|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#101
|
||||
|
||||
ถาม : สัตว์เลี้ยงที่เราเลี้ยง เราสามารถนำวัตถุมงคลให้เขาป้องกันตัวได้ไหมครับ ?
ตอบ : หลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน ท่านทำตะกรุดคล้องคอให้หมา ที่วัดท่าซุงหมาก็คล้องเชือกแดงเพียบเลย ถาม : เราต้องอาราธนาให้เขาใช่ไหมคะ ? ตอบ : อาราธนาขอให้คุ้มครองเขาแล้วก็คล้องไปเลย แต่ถ้าของหลวงพ่อแย้ม วัดตะเคียน ท้ายสุดหมาก็สูญตะกรุดหมด คนแย่งหมาเลย จนกระทั่งเขาเรียกตะกรุดหลวงพ่อแย้มว่า ตะกรุดคอหมา หมาท่านเคยไปโดนเขาตีเขาฟันมาจนเป็นแผลเหวอะหวะ ท่านขี้เกียจรักษาก็เลยทำตะกรุดคล้องคอให้ จากนั้นพอไปโดนเท่าไรก็ไม่มีบาดแผล คนก็เลยจับหมามาแย่งตะกรุด เชื่อเถอะ...ถ้าเป็นหมาของวัดท่าขนุน คล้องตะกรุดมหาสะท้อนให้ ตะกรุดหายทุกตัวแหละ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2015 เมื่อ 19:10 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#102
|
||||
|
||||
ถาม : ปัจจุบันนี้ไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วในโลกมนุษย์ เทวโลก พรหมโลก ทั้งหมดต้องกราบพระสงฆ์ ถูกต้องไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูก่อน ถ้าเป็นสมมติสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ หรือว่าเป็นพระอริยสงฆ์ เทวดาพรหมท่านให้ความเคารพเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้าสักแต่ว่าห่มเหลืองไป ท่านไม่เหยียบเอาก็บุญแล้ว..! ถาม : ถ้าเป็นพรหมเทวดาที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านยังกราบพระสมมติสงฆ์ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบท่านก็กราบเป็นปกติ บางทีก็มาตั้งใจทดสอบทั้ง ๆ ที่เราเป็นปุถุชนธรรมดา แต่ท่านมาในกายของพระอนาคามีเต็มระดับ สว่างโร่มาแต่ไกลเลย มาถึงก็กราบงาม ๓ ทีก้นโด่ง บอกว่า “ชื่นใจเหลือเกิน ได้กราบพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอย่างพระคุณเจ้า ช่างเป็นบุญของโยมเหลือเกิน” แล้วท่านก็ไป ปล่อยให้เราฟุ้งซ่านไปเป็นเดือน เวลาท่านทดสอบนี่ท่านทดสอบเจ็บจริง ๆ ถาม : แล้วจะเอาอะไรเป็นเครื่องยืนยันครับ ? ตอบ : ถ้าเชื่อว่าดีก็โง่ต่อไป เราเองทำได้แค่ไหนเราต้องรู้สิ ไม่ใช่ว่าคนอื่นบอกแล้วไปเชื่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2015 เมื่อ 19:12 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#103
|
||||
|
||||
ถาม : ท่านที่ปรารถนาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าพระภิกษุสงฆ์เป็นพระอริยเจ้าชั้นต้น ท่านจะกราบพระภิกษุสงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นสมมุติสงฆ์ที่ศีลบริสุทธิ์ท่านก็กราบ บุคคลกว่าจะปฏิบัติไปจนเป็นว่าที่พระพุทธเจ้า ความละเอียดอ่อนของจิตใจของท่านมีมหาศาล ท่านจะเห็นคุณความดีในทุกสิ่ง โดยเฉพาะบุคคลที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ดังนั้น..ท่านจึงกราบเป็นปกติ ถ้าหากว่าเป็นภิกษุทั่วไปแต่ได้ทิพจักขุญาณ สามารถรู้เห็นได้ หลายท่านก็จะขออนุญาตกราบคืน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-03-2015 เมื่อ 20:13 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#104
|
||||
|
||||
ถาม : นึกถึงบาปเก่าที่เราทำ เวลาที่เรานึกใจหมองลงมา เราต้องระวังอย่างไรใจจะได้ไม่เศร้าหมอง ?
ตอบ : ระมัดระวังไว้อย่าไปนึกถึง อย่าให้จิตติดอยู่ตรงนั้นแล้วเกิดความเศร้าหมองขึ้น ผิดก็แค่ยอมรับผิด หันไปเกาะความดีในอนุสติ ๑๐ แทน ถาม : พยายามไม่ให้ใจเศร้าหมอง ว่าเราไม่ได้ทำตรงนั้น ก็รู้สึกกระด้าง ๆ ? ตอบ : มัวแต่ห่วงความรู้สึก เดี๋ยวก็ได้ไปนรก..! ไม่ต้องคิดถึงได้เลยเป็นดี เพราะถ้าคิดถึงเมื่อไร เราอาจจะเผลอให้ใจเศร้าหมองได้ ฉะนั้น..ถึงเวลาให้ลืมเสีย วางอุเบกขาไปเลย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำความดีใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 01:38 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#105
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ญาติโยมที่ไปช่วยวางผางประทีปงานมาฆบูชา คงเห็นผลงานที่ลงในเว็บแล้วว่างามแค่ไหน โดยเฉพาะพระนามาภิไธยย่อ สธ. ๖๐ พรรษา สวยสมใจนึก อาตมาอุตส่าห์เอาแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดไปวาง แล้วจัดเรียงผางประทีปให้ตรง เรียงด้วยมือแล้วไม่ค่อยตรง
ฝีมือวาดของท่านปัญญาเป็นหลัก แล้วก็มีท่านเบสท์กับน้องแนนช่วยกันแต่งเติม อาตมาเป็นคนออกแบบ ในลานธรรมนี่ส่วนใหญ่ฝีมือน้องเล็ก ฝู กับน้องแนน ตรงไหนไม่ไหวก็นิมนต์ท่านปัญญาไปช่วยวาดให้ เราเลยได้ช้างมาอีก ๑ ตัว เห็นช้างกำลังชูงวงถวายกระบอกน้ำ แต่ถ้าดูไกล ๆ จะเหมือนลิงถวายรวงผึ้ง..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 01:41 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#106
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "สบงตัวนี้เดี๋ยวค่อยเอาออกประมูล แม่ชีที่วัดเขาประกาศไว้แล้ว ถ้าประมูลเมื่อไรเขาสู้เลยสองแสนบาท เพราะแม่ชีเป็นคนเย็บเองมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว หวังว่าคงไม่มีใครปาดหน้าสองแสนกับเก้าบาทนะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 01:42 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#107
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "อาตมามีนิสัยเสียอยู่อย่างหนึ่ง คือ หยิบของแล้วไม่ค่อยหนัก ก็เลยคิดว่าคนอื่นเป็นเหมือนกัน บางที่ส่งให้คนรับทรุดทั้งยืนเลย
สมัยยังไปธุดงค์อาตมาไม่ค่อยสบาย ส่วนมากก็มาลาเรียกำเริบ พระอื่นท่านบอกว่า “อาจารย์ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวพวกผมกางกลด ปูผ้าให้” อาตมาจึงลงไปตักน้ำแทน เห็นไม้ท่อนหนึ่ง เออ..ท่อนใหญ่ดี ถ้าเอามาสุมไฟก็ลุกได้ทั้งคืน จึงแบกกลับมา อีกมือหนึ่งก็ถือบาตรใส่น้ำเต็มมาด้วย พอมาถึงที่พัก พระท่านเห็นก็กรูกันเข้ามาช่วย บอกท่านว่า "คุณเอาบาตรไปก็พอ" เขาก็ว่า "เอาท่อนไม้ดีกว่าครับ" "พวกคุณไหวแน่นะ ?" "ไหวครับ" มหาเคแบกข้างหน้า ท่านกอล์ฟแบกข้างหลัง พออาตมาปล่อยมือนี่หัวทิ่มใส่กันเลย ท่อนไม้ท่อนใหญ่ประมาณบาตร แล้วก็ยาวราว ๓ เมตรกว่า ด้วยความที่อาตมาค่อนข้างจะแข็งแรงก็เลยไม่ค่อยรู้สึกหนัก ตอนแรกคิดว่าคนอื่นเขาจะเป็นแบบอาตมา กว่าจะรู้ท่านก็แทบจะโดนทับตายไปแล้ว..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 01:46 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#108
|
||||
|
||||
พระอาจารย์สอบถามตัวเล็กว่า "ในกระทู้บูชาวัตถุมงคล ใครได้พระพุทธรูปองค์นั้นไป ? แกะสลักจากหินพระธาตุเขาสามร้อยยอด อาตมาคิดราคาเท่ากับเมื่อ ๖ ปีก่อน ไม่ได้เพิ่มแม้แต่บาทเดียว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 01:47 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#109
|
||||
|
||||
ถาม : จะแก้ความเครียดได้อย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวความเครียดจะไม่มี ถ้าหากว่ามีความเครียดแปลว่าอารมณ์ใจของเรายังไม่ทรงตัว ใช้วิธีแก้แบบชาวบ้าน ๆ คือออกกำลัง ไปทำอะไรให้เหงื่อโทรม ถูบ้านสัก ๓ ชั้นก็ได้ เดี๋ยวก็หายเครียดไปเอง จะลองถูบ้านหลังนี้ไหม ? กว่าจะเสร็จก็เหงื่อโชกทั้งตัว ถ้าหาสถานที่ออกกำลังยาก ก็ยืมเครื่องปั่นจักรยานของใครก็ได้มานั่งปั่น ปั่นไปก็ภาวนาไป ได้กำไรสองทาง ทางแรกคือออกกำลังให้หายเครียด ทางที่สองคือภาวนาเอากำไร แต่ต้องทำให้สม่ำเสมอนะ ไม่ใช่เอาไว้ตากผ้า เครื่องออกกำลังแต่ละบ้านนี่น่าสงสารจริง ๆ เลย ส่วนใหญ่มักจะเอาไว้ตากผ้า..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 12:01 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#110
|
||||
|
||||
ถาม : ...(ไม่ได้ยิน)...?
ตอบ : อันดับแรก ไปหาหมอก่อน หมอบอกอย่างไรให้รักษาอย่างนั้น อันดับที่สอง ถ้าสิ้นสุดความสามารถของหมอแล้ว คราวนี้ก็อยู่ที่เราว่าจะหาคุณประโยชน์จากความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นได้ขนาดไหน ประการแรก ความเจ็บป่วยเป็นทุกข์ของสภาพร่างกาย เป็นสิ่งที่ไม่ใช่จะเกิดขึ้นกับทุกคนได้ง่าย ๆ กว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้เห็นทุกข์อย่างแท้จริง ใช้เวลาในการสร้างสมบารมีต่ำสุดก็ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป เพราะฉะนั้น..ความเจ็บไข้ได้ป่วยที่ปรากฏเป็นทุกข์เฉพาะหน้าของเรา จึงเป็นสิ่งที่ทรงคุณค่าจนประมาณไม่ได้ เราเห็นว่าร่างกายมีความเจ็บป่วยเป็นปกติอย่างนี้ ยังอยากได้ใคร่มีอยู่อีกหรือเปล่า ? ลองถามตัวเองดู ถ้าปัญญาถึงเราอาจจะก้าวล่วงจากกองทุกข์ไปได้เลย ประการที่สอง ถ้ารู้สึกว่าความทุกข์ทรมานเป็นสิ่งที่เราต้องทนแล้วทนเล่า ก็พยายามจับตัวอานาปานสติ คือ ลมหายใจเข้าออกของเราจนทรงตัวเป็นปกติ ถ้าหากลมหายใจเข้าออกทรงตัว สภาพจิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน เราจะไม่รับรู้ถึงอาการป่วยของร่างกาย เท่ากับว่าระงับเวทนาต่าง ๆ ลงได้ชั่วคราว แต่วิธีที่สองนี้เหมือนอย่างกับเราไปกดเอาไว้ แต่วิธีแรกก็คือถ้าหากเรารู้แจ้งเห็นจริงก็จะก้าวพ้นไปได้เลย หลังจากนั้นเราก็จะรู้ว่าความทุกข์เป็นปกติธรรมดาของร่างกาย สภาพจิตใจยอมรับ ไม่ไปดิ้นรนกระวนกระวายอีก ป่วยก็เหมือนกับไม่ป่วย ไปเลือกเอาว่าจะเอาวิธีไหน อาตมาทำให้ดูแล้ว โยมไปเลียนแบบเอาก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-03-2015 เมื่อ 12:03 |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#111
|
||||
|
||||
เก็บตกเดือนมีนาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ และคะน้าอ่อน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|