กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #121  
เก่า 26-04-2012, 10:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันอาทิตย์มีการขอขมาพระอาจารย์เนื่องในวันสงกรานต์ พระอาจารย์จึงให้โอวาทว่า "เนื่องในวาระสงกรานต์ ตามประเพณีของเรานิยมรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ คราวนี้การรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่นั้น เราไปในลักษณะของการรดน้ำขอพร เด็กรุ่นใหม่ทำผิดกันเยอะมาก เพราะไปรดน้ำอวยพรผู้ใหญ่ ไม่ต้องทะลึ่งไปอวยพรให้ท่านหรอก วัยวุฒิคุณวุฒิของเราไม่มีอะไรพอที่จะเป็นความดีให้ท่านได้ ถ้าหากว่าจะอวยพรให้ท่าน ต้องอ้างคุณพระรัตนตรัยแทน แต่ว่าก็เป็นสิ่งที่ไม่สมควรอยู่ดี เพราะว่าเราเป็นเด็กกว่า

ในส่วนที่เราได้กระทำในครั้งนี้ ข้อที่ ๑ เป็นการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีแต่ดั้งเดิมของเราเอาไว้ ข้อที่ ๒ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อผู้ใหญ่ ต่อครูบาอาจารย์ ต่อบุคคลที่เรารัก ข้อที่ ๓ เป็นการแสดงอปจายนมัย คือการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ สิ่งที่เราทำนี้เป็นส่วนของความดีทั้งสิ้น เพราะว่าการรักษาขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งช่วยให้สังคมและประเทศชาติของเราเป็นปึกแผ่นเป็นมั่นคงได้

เนื่องจากสังคมของเรานั้น ต้องประกอบไปด้วยขนบธรรมเนียมประเพณี กฎหมายบ้านเมือง และระเบียบวินัยของแต่ละสถานที่ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นกติกา ที่ยึดโยงให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ถ้าหากว่าเราละเมิดกฎกติกา สังคมก็จะวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ยากเดือดร้อน

ดังนั้น..ที่เราทำนั้นมีผลประการแรกก็คือ เป็นการสร้างความเข้มแข็งและมั่นคงของสังคมไทยเรา แสดงออกซึ่งขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามให้ทั้งคนรุ่นหลังและคนต่างชาติได้เห็น ประการต่อมา ในส่วนของการไปแสดงอปจายนมัยต่อผู้ใหญ่ ก็เป็นไปตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในส่วนของบุญกิริยาวัตถุ เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้อื่น ทำให้คนเห็นมีความเย็นตาเย็นใจ เกิดความรักใคร่เมตตา แปลว่าเราสร้างความดีให้เกิดขึ้นในจิตใจของผู้อื่น

ดังนั้น..ในส่วนของคุณความดีนี้จึงเป็นอานิสงส์ที่ส่งผลมาถึงเราด้วย ว่าท่านทั้งหลายจะให้ความรักใคร่เมตตา เอ็นดูเรามากกว่าปกติ ถ้ามีสิ่งใดที่ไม่เกินวิสัย ที่ท่านจะช่วยเหลือสงเคราะห์ได้ ท่านก็จะช่วยเหลือสงเคราะห์เรา "
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2013 เมื่อ 15:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #122  
เก่า 26-04-2012, 10:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

"ในส่วนของการที่เรานำเอาวัตถุมา ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หรือว่าดอกไม้ของหอม ที่ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นส่วนอานิสงส์ของอามิสบูชา ซึ่งมักจะไปปรากฏเป็นโภคสมบัติ หมายความว่าในส่วนของอามิสบูชานั้น อานิสงส์ถัดไปข้างหน้าคือความร่ำรวย มีความคล่องตัวในความเป็นอยู่

แต่ขณะเดียวกัน เรามาปฏิบัติในส่วนของปฏิบัติบูชา ก็คือกระทำอปจายนมัยตามวาระสำคัญของประเพณีต่าง ๆ ในส่วนนี้ถือเป็นส่วนของปฏิบัติบูชา แต่ว่าในส่วนที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ความดีที่ระดับสูงกว่านี้ คือ ศีล สมาธิ และปัญญานั้น เป็นสิ่งที่พวกเราจะทิ้งไม่ได้ การกระทำของเราในครั้งนี้เป็นพื้นฐาน ในเมื่อเรามีพื้นฐานที่หนาแน่น ศีล สมาธิ ปัญญามีที่หยั่งลงได้อย่างมั่นคง โอกาสที่เราจะก้าวล่วงขึ้นไปสู่ภพภูมิที่สูงกว่า หรือว่ากระทั่งหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานก็จะมีมากกว่าปกติ

ในวาระอันสำคัญก็คือวันสงกรานต์ และท่านทั้งหลายได้กระทำซึ่งอปจายนมัย นำเอาวัตถุซึ่งเป็นอามิสทั้งหลายนี้ มาแสดงออกซึ่งความกตเวที คือความรู้คุณในสิ่งที่อาตมาได้กระทำมาตั้งแต่ต้น ก็ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นประธาน บารมีของครูบาอาจารย์มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุงเป็นที่สุด ตลอดจนความดีทั้งปวงที่อาตมาภาพได้บำเพ็ญมาเป็นอเนกชาติ และความดีทั้งหลายที่ท่านได้บำเพ็ญมานับแต่ต้นจวบจนบัดนี้

