กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี

Notices

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #101  
เก่า 25-04-2012, 08:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แนวคิดของการทำงานทางโลก เขาต้องการให้เราทำไปให้เต็มที่ มีบ้าน มีรถยนต์ แต่คราวนี้เรามาทำบุญ ก็คล้าย ๆ กับสวนทางกัน ?
ตอบ : ไม่สวนทางกัน

ถาม : อยู่กับทางโลก ก็ไปทางโลกเลย
ตอบ : ตรงกลางมี หลวงปู่มหาอำพันท่านเคยให้ข้อคิดไว้ว่า “ถ้าเป็นชีวิตฆราวาสเราต้องคิดเสมอว่าเรายังไม่ตาย เราต้องทำหน้าที่การงานของเราให้เต็มที่ แต่ถ้าหากว่าเป็นชีวิตของนักบวชหรือผู้ปฏิบัติธรรมให้คิดเสมอว่า ความตายอยู่แค่ศีรษะของเรา เราต้องเร่งปฏิบัติให้เต็มที่เหมือนกัน”

อย่างที่ว่ามาก็คือตรงกลาง ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด หมายความว่า หน้าที่ของเรามีอะไรเราก็ทุ่มเทของเราไป อย่างชนิดที่ว่าจะทำเอาเหรียญทองหรือว่ารางวัลอะไรของบริษัทไปเลย แต่พอถึงเวลากลับบ้านเราก็ทุ่มให้กับการปฏิบัติของเรา ไม่มีอะไรน่าสับสนหรอกจ้ะ แค่แบ่งเวลาให้เป็นเท่านั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 10:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #102  
เก่า 25-04-2012, 09:03
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่เขากล่าวว่า “การคิดเป็นเรื่องของโลก การพิจารณาเป็นเรื่องของธรรม” อันนี้ถูกต้องสมบูรณ์ไหมครับ ?
ตอบ : สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟัง จินตามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการคิด ภาวนามยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริง เมื่อฟังแล้วนำมาขบคิดจนเข้าใจ สภาพจิตจึงจะยอมรับตามนั้น คราวนี้คุณเห็นแล้วยังว่าต่างกันตรงไหน ?

ที่คุณพูดมาเป็นแค่การเล่นสำนวนเฉย ๆ ถ้าไม่คิดก็เข้าไม่ถึงธรรม แต่ว่าการคิดนั้นจะต้องมีระบบ และขณะเดียวกันก็ต้องมีกำลัง ถ้ากำลังไม่เพียงพอก็ได้แค่คิด สภาพจิตยังไม่สามารถที่จะก้าวข้าม ก็คือไม่สามารถจะยอมรับอย่างแท้จริงได้

คราวนี้เราจะสร้างพลังให้กับการคิดของเราได้ ก็ต้องเอาตัวสมาธิเข้าไปเสริม ตัวสมาธิของเราจะช่วยให้การคิดเป็นระบบ ชัดเจน และถ้าสิ่งนั้นไม่เกินกำลังในตอนนั้น ก็สามารถที่จะยอมรับได้ สรุปว่าไม่ว่าจะคิดหรือพิจารณา ก็เป็นเรื่องของทางโลกและทางธรรมด้วย แยกไม่ได้ เพราะว่าลำดับขั้นตอนนั้นสืบเนื่องกันไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 10:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #103  
เก่า 25-04-2012, 09:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สัตว์บางชนิดเกิดบนพื้นดินก็มี สัตว์บางชนิดเกิดใต้ดินก็มี สัตว์บางชนิดเกิดในน้ำ พอจะมีปัจจัยอะไรเป็นเครื่องกำหนดไหมครับว่า เพราะกรรมอะไรถึงต้องไปเกิดบนดินบ้าง ใต้ดินบ้าง หรือในน้ำ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการกระทำหรือกรรมที่สั่งสมมา และโดยเฉพาะว่าถ้าเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์อย่างนั้น แปลว่าอย่างน้อย ๆ ต้องเคยฆ่าสัตว์อย่างนั้นมา จึงต้องไปชดใช้กรรมในสภาพเดียวกัน สรุปได้ว่าทั้งหมดเกิดจากกรรมที่สั่งสมมา โดยเฉพาะความมืดบอด ไร้ปัญญา เข้าไม่ถึงความดี

