|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
ถาม : ในกรณีมีแต่ความทุกข์ จะบรรเทาความทุกข์อย่างไร ?
ตอบ : แค่เลิกแบกก็จบแล้ว ส่วนใหญ่ที่เราทุกข์เพราะเราไปแบกอยู่ เห็นว่าเป็นของกู ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องของกู มาสรุปท้ายก็คือ ตัวนี้ก็ตัวของกู ในเมื่อทุกอย่างเป็นของกู แบกอยู่ทุกอย่างกูก็เลยทุกข์แทบตาย ถ้าเลิกเห็นความเป็นของกูเมื่อไรก็จะเบาลงไปเรื่อย ๆ ต้องบอกว่าทุกข์เพราะไปยึด ความจริงหลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเหมาะกับบุคคลทุกระดับชั้น เพราะว่าปุถุชนก็มีหลักธรรมสำหรับปุถุชนอยู่ พระอริยเจ้าก็มีหลักธรรมของพระอริยเจ้าอยู่ เพียงแต่ว่าพวกเราขาดการศึกษาเรียนรู้อย่างหนึ่ง และศึกษาเรียนรู้ไปแล้วไม่ได้ซักซ้อมใช้งานให้คล่องตัวอีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อไม่ได้ซักซ้อมใช้งานให้คล่องตัว เวลาความทุกข์เกิดขึ้นก็มัวแต่ไปจมอยู่กับความทุกข์ พกอาวุธอยู่เต็มตัวแต่ลืมใช้งาน ก็สู้ข้าศึกไม่ได้สักที
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2012 เมื่อ 15:47 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
ถาม : ขอฤกษ์แต่งงานค่ะ
ตอบ : จะเลิกกันแล้วหรือ ? ยังไม่ทันจะแต่งเลย ..(หัวเราะ).. คงต้องเลยพรรษาไปแล้วนะ เพราะในพรรษาเขาไม่นิยมแต่งงานกัน รอให้ออกพรรษาก่อน วันที่ ๑๔ ธันวาคม ตรงกับวันศุกร์ อมฤตโชค ๑ ค่ำ เดือนอ้าย ทันไหม ? ถ้าไม่ทันเดี๋ยวดูฤกษ์ให้ อีก ๓ ปีข้างหน้าก็แล้วกัน..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2012 เมื่อ 15:48 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
ถาม : คนที่เคยได้ฌาน จะทรงอยู่อย่างนั้นหรือคะ ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เผลอเมื่อไรฌานก็เสื่อม ได้ฌานแล้วต้องซักซ้อมให้คล่องตัวอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นก็จะเสื่อม รักษายังรักษาไม่ไหวเลย แล้วจะก้าวหน้าได้อย่างไร ? ยกเว้นว่ามีความเพียรพยายามอยู่อย่างสม่ำเสมอ ปฏิบัติต่อเนื่องตามกันแล้วจะมีความก้าวหน้า ก้าวขึ้นไปสู่ระดับสูงกว่าเดิมได้ ถ้าไม่ได้ทำต่อเนื่องแล้วไม่ต้องไปฝันเลย มีแต่ถอยหลังอย่างเดียว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2012 เมื่อ 15:49 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่ปู่ ย่า ตา ยาย มักเสร็จหลาน ๆ หมด ต้องบอกก่อนเลยว่าตัวกูของกูชัด ๆ เลย อยู่คนเดียวไม่ได้ รู้สึกเหงา ไม่มีลูกคอยเอาใจก็ต้องไปเลี้ยงหลานแทน ไม่มีหลานเดี๋ยวก็ไปเลี้ยงหมาแทน