ขอจงรวมกันเป็นตบะเดชะ เป็นพลวปัจจัย บันดาลดลให้ท่านทั้งหลาย มีความเป็นอยู่ที่คล่องตัว มีความปรารถนาที่สมหวังจงทุกประการ แม้ว่าปรารถนาสิ่งหนึ่งประการใด ที่ไม่ผิดศีลผิดธรรมและไม่เกินวิสัยแล้ว ขอความปรารถนาของท่านทั้งหลายนั้น จงพลันสำเร็จดังมโนรถปรารถนาจงทุกประการ โดยถ้วนหน้ากันทุกท่านทุกคนเทอญ"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 10:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #123  
เก่า 26-04-2012, 11:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พ่อผมเสียมา ๘ ปีแล้ว ทีนี้ทางวัดต้องการใช้ที่ ผมก็เลยจะนำศพพ่อที่ยังไม่เผาออกมาเผา สามารถทำภายในวันเดียวได้เลยไหมครับ คือกลางวันเลี้ยงพระ พอบ่ายสามก็เผาเลย ?
ตอบ : ถึงคุณจะไม่เลี้ยงพระ เผาไปเลยก็ไม่เป็นอะไร

ถาม : ไม่ต้องมีฤกษ์ยามอะไรหรือครับ?
ตอบ : ไม่ต้องมี เพียงแต่ว่าใบมรณบัตรยังอยู่ไหม ? ถ้าอยู่ถ่ายเอกสารใบมรณบัตรให้ทางวัดไว้ใบหนึ่งด้วย ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะเจอข้อหาเผาทำลายศพ เพราะว่าพวกรีบร้อนทำในวันเดียว ส่วนใหญ่เป็นการเผาทำลายศพ วัดท่าขนุนเคยโดนมาแล้วสมัยอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาส

เขาเอาพวกต่างด้าวยัดมาในรถคันเดียวกันเยอะ ๆ แล้วเบียดกันตาย เสร็จแล้วก็เอาไปเผาที่วัด สวดวันนั้นเผาวันนั้น อาจารย์สมพงษ์ก็ไม่ได้ขอใบมรณบัตรเอาไว้ พอถึงเวลาตำรวจสืบคดีมาถึงก็วุ่นไปหมด ยังดีที่ว่าเป็นวัดหลวงปู่สาย ตำรวจให้ความเกรงใจอยู่ เขาก็เลยลงบันทึกไปว่ามิได้เจตนา เพราะว่าไม่รู้ว่าเป็นคดีอาญา นึกว่าเป็นการตายแล้วเผาตามปกติ

ไม่อย่างนั้นก็ได้ไปสวัสดีเธอจ๋าอยู่ในตะราง เพราะว่าเจ้าพนักงานกระทำความผิดนี่หนักกว่าคนอื่นหลายเท่า มาตราที่ ๔๕ ระบุไว้ชัดเจนเลยว่าเจ้าอาวาสเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 11:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #124  
เก่า 26-04-2012, 11:35
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การเป็นเจ้าภาพปิดทองพระประธาน ต้องทำอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : ดูว่าพระประธานนั้นองค์ใหญ่แค่ไหน ? ถ้าหน้าตัก ๔ ศอกขึ้นไป จะมีอานิสงส์ชำระหนี้สงฆ์ที่เราทำมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันได้ ถ้าหากว่าหน้าตักไม่ถึง ๔ ศอก การที่เราปิดทองพระประธาน เป็นการซ่อมบำรุงพระพุทธรูปให้มีความสวยงาม เป็นที่น่าเคารพน่าเลื่อมใสของบุคคลทั่วไป อานิสงส์นี้ถ้าหากว่าเป็นผู้หญิงจะได้เป็นเบญจกัลยาณี ถ้าหากว่าเป็นผู้ชายน่าหล่อประมาณพระมหากัจจายนะ

พระมหากัจจายนะรูปงามขนาดผู้ชายเห็นแล้วหลงเลยนะ ผู้ชายคิดว่าถ้าเมียเราสวยขนาดนี้ได้ก็ดี ด้วยความที่พระมหากัจจายนะท่านเป็นพระอรหันต์ พอไปคิดล่วงเกินท่านนิดเดียว คนคิดกลายเป็นผู้หญิงไปเลย แล้วก็อายหนีข้ามเมืองไป ดันไปตกหลุมรักเศรษฐีต่างเมือง แต่งงานแต่งการไปมีลูก ๒ คน เพื่อนเก่าตามเจอ พอเล่าให้ฟังก็บอกให้ไปขอขมาพระเถระเสีย พอท่านไปขอขมาจึงกลับเป็นผู้ชายเหมือนเดิม

แย่ละสิ..ตอนเป็นผู้ชายก็มีลูกมีเมียอยู่ทางนี้ ตอนเป็นผู้หญิงก็ไปมีลูกมีผัวทางนั้น ท้ายสุดก็เลยต้องให้พระราชาเป็นคนชี้แจงทั้ง ๒ ฝ่ายว่าเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ก็เลยจบลงตรงที่ว่า พระมหากัจจายนะต้องอธิษฐานให้ท่านมีร่างกายอ้วน คนจะได้ไม่ไปหลงเสน่ห์ท่านอีก

ถ้าอานิสงส์แบบนางอุบลวรรณาเถรีนั้นมีผิวเหมือนทองเลย ขนาดเขาหล่อรูปทองคำใส่เสลี่ยงไป สาวใช้เห็นรูปหล่อทองคำนึกว่าเป็นนางอุบลวรรณาจึงตี หาว่าหนีมาแอบเล่นอยู่ที่นี้ทำให้ตามกันแทบตาย พอตีเข้าไปเพิ่งจะรู้ว่าเป็นรูปหล่อทองคำ แสดงว่านางอุบลวรรณาเถรีสวยพอ ๆ กับรูปหล่อทองคำ