จะไปโทษเขาก็ไม่ได้หรอก เพราะกว่าจะก้าวล่วงมาถึงระดับนี้ แต่ละคนเกิดมาแทบจะครบทุกอย่างแล้ว สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่เราเห็น บางทีก็เป็นปู่ย่าตาทวดหรือไม่ก็ลูกหลานของพวกเราเอง ฉะนั้น..จะบี้เขาให้ตายหรือว่าจะกินลงไป ก็ให้ระมัดระวังนิดหนึ่ง ถ้ามีเสียงเอ็ดตะโรขึ้นมาว่า “นี่ปู่เองนะเว้ย” สงสัยคงไม่มีใครกล้ากิน..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 10:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #104  
เก่า 25-04-2012, 09:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : บางวัดจัดงานสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ ที่เขาบอกว่าเกิดจากการบันดาลของเทพยดา ขออนุญาตเรียนถามว่า พระบรมสารีริกธาตุบนโลกใบนี้ ที่เกิดจากการบันดาลของเทพยดา มีจริงหรือไม่ครับ ? และมีความแตกต่างจากพระบรมสารีริกธาตุที่เป็นของจริงอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุเทพนิมิตยังไม่เคยพบ แต่ถ้าในส่วนของพระอรหันตธาตุต่าง ๆ จะมีส่วนที่เรียกว่าพระธาตุเทพนิมิต ที่เทวดาเนรมิตขึ้นมาเพื่อเอาไว้กราบไหว้บูชาของเขาเอง เรียกว่ามีก็ได้ แต่คราวนี้เราจะรู้จริงแค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

จะว่าไปแล้วทั้งสองอย่างนี้จะมีจริงหรือไม่มีก็ไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ว่าการบูชาของเรา เราได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าจริง ๆ หรือเปล่า ? เราระลึกถึงพระอรหันต์เจ้าของพระธาตุนั้นจริง ๆ หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าเราระลึกถึงได้ก็เป็นพุทธานุสติ เป็นสังฆานุสติ ถือว่าทำในด้านที่ถูก ถ้าสักแต่ว่าสมโภชรื่นเริงกันไปเฉย ๆ ประโยชน์ก็น้อย

สรุปว่ามี คล้าย ๆ กับมนุษย์เราสร้างพระพุทธรูปหรือว่าสร้างรูปพระสงฆ์ขึ้นมาเป็นวัตถุมงคล แต่ว่าในส่วนของพระบรมสารีริกธาตุเทพนิมิตยังไม่เคยเจอ แต่พระอรหันตธาตุนี่เจอมาแล้ว ในส่วนที่ไม่เคยเจอยังไม่ยืนยันให้ ส่วนที่เคยมาแล้วยืนยันให้ได้ว่ามี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-04-2012 เมื่อ 16:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #105  
เก่า 25-04-2012, 09:25
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในยุคปัจจุบันนี้คนมักจะดื่มเหล้า ชอบเสพยาบ้า ทีนี้เวลาเข้าสังคม ถ้าเราไม่เสพยาเสพติดหรือไม่ดื่มเหล้า ก็จะโดนตำหนิติเตียน เพราะพยายามรักษาศีล คำถามผมก็คือว่าในยุคอดีตก็มีสุราอยู่แล้ว การไม่ดื่มเหล้าก็เป็นเรื่องปกติของคนในยุคนั้น ๆ ส่วนในยุคปัจจุบันนี้ การที่ไม่ดื่มเหล้าไม่เสพยา เป็นเรื่องที่ไม่ปกติของชีวิตคนธรรมดา แล้วการรักษาศีลในยุคปัจจุบัน จะได้อานิสงส์มากกว่าในยุคอดีตหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ได้เท่ากัน เพราะว่าคำว่าศีลแปลตรง ๆ ว่าปกติ คนไม่มีศีลจึงเป็นคนผิดปกติ เพียงแต่ว่าคนในยุคปัจจุบันเป็นมิจฉาทิฐิ ก็คือมีความเห็นผิดว่าการละเมิดศีลนั้นเป็นของดี แล้วก็ทำกันเป็นจำนวนมาก ทำให้คนที่รักษาศีลกลายเป็นคนส่วนน้อยไป เรื่องนี้มีมาทุกยุคทุกสมัย เพราะว่าคนทำความดีมีน้อยกว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่ว่าเราจะมีความอดทนอดกลั้น และจะทำได้จริงหรือเปล่า ?

อย่างอาตมาเองรักษาศีลปฏิบัติธรรมมาแต่เด็ก ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง แม้กระทั่งญาติพี่น้องตัวเองก็บอกว่าบ้า อาตมาก็ต้องอดทนสู้กับคำของเขา จนกระทั่งผ่านระยะเวลาไปยาวนานพอ เขาเห็นว่าเราตั้งใจทำจริงและสิ่งที่ทำมีผลจริง เขาก็ค่อย ๆ คล้อยตามมา ส่วนในระยะเวลาที่ควรจะเสียมากที่สุดคือตอนที่เป็นทหารอยู่ เพราะทหารนี่เรื่องของการกินเหล้าเมายาเป็นเรื่องปกติ ขนาดเขามีคำสุภาษิตว่า “เป็นเมียทหารนับขวด”

