|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#121
|
||||
|
||||
ถาม : ....(ไม่ชัด).... ภาวนามาหลายปี ก็ไม่ได้เจอเลย ?
ตอบ : แสดงว่าไม่ได้สร้างบุญมาร่วมกัน แบบเดียวกับหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร อาตมาตามหวุดหวิด ๆ อยู่ ๓ ครั้ง ๔ ครั้ง ท้ายสุดท่านบอกว่าไม่ต้องตามหรอก เพราะไม่เคยสร้างบุญมาร่วมกันมา ท่านไม่มีอารมณ์ที่จะมาสงเคราะห์ แค่บริวารที่ท่านต้องไปตามเก็บก็เยอะแล้ว ถาม : ถ้าเรานึกถึงท่าน ? ตอบ : นึกถึงท่านก็ใช้ได้ บารมีท่านก็คลุมมาถึง อาตมาคิดจะไปเรียนอภิญญากับท่าน โดยเฉพาะวิชาตัดเหล็กไหล ไม่ได้นึกอยากได้เหล็กไหลหรอก แต่อยากได้วิชา ปัจจุบันมีแต่เหล็กเหลวไหลเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ถาม : ใช้คาถาบังคับหรือคะ ? ตอบ : จะเรียกว่าบังคับก็ได้ แต่ลักษณะคาถาเหมือนกับขอเทวดาที่ท่านรักษาอยู่ แล้วแต่ท่านให้ จะชิ้นใหญ่ชิ้นเล็กก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#122
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงพระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินว่า "พระกริ่งปลดหนี้สองแผ่นดินพระโพธิสัตว์ท่านมาช่วยสงเคราะห์กันเยอะ เป็นที่ชอบใจว่าสำหรับพระโพธิสัตว์ท่านแล้ว การช่วยคนอื่นได้เป็นความสุขของท่าน บางทีท่านก็เลยฝืนกฎของกรรม ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ท่านยอมรับกฎของกรรม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:41 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#123
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเข้าฌานสี่ฟุ้งซ่านไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเข้าฌานอยู่ไม่ฟุ้ง หลุดออกมานี่ฟุ้งฉิบหา..เลย ฉะนั้น..ห้ามหลุดเด็ดขาด คนที่มีความคล่องตัวเขาถึงใช้กำลังของฌาน ๔ คลุมตัวเองไว้ เวลาถอนออกมาอุปจารสมาธิหรือปฐมฌาน ก็ยังอาศัยกำลังของฌาน ๔ คลุมเอาไว้อีกชั้น กิเลสจึงได้กินไม่ได้ ถาม : ผมนั่งสมาธิไปนาน ๆ เป็นฌานด้วย และคิดฟุ้งซ่านด้วย ? ถาม : ลักษณะนั้นเป็นการแยกจิตเป็นหลายส่วนโดยที่เราไม่รู้ตัว ถ้ารู้ตัวให้รีบดึงเข้ามาอยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ถาม : การที่เราแยกจิต ดีไหมครับ ? ตอบ : ดีตรงที่ว่ามีความคล่องตัวในกีฬาสมาธิ แต่ถ้าหากต้องการความสงบจริง ๆ ก็จะเกิดอย่างที่เจอ ก็คือ ใจหนึ่งภาวนา อีกใจหนึ่งคิดได้ ให้รีบดึงความรู้สึกทั้งหมดอยู่ที่ลมหายใจที่เดียว ไม่อย่างนั้นจะฟุ้งซ่านมันมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:42 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#124
|
||||
|
||||
ถาม : ต้องสร้างบุญอะไรถึงจะลดกรรมเรื่องเพศตรงข้ามได้ครับ มาเยอะเหลือเกิน ?
ตอบ : เนกขัมมะบารมี ถือศีล ๘ ตลอดชีวิตลดได้แน่นอน คุณต้องการจะลดกรรมตัวนี้ ศีล ๕ จะไปลดที่ไหน ? ไม่พอรับประทาน แค่ตั้งใจถือศีล ๘ ตลอดชีวิต แล้วทำให้ได้จริง ๆ เท่านั้น ความจริงกรรมประเภทนี้อยู่ที่คน ๒ คน ถ้าไม่ยุ่งด้วยเสียอย่าง กรรมจะไปทำอะไรได้ อาตมาทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่างตั้งแต่ฆราวาสไม่รู้กี่ยกแล้ว ไม่ไปยุ่งกับเขาเสียอย่างก็ไม่เห็นมีปัญหา บรรดาว่าที่พ่อตาแม่ยายก็สนับสนุนเหลือเกิน ถึงเวลาก็จับยัดไปอยู่ห้องเดียวกับลูกสาวเขา เขาอาจจะอยากได้ไปเป็นลูกเขยมาก ดันไปเจอว่าที่ลูกเขยโง่ฉิบ... ไม่ยอมทำอะไรสักที บรรดาลุงป้าน้าอาคงเห็นว่าเด็กที่เข้าวัดเข้าวาน่าจะดี แต่ท่านหารู้ไม่ว่าที่อาตมาไปวัดเพื่อที่จะลดความชั่วของตัวเอง ในเมื่อท่านคิดว่าดี ท่านก็อยากได้ไปเป็นลูกเขย แล้วก็เจ้ากรรมจริง ๆ แต่ละบ้านมีแต่ลูกสาว สองคนบ้าง คนเดียวบ้าง ไม่มีลูกชายเลย จึงต้องไปเป็นลูกชายให้เขา สมัยนั้นทำตัวเป็นแมวเฝ้าปลาย่าง แล้วมีกติกาว่าห้ามกินด้วยนี่ แหม..ทรมานใจ เขาก็ไม่ได้ห้ามหรอกนะ เขาเต็มใจให้กิน แต่แมวไม่กินเอง ถาม : แล้วสาวเป็นอย่างไรคะ ? ตอบ : อันนั้นไม่รับรู้ ต้องรักษากำลังของเราอย่างเดียว ขืนไปสนใจคนอื่นเดี๋ยวพัง ประเภทตั้งเกราะป้องกันสุดชีวิต ขืนคลายกำลังใจไปสนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวเราก็หงายเก๋ง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#125
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงประคำหวายถักของหลวงพ่ออุตตะมะ ว่า "สมัยแรกที่ท่านมอบให้มา จะมีเม็ดเดียวเป็นประคำโทน ติดอยู่ในพวงที่ท่านนกเอาไป มาตอนหลังพอมีลูกศิษย์ที่ถักได้เยอะ ๆ ก็เลยมีออกมาทั้งสาย ๑๐๘ เม็ด แต่คนเขาบ่นกันว่าหลวงพ่อขายแพง ๒,๕๐๐ บาท แพงมากเลย ลองคิดดูว่าเขาถักกันเป็นวัน ๆ กว่าจะได้สักเม็ดสองเม็ด"
ถาม : ตะกรุดแม่รักษ์ลูกมีพุทธคุณด้านไหนครับ ? ตอบ : รักษาเราเหมือนแม่ที่มีลูกคนเดียว ถาม : ใส่ที่ไหนบ้าง ? ตอบ : พระขรรค์โสฬส ๘๔ พรรษาเล่มใหญ่ แล้วก็มีดหมอเพชราวุธ ตะกรุดหลวงปู่เดิมก็ลงไป ตะกรุดหลวงพ่อทาก็ลงไป ตะกรุดหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ทิดจิตรบูชาไปเสียก่อนไม่อย่างนั้นก็ลงไปด้วย ตอนนี้ที่คนไม่รู้จักอยู่ในเว็บก็คือตะกรุดหลวงพ่อทบ เดี๋ยวถ้าได้คืนมาก็พกติดตัวต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#126
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของอภิญญาสมาบัติ เวลาฝึกใหม่ ๆ จะอยากได้กันทุกคน แต่พอทำไป ๆ ถึงระยะหนึ่ง เหมือนเรากำลังจะเข้าสู่ระดับของโลกุตระ ก็จะรู้สึกเบื่อไปเอง เพราะว่า อภิ คือยิ่งกว่า อัญญา คือความรู้ ความรู้อันยอดเยี่ยม ไม่มีอะไรเกินไปกว่าการรู้ตัดกิเลส"
ถาม : ถ้าเราได้อภิญญา แล้วนำไปใช้ตัดกิเลส ? ตอบ : การตัดกิเลสจะง่ายขึ้น เพราะว่ากำลังของอภิญญาจะปรากฏชัดต่อเมื่อฌาน ๔ คล่องตัวแล้ว เมื่อฌาน ๔ คล่องตัว การสู้กับกิเลสก็จะง่ายขึ้น ถาม : ได้อภิญญาแล้ว เราก็จะได้ประโยชน์จากที่รู้เห็นอะไรเกินปกติ ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับพื้นฐานเก่า ถ้าของเก่าทำมาก็อาจได้รู้เห็น วันก่อนมีคนส่งคลิปมายากลให้น้องเล็กทางไลน์ ดู ๆ ไปสักพักหนึ่งจับได้ว่าเขาล้วงของออกมาจากไหน บอกว่าเขาหยิบจากตรงนี้ เดี๋ยวขึ้นมาทางมือขวา เดี๋ยวขึ้นมาทางมือซ้าย ส่วนที่เขาใช้ปิดบังก็คือ สิ่งที่เขาหยิบออกมาจะสีเดียวกับผ้า ใช้ผ้าบังอยู่ ตอนที่เขาใช้ผ้าแดง กลายเป็นร่มสีแดง เป็นไพ่สีแดง ใช้บังสายตา อันนั้นก็คือเล่นกลจริง ๆ อาศัยความเร็วและการหลอกให้คนเผลอไปมองทางอื่น เรื่องจับคนเล่นกล อาตมารู้สึกจะเก่งมาตั้งแต่เด็ก ๆ สมัยเด็ก ๆ เขาเล่นกลอมลูกปิงปอง อยู่ในปากดันไปซ้ายดันไปขวา พออ้าปากก็หายไปแล้ว ที่อาตมาเห็นคือเขาเหวี่ยงเข้าไปในรถข้างหลังของเขาตั้งแต่แรก พวกนี้ต้องยอมรับว่ามือเขาไวมาก กลก็คือกล อย่างไรก็จับได้ แบบเดียวกับที่เขาไปเล่นกลที่วัดท่าขนุน ถึงเวลาดึงผ้าเช็ดหน้า นกพิราบก็หลุดออกมา อาตมาบอกกับท่านนายกเทศมนตรีว่าเขาต้องรีบปล่อยนก เพราะผูกขานกไว้กับนิ้ว จริง ๆ ด้วย..เขาให้นกเกาะที่นิ้วไม่ถึง ๒๐ วินาที ก็รูดห่วงนกออกให้นกบิน ไม่อย่างนั้นคนอาจจะเห็นเส้นเอ็นใส ๆ ที่เขาผูกนกเอาไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 17:29 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#127
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีหลายคำที่คนส่วนใหญ่เขาสวดผิด แต่หนังสือสวดมนต์ถูก อย่างเช่นว่า วิพุธัง มะหิทธิง เราจะเผลอเป็นวิพุทธัง ในบทของพาหุงฯ อย่างเช่นว่า อิวะ คัพภินียา ออกเสียงอีเป็นเสียงยาวเป็นทีฆสระ แต่ออกเป็น คัพภินิยา อยู่เรื่อย
อิวะ คัพภินียา เหมือนอย่างกับผู้หญิงท้อง อิวะ แปลว่า คล้ายกับ เหมือนกับ แต่เขาแปลบาลีเป็นไทยว่า เพียงดัง เพียงดังสตรีที่มีครรภ์ ฟังแล้วกลุ้มใจ" ถาม : กิเลสัง กับ กะเลสัง ความหมายเหมือนกันหรือไม่คะ ? ตอบ : แปลอย่างเดียวกัน กิเลสังหรือกะเลสัง อยู่ที่เราจะใช้คำไหน ถ้าเป็นภาษาไทยได้ แต่ถ้าเป็นภาษาบาลีไม่ได้ เพราะว่าถ้าใช้ผิดวิภัตติผิดคำ ความหมายจะเปลี่ยนไปเลย ให้สังเกตว่าที่ท่านใช้กะเลศ จะใช้ ศ จะออกไปทางสันสกฤต แต่กิเลส เป็นบาลี ใช้ ส แต่บรรดาท่านที่แต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอน ท่านก็จะใช้ไม่เหมือนชาวบ้าน บางอย่างที่เขาเรียกว่ากวีตานุมัติ ในเมื่อกวีเขาว่าใช้ได้ก็ต้องปล่อยไปตามนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#128
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ต้องขออนุโมทนา ขอบคุณ ขอบใจ พระภิกษุ สามเณร แม่ชี ตลอดจนฆราวาส ที่ไปช่วยกันหลอมผางประทีป ช่วยกันออกแบบ ช่วยกันวาง จนเด็ดข่าวเด่นช่อง ๗ สีไปถ่ายทำอยู่ ๒ วัน แล้วตัดมาลงให้ตั้ง ๔ นาที ดีกว่าครั้งก่อนที่อยู่เกาะพระฤๅษี ถ่ายทำ ๑ วันเต็ม ๆ ลงให้ ๑ นาทีกว่า ๆ แต่ไปนึกถึงค่าโฆษณานาทีละเป็นแสน ๆ แล้วก็คุ้มนะ เพราะเราไม่ได้จ้าง เขามาเอง แค่นี้ก็ไม่มีที่ให้คนจอดรถแล้ว ตอนนี้ด้านข้างโบสถ์วางผางประทีปไม่ได้เลย ต้องปล่อยให้เขาจอดรถกัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 17:34 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#129
|
||||
|
||||
ถาม : มีคนตามมา ?
ตอบ : อุทิศส่วนกุศลให้เขาไป ไม่ต้องไปใส่ใจมาก ตามมาถือว่าเป็นองครักษ์..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-08-2015 เมื่อ 17:35 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#130
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมเวลาที่ทำสมาธิจับลมหายใจไปถึงตอนที่ลมหายใจหายไป จะรู้สึกอึดอัด หัวใจบีบมาก เหมือนรูจมูกมันตันหรือเจตนากลั้นลมหายใจ พอไปต่อไม่ได้ เราก็คลายออกมาหายใจ ?
ตอบ : ก็ไม่เป็นอะไรหรอก เป็นปกตินั่นแหละ ส่วนใหญ่แล้วเราจะไม่รู้ตัวว่าเรากลัวตาย เมื่อเราคิดว่าไม่หายใจ เราก็ต้องหายใจให้ได้ บางทีก็เป็นปฏิกิริยาอัตโนมัติของร่างกายเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วถ้าทำใจสบาย ๆ ตามรู้ไป เดี๋ยวจะเข้าไปลึกมากกว่านั้นเอง พอเข้าไม่ได้ก็ถอยกลับ ถอยกลับมาก็ต้องนับ ๑ ใหม่ ก็เฮ้อ..อีกแล้ว ไม่เคยจำ ถาม : หลังจากนั้น จะรู้สึกหงุดหงิดมาก ? ตอบ : หงุดหงิดตัวเอง เหมือนกับรู้ทั้งรู้ แต่เสียท่าทุกที ต้องทำให้ได้สักครั้งหนึ่ง ต่อไปจะรู้ว่าวางกำลังใจอย่างไร แล้วจะทำได้ตลอดไป แต่ถ้ายังทำไม่ได้ ก็จะคลำผิดคลำถูกไปเรื่อยแบบนี้แหละ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-08-2015 เมื่อ 15:33 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#131
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "ปีนี้อาตมาตั้งใจเลี้ยงลูกหมา ๕ ตัว ปรากฏว่าโดนคนอุ้มไปเกลี้ยงเลย ตั้งแต่แม่หมาคลอดใหม่ ๆ ต้องเอาสังกะสีไปทำหลังคาให้เพื่อกันฝน หาข้าวหาปลาไปให้กิน เพราะว่าแม่หมาผอมมาก ลูก ๆ กินนมจนแม่ผอมกะหร่องเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
อาตมาลงทุนไปซื้อพวกตับ พวกเครื่องในปิ้งในตลาดมาเลี้ยง พอลูกเริ่มอ้วนท้วนสมบูรณ์น่ารัก ตัวผู้ก็หายไปก่อน ตัวผู้หายไป ๒ ตัว เหลือตัวเมีย ๓ ตัว ดันไปเล่นกับงูกะปะเลยตายไป ๑ ตัว เหลืออีก ๒ ตัว กำลังอ้วนน่ารัก ก็หายอีก ตอนนี้พระเณรในวัดเลยมีหน้าที่ช่วยกันขุนลูกหมาให้อ้วน เผื่อเขาจะอุ้มไปเลี้ยงอีก แต่คาดว่าที่เอาครอกนั้นไปเพราะเจ้าอาวาสเลี้ยง ตกลงว่าอาตมาจับอะไรก็ขลังไปหมดแม้กระทั่งหมา..! ต้องบอกว่าสร้างวัวธนู สร้างควายธนู สร้างไม่เป็น ถ้าจะให้ทำคงต้องทำหมาธนู..! เรื่องของสัตว์ จะมีลูกตามสภาพอากาศและอาหาร อาจจะเป็นเพราะปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลง หมาที่อื่นจึงไม่ค่อยมีลูกกัน หรือเป็นเพราะแล้งด้วย จึงหาอาหารกินยาก แต่หมาในวัดยังคงอยู่ดีกินดีเหมือนเดิม จึงยังมีลูกเหมือนเดิม เจ้าหน้าที่สถานีโทรทัศน์ Thai PBS อัญเชิญเทียนพรรษาของทูลกระหม่อมอุบลรัตน์ไปถวาย เขาไปยืนเล็งหมาทีละตัว อาตมาถามว่าชอบใจตัวไหนจะอุ้มไปไหม ? เขาบอกว่าไม่ใช่ มาดูเพราะเคยได้ยินครูบาอาจารย์สอนว่า ถ้าวัดไหนหมาผอม อย่าไปคบหากับเจ้าอาวาสวัดนั้น เขาพยายามจะหาตัวผอมให้ได้ แล้วจะไปหาที่ไหน หมาวัดท่าขนุนอยู่ดีกินดีขนาดเลือกกิน ไม่ได้ของที่ถูกใจก็ไม่กินอีกด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2015 เมื่อ 06:12 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#132
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาไปงานศพให้นึกว่าต่อไปเราก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าความดีเราไม่พอ ต้องลงอบายภูมิ ก็จะลำบากเดือดร้อนสาหัสยิ่งกว่าตอนเป็นมนุษย์ ดังนั้น..เมื่อรู้ตัวว่าความตายจะมาถึง ก็เร่งปฏิบัติความดีในศีล สมาธิ ปัญญา ให้ยิ่ง ๆ ขึ้น แต่ส่วนใหญ่แล้วไปงานศพเหมือนกับไปงานแฟชั่น ขนาดชุดไปงานศพ เขายังแข่งกันแต่งบางราย ก็ไม่ได้ไว้หน้าคนตายเลย ใส่ชะเวิกชะวาก ประเภทสั้นเสมอหูก็มี ลำบากลำบนขนาดนี้แล้วจะแต่งไปทำไม ?
เห็นอยู่งานหนึ่ง งานนี้ผู้ตายคือพระครูเจ้าอาวาส แล้วลูกสาวที่ถือกระถางธูป เดินนำหน้าพระทั้งวัด นุ่งสั้นจนแก้มก้นโผล่ อย่ารู้เลยนะว่าวัดไหน ถ้าไม่มีชุดจริง ๆ ใส่กางเกงขายาวมาสักตัวก็ได้ เอาสีสุภาพ ๆ หน่อย คือถ้าใส่งานศพทั่ว ๆ ไปก็พอทน คนชอบมองมีอยู่ แต่นี่งานศพพ่อตัวเองที่เป็นเจ้าอาวาส เป็นพระครูสัญญาบัตร พระที่ร่วมงานเป็นร้อย ๆ ต้องเดินตามแม่เจ้าพระคุณที่โชว์แก้มก้นเดินอยู่ข้างหน้า ต้องบอกว่าไม่รู้กาลเทศะอย่างแรง เสียทีที่มีพ่อเป็นถึงพระครูเจ้าอาวาส"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2015 เมื่อ 06:14 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#133
|
||||
|
||||
ถาม : ตาลปัตรมีประโยชน์อะไรครับ ?
ตอบ : หมั่นไส้ใครก็ใช้ตีกบาล..! ตาลปัตรของพระบวชใหม่เป็นของจำเป็นที่สุด เพราะว่าเอาไว้บังหน้าตัวเอง ไม่ให้ไปสบสายตาปิ๊ง ๆ กับสาวข้างล่าง ไม่อย่างนั้นพระใหม่อยู่ไม่ได้..สึกหมด เจตนาแรกเริ่มเลยเป็นอย่างนั้น ลำดับต่อไปคือป้องกันการเก้อเขิน เพราะว่าบางทีพระใหม่ยังไม่เคยชิน สวดมนต์ไปมองหน้าโยมไป เดี๋ยวก็สวดผิดสวดถูก ก็เลยต้องหาตาลปัตรมาบังหน้า แล้วต่อมาก็ดัดแปลงเป็นพัดยศขึ้นมา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-08-2015 เมื่อ 06:14 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#134
|
||||
|
||||
เก็บตกเดือนสิงหาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|