อย่างพวกเราถ้าไปที่อินเดีย ก็ถือว่าอยู่ในตระกูลผิวทองเหมือนกัน สุวณฺณวณฺโณเหมือนกัน เพราะคนอินเดียเป็นนีลวณฺโณ ผิวดำ ผิวเขียว พวกเราไปนี่เป็นผิวทอง เขาถือว่าอยู่ในวรรณะที่สูง ถ้าแต่งตัวโกนหัวอย่างอาตมานี้เขาเรียกว่าจัณฑาล เพราะคนอินเดียเขาจะไว้ผมเกล้ามวยทั้งผู้หญิงผู้ชาย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 11:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #125  
เก่า 26-04-2012, 11:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระควัมปติกับพระมหากัจจายนะใช่องค์เดียวกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : คนละองค์กันจ้ะ พระควัมปติเป็นสหายของพระยสะ ท่านชอบเข้านิโรธสมาบัติ ทีนี้การเข้านิโรธสมาบัติก็คือการดับสัญญาและเวทนาทั้งหมด ก็คือปิดอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เหล่านั้น เขาก็เลยมักจะทำเป็นรูปพระปิดตา

แต่เรื่องนี้ถ้าสืบสาวไป พระปิดตาอาจจะมีส่วนของทางฮินดูมา เพราะว่ามีการสร้างพระพิฆเนศอยู่ในปางนี้เหมือนกัน แล้วฮินดูมาก่อนศาสนาพุทธ ในเมื่อฮินดูเกิดก่อนศาสนาพุทธต้องยกให้เขาเป็นพี่ เราอาจจะเลียนแบบเขามาก็ได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #126  
เก่า 26-04-2012, 14:41
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีวัดใหญ่แห่งหนึ่งเดินธุดงค์ในเมือง พระสงฆ์กว่า ๑,๐๐๐ รูปทำให้รถติดขัดใจกลางเมือง ผิดหลักศาสนาหรือไม่ อย่างไร?
ตอบ : การธุดงค์คือการขัดเกลากิเลสตามความมุ่งหมายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การธุดงค์จึงเป็นการละรัก โลภ โกรธ หลง ในใจของผู้ออกธุดงค์ ถ้าการกระทำของเขาทั้งหลายเหล่านั้นเป็นไปเพื่อการละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ถือว่าไม่ผิดไปจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าการกระทำนั้นเป็นการเพิ่มรัก โลภ โกรธ หลงขึ้นมาจึงถือว่าผิดจากคำสอน เพราะฉะนั้น..จึงต้องไปถามท่านผู้เดินธุดงค์เองว่าตั้งใจละกิเลสหรือเพิ่มกิเลส ?

ส่วนการทำให้รถติดนั้นถือว่าผิดกาลเทศะไปนิดหนึ่ง เพราะว่าปรกติแล้วการเดินธุดงค์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากำหนดเอาไว้ว่าแม้แต่จะปักกลด ก็ต้องให้ห่างจากบ้านประมาณ ๕๐๐ ชั่วธนู หมายถึงคันธนูนะ ไม่ใช่ลูกธนูยิงไป เอาคันธนูรบสมัยก่อนวางต่อ ๆ กัน ๕๐๐ คัน กะดูระยะในปัจจุบัน ก็ประมาณ ๑ กิโลเมตรเป็นอย่างน้อย

ดังนั้น..ในส่วนคำถามที่ว่าผิดหลักศาสนาหรือไม่ ? ถ้าหากว่าเป็นการขัดเกลากิเลสของตนเอง ลดละรัก โลภ โกรธ หลง ก็ไม่ผิด แต่ถ้าเป็นการเพิ่มกิเลสของตัวเองก็ผิด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #127  
เก่า 26-04-2012, 14:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ใครที่ไปทำบุญวัดนี้จะได้ยินคำว่า “บริจาคมากได้บุญมาก ลำบากมากยิ่งต้องบริจาคเงินทำบุญให้มาก แล้วบุญจะกลับมาเป็นเงินมากมายหลายเท่านัก” การกระทำเช่นนี้ถูกหลักศาสนาหรือไม่ ?
ตอบ : ถ้าถามว่าถูกหลักศาสนาหรือไม่ ? องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้เราให้ทาน ก็ถือว่าถูกหลัก แต่ว่าการทำบุญนั้น อย่าให้ตัวเองและคนรอบข้างเดือดร้อน มีน้อยทำน้อย ถ้ามีมากจะทำมากก็ไม่เป็นไร

ถ้ามีมากทำน้อย แม้จิตยังมีความตระหนี่อยู่ อย่างน้อยได้เสียสละออกตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน แต่ถ้ามีน้อยทำมาก ถือว่าไม่รู้ภาวะของตน จะทำให้คนรอบข้างและตนเองเดือนร้อนได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการทำบุญที่ไม่ควรสรรเสริญ

ถาม : ทำไมผู้ที่มาทำบุญและปฏิบัติธรรมที่นี่ ถึงได้เชื่อว่าทำบุญเยอะแล้วจะเจริญทันตาเห็น ?
ตอบ : เพราะแรงโฆษณาอย่างหนึ่ง อย่างที่สองก็คือโดนตามจิกอยู่ทุกวัน ไม่ไปก็รำคาญ ก็เลยไปซื้อรำคาญ