แต่อาตมาก็ไม่ได้ไปเมาหัวทิ่มแบบเดียวกับเขา เพื่อน ๆ ก็กระแนะกระแหนเสียดสีด่าว่าอยู่ทุกวัน ว่าอะไร ๆ ก็ไม่เป็นสักอย่างหนึ่ง ไปหากระโปรงมานุ่งไป อาตมาคนเดียวด่าทหารร้อยกว่าคนกลับไปว่า “ถ้าหากว่าจะหากระโปรงมานุ่ง ก็พวกมึงนั่นแหละ..สมควรที่จะไปนุ่งกันเอง ไม่ใช่กู..กูรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี กูห้ามใจตัวเองได้ กูนี่แหละลูกผู้ชายตัวจริง แต่พวกมึงห้ามใจตัวเองไม่ได้สักคน พวกมึงนั่นแหละควรจะไปนุ่งกระโปรงกัน..!”

สรุปว่าชี้แจงให้เขารู้ด้วยว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ปล่อยให้คนส่วนมากชักจูงเราไป อาตมาอยู่ที่ไหนมักจะจูงคนส่วนมาก ไม่เคยให้คนส่วนมากจูงไป ถ้ารักจะทำความดีเลือดบ้าต้องมีมากพอเหมือนกัน โดยเฉพาะพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า “พวกแกจะทำความดีก็ต้องบ้า และบ้ากว่าปกติหลายเท่าด้วย ไม่อย่างนั้นแกไปไม่รอด เพราะสังคมเดินสวนทางกับแก แล้วเขาก็บอกว่าแกเดินผิดทาง”

คิดดูว่าเขาเดินลงกันหมด แล้วเราไปตะกายขึ้นเหนื่อยยากอยู่คนเดียว เขาก็ต้องว่าเราผิด เราจะมีความมั่นใจต่อเป้าหมายของเราแค่ไหน ? จึงอยู่ที่สติ สมาธิ และปัญญาของเรา ถ้าเรามีความมั่นใจเราก็ลุยของเราต่อไป แต่ว่าการรักษาศีลปฏิบัติธรรม อานิสงส์ยังคงมีเหมือนเดิมและมีเท่าเดิม เพียงแต่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นเอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ป้านุช : 25-04-2012 เมื่อ 11:17
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #106  
เก่า 25-04-2012, 10:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่บอกว่า "บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตร" แล้วการที่ดูแลบิดามารดาจะได้บุญเหมือนกับที่ดูแลพระอรหันต์ไหมครับ ?
ตอบ : ข้อนี้เราว่ากันเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านว่า “พฺรหฺมา จ มาตาปิตโร บิดามารดาเป็นพรหมของบุตร” แปลว่าพ่อแม่จะต้องรักลูกเหมือนรักตัวเอง สงสารไม่อยากให้ลูกลำบาก ถ้าหากว่าลูกทำอะไรได้ดีก็พลอยยินดีกับลูกด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถที่จะให้อภัยลูกได้ในทุกเรื่อง แต่ที่บอกว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของบุตรนั้น เป็นการเปรียบเทียบของนักปราชญ์ในรุ่นหลัง ๆ จึงเป็นคำพูดที่สามารถคัดค้านได้ เพราะว่าไม่ใช่พุทธวจนะที่แท้จริง

การปฏิบัติต่อบิดามารดานั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวถึงในส่วนของอนันตริยกรรม ๕ ว่า บุคคลที่ฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และทำสังฆเภทนั้นจะต้องอนันตริยกรรม ก็คือลงอเวจีมหานรกเหมือน ๆ กัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราปฏิบัติต่อท่านแล้ว จะมีอานิสงส์เหมือนกับการปฏิบัติต่อพระอรหันต์โดยตรง

ยกเว้นว่าเรามีความกตัญญูกตเวทีอย่างแท้จริง ปฏิบัติต่อบิดามารดาของเราอย่างดีที่สุดตามหน้าที่ของบุตรธิดา และขณะเดียวกันเมื่อได้พบพระอริยเจ้า เราก็ปฏิบัติต่อท่านอย่างถูกต้องตามแบบที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน ถ้าหากว่าสามารถทำอย่างนี้ได้ แม้ว่าอานิสงส์ที่ปฏิบัติต่อพ่อแม่และพระอรหันต์จะไม่เท่าเทียมกัน แต่ว่าการปฏิบัติของเรานั้น จะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเราทั้งในปัจจุบันและอนาคตเหมือนกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 27-04-2012 เมื่อ 09:30
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #107  
เก่า 25-04-2012, 10:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีรุ่นน้องเขาถือศีล ๕ แต่ว่าบางทีเขาไปดื่มสุรา เขาเสียศีลไป ๑ ข้อ แล้วก็บอกว่ายังเหลือศีล ๔ ข้อ อย่างนี้ถือว่าศีลเขาทั้งหมดยังอยู่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าศีลข้อใดขาดก็เสียข้อนั้นข้อเดียว แต่ว่าบุคคลที่ทำให้ศีลขาดข้อหนึ่งได้ ต่อไปจะเป็นข้ออ้างในการละเมิดศีลได้ว่า "ข้อนั้นยังได้เลย" แล้วจะทำให้เขาละเมิดศีลได้ง่ายกว่าคนปกติที่มีความละอายชั่วกลัวบาปอยู่

ถาม : ถ้าเรารู้ว่าเราผิดศีลข้อนี้ เราต้องคอยต่อศีลหรืออาราธนาศีลใหม่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..ต่อให้อาราธนาศีลให้ตาย ถ้าไม่ตั้งใจงดเว้นก็ไม่เป็นศีล เรารู้ว่าศีลต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง แล้วตั้งใจงดเว้นไม่ทำให้ผิด ก็ถือว่าเป็นศีลแล้ว ไม่ต้องไปขอ ไม่ต้องไปอาราธนา

การที่เราขอศีลจากพระ ท่านใช้คำว่า "สมาทาน" คือศึกษาว่าศีลนั้นมีอะไรบ้าง เมื่อรู้แล้วเราก็ตั้งใจงดเว้นไป แต่คราวนี้การสมาทานศีลกลายเป็นรูปแบบแล้ว ดีอยู่อย่างหนึ่งว่าเราได้ทบทวนอยู่บ่อย ๆ กลายเป็นสีลานุสติ เป็นการระลึกถึงศีลไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 10:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #108  
เก่า 25-04-2012, 14:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : สัตว์เดรัจฉานที่เกิดจากคนที่มีความคิดว่า ไปเกิดเป็นหมาดีกว่า ไปเกิดเป็นไก่ของเศรษฐีดีกว่า เพราะว่าได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี อันนี้เป็นผลจากการที่เขารักษาศีลไม่ครบทุกข้อจึงไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แต่ว่าเป็นผู้ที่ให้ทาน ถึงแม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มีผลจากอานิสงส์ของทาน อันนี้เกิดจากเหตุอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วต่อให้เรามีศีลครบถ้วน แต่ถ้ากำลังใจก่อนตายที่เรียกว่าอาสันนกรรม ไปปักมั่นว่าเราเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานชนิดนั้น ๆ ดีกว่า ก็จะทำให้เราไปเกิดก่อน เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานนั้นจนหมดกรรมแล้ว อำนาจของศีลถึงจะส่งผลเป็นอุปัชชเวทนียกรรม ส่งผลในชาติต่อไปได้เกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า

อย่างเช่นโฆสกเทพบุตร ตอนเป็นคนเห็นเศรษฐีเลี้ยงหมาด้วยข้าวมธุปายาส ใจก็ไปเกาะตรงนั้นว่าเราเกิดมาทั้งชาติ ไม่รู้ว่าข้าวมธุปายาสเป็นอย่างไร แต่เป็นหมาแล้วได้กิน ก็อยากจะเกิดเป็นหมาของเศรษฐี กำลังใจไปเกาะตรงจุดนั้นแล้วตายพอดี พอพ้นจากส่วนนั้นได้มีโอกาสไปถวายการรับใช้พระปักเจกพุทธเจ้า อานิสงส์ก็ส่งผลไปเกิดเป็นเทวดา

ดังนั้น..ในเรื่องของศีล ต่อให้รักษาแน่วแน่มั่นคง แต่ถ้าหากว่ามีอาสันนกรรมสอดแทรกเข้ามา ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเฉพาะหน้า อานิสงส์นั้นก็จะส่งผลให้ในชาติต่อไปแทน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 17:20
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #109  
เก่า 25-04-2012, 14:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เรานั่งสมาธิแล้วก็เห็นแสงสว่างวาบขึ้นมา แต่ว่าไม่มีปีติเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย อันนี้เป็นไปได้ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นไปได้เป็นปกติ เพราะว่าเป็นอุปจารสมาธิขั้นต้น ยังไม่ถึงความเป็นปีติ หรือไม่ก็สมาธิก้าวล่วงตัวปีติไปแล้ว เกิดโอภาสที่เป็นอุปกิเลสขึ้นมา อันนั้นก็จะไม่เกิดอาการปีติเพราะว่าก้าวพ้นไปแล้ว

แต่ว่าไม่ว่าจะเกิดขึ้นในกรณีแรกหรือในกรณีที่สองก็ตาม อย่าเอาใจไปปักอยู่ตรงนั้น เวลานั่งสมาธิใหม่ให้เราวางกำลังใจว่า เรามีหน้าที่ภาวนา ส่วนผลจะเกิดอย่างไรเป็นเรื่องของมัน ไม่อย่างนั้นถ้าเราภาวนาแล้วอยากเห็นแสงสว่างอีก กำลังใจจะฟุ้งซ่าน แล้วภาวนาเท่าไรใจก็จะไม่ทรงตัว

