังใจโดยเร็ว เพราะว่าถ้ามัวแต่เพลินอยู่กับสมาธิเดี๋ยวจะบังคับรถไม่ได้ มีโยมอยู่คนหนึ่งอยู่วังปลิง จ.สงขลา เขาคิดว่าตัวเองป่วย เพราะขึ้นรถจักรยานยนต์ทีไรก็แข็งไปทั้งตัว ต้องเขย่าให้หลุดแล้วก็ขับรถไป พอไปอีกหน่อยก็ต้องเขย่าให้หลุดอีก แกถามว่าแกป่วยเป็นอะไร ? อาตมาบอกว่าไม่ได้ป่วยเป็นอะไรหรอก สมาธิทรงตัวอยู่ระดับฌาน ๓ พอดี คน ๆ นี้ต่อไปจะคล่องตัวมาก เพราะซ้อมการเข้าออกฌานอยู่ทุกวัน ๆ ละหลาย ๆ รอบ เขาไม่รู้ว่าสมาธิตัวเองทรงตัว การที่สมาธิทรงตัวก็เพราะว่าเวลาขับรถต้องตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจโดยเฉพาะจักรยานยนต์จะทำให้ล้ม เมื่อตั้งใจสมาธิทรงตัวลงร่องพอดี กลายเป็นว่าตัวเองเข้าฌานโดยอัตโนมัติ แล้วก็ต้องไปเขย่าให้หลุด เพื่อที่จะได้ขับรถต่อ ป่านนี้ก็คงเขย่าอย่างเพลิดเพลินอยู่นั่นแหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:32 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#158
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ทำไมในสังฆทานมีรองเท้าด้วยครับ ?
ตอบ : หลวงปู่มหาอำพันท่านให้เพิ่มเข้าไป มาจากเรื่องของพระโพธิสัตว์ที่ไปปราบยักษ์ ยักษ์ได้พรจากท้าวเวสสุวรรณให้อยู่ที่โคนไม้ไทร ถ้าคนหรือสัตว์เข้าไปในบริเวณนั้นก็ให้จับกินได้ คนจึงตายกันเยอะ หาคนไปปราบยักษ์ไม่ได้สักที พระโพธิสัตว์อยากได้รางวัลไปเลี้ยงแม่ที่แก่แล้ว ก็เลยอาสาไปปราบ ขอร่ม ขอรองเท้า ขอพระขรรค์อาญาสิทธิ์จากพระราชาแล้วก็ไป พอยักษ์เห็นพระโพธิสัตว์ก็จะมาจับ พระโพธิสัตว์ถามว่ามีสิทธิ์อะไรมาจับท่าน ยักษ์บอกว่าท่านยืนอยู่ในร่มเงาของต้นไทร เราสามารถจับได้ พระโพธิสัตว์ท่านบอกว่าไม่จริง ท่านยืนอยู่บนรองเท้า ส่วนร่มเงาก็เป็นร่มของท่านเองไม่เกี่ยวกับต้นไม้ สุดท้ายก็เจรจากันได้ ต่อมายักษ์ตนนั้นพระราชาเชิญไปเป็นองครักษ์คอยเฝ้าประตูเมือง ถ้าหากว่าข้าศึกมาให้จับกินให้หมด แล้วชาวบ้านจะหาอาหารให้กินเอง ยักษ์ก็เลยตกลง เป็นอันว่าได้ประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่มีข้าศึกที่ไหนกล้ามาตีเมืองนี้ ขณะเดียวกันยักษ์ก็ไม่ต้องไปจับใครกินอีก ชาวบ้านก็สบายแค่หาอาหารให้ยักษ์ หลวงปู่มหาอำพันท่านอ่านชาดกแล้วชอบใจจึงให้เพิ่มรองเท้ากับร่มเข้าไปในสังฆทานด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:34 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#159
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เมื่อจิตเริ่มเป็นสมาธิบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ จากขณิกสมาธิไปสู่อุปจารสมาธิ แล้วก็สู่อัปปนาสมาธิ อันนี้ท่านพอจะบรรยายเป็นคำพูดได้ไหมครับ ไม่ใช่ในส่วนของการปฏิบัติแต่เป็นในส่วนของความรู้สึกที่เกิดขึ้น แล้วในแต่ละขั้นจิตไปจับอยู่ตรงไหน อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : อันดับแรกความรู้สึกทั้งหมดต้องอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หลุดจากลมหายใจเข้าออกเมื่อไรจะไม่สามารถสร้างสมาธิได้ เมื่อลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัวอยู่ในลักษณะละเอียดขึ้น นั่นจะเป็นลักษณะของขณิกสมาธิ ปกติสภาพจิตของเราอยู่ในลักษณะน้ำที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา น้ำที่กระเพื่อมอยู่ไม่สามารถที่จะสะท้อนเงาสิ่งต่าง ๆ ลงไปได้ แต่พอน้ำเริ่มนิ่ง เงาจากสิ่งต่าง ๆ จะสะท้อนลงไปให้เห็น บางทีก็ชัดเจนเหมือนกับมองของจริงเลยก็มี การรู้เห็นจะเริ่มปรากฏ นี่เป็นขั้นตอนของอุปจารสมาธิ ก่อนที่จะถึงฌาน สมาธิที่เรียกว่าอุปจารสมาธิ ก็คือใกล้จะทรงเป็นฌานนั้นจะมีอาการต่าง ๆ เกิดขึ้นกับร่างกายที่เรียกว่าปีติ ก็จะมี ขณิกาปีติ ก็คือบางคนก็ขนลุกเป็นพัก ๆ ถ้าขุททกาปีติก็น้ำตาไหล โอกกันติกาปีติ ร่างกายโยกไปโยกมา ดิ้นตึงตังโครมคราม ถ้าหากว่าเป็นอุเพ็งคาปีติก็ลอยขึ้นได้ ลอยไปไกล ๆ ก็มี ถ้าหากว่าเป็นผรณาปีติ บางทีก็ตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวระเบิด ความรู้สึกเป็นอย่างนั้นชัดเจนมาก จนบางคนไม่กล้าทำสมาธิอีก เพราะกลัวว่าจะตาย..! เมื่อลมหายใจเข้าออกของเราทรงตัวมากขึ้น อาการภายนอกที่เกิดกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง (ซึ่งเป็นส่วนที่ชัดเจนที่สุด) แต่ไม่ก่อเกิดความรำคาญ ความรู้สึกทั้งหมดผูกอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก นี่เป็นอาการของ อัปปนาสมาธิขั้นแรกที่เรียกว่าปฐมฌาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:36 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#160
|
||||
|
||||
![]()
เมื่อก้าวเข้าไปถึงในส่วนอัปปนาสมาธิขั้นปฐมฌาน สิ่งที่มากระทบอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะไม่ได้รับความสนใจ เห็นสักว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน สมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้า พอไปถึงอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๒ ก็คือทุติยฌาน ความรู้สึกผูกแน่นอยู่กับลมหายใจเข้า รู้สึกว่าลมละเอียดขึ้น บางทีคำภาวนาก็หายไป หรือท่านที่กำลังใจหยาบหน่อยก็ไม่รู้สึกถึงลมหายใจเลยก็มี แต่ว่าความรู้สึกยังคงจดจ่อแน่วนิ่งอยู่เฉพาะภายในเท่านั้น
พอไปถึงอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๓ ที่เรียกว่าตติยฌาน ความรู้สึกทั้งหมดจะค่อย ๆ รวบเข้ามา บางทีจะรู้สึกเย็นจากปลายมือปลายเท้าเข้ามา บางทีจะรู้สึกเย็นจากปลายจมูก หรือริมฝีปาก หรือคาง แล้วขยายตัวออกไป ความเย็นที่ขยายตัวออกไปนั้นบางทีก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเราแข็งเป็นหิน หรือกลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้วก็มี บางทีก็รู้สึกว่าตึงแน่นเหมือนกับโดนมัดศีรษะจรดปลายเท้าเลยก็มี อาจจะเปรียบเทียบง่าย ๆ ว่าเหมือนโดนสาปเป็นหินไปเลยก็มี แต่ว่าความรู้สึกทั้งหมดก็ยังจดจ่อมั่นคง แน่วนิ่งอยู่ภายในเหมือนเดิม อันนี้เป็นลักษณะของอัปปนาสมาธิขั้นที่ ๓ หรือตติยฌาน แล้วความรู้สึกทั้งหมดก็จะรวบมาอยู่จุดใดจุดหนึ่งภายในร่างกายของเรา อาจจะเป็นตรงหน้าก็ดี ในศีรษะก็ดี หรืออาจจะเป็นในอกในท้องก็ตาม จะสว่างไสว สว่างโพลงอยู่ตรงนั้น ความรู้สึกทั้งหมดจดจ่อแน่วนิ่งอยู่ภายใน ไม่ส่งออกมาภายนอกเลย อะไรเกิดขึ้นภายนอกไม่รับรู้โดยสิ้นเชิง อันนี้เป็นอัปปนาสมาธิขั้นสุดท้ายคือขั้นที่ ๔ คือจตุถฌาน สรุปว่าไม่ว่าจะเป็นฌานขั้นไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ หรืออัปปนาสมาธิก็ตาม ใจจะจดจ่ออยู่ภายใน ไม่ได้ส่งออกนอก ส่งออกนอกเมื่อไร ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น สมาธิก็จะไม่ทรงตัว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:37 |
สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|