ถาม : วัดแห่งนี้เชิงพาณิชย์เกินไปหรือไม่?
ตอบ : ถ้าหากว่าไปถามท่าน ท่านก็บอกว่ากำลังดี ฉะนั้น..คนถามต้องตัดสินใจเอง

ถาม : ลายเซ็นนี้บอกลักษณะว่าเป็นอย่างไร โปรดชี้แนะและเมตตาสงเคราะห์ด้วย ?
ตอบ : โอ้โห...ลายเซ็นนี้ถ้าเป็นอาตมาไม่คบเลย ใครอยู่ใกล้ก็เดือดร้อนไปหมด เพราะนิสัยนอกจากไม่ลงให้ใครแล้ว ยังปากไวใจเร็วอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ ว่าชอบจิกกัดคนอื่นเป็นปกติ เลิกนิสัยนี้ได้แล้วจะดี

หมายเหตุ :
คนถามเขียนคำถามใส่กระดาษมาค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #128  
เก่า 26-04-2012, 14:55
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า ท่านเลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความกตัญญู ด้วยอานิสงส์นั้นท่านก็ได้บังเกิดเป็นพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ สำหรับท่านที่บูชาพระอรหันต์ จะได้อานิสงส์ไปเกิดเป็นพระอินทร์ในขณะที่ยังไม่เข้าพระนิพพานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าบูชาถูกต้องไม่ใช่เกิดเป็นพระอินทร์เท่านั้น แต่จะเข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าบูชาถูกต้องแต่ทำได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ ก็อาจจะไปเป็นพรหมหรือเทวดาอยู่ เพราะคำว่า "บูชา" นั้น ส่วนหนึ่งก็คือปฏิบัติตามในสิ่งที่ท่านได้สอนให้เราทำ คราวนี้พระอรหันต์ท่านนิยมสอนอย่างเดียวก็คือการไปพระนิพพาน

ดังนั้นว่า..ถ้าเราบูชาถูกต้อง ก็สามารถที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ในชาตินี้ แต่ถ้าหากว่าปฏิบัติได้ไม่เต็มที่ตามที่ท่านสอน อย่างน้อย ๆ กำลังใจเกาะความดี ก็แปลว่าเราพ้นทุกข์ชั่วคราว คือการไปเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ยกเว้นว่าเป็นสุธาวาสพรหมที่เป็นตั้งแต่พระอนาคามีขึ้นไป ไม่ต้องลงมาเกิดอีก แต่ยังมีความทุกข์อยู่ ก็คือกังวลกับการชำระใจของตนให้สะอาดเพื่อความหลุดพ้นอย่างแท้จริง ถือว่ายังไม่พ้นเหมือนกัน

การจะเป็นพระอินทร์นั้นต้องปฏิบัติในวัตตบท ๗ ประการเป็นการเฉพาะ เช่น ไม่โกรธเลยตลอดชีวิต เลี้ยงดูพ่อแม่ด้วยความกตัญญูรู้คุณ เป็นต้น ดังนั้น การบูชาพระอรหันต์ยังไม่ใช่กติกาโดยตรงของการปฏิบัติเพื่อเป็นพระอินทร์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-05-2012 เมื่อ 02:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #129  
เก่า 27-04-2012, 08:05
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ขอถามเรื่องพระอนุรุทธเถระครับ ที่บอกว่าท่านเป็นพระวิชชาสาม ไม่ใช่พระอภิญญาหรือพระปฏิสัมภิทาญาณแล้ว ทำไมท่านเก่งเกินอภิญญา ?
ตอบ : พระอนุรุทธท่านได้วิชชาสามที่เปรียบเหมือนกับช้าง ส่วนท่านที่ได้อภิญญาหรือปฏิสัมภิทาญาณในยุคนั้นเปรียบเป็นแค่มด เพราะฉะนั้น..แค่ช้างเดินเฉี่ยว ๆ มดก็อาจจะตายแล้ว พระอนุรุทธท่านบำเพ็ญมาเฉพาะด้าน คนอื่นจึงถนัดสู้ท่านไม่ได้ เหมือนอย่างคนเรียนหมอผ่าตัดมาโดยตรง คนอื่นไม่ได้เรียนผ่าตัดมา ต่อให้คนอื่นจบด็อกเตอร์ก็สู้หมอผ่าตัดที่้เรียนจบปริญญาตรีไม่ได้หรอก

ถาม : แสดงว่าการที่ได้ส่วนของวิชชาสามก็ดี อภิญญาก็ดี ก็ไม่ได้ตัดสินถึงความชำนาญของท่านได้หรือครับ ?
ตอบ : ไม่ได้เป็นเครื่องตัดสิน บุคคลที่เรารู้สึกว่าอยู่ในระดับต่ำกว่า แต่มีความสามารถมากกว่าบุคคลที่สูงกว่านั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้ ท่านจะต้องสร้างมาในลักษณะพิเศษจริง ๆ ตัวอย่างบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่สำเร็จวิชชาสามแต่ความสามารถคลุมหมดในพระอรหันต์ทุกองค์ ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!