ถาม : เวลาที่เราตั้งใจภาวนาแล้วเราเห็นแสงขึ้นมาเป็นดวงเดียว แต่เวลาที่เราไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติ เป็นช่วงที่เรากำลังนั่งเก้าอี้ ก็ปรากฏเป็นแสงสว่างขึ้นมาแต่เป็นหลายดวง อันนี้เกิดจากอะไรครับ ?
ตอบ : เป็นอำนาจของสมาธิเหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนที่เรานั่งภาวนาอยู่นั้น ด้วยความที่เราตั้งใจภาวนามากเกิน ก็เหมือนกับยื่นคอเลยช่อง มองไม่เห็นอะไร ตั้งใจน้อยเกินก็ก้มต่ำเลยช่อง มองไม่เห็นอะไร กว่าเราจะปรับกำลังใจให้พอดี ให้เห็นแสงเห็นสีได้ก็นาน

แต่ว่าตอนช่วงที่เรานั่งลงนั้น เนื่องจากว่าจากที่ยืนแล้วมานั่ง กำลังใจคลายตัวจากความลำบากมาเป็นความสบาย อาจจะลงมาอยู่ในช่วงที่สมาธิสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นได้พอดี และเป็นการเห็นที่ชัดเจนกว่า เพราะว่ากำลังใจขยับมาลงร่องเอง การรู้เห็นอาจจะกว้างมากกว่าจึงเห็นอะไรต่อมิอะไรมากขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 17:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 162 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #110  
เก่า 25-04-2012, 14:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : การที่เห็นแสงดวงเดียวกับการที่เห็นแสงหลายดวง หมายความว่าการที่เห็นแสงหลายดวงนี้มีความลึกของสมาธิมากกว่าหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ใช่...การที่เราเห็นแสงหลายดวงหรือดวงเดียว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความลึกความกว้างของสมาธิ สมาธิของเรายังคงเท่าเดิมอยู่ในระดับนั้นถึงเห็นได้ เพียงแต่ว่าในสภาพของจิตตอนนั้นความสบายต่างกัน ที่เมื่อครู่ได้กล่าวไว้ว่าความเบาสบายต่างกัน เพราะว่ากำลังจะได้นั่ง กำลังใจสบายแล้ว ขณะที่อีกอันหนึ่งเรานั่งเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา

ดังนั้น..ก็เหมือนอยู่ในลักษณะที่ว่า กำลังของเราที่มุ่งตรงไปด้วยความเร็วและแรง จะทำให้เราชัดเจนต่อเป้าหมายเดียวข้างหน้า แต่ถ้าหากว่าเราไปช้า ๆ เราก็จะเห็นสิ่งรอบข้างไปด้วย การเห็นก็เลยเห็นได้มากกว่า
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2012 เมื่อ 17:26
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #111  
เก่า 26-04-2012, 08:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่เขากล่าวว่าผู้ที่เป็นประธานในการทอดกฐิน จะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ชาติ แล้วก็ไปเสวยผลบุญในลำดับรอง ๆ กันต่อไปเรื่อย ๆ ในปัจจุบันมีวัดต่าง ๆ จำนวนมากมาย มีเจ้าภาพกฐินเยอะมาก ถามว่าในอนาคตกาลจะไม่ต้องมีพระเจ้าจักรพรรดิเกิดขึ้นมากมายหรือครับ ?
ตอบ : มีเป็นปกติ แต่เกิดขึ้นทีละองค์ เพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน คำว่า "ไม่เท่ากัน" ก็คือทั้งสิ่งที่สั่งสมมาเป็นบารมีในอดีต และกำลังใจที่มุ่งมั่นต่อศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันตลอดจนอนาคตไม่เท่ากัน ทำให้กำลังบุญส่งผลให้ช้าเร็วต่างกันไป

พูดง่าย ๆ ก็คือมีคิวเหมือนกัน เพียงแต่ว่าถ้ากำลังใจของใครเข้มข้นมากขึ้นก็ลัดคิวได้เร็วขึ้น ถ้ากำลังของใครหย่อนยานลง ทำกฐินครั้งนั้นเสร็จแล้วไม่คิดทำอะไรอีกเลย ก็กลายเป็นอยู่ท้ายแถวไป พระเจ้าจักรพรรดิเวลาเกิดขึ้นแต่ละครั้งก็ใช้ปราสาทแก้วมณีหลังเดิม เทวดาขี้เกียจสร้างใหม่ หิ้วหลังเดิมมาวางไว้ให้เลย ขี้เกียจออกแบบใหม่ให้เปลืองวัสดุ..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 09:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #112  
เก่า 26-04-2012, 08:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ในปัจจุบันนี้มีผู้ที่เก็บวัตถุมงคลต่าง ๆ เพื่อเก็งกำไรบ้าง เพื่อเอาไว้บูชาบ้าง ถามว่าการทำอย่างเป็นบาปไหมครับ หรือว่าเป็นกุศล ?
ตอบ : ถ้าหากว่าบาปก็คือทำผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าพื้นฐานก็คือเรื่องของศีล ถ้าหากว่าเขาไม่ได้ลักขโมยใครมา หามาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรมก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าควรจะให้ความเคารพตามปกติด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าทำเพราะหวังเก็งกำไร ถ้าอย่างนั้นมีสิทธิ์ที่จะเกิดโทษใหญ่เพราะปรามาสพระรัตนตรัย