ในธรรมบทมีเรื่องไม้เท้าของคนเฒ่าดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู พราหมณ์คนหนึ่งเป็นเศรษฐี พอแบ่งสมบัติให้ลูกแล้ว ไม่มีลูกคนไหนเลี้ยง ปล่อยแกให้ไปเป็นขอทาน คือ พ่อแม่ให้สมบัติเท่า ๆ กัน พอไปอยู่กับเขา เขาต้องเลี้ยงดู ทำให้สมบัติลดน้อยถอยลง ได้ไม่เท่ากับพี่น้อง ก็เลยไม่อยากเลี้ยงพ่อแม่ พอพราหมณ์ไปเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านจึงแนะนำว่าให้ไปเล่าเรื่องนี้ในท่ามกลางที่ชุมชน แล้วก็ตอกย้ำคำว่า "ไม้เท้าของคนเฒ่า ดีกว่าลูกเต้าอกตัญญู ขอให้ท่านทั้งหลายจำเอาไว้" พอแกไปเล่าบรรดาลูก ๆ ได้ยินแล้วอาย ในที่สุดก็รับพ่อกลับไปเลี้ยงใหม่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-08-2012 เมื่อ 15:50 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องคุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ ว่า "คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ขี่สามล้ออยู่ที่เมืองเทียนจิน อดมื้อกินมื้อ รวบรวมเงินทั้งหมดให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ประมาณ ๑ ล้าน ๗ แสนบาท เนื่องจากว่าคุณปู่ไปเจอเด็กชายอยู่คนหนึ่ง อายุประมาณ ๖ ขวบ คอยช่วยบริการถือของไปส่งคนอื่น ของบางอย่างก็หนักแทบจะเกินกำลัง เด็กก็พยายามจะหอบหิ้ว เขาก็ให้เงินจำนวนหนึ่งเป็นค่าตอบแทน พอถึงเวลาเด็กคนนั้นก็ไปคุ้ยขยะหาเศษอาหารกิน คุณปู่ก็สงสัย ถามเด็กว่าทำไมไม่เอาเงินไปซื้ออาหารกิน เด็กบอกว่ายังต้องเลี้ยงน้อง พ่อแม่ทิ้งแกกับน้องไป น้องยังตัวเล็กทำงานไม่ได้ เพราะฉะนั้นได้เงินมาต้องไปซื้ออาหารให้น้อง ตัวเองต้องไปคุ้ยถังขยะ มีอะไรพอกินได้ก็กิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:18 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
"คุณปู่ขี่สามล้อจนกระทั่งอายุ ๙๐ ปี จึงมอบเงินก้อนสุดท้ายให้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ปู่บอกว่าไม่ไหวแล้ว ขี่สามล้อไม่ไหว น่าจะเป็นเงินก้อนสุดท้าย ปรากฏว่าคุณปู่ก็ยังอยู่ต่ออีก ๓ ปี จึงได้เสียชีวิต งานศพของคุณปู่มีเด็กนักเรียนแห่กันไปหลายร้อยคน คุณปู่ไม่รู้ว่าเงินที่มอบให้ทางสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้น เขาจัดสรรให้เป็นค่าอาหารเด็กคนไหน ให้เป็นค่าเล่าเรียนเด็กคนไหน แต่ปรากฏว่ามีเด็กจำนวนมหาศาลเลยที่ได้รับ ในงานศพของคุณปู่เด็กจึงไปร่วมงานกันเยอะแยะ ไม่ต้องกลัวว่าอยู่คนเดียวจะไม่มีใครจัดงานศพให้
ตอนนี้ซื้อหนังสือเล่มหนึ่งเมื่ออาทิตย์ก่อนยังไม่ได้อ่าน ชื่อ เฉิน ซู่ จวี๋ แม่ค้าผัก..ผู้ให้ยิ่งใหญ่ ได้ยินแค่ชื่อก็ซื้อเลย อยากรู้ว่าแม่ค้าผักทำอะไรที่ยิ่งใหญ่บ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:20 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
ถาม : การอุทิศส่วนกุศล.... ?
ตอบ : การกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลนั้น พระเจ้าพิมพิสารทำเป็นคนแรก ท่านเคยชินกับธรรมเนียมพราหมณ์ที่ว่า การให้อะไรใครก็เอาน้ำเทรดมือคนนั้น เป็นสัญลักษณ์ว่าฉันให้เธอ แต่พออุทิศส่วนกุศลให้กับญาติที่ตายไปแล้ว เขาไม่ได้ยื่นมือมาให้เห็น ท่านไม่รู้จะทำอย่างไรก็เลยเทรดมือตัวเอง พวกเราไม่รู้ที่มาที่ไปก็เทรดมือตัวเองต่อกันมาเรื่อย ๆ ความจริงแล้วแค่เราคิดว่า กุศลที่เราทำทั้งหมดนี้ขออุทิศให้แก่ใคร เจาะจงชื่อนามสกุลไปเลยก็ได้ แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องไปกรวดน้ำเป็นคูลเลอร์แบบคุณยายในเว็บหรอก ถาม : ถ้าเราอุทิศกุศลให้คนอื่น กุศลของเราจะหมดหรือไม่ ? ตอบ : พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าเราตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้คนอื่น เปรียบเหมือนเราก่อไฟขึ้นมาแล้วอนุญาตให้เขาต่อไฟไปใช้ได้ กองไฟของเราไม่ได้ลดความสว่างลง แต่ความสว่างเพิ่มขึ้นจากการที่ตัวเองให้เขาก่อกองไฟต่อไป การที่เราจะให้เขาได้จิตเราต้องประกอบไปด้วยเมตตาบารมี ในเมื่อจิตประกอบด้วยเมตตาบารมี บุญใหญ่ก็เกิดขึ้น แทนที่จะหมดก็มีแต่มากจะขึ้นเรื่อย ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:21 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
ถาม : การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เพราะปฏิบัติได้น้อย จะใช้กำลังใจอย่างไรคะ ?
ตอบ : ก็แค่ถามใจตัวเองว่า อยากขึ้นสวรรค์หรืออยากลงนรก..! ถาม : รู้สึกว่าไม่อยากลงนรก ? ตอบ : เรื่องของการปฏิบัติจริง ๆ แล้วจะต้องมีเทคนิคเฉพาะตัว คนอื่นให้ได้เฉพาะคำแนะนำเฉย ๆ อาจจะเป็นได้ว่าเราเห็นประโยชน์เราจึงปฏิบัติธรรม หรือเราเห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดีแล้วเราจึงปฏิบัติธรรม สำคัญตรงที่ว่า ถ้าสมาธิเริ่มทรงตัว จะไม่อิ่มไม่เบื่อในการปฏิบัติ แต่ถ้าสมาธิไม่ทรงตัว ทำเมื่อไร ๆ ก็ได้เท่านั้น ก็จะรู้สึกเบื่อ ดังนั้น..ให้เราเน้นในเรื่องของลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ พอใช้คำภาวนา การจับลมหายใจเข้าออกเริ่มทรงตัว ตัวปีติจะเกิด ถ้าปีติเกิด เราจะไม่ค่อยอยากจะหยุดปฏิบัติหรอก อยากทำไปเรื่อย ๆ ไปเน้นเรื่องลมหายใจเข้าออกเป็นหลัก พออารมณ์ใจทรงตัวเดี๋ยวก็ดีเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:22 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าปฏิบัติแล้วอยากได้บุญ ไม่ถือว่าเป็นกามฉันทะหรือคะ ?
ตอบ : ให้เป็นไปก่อน เพราะถ้าเราไม่เกาะดีก่อน ก็จะไม่มีอะไรให้วาง เราต้องละชั่วเกาะดีก่อน ท้ายสุดถึงจะปล่อยดีทีหลัง ขึ้นบันไดต้องเกาะราว แต่ถ้าขึ้นไปถึงชั้นบนเมื่อไรก็ปล่อยราวบันไดโดยอัตโนมัติ ถาม : ช่วงนี้ปฏิบัติเพราะอยากได้บุญ รู้สึกว่ามีความโลภ ? ตอบ : ตำราใครวะ..! ทำแล้วไม่อยากได้ดี แล้วจะทำไปทำซากอะไร..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:22 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยอาตมาเด็ก ๆ สัตว์ที่อยากเลี้ยงมากที่สุดก็คือเหี้ย แต่เป็นเหี้ยจอมโหดที่เขาเรียกว่า เหี้ยเห่าช้าง เห่าช้างเป็นเหี้ยที่พองคอขู่ได้ เขาเชื่อว่ามันร้ายขนาดกัดช้างยังล้ม
เห่าช้าง อาตมาก็พาซื่อ เห็นว่าน่ารักดี ไม่ได้เห็นว่าดุ เจ้าหน้าที่เขาโวยวายใหญ่จึงต้องปล่อยคืนไป เขาก็คลานลงบ่อแต่โดยดี ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่รู้ว่าเหี้ยเห่าช้างดุจริงหรือเปล่า ? แต่พวกพรานล่าสัตว์เคยบอกว่า โดนไล่วิ่งจนเตลิดเปิดเปิงมาหลายคนแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 17:06 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
"แถวบ้านอาตมาไม่มีเห่าช้าง เพราะเห่าช้างนั้นหายาก หายากพอ ๆ กับตุ๊ดตู่ ตุ๊ดตู่ก็เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับพวกเหี้ย เพียงแต่ตัวเล็กกว่าและสีจัดจ้านกว่ามาก
ตุ๊ดตู่ เห่าช้างเขาว่ากินไม่ได้เพราะว่าหนังมีพิษแบบคางคก เห่าช้างฝรั่งเรียกว่า Rough neck monitor คอจะเป็นเม็ด ๆ เล็ก ๆ เห็นชัด ๆ เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:25 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#112
|
||||
|
||||
ถาม : ที่บ้านจะถูกไล่ที่ ตอนนี้เดือดร้อนเรื่องบ้าน จะหาบ้านใหม่ ?
ตอบ : บนพระวิสุทธิเทพก็ได้จ้ะ รักษาศีล ๘ สัก ๗ วัน พระวิสุทธิเทพคือพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน จุดธูป ๕ ดอกปักกลางแจ้ง นึกถึงท่าน ขอให้ท่านสงเคราะห์ให้ได้บ้านภายในกี่วันก็ว่าไป ถ้าได้บ้านภายในเวลาที่กำหนดเราจะถือศีล ๘ ถวายท่าน ๗ วัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:26 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#113
|
||||
|
||||
ถาม : จะไปสัมภาษณ์งานค่ะ อยากได้มาก ?
ตอบ : อันดับแรก..ไปวัดแล้วขัดส้วม เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วไปอธิษฐานกับพระประธานของานกับท่าน อันดับที่สอง..บนพระวิสุทธิเทพ จุดธูป ๕ ดอก นึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ของานกับท่าน ถ้าได้แล้วให้รักษาศีล ๕ หรือ ศีล ๘ พร้อมเจริญกรรมฐานถวายท่าน ๗ วัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:26 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#114
|
||||
|
||||
ถาม : ก่อนออกจากบ้านมา น้องชายถามว่าทำบุญแล้วดีอย่างไร นอกจากความสบายใจ ?
ตอบ : นั่นสิ..ทำบุญแล้วดีอย่างไรนอกจากเสียเงิน ในเรื่องของบุญ ส่วนใหญ่ทำแล้วผลเห็นในโอกาสข้างหน้า ไม่ได้เห็นทันตา ยกเว้นบุญบางประเภทที่หาโอกาสทำได้น้อยในปัจจุบัน คราวนี้การที่เราทำแล้วไม่เห็นผลทันตา เราก็ต้องมีความเชื่อก่อนว่า เรื่องของการทำความดีนั้นมีสวรรค์ มีพรหม มีพระนิพพานรองรับอยู่ การทำความชั่วนั้นมีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉานรองรับ แต่คราวนี้เราไม่เห็น ถามว่าจะให้เชื่ออย่างเดียวได้อย่างไร ? เราก็มาเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ ว่า ถ้ากิจการเราทำแล้วมีกำไรกับเสมอตัว กับกิจการอีกอย่างหนึ่งทำแล้วมีแต่ขาดทุนกับเสมอตัว เราควรเลือกทำอย่างไหน ? ที่ว่าหากนรกสวรรค์มีจริง เราทำความดีก็กำไร เพราะว่าเราก็ไปดี แต่ถ้านรกสวรรค์ไม่มี เราทำดีก็แค่เสมอตัว เพราะไม่ได้อะไร ถ้าไม่มีนรกสวรรค์ เราทำชั่วเราก็แค่เสมอตัว แต่ถ้านรกสวรรค์มีจริง เราทำชั่วเราก็ขาดทุน..เพราะลงข้างล่างเลย เพราะฉะนั้น..สิ่งหนึ่งทำแล้วเสมอตัวกับกำไร กับทำแล้วเสมอตัวกับขาดทุน เราควรจะเลือกทำอะไร ? อันนี้คือบอกเขาให้คิดแบบชาวบ้านทั่ว ๆ ไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:28 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#115
|
||||
|
||||
แต่ในส่วนของบุญนั้น คนที่เกิดมาประกอบไปด้วยกิเลสใหญ่ คือ รัก โลภ โกรธ หลง การทำบุญต่าง ๆ เป็นการตัดตัวโลภ คือสิ่งที่เราอยากได้หรือควรจะได้ เราพยายามสละให้คนอื่นเขา ทำให้เราเบากายเบาใจ รู้จักสละออก แบ่งปันคนอื่น เกิดความสบายใจขึ้นมา เพราะว่าเราให้ใครเขาก็รักเรา ในเมื่อเราเป็นที่รักของคนอื่น เราจะไปที่ไหนก็ได้ เมื่อเกิดความสบายใจขึ้นมาเราเรียกว่าบุญ
แต่คราวนี้บุญที่ต้องการจริง ๆ นั้น ก็คือบุญที่เราให้เพื่อเป็นการตัด ละ รัก โลภ โกรธ หลง ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เป้าหมายใหญ่มหึมามาก เราก็ดูให้ใกล้ ๆ ของเราว่า ถ้าเราทำแล้วเราเกิดความสบายใจเราก็ทำ ขณะเดียวกันเรื่องของบุญไม่ใช่ว่าทำมากแล้วจะดี สำคัญตรงกำลังใจในการสละออก ถ้าตั้งใจสละออก ถึงทำน้อยก็ได้บุญมาก ถ้าสักแต่ว่าทำไป ถึงทำมากก็ได้บุญน้อย เพราะเจตนาไม่ครบ ความมุ่งมั่นไม่มี ทีนี้พอรู้หรือยังว่าเขาทำกันอย่างไร ? ถาม : เมื่อก่อนทำบุญแล้วรู้สึกมีปีติ แต่ช่วงหลัง ๆ มารู้สึกเฉย ๆ ไม่แน่ใจว่าสักแต่ว่าทำหรือเปล่า ? ตอบ : การที่เราทำไปนาน ๆ จะเกิดความเคยชิน ความเคยชินภาษาบาลีเขาเรียกว่า ฌาน จิตที่ทรงฌานจะก้าวข้ามปีติไปแล้ว รู้แต่ว่าสิ่งนี้สมควรทำเราจะทำ ไม่เหลือปีติไว้แล้ว แต่เป็นฌาน กำลังใจสูงขึ้นไม่ได้ต่ำลง ถ้ากำลังใจต่ำลง คือไม่คิดจะทำอีก แต่ทีนี้เรายังทำเป็นปกติ เพียงแต่ก้าวข้ามปีติไปกลายเป็นฌาน ก็เลยกลายเป็นว่าทำก็ไม่รู้สึกหรือสาอะไร เพราะเคยชินไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-08-2012 เมื่อ 12:29 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#116
|
||||
|
||||
ถาม : หมอตรวจพบว่า คุณพ่อเป็นมะเร็งในเม็ดเลือด ?
ตอบ : ไปวัดหลวงปู่ธรรมชัยที่อำเภอแม่แตงถูกไหมจ๊ะ ? ไปหาหลวงพี่สมศักดิ์ หลวงปู่ธรรมชัยเคยมียาที่เกี่ยวกับพวกฟอกเลือด กินแล้วแก้ไขเรื่องพวกนี้ได้ หลวงพี่สมศักดิ์ท่านสืบทอดตำรามาจากหลวงปู่ ถาม : ควรไปเมื่อไร ? ตอบ : ไปเมื่อไรก็ได้จ้ะ ท่านอยู่เกือบตลอด แต่เว้นช่วงต้นเดือนนิดหนึ่งเพราะได้ยินว่าท่านลงมารับสังฆทานแถว ๆ สมุทรปราการอยู่เหมือนกัน หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตก็มี ชื่อวัดทุ่งหลวง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:30 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#117
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลายคนอาศัยช่วงวันหยุดยาว ๆ ออกต่างจังหวัดกัน แต่ฝนฟ้าตกไม่เป็นเวล่ำเวลา ขับรถก็อันตราย ถึงเราไม่ไปชนเขา แต่เขาเองอาจจะมาชนเรา เมื่อสองอาทิตย์ก่อนอาตมามาสอนหนังสือที่วัดไร่ขิง พอเลี้ยวเข้าถนนปิ่นเกล้า - พุทธมณฑล รถติดเป็นชั่วโมงเลย เพราะว่ารถฝั่งตรงข้ามกระโจนข้ามมาชนเสาไฟ ล้มขวางถนนทั้งต้น กว่าเขาจะมายกออก รถติดกันจนลืมโลกไปเลย แปลว่าต่อให้เราขับรถด้วยความปลอดภัย คนอื่นก็ไม่แน่ว่าจะปลอดภัยกับเราด้วย
อาตมามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ พอขึ้นรถเมื่อไรก็รีบภาวนาไว้ก่อน เผื่อเหนียวเอาไว้ ถ้าชนตูมเดียวเงียบไปเลยจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาตั้งท่านาน ช่วงนี้ตอนบิณฑบาตฝนตกทุกวัน พอเดินถึงหัวสะพานก็ต้อง "นิพพานัง สุขัง" ไว้ก่อน เพราะไฟฟ้าตรงนั้นรั่ว พระวัดท่าขนุนเดินผ่านตรงนั้นโดนทุกรูป แจ้งการไฟฟ้าไปแล้ว เขาหาไม่เจอว่าตรงไหนที่รั่ว เพราะเขามาตอนที่ฝนไม่ตก ตอนฝนตกเขาไม่มาดู พอพระเดินผ่านตรงนั้นก็เด้งดึ๋งกันทุกรูป อาตมาก็จะแปลกใจว่าพระทำอะไร ไม่ได้ทำอะไรหรอก โดนไฟดูดจนกระเด้งเอง ถ้าโยมถามว่าอาตมากลัวไหม ? อาตมาไม่กลัวหรอก แต่พระที่เดินตามมากลัวแน่ ๆ เผอิญว่าเขากลัวเจ้าอาวาสมากกว่า ก็เลยต้องกัดฟันเดินตาม..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:44 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#118
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พ่อแม่ก็แก่เฒ่า จำจากเจ้าไม่อยู่นาน จะพบจะพ้องพาน เพียงเสี้ยววารของคืนวัน ฉะนั้น..ถ้าใครที่พ่อแม่ยังอยู่ พยายามทดแทนท่านด้วยนะจ๊ะ ต่อให้ไม่มีอะไรพาท่านไปเที่ยวก็ยังดี หาอะไรที่ท่านชอบให้กินบ้าง พาไปวัดวาอารามที่สวยงามบ้าง เพื่อที่จะได้ติดตาติดใจท่าน เวลาปุบปัปท่านเป็นอะไร ใจท่านเกาะความดีอยู่จะได้ไปดี
เราเห็นคนแก่แล้วรู้สึกสลดใจอย่างเดียวไม่พอ ต้องมองให้เห็นด้วยว่าเราก็จะเป็นเช่นนั้น ในเมื่อเราก็จะเป็นเช่นนั้น เวลาจะทำอะไรก็ลำบากกว่าปกติหลายเท่า ก็แปลว่าความทุกข์ที่มีอยู่นั้นเท่าเดิม แต่เมื่อทำอะไรยากขึ้นก็เท่ากับว่าทุกข์มากขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ในสังสารวัฏที่หาต้นหาปลายไม่ได้นั้น คนเราเกิดมานับชาติประมาณไม่ได้ ท่านให้ตัดเอาต้นไม้ใบหญ้าทั้งชมพูทวีปมา เสร็จแล้วมามัดเป็นฟ่อนเล็ก ๆ สมมติว่านี่คือพ่อ นี่คือพ่อของพ่อ นี่คือพ่อของพ่อของพ่อ ไล่ไปเรื่อย ท่านบอกไม่มีที่สุด จนกระทั่งไม้หมดทั้งชมพูทวีปแล้ว ก็ยังไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้ว่าเราเกิดสืบเนื่องกันมานานเท่าไร มีพ่อแม่ของพ่อแม่ของพ่อแม่ซ้อนกันมาเท่าไร บางคนก็เกิดมาเป็นลูก บางคนก็เกิดมาเป็นพ่อแม่ บางคนก็เกิดมาเป็นพี่น้อง เป็นญาติเป็นโยม สับเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อย หาความแน่นอนไม่ได้ มีแน่นอนอยู่อย่างเดียว คือเกิดมาแล้วทุกข์แน่ ๆ เพราะพระองค์ท่านเห็นว่าทุกข์ จึงได้ขวนขวายหาทางหลีกหนี แล้วในที่สุดก็ค้นพบหลักธรรมที่ช่วยให้พ้นทุกข์ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:35 |
สมาชิก 180 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#119
|
||||
|
||||
"พระองค์เอาชีวิตเข้าแลก จนกระทั่งได้หลักธรรมนี้มาสั่งสอนพวกเรา ทรงทรมานพระวรกายด้วยวิธีการต่าง ๆ ถ้าเป็นคนอื่นก็ตายไปหลายรอบแล้ว พระองค์ท่านต่อสู้ฟันฝ่าด้วยกำลังพระทัยที่แน่วแน่ ว่าจะค้นหาโมกขธรรมคือธรรมอันเป็นเครื่องพ้นจากกองทุกข์ เมื่อพบแล้วก็ไม่ใช่จะเอาแต่พระองค์ท่านรอดเท่านั้น ยังตั้งพระทัยว่าจะขนถ่ายสัตว์โลกข้ามวัฏสงสารด้วย
วัฏสงสาร หรือ สังสารวัฏ คำว่า วัฏฏะ แปลว่า การหมุนวน การหมุนวน ก็คือ ความหมายของคำว่าไม่มีที่สิ้นสุด มองต้นมองปลายไม่เห็น ขีดวงกลมขึ้นมาแล้วจะไปหาต้นหาปลายที่ไหนเล่า ? เพราะหมุนไปเรื่อย พวกเราเองก็เวียนตายเวียนเกิดไปเรื่อย ๓๑ ภพภูมิเกิดมาจนครบแล้วกระมัง ? อาตมาขาดไป ๑ ภพภูมิ คือยังไม่เคยลงโลกันตนรก นอกนั้นไปเยี่ยมมาหมดแล้ว บางที่ติดใจก็ไปหลายรอบ ลงหลายหนหน่อย สังสารวัฏแบ่งเป็นภพภูมิเบื้องต่ำ เรียกว่าเหฏฐิมสงสาร ภพภูมิเบื้องกลางเรียกว่ามัชฌิมสงสาร ภพภูมิเบื้องสูงเรียกว่าปุริมสงสาร ภพภูมิเบื้องต่ำท่านบอกว่ามีสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ๔ ภพภูมิ ภพภูมิเบื้องกลางมีมนุษย์ ๑ เทวดา ๖ ก็แปลว่าเป็น ๑๑ แล้ว ภพภูมิเบื้องสูงมี รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔ รวมเป็น ๓๑ พอดี ๓๑ ภพภูมินี้มนุษย์และสัตว์เวียนว่ายตายเกิด สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันจนกระทั่งหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ใน ๓๑ ภพภูมินี้ ถ้าเกิดใน ๒๑ ภพภูมิแรกก็เกิดตายไม่รู้จบ ถ้าเป็นสุทธาวาสภูมิ ๕ ชั้น ที่เป็นอนาคามีพรหมหรืออรหัตมรรค ท่านรอการหลุดพ้นอย่างเดียว แต่ว่านานมาก ถ้าหากว่านับชาติที่เกิดเป็นคนหรือเกิดเป็นสัตว์ก็นับไม่ได้ เอากระดูกมากองรวมกันก็คงท่วมจักรวาลแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แค่น้ำตาที่ร้องไห้ด้วยความเสียใจแต่ละชาติ รวมแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้ง ๔ อีก มิน่า..น้ำในมหาสมุทรถึงได้เค็มนัก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 18-03-2020 เมื่อ 21:40 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#120
|
||||
|
||||
"สังสารวัฏเกิดขึ้น ท่านบอกว่าเกิดจากกิเลสวัฏ คือ การหมุนเวียนของกิเลส เมื่อกิเลสราคะ โลภะ โทสะ โมหะชักนำ ก็จะเกิดกรรมวัฏ คือการหมุนวนของกรรม คือการกระทำขึ้นมา รักชอบเกลียดชังก็ทำไปตามอารมณ์ของตน แล้วก็จะเกิดวิปากวัฏ คือการหมุนเวียนของผลกรรมขึ้นมา ส่งผลให้เราไปเกิดในภพภูมิต่าง ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะฉะนั้น..กิเลส กรรม วิบาก พากันหมุนไล่กันเป็นกงล้อ ต้องบอกว่าเป็นกงล้อมหาประลัย พาเราเวียนตายเวียนเกิดไม่รู้จบ พระพุทธเจ้าท่านสามารถหักกงล้อแห่งสังสารวัฏพังทลาย พาพระองค์ท่านหลุดพ้นไปสู่พระนิพพานได้ คนอื่นไม่สามารถที่จะพาตนเองหลุดพ้นไปได้ โดยเฉพาะในเรื่องของสิ่งที่ดี..เรามักไปยินดี แล้วก็หยิบฉวยกอบโกยเข้ามา กลายเป็นเครื่องถ่วงตัวเอง ส่วนในเรื่องที่ไม่ดี...เราพยายามผลักไสดิ้นรนหลีกหนีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น..เรื่องที่ดีจึงอันตรายกว่ามาก เรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ สุข จึงเป็นตัวถ่วงเราให้ติดอยู่ในโลกนี้ได้ง่ายที่สุด ส่วนเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เราพยายามที่จะผลักไสอยู่แล้ว แต่ว่าสภาพจิตที่ไปผลักไสดิ้นรนด้วยความไม่ยินดี ไม่พอใจนี่แหละ ยังความเศร้าหมองให้เกิด เราจึงเสร็จทั้งขึ้นทั้งล่อง ทำอย่างไรถึงจะผ่ากลางไปได้ ก็ต้องพยายามหาช่องทาง ใช้หลักธรรมของพระพุทธเจ้านำตนให้หลุดพ้นไป"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-08-2012 เมื่อ 10:38 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|