ถ้าไปอ่านพุทธประวัติจะเห็นว่ายามต้นพระองค์ท่านสำเร็จปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้ไม่จำกัด ยามสองสำเร็จจุตูปปาตญาณ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน ยามสุดท้ายบรรลุอาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไป ก็วิชาสามชัด ๆ เลย เพราะฉะนั้น..อย่าเอาช้างไปเปรียบกับมด
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #130  
เก่า 27-04-2012, 08:24
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอานนท์ท่านเป็นเอตทัคคะตั้งหลายด้าน และในอดีตชาติยังเคยเกิดเป็นพระอนุชาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง ถ้าดูไปแล้วเหมือนท่านจะโดดเด่นมากกว่าพระอัครสาวกเสียด้วยซ้ำ ข้อนี้ผมเข้าใจผิดอย่างไรหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไม่ผิด...แต่สิ่งที่เราเข้าใจนั้นเราต้องดูตัวอย่างปัจจุบัน ถ้าสมมติว่าเลขานุการนายกรัฐมนตรีมีความสามารถเด่นมาก แต่เลขาฯ ต่อให้เด่นแค่ไหนตำแหน่งก็ยังเล็กกว่ารองนายกรัฐมนตรี

ถ้าเป็นทางประเทศจีน รูปอัครสาวกที่ยืนซ้ายขวาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่ใช่พระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร แต่เป็นพระมหากัสสปะและพระอานนท์ ทางมหายานเขาถือว่าพระอานนท์เป็นผู้ทรงจำพระไตรปิฏก พระมหากัสสปะเป็นประธานในการรวบรวมสังคายนาพระไตรปิฎก เขาก็เลยให้ความสำคัญทั้ง ๒ องค์นี้สำคัญกว่าพระอัครสาวก ซึ่งความเชื่อไม่เหมือนกับทางเรา แต่เขามีเหตุผลรองรับของเขาอยู่

ดังนั้น..ในส่วนที่ว่าพระอานนท์มีบทบาทมากกว่าก็ถือว่าเป็นความจริง แต่ว่าลักษณะของการเผยแผ่ธรรมนั้น พระอัครสาวกทั้ง ๒ ช่วยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มากมหาศาล เพราะว่าท่านเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่ ขณะที่พระอานนท์ไม่สามารถช่วยเผยแผ่ธรรมได้มาก เนื่องจากว่ายังเป็นพระโสดาบันอยู่ บทบาทของพระอานนท์มามีมากหลังจากพระพุทธปรินิพพานแล้ว

ในช่วงที่ก่อนพระพุทธปรินิพพานพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก ลักษณะเหมือนเลขานุการส่วนตัว ต้องบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถที่จะบำเพ็ญพุทธกิจได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น เกิดจากการจัดสรรของพระอานนท์ส่วนหนึ่งด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #131  
เก่า 27-04-2012, 08:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกัปนี้ถือว่าเป็นภัทรกัป คือมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ ๕ พระองค์ ในกัปหน้าจะมีพุทธเจ้ากี่พระองค์ ?
ตอบ : อีก ๕ พระองค์ ช่วงนี้เป็นภัทรกัป ๒ กัปติดต่อกัน ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้อีก ๖ พระองค์ต่อเนื่องกันไป ถือว่าเป็นช่วงที่โชคดีที่สุดของบุคคลที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เพราะว่ามีภัทรกัป ๒ ภัทรกัปติด ๆ กัน จะมีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ต่อเนื่องกันไปถึง ๑๐ พระองค์

ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งแต่พระองค์ท่านยังเป็นสุเมธดาบสที่ได้รับการพยากรณ์ครั้งแรกจากองค์สมเด็จพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากสิ้นองค์สมเด็จพระพุทธทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ผ่านไป ๑ อสงไขยกัปจึงมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะอุบัติขึ้น สรุปว่าตั้งแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกณฑัญญะมาถึงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน มีพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๒๔ พระองค์ด้วยกัน ใช้เวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปพอดี ส่วนเรากัปเดียวได้มา ๕ องค์นี่ถือว่าโชคดีสุด ๆ แล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #132  
เก่า 27-04-2012, 08:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ถามว่าเหมือนไหม? ก็ไม่เหมือนหรอก คนก็ยังเป็นคนอยู่ เพียงแต่ว่าอยู่ในภาวะที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ต่างคนต่างกอบโกยเพื่อตัวเอง ถ้าวัดจากมาตรฐานของปัจจุบัน ต้องบอกว่าต่อไปการกระทำของคนค่อนข้างจะน่าเกลียดน่าชัง แต่มาตรฐานของปัจจุบันนี้ถ้าเปรียบกับในอดีต คนอดีตก็บอกว่าน่าเกลียดมาก เพราะฉะนั้น..ไม่สามารถที่จะเอาตัวเราเป็นบรรทัดฐานในการวัดทั้งตนเองและผู้อื่น เพราะต้องดูว่ามาตรฐานของใคร