ถ้าหากว่ากำลังใจเคารพเป็นปกติ ปฏิบัติด้วยความเคารพนบนอบ ในลักษณะว่าถ้าให้คนอื่นบูชาก็คือแบ่งปันกัน ถ้าอย่างนั้นก็ทำไปเถอะ แต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ได้ให้ความเคารพ กลายเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยก็เกิดโทษใหญ่โดยไม่รู้ตัว
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 09:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #113  
เก่า 26-04-2012, 08:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : มีคนเขาบอกว่า ถ้าเราทำบุญให้คนตาย เขาต้องมีบุญเก่าอยู่ด้วย ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องมีจ้ะ ถ้าของเก่าไม่ส่งมา จะหลงมาถึงปัจจุบันก็เป็นไปโดยยาก

ถาม : ในสังคหวัตถุ ๔ ปิยวาจาเป็นเรื่องสำคัญที่ทำให้เขาสามัคคีกับเราใช่หรือไม่คะ ?
ตอบ : ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา สำคัญทุกตัว ไม่ใช่เฉพาะปิยวาจาอย่างเดียว สักแต่ว่าพูดหวาน ๆ แต่ใช้คนอื่นตลอด เขาก็ไม่อยากสามัคคีกับเราเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..ต้องทำประโยชน์เพื่อคนอื่นเขาด้วย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 09:52
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #114  
เก่า 26-04-2012, 08:57
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : พระที่ท่านปรารถนาพุทธภูมิทั้งหลาย ท่านมีความสามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ได้..?
ตอบ : กำลังใจยังไม่ตัดเข้าสู่มรรคผลที่แท้จริง เพราะติดภาระที่ตนเองผูกพันอยู่ พูดง่าย ๆ ว่าการที่จะหลุดพ้นไปได้นั้น ต้องไม่มีอะไรเหลือแล้ว คราวนี้ยังมีเส้นสายอยู่ ๑ เส้นที่มัดขาท่านอยู่ คือความปรารถนาที่จะตรัสรู้ในอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านทั้งหลายเหล่านี้กำลังสูงกว่าพระอรหันต์ทั่วไปมาก แต่ว่าไม่ได้ตัดเข้าสู่มรรคผลที่แท้จริง

อาตมาเคยใช้คำว่า "กำลังใจเทียบเท่าพระอรหันต์" แต่คำว่าเทียบเท่าของท่านนั้นละเอียดกว่าเยอะมาก
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 09:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #115  
เก่า 26-04-2012, 09:06
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ที่เขาบอกว่าอาชีพนักร้องนักแสดง ตายแล้วจะต้องไปสู่ทุคติ จริงไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าหากว่าไม่มีความดีอื่นเลยก็ลงอเวจีหมด เพราะว่าทำให้คนยึดติด อย่างเช่น ยึดติดในรูป ยึดติดในเสียง มีความนิยมยินดีในสิ่งที่ควรจะละ เราต้องละวางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสได้ โอกาสจะไปถึงพระนิพพานหรือโอกาสที่จะหลุดพ้นถึงจะมี แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านี้กลับทำให้คนยึดติด

อย่างในสมัยปัจจุบัน เวลาบรรดาดารามา หลายคนก็กรี๊ดกันหูดับตับไหม้ เห็นชัด ๆ เลยว่าทำให้คนหลงยึดในตัวเขาเป็นจำนวนมหาศาล ดังนั้นว่า ใครเป็นดารา เป็นนักร้องนักแสดง หรือแม้กระทั่งนักฟุตบอลระดับซูเปอร์สตาร์ ควรที่จะสร้างบุญกุศลให้มาก ๆ ไว้ ถ้าไม่มีบุญกุศลอื่นหนุนเสริม มีหวังลงทุคติหมด

ถาม : การที่เป็นดารานักร้องกับอาชีพทำประมง อันไหนถือว่าเป็นบาปกรรมที่มากกว่ากันครับ ?
ตอบ : คนที่ทำอาชีพทำประมง ถ้าหากว่าทำอยู่ทุกวันเป็นอาจินณกรรม จะลงอเวจีมหานรกเหมือนกัน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำว่า ใครทำมากทำน้อยกว่ากัน สรุปแล้วก็คือ ลงนรกขุมเดียวกันแต่ระยะเวลาต่างกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 09:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #116  
เก่า 26-04-2012, 09:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : อย่างนี้คนที่เป็นนักร้องนักแสดง ถ้ามีชื่อเสียงน้อยก็บาปน้อย ถ้ามีชื่อเสียงมากก็บาปมาก ถูกไหมครับ ?
ตอบ : ต้องใช้คำว่า "มีคนยึดติดน้อยก็สร้างกรรมน้อย มีคนยึดติดมากก็สร้างกรรมมาก" เคยมีดาราชายวัยรุ่นหนึ่ง ที่ไปกระโดดตึกตาย แล้วคนไปงานศพเป็นหมื่น ๆ นั่นคนเขายึดติดมาก อาตมาเห็นแล้วสลดใจว่า เขาไม่รู้ว่าตัวเองได้สร้างกรรมไว้หนักขนาดไหน เขาคิดว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นเป็นสิ่งที่ดี ถ้าหากว่ากำลังใจของเขาเกาะบุญเกาะกุศลได้ก็แล้วไป ถ้าเกาะไม่ได้ก็สาหัสเลย

ถาม : แล้วเขาด้วยบุญอะไรถึงได้เป็นดาราครับ ?
ตอบ : อย่างน้อยต้องมีศีล ๕ ถึงได้เกิดเป็นคน และมีความดีอื่นส่งเสริมอีกอย่าง เช่น พรหมวิหาร ๔ ไม่อย่างนั้นจะไม่เกิดมามีรูปร่างหน้าสวยงาม เพียงแต่ว่าการดำเนินชีวิตในปัจจุบันนี้ผิดทางไปเอง ต้องบอกว่าเขาทำไปเพราะไม่รู้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 09:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #117  
เก่า 26-04-2012, 09:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตัวอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวถึง คือ พระตาลปุตตคามิณีเถระ ท่านเป็นนักแสดงหรือที่เขาใช้คำว่า "มายากร" ที่มีชื่อเสียงมาก ไปไหนก็มีคนตามดูเป็นจำนวนพัน ๆ คน ท่านไปเปิดการแสดงที่เมืองสาวัตถี ได้ยินว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นี่ ก็หาโอกาสไปกราบ แล้วทูลถามว่า ตามความเชื่อของพวกเขาที่สืบ ๆ กันมาว่า

"บุคคลที่เป็นมายากร เมื่อตายแล้วจะได้เป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างความรื่นเริงแก่ผู้อื่น จริงหรือไม่ พระพุทธเจ้าข้า?" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน...มายากร อย่าได้ถามปัญหานี้เลย” ท่านก็ยังถามใหม่ถึง ๓ ครั้ง พระพุทธเจ้าเองจึงจำเป็นที่จะต้องบอกความจริงว่า "บรรดานักแสดงต่าง ๆ ถ้าไม่ทำกุศลอื่นเลย จะลงอเวจีมหานรกทั้งหมด"

ในส่วนที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งก็คือ ตาลปุตตาคามิณีมาณพนั้น มีความเลื่อมใสและเชื่อมั่นในคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงร้องไห้เสียใจ แล้วก็ทูลถามว่าจะแก้ไขอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงได้แนะนำว่าให้บวชแล้วปฏิบัติธรรม ท่านก็เลยบวชแล้วปฏิบัติจนเป็นพระอรหันต์ กรรมทั้งหมดจึงกลายเป็นอโหสิกรรม ก็คือไม่สามารถที่จะไล่ตามท่านทัน ก็หมดไปโดยปริยาย

แต่คราวนี้คนในปัจจุบัน เวลาเราพูดเรื่องนี้เขาจะมีความเชื่อถือแค่ไหน ? ยิ่งถ้าหากว่าเราไปพูดกับท่านทั้งหลายที่มีผู้คนตามนิยมชมชื่นมาก ๆ เข้า ดีไม่ดีคนพูดจะตายก่อน ต่อให้ตายแล้วไปดีก็เถอะ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะพูดต้องดูสถานที่ ดูวาระดูเวลาด้วย ถ้าเขารับไม่ได้เพราะเขามีความเชื่อมั่นของเขาอยู่ ก็ต้องปล่อยให้ทางใครทางมัน แต่ถ้าสามารถแนะนำได้ก็ควรที่จะแนะนำ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-04-2012 เมื่อ 10:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #118  
เก่า 26-04-2012, 09:43
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในปัจจุบันนี้บรรดาดารานักร้องก็นิยมเข้าวัดเข้าวา ทำบุญสุนทานกันเป็นจำนวนมาก อย่างวันก่อนคุณอุดม แต้พานิชก็ไปช่วยเรี่ยไรให้กับทางด้านวัดพระธรรมกายอยู่ แล้วเพื่อนเขาก็บอกว่าคุณอุดมทำบุญเป็นปกติ ทำเป็นล้าน ๆ บาทเลย แสดงว่าเขาเองก็ยังสร้างบุญกุศลในด้านอื่นเป็นปกติอยู่ ถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้นอาการก็ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร สำหรับท่านที่ไม่เอาเรื่องบุญเรื่องกุศลเลยนี่อาการน่าเป็นห่วง

วัดของอาตมาก็มีดาราไปปฏิบัติธรรมอยู่ ตอนแรกอาตมาก็สังเกตเห็นว่าคนนี้แลดูสวยสง่า ญาติโยมมาบอกทีหลังว่าเป็นดารา เพราะอาตมาไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวิทยุโทรทัศน์อะไรมาเป็นเวลาเกือบ ๓๐ ปีแล้ว ไม่รู้จักดารารุ่นใหม่ ดาราคนสุดท้ายที่รู้จักชื่อจารุณี สุขสวัสดิ์ ตอนนี้เล่นบทคุณยายได้สบายแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 10:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 150 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #119  
เก่า 26-04-2012, 09:48
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : ถ้าเปรียบเทียบกับคนที่มีอาชีพเป็นทหาร ต้องเอาปืนไปสู้รบปรบมือกับข้าศึกอริราชศัตรู กับคนที่มาเป็นดาราสร้างความบันเทิงให้กับประชาชน อันไหนน่าจะได้มีโอกาสไปสวรรค์มากกว่ากัน หรือว่าไปนรกน้อยกว่ากันครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับการกระทำและสิ่งที่เขายึดก่อนตาย ทหารออกรบส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่เป็นเพราะความอาฆาตแค้นส่วนตัว เป็นการกระทำตามหน้าที่ ในเมื่อไม่มีความโกรธนำหน้า สิ่งที่กระทำไปก็ไม่เจตนาไปเข่นฆ่าเขา แต่เป็นการรักษาผืนแผ่นดิน รักษาราชบังลังก์ และโดยเฉพาะอย่างองค์บุรพมหากษัตริยาธิราชในอดีต พระองค์ท่านตั้งใจที่จะรักษาแผ่นดินนี้ไว้เป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา ถ้าหากว่าตั้งกำลังใจในลักษณะนี้ ส่วนที่เป็นบุญก็มีมากกว่า ส่วนที่เป็นบาปถึงจะมี แต่กำลังก็ไม่ได้มากไปกว่าบุญตรงส่วนนี้

ดังนั้น..ถ้าหากว่าทำดี ทำถูก กำลังใจก่อนตายยึดมั่นในสิ่งที่ถูก โอกาสที่จะไปสุคติก็มีมาก โดยเฉพาะอาตมาเคยเป็นทหารมาก่อน นั่งปลุกพระทุกวันเลย คาถามีกี่บทก็ว่ากันจนมั่นใจจริง ๆ แล้วถึงจะออกไป ลักษณะอย่างนี้กำลังใจเราเกาะความดีอยู่ หรือว่านักรบในอดีตเมื่อถึงเวลา ตั้งใจวางมือไม่รบราฆ่าฟันกับใครแล้ว ก็มีการถวายดาบเป็นราวเทียน เป็นพุทธบูชาไป หรือไม่ก็บวชปฏิบัติธรรมไปเลยก็มี

ในส่วนของดาราก็อย่างที่บอกว่า ปัจจุบันนี้มีการแนะนำการปฏิบัติโดยดาราออกสื่อต่าง ๆ ก็มีอยู่ เพราะฉะนั้น..เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จึงขึ้นอยู่กับการกระทำ และจิตสุดท้ายของเขา ว่าสามารถยึดเกาะด้านใดได้มากว่า เราไม่สามารถที่จะเอามาชั่งกิโล แล้วเปรียบเทียบว่าใครจะได้ดีได้ชั่วมากกว่ากัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 10:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #120  
เก่า 26-04-2012, 09:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,771
ได้ให้อนุโมทนา: 152,230
ได้รับอนุโมทนา 4,421,372 ครั้ง ใน 34,361 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ท่านใดที่จะนำเก็บตกฯ เกี่ยวกับเรื่องดารานี้ไปเผยแพร่ต่อ หากเห็นว่าไปโพสต์ยังสถานที่นั้นแล้ว เป็นประเด็นให้คนต้องมาถกเถียงแย้งกัน ตำหนิติเตียนคำสอนนี้หรือตำหนิพระอาจารย์ รบกวนว่าอย่าเสี่ยงเลยค่ะ เท่ากับเราเป็นผู้เปิดโอกาสให้ผู้อื่นสร้างวจีกรรม และมโนกรรม ต่อพระธรรมและพระสงฆ์ แต่ถ้าเห็นว่าเรื่องนี้เผยแพร่ต่อยังสถานที่นั้นแล้วไม่มีใครแย้ง เกิดเป็นความรู้ที่เป็นกุศล ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้ค่ะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-04-2012 เมื่อ 10:03
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:37



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว