|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม (พระอาจารย์บ๊ะ) สร้างหลวงพ่อสำเร็จศักดิ์สิทธิ์ ท่านถวายอาตมาเป็นการเฉพาะองค์หนึ่ง ส่วนบรรดาญาติโยมกลัวว่าอาตมาจะไม่มี ก็ไปช่วยกันเช่ามา บูชามา แล้วก็เอามาถวายที่ตรงนี้ ก็ขออนุโมทนาด้วย เพราะว่าอาจารย์บ๊ะท่านจะได้เอาเงินไปสร้างศาลาให้เสร็จ”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-12-2018 เมื่อ 21:12 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระที่ท่านได้ฌานสมาบัติหรือว่าได้กสิณ เคยเห็นมีแต่ทำให้อากาศหนาวอุ่นขึ้น แต่ไม่เคยเห็นท่านทำอากาศร้อนให้เย็นลง แสดงว่าร้อนไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? อย่างดีก็ทำให้เกิดลมหวน ลักษณะเหมือนอย่างกับระบายอากาศเท่านั้น เพราะว่าบางแห่งที่ท่านอยู่เป็นถ้ำปิด แล้วถ้ำปิดอากาศไม่ค่อยจะถ่ายเท บางทีท่านก็ใช้วาโยกสิณทำให้เกิดลมหวนพัดเอาอากาศเก่าออกไป ให้อากาศใหม่เข้ามาในถ้ำ แต่ไม่เคยเห็นทำร้อนให้เย็น แต่ถ้าอากาศเย็นมากหนาวมากทำให้อุ่นขึ้นนั้นมี”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตะกรุดหลวงปู่ชุ่ม วัดวังมุยเล่นยาก ที่เล่นยากเพราะว่าหลังจากท่านมรณภาพแล้ว พ่อหนานที่ทำตะกรุดถวายหลวงปู่ท่านยังอยู่ แล้วใครสั่งก็ทำให้ไปเรื่อย ไม่เหมือนกับพ่ออุ๊ยหนานที่ทำเต่าสำลีถวายหลวงปู่ครูบาวงศ์ พ่ออุ๊ยหนานนั้นพอสิ้นหลวงปู่ก็หยุดทำเลย ไม่ทำให้ใครอีก ดังนั้น..ของหลวงปู่ชุ่มถ้าที่มาไม่ชัดเจน และไม่สังเกตความเก่าของเชือกให้ดีเดี๋ยวเป็นเรื่อง เพราะว่าช่างฝีมือเดียวกัน”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
![]()
โยมใส่ผ้าถุงมาทำบุญ พระอาจารย์จึงกล่าวว่า “ดีใจมากที่นุ่งผ้าถุงมากันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
สมัยก่อนเขาบอกว่า "ไทยนุ่งโจง ลาวนุ่งซิ่น" สมัยนี้แสดงว่าเป็นลาวกันทั่วประเทศไทยแล้ว ..(หัวเราะ).. นุ่งซิ่นกันหมด นุ่งโจงกระเบนไม่เป็น โดยเฉพาะม้วนหางกระเบนไม่เป็น ขาจะไม่พอง จะลีบ ๆ ดูแล้วไม่สวย โบราณเขาจะมีเข็มขัด ถ้าหากว่าผู้มีอันจะกินก็เข็มขัดนากหรือเข็มขัดทองไปเลย อย่างไม่มี ๆ ก็เข็มขัดเงิน ถึงเวลานุ่งโจงกระเบนม้วนหางกระเบนเสร็จ ก็ลอดหว่างขาไปเกี่ยวกับเข็มขัดด้านหลัง ยายก็พาหลานไปวัด ถึงเวลาเขาบอก “อีหนู..เดี๋ยวรับศีลกับยายนะลูก” อีหนูก็ไม่เคยไปเลย รับก็รับ ถึงเวลายายก้มกราบพระ หางกระเบนโดนรั้งก็หลุดออก อีหนูก็คิดว่า อ๋อ..ถ้ารับศีลต้องถอดหางกระเบนก่อน ก็ถอดบ้าง ..(หัวเราะ).. สรุปได้ความว่า..ศีลเข้าทางข้างหลังนะ ต้องถอดหางกระเบนก่อน..! ที่เขาเรียกว่าหางกระเบนเพราะว่าเหน็บอยู่ตรงเอว ที่เขาเรียกว่า "กระเบนเหน็บ" ถ้าอยากรู้ว่าอยู่ตรงไหน ? ก็รอยต่อระหว่างกระดูกเชิงกรานกับบั้นเอวนั่นแหละ” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
![]()
“ไม่รู้อีกว่าเชิงกรานหน้าตาเป็นอย่างไร ? คือไอ้ที่ใช้นั่ง ..(หัวเราะ).. กระดูกที่พอกเนื้อเอาไว้สำหรับนั่ง กระดูกตรงนั้นเขาเรียกว่าเชิงกราน เหมือนกับเชิงกรานของเตาไฟที่เขาต่อออกมาเพื่อความสะดวกในการก่อไฟ ก็คือถ้าหากว่าแหย่เข้าไปใต้เตาเลย บางทีลมไม่ผ่าน ไฟไม่ค่อยติด เขาก็เลยต้องมีเชิงกรานต่อออกมา และมีการเป่าไฟ”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวกับโยมคนหนึ่งว่า “อยู่คนเดียวเปลี่ยวกายแสนสบายแต่ไม่สนุก อยู่สองครองทุกข์ถึงสนุกก็ไม่สบาย จะเอาอย่างใจได้อย่างไร ?
ให้เห็นว่าธรรมดาของโลกเป็นอย่างนั้น มีลาภ-เสื่อมลาภ มียศ-เสื่อมยศ มีคู่ ก็เสื่อมคู่ ..(หัวเราะ)..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “วันที่ ๗ ธันวาคม นี้ จะเอาแผ่นยันต์เกราะเพชรเนื้อทองเหลืองและทองแดงแบบแผ่นใหญ่ไปเข้าพิธีปลุกเสกที่วัดหลวงปู่หลิว เสกเองด้วย ขอแรงหลวงปู่ด้วย ..(หัวเราะ).. ต้องดูก่อนว่าเขาจัดงานที่วัดหลวงปู่หลิวหรือที่วัดสี่แยกเจริญพร แต่ว่าเวลาแน่ ๆ คือ ๔ โมงเย็นไปแล้ว ไม่ต้องรีบไป
พระอาจารย์เทพบอกว่า “ได้กฐินมา ๒๐๐ กว่าหมื่น จ่ายค่าก่อสร้างไป ๔๐๐ กว่าหมื่น แล้วผมจะเอาที่ไหนให้ ? ก็ต้องออกวัตถุมงคลอีกรุ่นหนึ่ง” คุยไปคุยมาสรุปว่า “ท่านอาจารย์มาเสกให้ผมเถอะครับ” บอกตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง..! ใคร ๆ เห็นว่าพระอาจารย์เทพเป็นเด็กรุ่นใหม่ ที่ไหนได้..เด็กรุ่นใหม่เล่นใช้คำว่า ‘ร้อยหมื่น’ รุ่นเก่าโบร่ำโบราณชัด ๆ ..(หัวเราะ)..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:35 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
![]()
“อยู่แถวนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็นจีนแคะ หลวงปู่หลิวก็เป็นจีนแคะ คำว่า “หลิว” ภาษาจีนแคะแปลว่า "เหลือ" เพราะฉะนั้น..ชื่อของท่านคนจีนจะชอบมากเลย คือ เหลือกินเหลือใช้
อีกอย่างคือท่านสำเร็จวิชาหัวใจพญาเต่าเรือน ซึ่งต้องบอกว่าดีทั้งทางด้านลาภผลและความปลอดภัย คนก็ยิ่งขึ้นกันใหญ่ ปัจจุบันนี้ในประเทศไทย อาตมายืนยันว่าวิชานี้เพื่อนของอาตมาเจ๋งที่สุด ก็คือท่านอาจารย์สายชล วัดไร่แตงทอง ใครไปสังเกตท่านอาจารย์สายชลดู ปัจจุบันนี้บุคลิกกลายเป็นเต่าไปเรียบร้อยแล้ว..! เรื่องพวกนี้จะต้องเรียกว่าเป็นกำลังสมาธิบวกกับจินตนาการ คราวนี้พอไปจินตนาการถึงอะไรมาก ๆ เข้า บุคลิกภาพจะเปลี่ยนไปตามนั้น ให้เราสังเกตว่าหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคก็ดี หลวงปู่เล็ก วัดบางนมโคก็ดี หลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี หรือไม่ก็หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) วัดอนงคารามฯ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เกาะพระเป็นปกติ จะมีบุคลิกของพระเหมือนกันหมด คือบางทีเราไม่เคยเห็นท่านมาก่อนก็คิดว่าท่านเป็นญาติกัน แต่ความจริงแล้วมาคนละทิศคนละทาง แต่ท่านนึกถึงพระบ่อย ๆ นาน ๆ เข้า บุคลิกก็เปลี่ยน ก็มีเค้าของพระติดมาด้วย ส่วนของท่านอาจารย์สายชลตอนนี้วิชาเต่าเรือนกำลังแก่กล้า บุคลิกเป็นเต่าไปเรียบร้อยแล้ว ..(หัวเราะ)..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:37 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ไม่มีในลักษณะของการแปลงร่างใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี..แต่ว่าในลักษณะที่ว่าทำหัวใจพวกนี้ ก็แบบเดียวกับสมัยก่อน บางท่านที่สำเร็จวิชาหัวใจราชสีห์ ถึงเวลาบุคลิกแสดงออก ขนาดเดินผ่านแล้วหมาวิ่งหนีเลย ..(หัวเราะ).. แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:38 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
![]()
“ถามน้องเล็กว่า “สังเกตไหม..? ท่านอาจารย์สายชลบุคลิกเปลี่ยนไปมากจากปีแรกที่รู้จักกัน ?” น้องเล็กบอกว่าใช่ ตอนนี้เหมือนเต่าจริง ๆ ..(หัวเราะ).. ดังนั้น..ถ้าหากว่าเหรียญเต่าเรือนสายนี้ไว้วางใจได้ เพราะว่าเป็นเพื่อนอาตมาจริง ๆ เรียนด้วยกันมาเป็นสิบปี ทั้งทางโลกทางธรรม
มีอยู่วันหนึ่งท่านอาจารย์สายชลเข้าสมาธิ เสร็จแล้วถอนกำลังใจออกมาพิจารณา ความรู้สึกบอกว่าตัดตรงนี้จะไปเลย แต่ถ้าไม่ตัดก็ต้องอยู่ช่วยเขาอีกหลายชาติ ท้ายสุดวิสัยเดิมที่ทำมาทำให้ตัดโยมไม่ได้ ก็เลยต้องไปต่อ น่าเสียดายนะ..แสดงว่าวิสัยพุทธภูมิเก่าท่านเข้มทีเดียว คือตัดตรงนั้นได้..จะเข้าพระนิพพานไปเลย ถ้าไม่ตัดก็ต้องอยู่ต่ออีกหลายชาติ แต่ว่าท่านไม่ตัด..ท่านอยู่ต่อ อาตมาถึงได้บอกว่าที่ไปเรียน ๆ มาตั้งแต่ระดับประกาศนียบัตร ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เรื่องวิชาการไม่ได้ใส่ใจหรอก ได้เพื่อนดี ๆ แบบนี้หายาก ที่ไปเจอก็มีท่านอาจารย์สายชล พระครูไพโรจน์ฯ ถึงเวลาเรียนเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกันหมด แรก ๆ ก็ปิด ๆ บัง ๆ กัน ท้ายสุดพอโดนคว้าหางได้ คราวนี้ก็ต้องยอมสารภาพ ..(หัวเราะ).. พระครูไพโรจน์ฯ บอกว่า “โห..อาจารย์เล็ก ท่านดังไม่รอใครเลย” ถามว่า “แล้วทำไมต้องรอด้วย ? บริวารผมเยอะ มัวแต่รออยู่ก็ตายกันพอดี” คนบริวารเยอะต้องเร่ง ถ้าเราเร็วเท่าไร คนอื่นเขาตามมาก็จะช้าน้อยลง มัวแต่ไม่เร่งนี่ตาย เขาตามกันไม่ทัน ลองไปนึกถึงตอนที่อาตมายังไม่มีชื่อเสียงอะไรเลยสิ นั่นแหละ..พระครูไพโรจน์ฯ ท่านบอกล่วงหน้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว บอกว่าถ้าเวลาดังนี่ไม่รอใครเลย เพื่อนฝูงโดนทิ้งหมด ..(หัวเราะ)..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:40 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : แบบเดียวกับหลวงพ่อวัดท่าซุง พอหลวงพ่อวัดท่าซุงดังขึ้นมา รอบ ๆ ข้างทั้งหลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม หลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข เงียบไปเลย ..(หัวเราะ).. เพราะว่าสายพุทธภูมิบริวารจะมาก ในเมื่อบริวารมาก ถึงเวลาเขาแห่กันไป บริวารช่วยกันเฮคนละที เสียงก็กลบชาวบ้านเขาหมดแล้ว ปัจจุบันนี้เวลาที่วัดท่าขนุนจัดงาน คนสองพัน สามพัน สี่พัน เต็มที่ก็ไม่เกินห้าพัน ประมาณช่วงไหว้ครูและเป่ายันต์เกราะเพชร พระทางด้านนั้นบอกว่า “พระอาจารย์เล็กจัดงานอย่างไรคนมาเป็นพัน ? พวกผมได้สักสองสามร้อยก็ดีใจตายแล้ว” อาตมาตอบว่า “นี่คุณเห็นแค่นี้นะ สมัยหลวงพ่อผมนี่ระดับแสนเป็นปกติเลย” ของเราไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวเดียวยังบอกว่าบริวารเยอะ อาจารย์สายชลท่านถามว่า “ศาลากว้างเท่าไร ? ยาวเท่าไร ?” ท่านคำนวณเสร็จเลยว่าคนเท่าไร ..(หัวเราะ).. เก่งขนาดนั้น ก็คือแต่ละคนจะนั่งประมาณเท่าไร ? พอบอกว่าสบาย ๆ ก็ประมาณ ๖๐ x ๖๐ เซนติเมตรต่อหนึ่งคน ท่านสามารถคำนวณคนจากขนาดศาลาได้เลย..เก่งมาก แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:42 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
![]()
“ปัจจุบันนี้ท่านจะซื้อที่ดินเพิ่มอีก ถามท่านว่า “ไหวหรืออาจารย์ ?” ท่านตอบว่า “ไหวไม่ไหวก็ต้องซื้อ เพราะว่าถ้าไม่ซื้อที่ก็แพงไปเรื่อย ๆ” แบบเดียวกับที่ข้างวัดท่าขนุน ที่ราคาประเมินไร่ละ ๒๐๐,๐๐๐ บาท เขาขายให้อาตมาไร่ละ ๑ ล้านบาท เราต้องจ่ายภาษีเองด้วย ของท่านอาจารย์สายชลโดน ๓ ล้านบาท ถามท่านว่า “จะซื้อเท่าไร ?” ท่านตอบว่า “เดี๋ยวซื้อไปเรื่อย ๓๐-๔๐ ไร่ ก็จะซื้อ” คราวนี้ต้องทำวิหารสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยใหญ่ที่สุดในโลก พอทำหลวงปู่หลิวใหญ่ที่สุดในโลกเสร็จ กำลังทำพระศรีอาริยเมตไตรยต่อ ดูท่าจะโดนท่านอาจารย์เทพไล่ก้นมา
ถามว่าพระศรีอาริยเมตไตรยใหญ่ขนาดไหน ? บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าปีที่แล้วตอนไปหล่อฐาน เฉพาะฐานใช้ทองเหลือง ๗๐ ตัน..! ฐานอย่างเดียว ๗๐ ตันนะ เราลองนึกถึงพระประธานในวัดท่าขนุนฐาน ๓ ตัน ใหญ่กว่านั้นตั้งเท่าไร ? ใหญ่กว่า ๒๐ กว่าเท่า” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:44 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
![]()
“ฉะนั้น..ถ้าหากว่าดูจากท่านอาจารย์สายชลก็ต้องบอกว่า เรื่องการปฏิบัติต้องทุ่มเทจริงจังแบบนั้น นั่นทุ่มเสียจนบุคลิกเปลี่ยนไปเลย ..(หัวเราะ).. ท่านรับญาติโยมอยู่ทุกวันแต่ไม่เคยทิ้งกรรมฐานนะ และเป็นคนที่นั่งกรรมฐานแล้วพวกหัวเราะกันบ่อย เพราะว่าบางทีท่านเหนื่อยมาก เพลียมากท่านก็นั่งหลับ แต่เป็นคนที่นั่งหลับตัวตรงแหน็วเลย เสียอย่างเดียวว่าท่านกรน คือถ้าไม่กรนจะไม่มีใครรู้ว่าท่านอาจารย์สายชลนั่งหลับ เพราะว่าโยมกวนเช้ายันค่ำจนไม่มีเวลา มานั่งกรรมฐานก็ขยันจริง แต่บางทีก็ขาดสติเผลอหลับแล้วกรน พวกเราก็แหย่อยู่เรื่อย เข้าฌานไหนเสียงดังแท้..!
ท่านเป็นพระที่ขยัน ไม่ทิ้งการปฏิบัติ เพราะรู้ว่าถ้าทิ้งแย่แน่ เนื่องจากว่าตัวเองไม่มีพื้นฐานความเป็นพระอริยเจ้ามารองรับ กิเลสพร้อมซัดอยู่ทุกตัวจึงต้องขยันรักษาอารมณ์ไว้ ส่วนใหญ่ที่อาตมารู้จักมักคุ้นกันอยู่มาสายพุทธภูมิทั้งนั้น โดยเฉพาะทางด้านครูบาภาคเหนือนี่พุทธภูมิล้วน ๆ เลย” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2018 เมื่อ 20:45 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “ตกลงว่าหนานโอจะมาไหม ? ..(หัวเราะ).. เป็นเรื่องแปลกนะ เงินเป็นล้านเขาไม่กระตือรือร้นที่จะรับเลย อะไรจะเป็นคนใจเย็นปานนั้น
คืออาตมาเป็นลูกหนี้ แต่เป็นลูกหนี้ที่ต้องคอยเร่งให้เจ้าหนี้มาเก็บเงิน ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเจ้าหนี้ถึงใจเย็นได้ขนาดนั้น แต่ละเดือน ๆ อาตมาจะต้องโทรตามเจ้าหนี้ทีละรายว่าเท่าไร ? มาเก็บได้แล้ว เป็นลูกหนี้ที่แย่มาก..! บางทีร้านค้าวัสดุก่อสร้างก็บอกว่า “เพิ่งไม่กี่แสนเองพระอาจารย์ ขอเก็บไว้เยอะ ๆ ก่อน” ..(หัวเราะ)..” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2018 เมื่อ 20:33 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “เดี๋ยวกระทู้ต่อไปเป็นกระทู้คนมีเงินจริง ๆ จะเอาของราคาแพงโคตรมาลงเลย ประมาณว่าเหรียญเลื่อนสมณศักดิ์หลวงปู่ทิม หรือไม่ก็สมเด็จจิตรลดาพร้อมหนังสือรับรอง ..(หัวเราะ).. เอาให้ตายกันไปข้างหนึ่ง..!
สมเด็จจิตรลดาองค์ที่แล้วไม่มีหนังสือรับรอง เขาบูชาไปสามแสนบาท เขาบอกว่าหนังสือรับรองไม่ให้ก็ไม่ว่า ขอให้ได้พระก็แล้วกัน องค์นั้นพลตรีเจษฎาถวายมา ตัวเองทำงานแทบตาย ถวายพระอาจารย์มาเฉยเลย ส่วนองค์ที่ใช้อยู่ปัจจุบันนี้ ต้องบอกว่าเจ้าของสละให้ ทำบุญให้กับภรรยาที่เสียชีวิต ตัวเองก็ออกรบจนกระทั่งพิการ ก็เลยว่าคงไม่ได้ทำหน้าที่อะไรอีกแล้ว นอกจากกินบำเหน็จบำนาญไป ก็เลยตัดใจสละมาพร้อมกับหนังสือรับรอง ส่วนใหญ่ที่ได้ ๆ มา เขาจะเก็บหนังสือรับรองไว้เป็นเกียรติประวัติของวงศ์ตระกูล” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2018 เมื่อ 20:41 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “พระพุทธเจ้าตรัสว่าความร่มเย็นในชีวิตของบุคคลประกอบไปด้วย ร่มเงาของต้นไม้ ร่มเงาของญาติพี่น้องหรือครอบครัว ร่มเงาของครูบาอาจารย์ที่ให้ความรู้นำชีวิตของเรา ร่มเงาของพระมหากษัตริย์ที่ปกเกศปกเกล้าให้เราอยู่เย็นเป็นสุข ไม่ต้องทนทุกข์โดนคนอื่นกดขี่ข่มเหง และท้ายที่สุดก็คือ ร่มเงาแห่งพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ท่านสรุปว่า ร่มเงาของพระธรรมร่มเย็นที่สุด
ในโคลงโลกนิติเขาว่า เย็นเงาพฤกษ์มิ่งไม้.........สุขสบาย เย็นญาติทุกข์สำราย........กว่าไม้ เย็นครูยิ่งจันทร์ฉาย.........กษัตริย์ยิ่ง ครูนา เย็นร่มพระเจ้าให้............ร่มฟ้าดินบน พระเจ้าในที่นี้คือพระพุทธเจ้า สิ่งที่ท่านให้คือพระธรรม ต้องบอกว่าเย็นของคุณพระรัตนตรัย เย็นที่สุด” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2018 เมื่อ 20:42 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “ญาติโยมบางคนใช้เวลานานมากในการตามหาตัวอาตมา บางคนก็เพียรพยายามเทียวไปเทียวมาไปวัดอยู่ ๗-๘ รอบ บอกว่าไม่ได้เจอพระอาจารย์ แต่ไปเจอกันข้างนอก ต้องบอกว่ามีความอดทน จึงสามารถที่จะเจอกันได้ เพราะว่าอาตมาเป็นคนงานมาก ในเมื่องานมากถึงเวลาก็วิ่งไปงาน ไม่ห่วงโยม โยมก็ไปแล้วผิดหวังอยู่เรื่อย แต่ต้องบอกว่าใจถึงมาก ถึงผิดหวังก็ไปอีก..ไปจนเจอ”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-12-2018 เมื่อ 20:43 |
สมาชิก 178 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวกับโยมว่า “ศิวพร จะแปลว่าอะไร ? แปลว่าพรจากพระศิวะ หรือแปลว่าประเสริฐดั่งพระศิวะ ? ถ้าพรจากพระศิวะ ท่านให้อะไรก็รีบทำ ถ้าประเสริฐอย่างพระศิวะ คงต้องรีบเป็นพระอนาคามีก่อน ..(หัวเราะ).. ไม่อย่างนั้นไม่ได้อย่างท่านหรอก”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2018 เมื่อ 20:02 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาที่มีอาการของขึ้น หัวใจจะเต้นแรง ตัวจะสั่นหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : คือถ้าหากว่าอยู่ในสภาพนั้นก็จะเหมือนกับว่าหัวใจเต้นเร็วขึ้น ทำให้ระบบโคจรของเลือดลมมากขึ้น บางทีก็มีประเภทออกอาการทางร่างกาย ก็คือกระโดดโลดเต้นไปเลยก็มี ถาม : ถ้าเวลาพระหรือเทวดาสงเคราะห์ อาการจะเป็นอย่างไรคะ ? ตอบ : อยู่ที่ว่าเรารับได้แค่ไหน รับได้มากก็ออกอาการมาก ถาม : หลวงพ่อวางกำลังใจอย่างไร อย่างมีกลุ่มคนที่เล่นของมาหา ทำเป็นเฉย ๆ ได้อย่างไร ? ตอบ : ไม่เอาอะไรทั้งนั้น เรื่องของมัน ไม่ใช่เรื่องของเรา ถาม : โห...ไม่มีอะไร ยากนะคะ ตอบ : ถ้าไม่มีอะไรก็ไม่รู้ว่าจะรับอะไร ก็แค่ไม่มีอะไรก็จบแล้ว แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-12-2018 เมื่อ 08:20 |
สมาชิก 164 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกเราเห็นฝรั่งที่มาเมืองไทย จะเห็นว่าเขาไม่ค่อยใช้ยานพาหนะ พอเดินได้ก็เดิน หรือไม่ก็ปั่นจักรยาน เช่ามอเตอร์ไซค์ นั่นเป็นนิสัยของคนฝรั่ง ที่เขาออกกำลังกายโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เราจะเห็นว่าพวกฝรั่งแม้จะอายุมาก แต่ว่าสุขภาพดี มีความภูมิฐาน สง่าอยู่ในตัว ก็เกิดจากการที่เขาค่อย ๆ สะสมไปตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะว่าการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ทำให้กระดูกแข็งแรง มวลกระดูกไม่สูญหายไปง่าย ก็จะไม่หกล้มหกลุก กระดูกแตกหรือหักง่ายเหมือนอย่างคนแก่บ้านเรา
ทางด้านฝรั่งที่มาสมัยอยุธยาอย่างบาทหลวงลาลูแบร์เขาบันทึกเอาไว้ ส่งกลับไปถวายพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ บอกว่า “ชาวสยามไม่ได้กินนมกินเนยเหมือนกับบ้านเรา แต่ร่างกายแข็งแรงมาก ทั้ง ๆ ที่ตัวเล็ก ๆ ผิวดำ ๆ” ถ้าเราพิจารณาดูจะเห็นว่า บรรพบุรุษของเราส่วนใหญ่ก็คือทำไร่ทำนา จะมีพวกที่อาศัยอยู่ใกล้ป่าใกล้เขา ก็มีอาชีพเสริมในลักษณะของการล่าสัตว์ ถ้าหากว่าอยู่ใกล้น้ำก็มีอาชีพประมง แต่ว่าเป็นอาชีพเสริมเท่านั้น อาชีพหลัก ๆ จริง ๆ แล้วไม่ทำไร่ก็ทำนา เพราะฉะนั้น..ก็ต้องออกกำลังกันตั้งแต่วัยรุ่นถึงหนุ่มยันแก่ จึงมีความแข็งแรงเป็นปกติ” แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2018 เมื่อ 20:04 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นายกระรอก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|