เราวัดว่าเราดี แต่คนที่ดีกว่ามองมาก็บอกว่าไม่เป็นเรื่องเลย ขณะเดียวกันเราว่าคนอื่นไม่ดี คนที่ด้อยกว่าคนนั้นมองมาก็บอกว่าเขาดีจังเลย เพราะฉะนั้น..มาตรฐานก็เลยขึ้นอยู่กับกำลังใจของบุคคลนั้น ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #133  
เก่า 27-04-2012, 09:01
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สำหรับผู้ที่ปรารถนาอรหัตผลแบบธรรมดา ไม่ได้เป็นอัครสาวก ไม่ได้เป็นเอตทัคคะ จำเป็นต้องตั้งความปรารถนาไว้ล่วงหน้าหรือไม่ครับ หรือว่าสามารถทำได้เดี๋ยวนั้นเลย ?
ตอบ : นอกจากต้องตั้งความปรารถนาไว้ล่วงหน้าแล้ว ยังต้องบำเพ็ญบารมีมาอย่างน้อย ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ไม่ใช่คิดจะเป็นเดี๋ยวนี้ก็เป็นได้ เหมือนกับเด็ก ๆ ไม่เคยเรียนหนังสือ รู้ว่าดีก็พยายามเรียนหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่ สระอะ สระอา ไปเรื่อย กว่าจะประสมตัวได้ก็ต้องผ่านการทดสอบความรู้ไปเรื่อย จบชั้น ป.๔ จบชั้น ป.๖ จบชั้น ม.๖ แล้วก็จบปริญญาตรี เป็นต้น ต้องไล่ไปทีละลำดับ ถ้าหากว่าคุณอยู่ในช่วงปลายเทอมท้าย ๆ ของปริญญาตรี คุณก็มีสิทธิ์สอบได้ แต่ถ้าหากว่ายังอยู่แค่ชั้น ป. ๑ ก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาเรียนไปอีกนาน

ดังนั้น..ในเรื่องของการปรารถนาหรือว่าตั้งความหวังไว้เกี่ยวกับมรรคกับผล จะต้องผ่านการสะสมศีล สมาธิ ปัญญา มาในระยะเวลาที่พอสมควรทีเดียว ต่ำสุดก็ ๑ อสงไขยกับแสนมหากัป ถ้าใครจะเรียนปริญญาโทปริญญาเอกก็ใช้เวลามากกว่านั้น เอาแค่ปริญญาตรีก่อนแล้วกัน จบได้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 03:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #134  
เก่า 27-04-2012, 09:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในกรณีฝรั่งหรือคนที่อยู่นอกพระพุทธศาสนา ไม่ได้มาอยู่ในพระพุทธศาสนาเพราะว่าไม่เคยทำบุญหรือไม่เคยเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หรือเพราะว่าเขายังไม่มีโอกาสที่จะบรรลุนิพพานในชาตินี้..ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...แต่ละคนเวียนตายเวียนเกิด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเกิด เป็นคนชาตินั้นบ้างชาตินี้บ้าง เคยนับถือพระพุทธศาสนาบ้าง เคยนับถือศาสนาอื่นบ้าง แต่บุคคลที่ไปเกิดนอกเขตพระพุทธศาสนานั้น สาเหตุใหญ่มี ๒ ประการด้วยกัน ประการแรก..เพื่อไปนำคนหมู่มากในจุดนั้น ๆ ประการที่สอง..เพราะว่าขาดความยึดมั่นในพุทธานุสติ

ถ้าเขาต้องไปเกิดเป็นผู้นำของคนหมู่มากในจุดนั้น ๆ ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายเหล่านี้จะมาทางสายพระโพธิสัตว์ ต้องบำเพ็ญบารมีในลักษณะสงเคราะห์บริวารของตัวเองเป็นจำนวนมาก ครั้นเกิดมาพร้อม ๆ กันทีเดียวหลายคน จะมาแย่งเป็นผู้นำในที่เดียวกัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ก็ต้องแยกย้ายกันไป แต่ว่าพอวาระถัดไปก็จะหมุนเวียนกลับมาเกิดในเขตของพระพุทธศาสนาใหม่

แต่สำหรับท่านที่ไม่มั่นคงในพุทธานุสตินั้น ถ้าหากว่ายังมุ่งอยู่กับความดี ก็จะเลี้ยวกลับมาได้เร็ว ถ้าไม่ได้มุ่งอยู่กับความดี ก็อาจจะเตลิดเปิดเปิงออกไปไกล กว่าจะย้อนกลับมาก็เนิ่นนานแสนนาน แต่ถ้าบารมีที่เขาสั่งสมมาถึงระดับท้าย ๆ แล้ว การฟังธรรมสามารถเข้าถึงมรรคผลได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่ามีฝรั่งจำนวนมาก มาบวชปฏิบัติธรรมอยู่ในประเทศเรา ท่านที่บวชปฏิบัติจนอาตมามั่นใจว่าเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เพราะเคยได้ยินหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ ก็คือหลวงพ่อสุเมโธ (หลวงพ่อโรเบิร์ต สุเมโธ) ตอนนี้ท่านเป็นพระราชสุเมธาจารย์

อาตมาเพิ่งจะเจอท่านเมื่อไม่นานนี้เอง ท่านจำแม่นมาก พอเจอหน้าท่านทักอาตมาก่อนเลย ตอนแรกอาตมาก็แปลกใจว่าเท้าท่านบวมหรือไม่ ? ถามพระครูสันติธรรมวิเทศที่สนิทกันว่า "หลวงพ่อท่านเป็นอะไร ?" ท่านก็บอกว่า “แสดงว่าคุณไม่เคยมองเท้าหลวงพ่อเลย..ใช่ไหม ?” "ใช่..ท่านสูงมาก ส่วนใหญ่แล้วผมต้องแหงนหน้ามองท่าน"

ท่านบอกว่า หลวงพ่อมาอยู่เมืองไทยเลยป่วยเป็นโรคเท้าช้าง เพราะปฏิบัติธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ อยู่ในป่าในดงโดนยุงกัดเข้าเลยเป็นโรคเท้าช้าง เท้าท่านจะบวม ๆ เหมือนอย่างกับเลือดคั่ง ท่านบอกว่ารำคาญหน่อยแต่ไม่ได้มีอะไร ก็ปล่อยไปเรื่อยอย่างนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 07-05-2012 เมื่อ 20:29
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #135  
เก่า 27-04-2012, 09:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระอรหันต์ในเมื่อท่านปรินิพพานไปแล้ว แต่ว่าเราได้เคยฝากตัวเป็นศิษย์ไว้กับท่าน เมื่อเราปฏิบัติธรรมถึงจุดหนึ่ง ท่านสามารถกลับมาสอนเราได้ อันนี้เป็นความจริงไหมครับ?
ตอบ : จริง...หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านกล่าวไว้ว่า บุคคลที่ปฏิบัติธรรม ถ้ายังไม่มีครูบาอาจารย์ที่คนมองไม่เห็นตัวถือว่ายังใช้ไม่ได้ ถ้าหากว่าปฏิบัติธรรมไปแล้ว มีครูบาอาจารย์ที่มองไม่เห็นตัวมาให้การสงเคราะห์ จะมีโอกาสเข้าถึงมรรคผลเร็วกว่า เพราะท่านจะเน้นเฉพาะจุดที่เราติดขัดอยู่

แล้วก็มีคนจำนวนหนึ่งสงสัยว่าพระอรหันต์นิพพานไปแล้วกลับมาได้หรือ ? อย่างพระนาคเสนท่านบอกว่า คนที่พ้นคุกไปแล้วสามารถกลับมาเยี่ยมเยียนคนในคุกได้ตลอดเวลา ส่วนคนที่ไม่พ้นคุกต่างหากเล่าที่ไปไหนไม่ได้

ถาม : ในเมื่อพระอรหันต์ท่านสิ้นอาสวะแล้ว คือไม่มีความอยาก ไม่มีความปรารถนาใด ๆ แล้ว ในกรณีที่เราไม่เคยปวารณาไว้ก่อน แม้ว่าเราจะต้องการให้ท่านมาสอน ท่านก็จะไม่มา อันนี้จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็ไม่ให้การสงเคราะห์ เพราะว่าพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป สิ่งที่เป็นพื้นฐานเลยก็คือยอมรับกฎของกรรม ต้องรอท่านที่เคยมีกรรมเนื่องกันมากับเรา มาสงเคราะห์เราแทน นี่ไม่ต้องกล่าวถึงพระอรหันต์นะ แม้แต่ พรหม เทวดา นางฟ้า ก็เหมือนกัน ถ้าไม่เคยมีกรรมเนื่องกันมาท่านก็ไม่มายุ่งกับเราหรอก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #136  
เก่า 27-04-2012, 09:29
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เนื่องจากว่าภพภูมินี้ยาวนานมาก ยาวนานเท่าไรเราคงไม่สามารถที่จะประมาณได้ ช่วงที่ผ่านมาก็คงจะมีเวรมีกรรมเกี่ยวเนื่องกันมามากมาย คงจะมีคนที่เรารู้จักไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง เป็นพระอรหันต์บ้าง ถ้าท่านกับเรามีกรรมเนื่องกันมา ท่านก็สามารถที่จะมาช่วยเราได้..ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้ ๑๐๐ % ครึ่ง แต่ต้องรอวาระที่เหมาะสมด้วย ท่านจะทะนุบำรุงฟูมฟักให้ผลไม้นั้นสุกงอมหอมอร่อย เหมาะแก่การเป็นอาหารของเราได้ ต้นไม้ต้นนั้นต้องออกดอกออกผลก่อน ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะโผล่จากเมล็ดมาก็จะให้ท่านมาทำหน้าที่นั้นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ใช่วาระที่สมควร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #137  
เก่า 27-04-2012, 09:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ภัทรกัปหน้ามีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแบบวิริยาธิกะทั้งสิ้นเลยหรือว่าแบบไหนครับ ?
ตอบ : สลับกันไป ไม่มีกัปไหนที่จะมีพระพุทธเจ้าประเภทเดียว ยกเว้นว่ากัปนั้นเป็นสารกัป คือมีพระพุทธเจ้าองค์เดียว ถ้าตั้งแต่มัณฑกัปขึ้นไป พระพุทธเจ้าท่านอาจจะสร้างบารมีมาแบบเดียวกันหรือว่าต่างกันก็ได้

ภัทรกัปหน้าจะมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งที่ตอนนี้ยังอยู่ในอเวจีมหานรก แต่ไม่ต้องห่วงท่านหรอก ท่านขึ้นมาทันแน่นอน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #138  
เก่า 27-04-2012, 09:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ป่าหิมพานต์ที่มีคนไปเอานารีผลซึ่งเป็นรูปของหญิงชัดเจนแต่ว่าเป็นเปลือกไม้ แล้วเขาก็อ้างว่ามีหลายผล ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าป่าหิมพานต์มีจริง แล้วอย่างนั้นป่าหิมพานต์อยู่ที่ไหนครับ ?
ตอบ : เป็นมิติที่ซ้อนทับกันอยู่ ถ้าหากว่าเราเข้าถึงความละเอียดนั้นก็สามารถเข้าไปได้ ขณะเดียวกันบุคคลที่สามารถที่เข้าถึงความละเอียดนั้นสามารถนำสิ่งของที่อยู่ในมิตินั้นออกมาได้ ถ้าเป็นผู้อื่นไม่สามารถที่จะนำออกมาได้

ถาม : แสดงว่าพระคุณเจ้ายืนยันว่าป่าหิมพานต์มีจริงและมักกะลีผลก็มีจริง ?
ตอบ : มี...แต่ป่วยการ อย่างพวกเราไปก็ตายหมด โดยเฉพาะผู้ชายเจอมักกะลีผลเข้านี่เสร็จทุกราย ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ได้โลกุตรอภิญญาแล้วไม่เหลือหรอก เพราะว่าบรรดาฤๅษีชีไพร นักสิทธิ์ วิทยาธร ที่ได้ฤทธิ์อภิญญาก็ยังไปแย่งชิงมักกะลีผลกัน

มักกะลีผลไม่ได้มีเสน่ห์แต่รูปร่างเท่านั้น แค่คนได้ยินเสียงก็หลงแล้ว ยิ่งคนได้กลิ่นยิ่งหลงหนักเข้าไปใหญ่ พูดง่าย ๆ ว่ารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของเขาสมบูรณ์พร้อม ไปเจอแม่เจ้าประคุณแขวนโตงเตงอยู่ ร้องเพลงเสียงไพเราะเพราะพริ้ง เสียงเพราะชนิดได้ยินแล้วตะลึง อ้าปากจะกินข้าวก็คงอ้าค้างลืมกลืน

ถาม : มักกะลีผลนี่ออกผลมาเป็นมนุษย์จริง ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นผลไม้ในรูปมนุษย์ มีอายุแค่ ๗ วันตามแบบของผลไม้ ถึงเวลาก็เหี่ยวเฉาเน่าไป

ถาม : มีจิตใจไหมครับ ?
ตอบ : ไม่มี..มีแต่วิญญาณที่เป็นประสาท ลักษณะคล้ายกับต้นไม้กินแมลงแบบนั้นแหละ สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ ร้องเพลงได้ แต่ไม่สามารถที่จะมีสภาพจิตรับรู้เรื่องความสุขความทุกข์ได้เหมือนกับมนุษย์ เพราะว่าเป็นแค่ประสาทร่างกาย

ถาม : ในป่าหิมพานต์นี่ยังมีพืชผักอะไรที่แปลกพิสดารแบบมักกะลีผลอีกไหมครับ ?
ตอบ : มีเยอะแยะไป ส่วนพวกพืชผัก พวกสัตว์ต่าง ๆ อาตมาไม่ได้ใส่ใจหรอก อาตมาใส่ใจพวกภูเขาทอง ภูเขาแก้ว เพียงแต่ว่าเขาไม่ให้ ถ้าให้อาตมาจะเอาใส่ย่ามมา..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:07
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #139  
เก่า 27-04-2012, 10:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีพระรูปหนึ่งกล่าวไว้ว่า บรรณศาลาของพระเวสสันดรที่พระอินทร์ท่านเนรมิตไว้ ก่อนที่พระเวสสันดรท่านจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังอยู่ในป่าหิมพานต์ ?
ตอบ : สิ่งนี้เกิดขึ้นเฉพาะบุญคน ต่อให้อยู่นอกพระพุทธศาสนาก็เป็น อย่างเช่นพอคนป่วยได้จับต้องกายพระคริสต์ก็หายป่วย พระองค์ท่านมีขนมปังแค่ ๒ ชิ้นสามารถแจกให้คนกินจนอิ่มทั่วกันเป็นร้อยเป็นพันคนได้

เพราะฉะนั้น..บุญญาบารมีที่สั่งสมมาถือว่าเป็นส่วนของกรรมวิบาก พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า พุทธวิสัยอย่างหนึ่ง ฌานวิสัยอย่างหนึ่ง กรรมวิบากอย่างหนึ่ง โลกจิณไตยอย่างหนึ่ง ไม่พึงคิด ผู้ใดคิดพึงมีส่วนของความเป็นบ้า เพราะว่าการส่งผลหรือความสามารถของท่านทั้งหลายเหล่านี้ พิลึกพิลั่นเกินกว่ามนุษย์มนาทั่วไปจะคิดถึง ในขณะที่เราจบชั้น ป.๑ แล้วเราไปสงสัยว่าด็อกเตอร์เรียนอะไรกันก็เจ๊งพอดี

ส่วนบรรณศาลาของพระเวสสันดรนั้นเป็นของทิพย์ พอเลิกใช้ก็จะอันตรธานไปเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #140  
เก่า 27-04-2012, 10:12
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,756
ได้ให้อนุโมทนา: 152,207
ได้รับอนุโมทนา 4,420,741 ครั้ง ใน 34,346 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าถวายพระไตรปิฎกแล้วเขาเอาไปเก็บไว้ ไม่มีคนเปิดอ่านเลย บุญกุศลมีมากน้อยเพียงใดครับ ?
ตอบ : ทันทีที่ทำเกิดธัมมะบูชา มหาปัญโญ เจตนาของเราตั้งใจเป็นธรรมทาน เกิดกี่ชาติก็จะมีปัญญามาก ถ้าหากว่ามีคนไปใช้งานเพิ่มเติม อานิสงส์ก็ยิ่งมากขึ้นไปตามลำดับ ถ้าไม่มีคนใช้งาน อานิสงส์มาตรฐานเราก็ได้แน่นอนอยู่แล้ว

เพราะฉะนั้น..บุญมาตรฐานได้แล้ว ที่เหลือเป็นส่วนเกิน ได้มาก็ถือว่ากำไร ไม่ได้มาก็เท่าทุน ไม่ได้เสียอะไร
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2012 เมื่อ 04:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:18



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว