|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ทำบุญให้แม่ที่เป็นโรคพาร์กินสัน)
ตอบ : ต้องบอกแม่ด้วย บอกให้แม่ได้โมทนา ทำแล้วแจ้งด้วย ไม่ใช่ทำเฉย ๆ ถาม : เอาไปให้เขาโมทนาก่อนถวาย ? ตอบ : ถ้าอย่างนั้นได้แน่ ถาม : ถ้าของนั้นเป็นของเขา ? ตอบ : ถ้าเป็นของแม่ได้จะดีมาก ถ้าเป็นของเราต้องให้แม่โมทนาด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 04:14 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีประเด็นร้อนในโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ค ที่อาจารย์สาวท่านหนึ่ง ได้ทุนของมหาวิทยาลัยมหิดล ไปเรียนต่อปริญญาเอกทางทันตแพทยศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วหนีทุน ทำให้เพื่อน ๆ ที่ลงชื่อค้ำประกัน ๓ คนต้องช่วยกันควักกระเป๋าใช้ทุนไปสิบกว่าล้านบาท
ขอให้จำเอาไว้ว่า อะไรที่โบราณกล่าวขึ้นมา เป็นภูมิปัญญาที่ตกผลึกสังเคราะห์แล้ว นำไปใช้งานจริงได้ ไม่ต้องเสียเวลาคิดมาก ท่านบอกว่า “อยากเป็นขี้ข้าให้เป็นนายประกัน” นั่นเพื่อนเซ็นค้ำประกันให้ ดันทิ้งไปเฉยเลย เพราะว่าพอไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาแล้วได้งานดี ได้แต่งงานกับชาวต่างประเทศ ได้สัญชาติอเมริกัน เงินเดือนหลายแสนบาท ระดับหมอฟันปริญญาเอก เงินเดือนทางด้านโน้นอย่างน้อยก็ไม่หนีห้าแสนถึงหกแสนบาท ก็เลยไม่ยอมกลับมาใช้ทุน ปกติแล้วเขามีสัญญาชัดเจนว่า ถ้าหากว่าไม่กลับมาทำงานใช้ทุน ก็ต้องใช้หนี้ ๓ เท่าของทุน ในเมื่อเจ้าตัวไม่มา เขาก็ต้องไปกวดเอากับคนที่เซ็นค้ำประกันให้ เพื่อนทั้ง ๓ รายก็หน้ามืดสนิท มีใครเป็นแฟนของกิดเดนส์บ้าง ? ที่เป็นนักเขียนของไต้หวัน กิดเดนส์เขาเขียนหนังสือเล่มล่าสุด น่าจะเป็นเรื่อง Killer มือสังหาร อันเกิดจากนักกีฬาทศกรีฑาดาวรุ่งคนหนึ่ง ไปเซ็นค้ำประกันให้กับโค้ช โค้ชไปกู้เงินนอกระบบ พอเซ็นค้ำประกันให้เสร็จ โค้ชหนี ตัวเองเลยโดนตามทวงหนี้ เช้า กลางวัน เย็น กลางคืน ท้ายสุดก็โดนจับไปซ้อม บังคับให้ขายอวัยวะเพื่อปลดหนี้ นั่นก็ลักษณะเดียวกัน ไว้ใจอาจารย์ตัวเอง เพราะว่าเป็นโค้ชคอยดูแลเรื่องการฝึกมาตลอด ก็เลยไปเซ็นค้ำประกันให้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 11-02-2016 เมื่อ 14:10 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
"โบราณเขาว่าไว้อีกอย่างว่า “อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง” อันนั้นก็ไว้ใจเพื่อน ภาษิตจีนก็บอกไว้ชัดว่า “จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระวังคนไม่ควรละเลย” รู้สึกว่าโลกนี้หาความสุขไม่ได้เลย...ใช่ไหม ? ต้องคอยหวาดระแวงคนอื่นอยู่เสมอ ท้ายสุดก็ย้อนกลับมาในเรื่องการเกิดมาแล้วทุกข์ ไม่อยากจะทุกข์ก็ต้องหาทางไม่เกิด หนทางที่จะไม่เกิดก็มีอยู่ทางเดียวคือ ทางไปพระนิพพาน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 04:13 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อกลางเดือนไปงานฉลองวิสุงคามสีมาวัดธรรมยานของหลวงพ่อวิรัช เจอพี่ ๆ น้อง ๆ อุ่นหนาฝาคั่งดี นาน ๆ เจอกันทีก็คุยโขมง สรุปว่าอาตมาเป็นคนประหลาด คือพยายามหนีไปให้ไกลบ้านที่สุด แต่ท่านอื่น ๆ มักจะไปให้ใกล้บ้านเข้าไว้ หลวงพ่อวิรัชท่านควักเงินมรดกที่ทางครอบครัวให้ ไปซื้อที่สร้างวัดเอง
สมัยก่อนที่อยู่วัดท่าซุง คนที่พวกเราอิจฉาที่สุดสองคนก็คือหลวงน้าอมรกับหลวงพ่อวิรัชนี่แหละ เพราะว่าพระคุณท่านทั้งสองเป็นอเมริกันซิติเซ่น พอครบเดือนก็มาเซ็นรับเบี้ยยังชีพของคนตกงานที่สถานทูตอเมริกา คนละ ๕๐๐ ดอลลาร์ โห..! ๕๐๐ ดอลลาร์เยอะนะ คิดเป็นเงินไทยก็ ๒๐,๐๐๐ กว่าบาท ท่านจะทำบุญอะไรท่านก็ทำได้สบายใจ ส่วนพวกเราก็รับเงินจากหลวงพ่อวัดท่าซุงเดือนละ ๕๐ บาท..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 18:42 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ปัจจุบันขึ้นหรือยัง ? (พระถาม)
ตอบ : ไม่รู้เหมือนกัน ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่ก็เดือนละ ๕๐ บาท ของผมมาขึ้นเป็น ๒๖๐ บาท ตอนที่เป็นฐานานุกรมของหลวงพ่อ ฐานานุกรมถ้าไม่ใช่พระครูปลัดชั้นธรรมขึ้นไป ปกติจะไม่มีนิตยภัต แต่หลวงพ่อท่านเห็นว่าพวกเราเหนื่อยมากก็เลยตั้งเงินเดือนให้ ตอนนั้นหลวงพ่อเป็นเจ้าคุณพระสุธรรมยานเถระ รับนิตยภัตเดือนละ ๔๔๐ บาท ส่วนอาตมาเป็นฐานานุกรม รับเดือนหนึ่งตั้ง ๒๖๐ บาท ท่านให้เยอะ เกินครึ่งของท่านอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 18:43 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเราจะสะเดาะเคราะห์ ใช้ผ้าขาวกี่เมตรคะ ?
ตอบ : เอาแค่คลุมตัวได้ มีอยู่คนหนึ่งเอามาทั้งไม้เลย ไม้หนึ่ง ๕๐ เมตร ผ้าสะเดาะเคราะห์เล่นยกมาทั้งไม้เลย งานนั้นก็เลยสนุกสนานเฮฮา เข้าไปได้ทั้งบ้าน ผ้าขาวก็ซื้อผ้าลินินธรรมดา จะเอาผ้าดิบก็ได้ บางท่านเล่นผ้าแพรมาเลย แพงไปเปล่า ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 18:55 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เคยเจอคนไม่โกรธแบบแกล้ง ๆ กับคนโกรธแบบแกล้ง ๆ บ้างไหม ? ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสถึงหญิงแม่เรือนคนหนึ่ง ชื่อนางเวเทหิกา ใคร ๆ ก็ร่ำลือว่าเป็นหญิงแม่บ้านแม่เรือนที่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่เคยแสดงความโกรธออกมาให้เห็น มีสาวใช้ชื่อว่านางกาฬี แปลว่าดำ ชื่อว่าน้องดำ น้องดำทำงานดีมากเลย การบ้านการเรือนทุกอย่างเรียบร้อย ไม่มีอะไรต้องเป็นที่ขัดใจนาย
คราวนี้คำร่ำลือว่านายเป็นคนใจเย็น เป็นคนไม่โกรธ นางกาฬีก็คิดว่า เป็นเพราะเราทำงานบ้านเรียบร้อย ไม่มีอะไรให้นายตำหนิได้ นายก็เลยไม่โกรธ หรือว่านายไม่โกรธจริง ๆ ? รุ่งขึ้นก็เลยแกล้งนอนตื่นสาย นางเวเทหิกาไม่เจอสาวใช้ก็ตะโกนเรียก “นางกาฬี...อยู่ที่ไหน ?” นางก็แกล้งทำเป็นเพิ่งตื่น “ทำไมวันนี้แกตื่นสายนัก ?” นางกาฬีก็ตอบว่า “ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันเจ้าค่ะ” นายก็ซักว่า “ไม่ทราบแล้วตื่นสายได้อย่างไร ?” นางกาฬีก็รีบไปทำงานบ้านงานเรือนให้เรียบร้อย ทำไปก็คิดว่านายเราไม่โกรธจริง หรือว่าไม่โกรธเพราะเราทำงานบ้านเรียบร้อย ? รุ่งขึ้นก็แกล้งตื่นสายอีก แทนที่จะตื่น ๖ โมงเช้าก็ปาเข้าไป ๗ โมงเลย นางเวเทหิกาก็ตวาดเสียงเขียวปัดละคราวนี้ ถามนางกาฬีว่า “แกเป็นอะไรไป ? เจ็บไข้ได้ป่วยหรือเปล่าถึงได้ตื่นสายขนาดนี้ ?” นางกาฬีก็ตอบว่า “ไม่ได้เป็นไรเจ้าค่ะ” “ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปทำงานบ้านให้เรียบร้อย” นางกาฬีก็ไปทำงานบ้านพร้อมกับคิดว่า เอ๊ะ...นายเราที่ไม่แสดงความโกรธมากกว่านี้ เพราะว่าไม่โกรธหรือว่าเป็นเพราะเราทำงานบ้านเรียบร้อย ?"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-02-2016 เมื่อ 14:12 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
"รุ่งเช้าอีกวันนางก็แกล้งตื่นสายโด่งเลย คราวนี้สัก ๙ โมง ๑๐ โมงโน่น คราวนี้นางเวเทหิกาตวาดลั่นบ้านเลย ถามว่า “เป็นอะไร..? ทำไมถึงตื่นสายขนาดนี้ ?” “ไม่ได้เป็นอะไรเจ้าค่ะ” “ไม่ได้เป็นอะไรแล้วตื่นสายได้อย่างไร ?” ว่าแล้วก็คว้าลิ่มประตูฟาดกบาลเปรี้ยงเข้าให้..!
รุ่นพวกเราเคยเห็นลิ่มประตูไหม ? เรือนไทยเวลาเขาปิดจะมี ๒ อย่าง มีดาลกับลิ่ม ถ้าดาลจะเป็นไม้ขัด ใช้กั้นประตูไว้ สองข้างก็จะมีตัวกั้น ขัดไว้ให้ประตูเปิดไม่ได้ อีกประเภทหนึ่งเป็นลิ่ม เสียบกั้นไว้ตรงกลางเพื่อไม่ให้ประตูสองบานเปิดออก ประเภทหลังนี่หยิบง่ายสิ ด้านหนึ่งเป็นปลายเล็ก ๆ ด้วย เพราะว่าเป็นลิ่มใช้สอดลงไปในร่อง นางเวเทหิกาฟาดนางกาฬีหัวแตกเลือดอาบเลย นางกาฬีก็เลยเดินไปให้ชาวบ้านเขาดู ถามว่า "นี่ใครบอกว่านายหญิงเป็นคนเรียบร้อย เป็นคนไม่โกรธ เป็นคนเสงี่ยมเจียมตัว ? ดิฉันแกล้งนอนตื่นสายหน่อยเดียว โดนฟาดหัวแตกเลย" ตั้งแต่นั้นชาวบ้านก็โพนทะนากันว่า นางเวเทหิกาเป็นหญิงแม่บ้านที่ดุร้าย หยาบคาย ทำร้ายคนใช้จนหัวแตก นั่นต้องเรียกว่าเป็นคนแกล้งไม่โกรธ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-02-2016 เมื่อ 14:10 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
"ส่วนประเภทแกล้งโกรธนี่ อาตมาเจอมาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง เพราะบางครั้งถ้าไม่แกล้งโกรธแล้ว คนเขาทำงานการไม่เรียบร้อย งานวัดจะเสียหาย
อาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ตอนนั้นท่านเป็นบรรณาธิการหนังสือมหาจักรกับคนพ้นโลก ท่านได้ทิพจักขุญาณ ไปเจอหลวงพ่อวัดท่าซุงครั้งแรก อาจารย์ปถัมภ์เอาไปเขียนเชียร์จนเลิศลอยเลย “ไม่เคยเจอพระที่ไหนบารมีขนาดนี้ รัศมีของท่านสว่างไป ๓ โลกเลย สภาพจิตสว่างใสเช่นนี้ต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น” อาจารย์ปถัมภ์แกฟันธงเลย ครั้งต่อไปเจอหลวงพ่อกำลังด่าคนงาน อาจารย์ปถัมภ์ก็ตั้งใจดูจิต ปรากฏว่าคราวนี้มืดสนิท อาจารย์ปถัมภ์กลับไปเขียนลงหนังสือว่า “สงสัยว่าหลวงพ่อจะไม่ใช่พระอรหันต์ น่าจะเป็นพระโสดาบันเท่านั้น เพราะว่ายังด่าคนอยู่ ยังโกรธอยู่” เสียมวยไปเลย นึกแล้วก็ขำดี ฉะนั้น...ไปเจอคนแกล้งโกรธก็ไปคิดว่าโกรธจริง กับไปเจอคนแกล้งไม่โกรธก็ไปคิดว่าหมดความโกรธแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 18:53 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
"พระพุทธเจ้าทรงเปรียบว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงบเสงี่ยมเรียบร้อย มีอาจาระคือความประพฤติอยู่ในร่องในรอย ไม่ได้หมายความว่าท่านเองจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อาจจะเป็นเพราะว่าสมบูรณ์ไปด้วยปัจจัย ๔ คือจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัช ไม่เกิดแรงกระทบ ก็เลยไม่ได้แสดงออก แต่ถ้าผู้ใดก็ตาม อยู่ในสถานที่ที่ขาดแคลนด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ คิลานเภสัชแล้ว สามารถรักษาความสงบเสงี่ยมเรียบร้อยเอาไว้ได้ ภิกษุนั้นจึงน่าสรรเสริญ
เพราะฉะนั้น...อย่าไปไล่ตื้บกันหน้าร้านขายรองเท้า ทุเรศมาก ๆ เลย รองเท้าคู่เดียวจะเหยียบกันตาย ทุกวันนี้อาตมาก็ใส่แต่อีแตะ ใครซื้อรองเท้าหนังมาไม่ใส่หรอก รองเท้าหนังเหมาะสำหรับลูกวัด เจ้าอาวาสต้องใส่ที่ลุยน้ำได้ ขึ้นบกได้ รองเท้าหนังเคยใส่ออกธุดงค์ ไปได้หน่อยเดียวพังบรรลัยหมด เพราะลุยน้ำแล้วหลุดหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-02-2016 เมื่อ 18:54 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีคนเป็นมะเร็งแล้วหมอบอกว่าจะอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายเขาก็มีชีวิตอยู่ต่อ ตรงนี้เป็นเพราะกรรมหรือบุญคะ ?
ตอบ : มีทั้งบุญรักษาและมีทั้งกรรมรักษา บุญรักษาก็ได้อยู่สร้างบุญสร้างกุศลต่อไป กรรมรักษาก็ทนทรมานต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2016 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานใครดูคุณปู่มีชัยแถลงเรื่องร่างรัฐธรรมนูญบ้างไหม ? ประเภทถ้าไม่ยอมรับร่างนี้จะร่างใหม่ให้โหดกว่านี้ เป็นอาตมาจะไปเดือดร้อนอะไร ? ก็ร่างไปสิ ร่างมาก็คว่ำอีก เขาไปตั้งธงเอาไว้ ต้องโน่น...ระดับพระโสดาบันขึ้นไปถึงจะมาบริหารประเทศได้ตามรัฐธรรมนูญของเขา แล้วพระโสดาบันท่านก็ไม่มายุ่งกับเรื่องอย่างนี้หรอก
ดูจากรัฐธรรมนูญปี ๒๕๕๐ ก็น่าจะรู้ว่าการที่เราไม่มีความไว้วางใจในเพื่อนมนุษย์ ทำให้ร่างธรรมนูญมาแล้วติดตรงโน้น ขัดตรงนี้ ทำให้ไม่สามารถจะบริหารงานได้ มีการฟ้องศาลปกครองไม่พอ มีการฟ้องศาลรัฐธรรมนูญอีก ยุ่งบรรลัยไปหมด กำหนดบทลงโทษให้ชัด ๆ ไปสิว่า ถ้าทำผิดแล้วจะลงโทษอย่างไร แล้วก็เชือดไก่ให้ลิงดูสักหน่อย ก็หมดเรื่องหมดราวไปแล้ว ส่วนใหญ่รัฐธรรมนูญดีทั้งนั้นแหละ แต่อยู่ที่คนใช้ ในเมื่อคนใช้เขาไม่เห็นแก่ศีลแก่ธรรม ไม่เห็นแก่หน้าค่าชื่อ มีโอกาสกูจะโกง เพราะค่านิยมก็คือคนรวยคือคนดี...ก็บรรลัย เรื่องง่าย ๆ ไม่ใช่ว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญท่านไม่รู้ เพียงแต่ว่าเขามีการตั้งธงมาว่าต้องเป็นอย่างนี้ แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนยอมรับกันไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2016 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "บ้านเรามีหลวงพ่อบุญหลายรูปด้วยกัน หลวงพ่อบุญองค์แรก ๆ เลย...รู้จักไหมว่าเป็นใคร ? องค์แรก ๆ เลยคือ หลวงพ่อบุญแห่งสุนาปรันตปะ ...(หัวเราะ)... ชื่อบาลีท่านชื่อปุณณะ ชื่อไทยก็คือบุญ
หลวงพ่อบุญเป็นชาวทวารวดีหรือที่สมัยโน้นเขาเรียก สุนาปรันตปะ ไปบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วขอมาจำพรรษาที่บ้านตัวเอง บ้านท่านช่วงนั้นก็อยู่ระหว่างราชบุรีกับเพชรบุรี พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อน...ปุณณะ ชาวสุนาปรันตปะดุร้ายมาก ถ้าเขาด่าว่าเธอด้วยถ้อยคำหยาบคาย เธอจะว่าอย่างไร ?” หลวงพ่อบุญกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าคิดว่า เขาด่าว่าก็ดีแล้ว ดีกว่าเขาตีเราด้วยมือพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าหากเขาทั้งหลายเหล่านี้ตีเธอด้วยมือ ?” "ถ้าอย่างนั้นก็ดีกว่าขว้างด้วยก้อนหินก้อนดินพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วถ้าเขาขว้างด้วยก้อนหินก้อนดิน ?” "ก็ดีกว่าตีด้วยท่อนไม้พระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วถ้าหากว่าเขาตีด้วยท่อนไม้ ?” "ก็ดีกว่าเขาฟันแทงด้วยศาสตราวุธพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ถ้าเขาฟันแทงด้วยศาสตราวุธ ?” "ก็ดีกว่าเขาฆ่าเราพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า “แล้วถ้าเกิดเขาฆ่าเธอจริง ๆ เล่า ?” ท่านบอกว่า “ข้าพระพุทธเจ้าอึดอัดระอาในร่างกายนี้มาก ถ้าหากเขาเอาศาสตรามาฆ่าฟันจริง ๆ โดยที่ไม่ต้องแสวงเองก็ถือว่าเป็นความดีของเขาพระเจ้าข้า” พระพุทธเจ้าทรงโมทนาสาธุ ตรัสว่า “ปุณณะ...ถ้าเธอคิดอย่างนั้น ก็สามารถไปจำพรรษาที่สุนาปรันตปะได้” พระปุณณะไปจำพรรษาที่นั่น สามารถยังความเลื่อมใสให้ชาวสุนาปรันตปะ ตามออกบวชมา ๕๐๐ รูป แล้วพรรษานั้นท่านก็บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชาสาม ฉะนั้น...หลวงพ่อบุญองค์แรกที่ดังที่สุดก็คือหลวงพ่อปุณณะ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2016 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
"หลวงพ่อบุญถัดมาที่ดังจริง ๆ เลยก็คือ หลวงพ่อบุญ วัดกลางบางแก้ว จังหวัดนครปฐมบ้านเกิดของอาตมาเอง อาตมาไม่ทันท่านหรอก มาทันรุ่นหลวงปู่เพิ่ม จำได้ว่าตอนเรียน ป.๕-ป.๖ มีใบบอกสร้างพระของหลวงปู่เพิ่มไปที่โรงเรียน ให้ทำบุญองค์ละ ๒๐ บาท ตอนนั้นรู้สึกว่าแพงมากเลย เพราะก๋วยเตี๋ยวยังชามละบาทเดียวเอง แต่ว่าจริง ๆ แล้วอยากได้เบี้ยแก้ของท่าน มากกว่าที่จะอยากได้พระ
ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าพระดีอย่างไร ด้วยความที่วิสัยเด็กชอบเครื่องรางของขลัง ก็ไปสนใจเบี้ยแก้ หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว เป็นสหธรรมิกของสมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสสเทวมหาเถระ) วัดสุทัศน์เทพวราราม ต้องบอกว่าเป็นรุ่นครูบาอาจารย์ สมเด็จพระสังฆราชวัดสุทัศน์ฯ ให้ความเคารพหลวงปู่มากเป็นพิเศษ หลวงพ่อบุญถัดมาก็เจ้าคุณพระธรรมปาหังสนาจารย์ วัดประยุรวงศาวาส อดีตเสือเก่ามาบวช มีความรู้ความสามารถติดตัวมาชนิดรักษาตัวได้เลย พอมาบวชเป็นพระจึงดังเลย แล้วท่านก็กลายเป็นนักเทศน์ชื่อดังด้วย สอนเทศน์ให้กับหลวงพ่อวัดท่าซุง ปัจจุบันก็มีหลวงปู่บุญ วัดทุ่งเหียง ท่านเป็นเจ้าคุณแล้ว...ใช่ไหม ? ครั้งสุดท้ายที่พุทธาภิเษกร่วมกันท่านก็ออดแอด ๆ สุขภาพไม่ค่อยจะดีแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2016 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงพ่อจำเนียร วัดต้นเลียบ จังหวัดสงขลา เวลาคนไปเมาในวัด ท่านถึงขนาดคว้าดาบคว้าขวานไล่ฟันเขาเลย คนก็ไปด่าไปว่าท่าน ที่ไหนได้...พอท่านมรณภาพแล้วสังขารไม่เน่ามาจนทุกวันนี้
คนไปทำชั่วในวัด ท่านไม่อยากให้เขาทำ ท่านก็ต้องดุอย่างนั้น คนเราจะมองกันแค่ภายนอกไม่ได้ อย่างเมื่อครู่เพิ่งจะพูดให้โยมเขาฟัง เรื่องประเภทคนแกล้งโกรธ เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้น ลูกศิษย์ก็ไม่ยอมเอาดีสักที อย่างตาหลวงจำเนียรมีใครเข้าวัดทำบุญที่ไหน เพราะพอเข้าไปก็ไปเมากัน ไปเล่นการพนันกัน ท่านก็คว้าดาบคว้าขวานไล่ฟันกระจายออกจากวัด คือให้เขาด่าท่าน ดีกว่าปล่อยให้เขาไปทำชั่วในวัด ถ้าสังเกตดูว่าพระเหล่านี้ อาการป่วยทำอะไรท่านไม่ได้เลย ท่านไม่กระวนกระวาย ไม่อะไรกับใครทั้งนั้น เพราะท่านไม่เห็นความดีของร่างกายแล้ว อยากเป็นก็เป็นไป รักษาหายก็หาย ไม่หายก็ช่าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-02-2016 เมื่อ 17:54 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า “มีใครอ่านข่าวที่เขาไปแย่งกันซื้อรองเท้าจะเหยียบกันตายบ้างไหม ? ราคาไม่ใช่ถูก ๆ นะ ไปนึกถึงตอนอาตมาเรียนปริญญาโทอยู่ มีนักศึกษาปี ๓ ของมหาวิทยาลัยเว้ ของเวียดนาม ๒๒ คนมาดูงาน นักศึกษาที่มาเป็นสาว ๆ ทั้งหมดเลย ปี ๓ อย่างเก่งก็อายุ ๒๐-๒๑ ปี แต่ไม่มีใครแต่งหน้าแม้แต่คนเดียว เขาตั้งหน้าตั้งตาเรียนกันจริง ๆ ส่วนหนึ่งก็มาในชุดอ๋าวหย่ายซึ่งเป็นชุดประจำชาติของเขา ส่วนหนึ่งก็แต่งตัวตามวัยรุ่นปกติ นุ่งยีนส์บ้าง เสื้อยืดบ้าง แต่ไม่มีแบบเว่อร์วังอลังการแบบพวกเรา ต้องบอกว่าเด็กบ้านเราค่อนข้างจะไร้สาระ
เรื่องของการพัฒนาประเทศ ถ้าเด็ก ๆ ของเรายังเป็นแบบนี้ รับรองว่าบ้านเรารั้งท้ายอาเซียนแน่นอน ตามใครไม่ทัน ที่ตามเขาไม่ทันเป็นเพราะว่าบ้านเราเลี้ยงลูกผิด คือมักจะโอ๋ลูกจนเกินเหตุ เลี้ยงแบบไข่ในหิน เด็กลำบากไม่เป็น แล้วเขาต้องการอะไรก็ขวนขวายมาประเคนให้ลูก เพราะพ่อแม่ไม่มีเวลาให้ลูก ก็เลยทุ่มเทด้วยการให้เงินให้ทองแทน เด็ก ๆ จึงเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ คราวหน้าลองเปลี่ยนให้รู้จักขัดใจเด็กบ้าง เขามีคลิปวีดิโอมาให้ดู ลูกขอซื้อไอโฟนแต่พ่อไม่ให้ ลูกลงไปนอนดิ้นกลางสี่แยก เด็กโตจนเป็นสาวแล้วลงไปดิ้นกลางสี่แยก ถ้าเป็นอาตมาก็อาจจะขับรถทับซ้ำไปเลย...! แต่ที่โลกโซเชียลเขาด่าคือพ่อใจไม่แข็งพอ ไปซื้อให้ เดี๋ยวคราวหน้าเขาก็ดิ้นใหม่อีก ฉะนั้น...รองเท้าคู่หนึ่งราคาหกพันเจ็ดพันบาท ถ้าสมมติว่าพ่อแม่มีค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท เดือนหนึ่ง ๙,๐๐๐ บาท ซื้อรองเท้า ๖,๙๙๐ บาท แล้วจะเหลืออะไรกิน ? เด็กบ้านเราฟุ้งเฟ้อ ไหลตามกระแสไม่ลืมหูลืมตา ไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นสาระแก่นสารในชีวิต เรื่องของการเรียนการศึกษา ที่ต้องถือว่าเป็นพื้นฐานที่ตนเอง จะต้องเอาไปทำมาหากินตลอดชีวิต กลับไม่ได้ตั้งใจเรียน ไปตั้งหน้าตั้งตาเขี่ยไลน์ คบเพื่อนสนทนาไร้สาระ กินอาหารร้านแพง ๆ เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปลงเฟซบุ๊กอวดกัน บางคนกินอาหารมื้อหนึ่งบ้านคนจนกินได้ปีหนึ่งเลยก็มี”
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-02-2016 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
(สนทนากับพระที่เรียนบาลี) "คุณต้องทุ่มเททั้งปี ไม่ใช่มาเร่งเอาตอนท้ายไม่กี่วัน ไม่กี่วันเราเร่งไม่ขึ้นหรอก อย่างไรอย่าให้เสียท่ารุ่นน้องนะ พระที่ไปเรียนที่นครปฐมนี่กะเหมาสอบผ่านทั้งชุดเลย โดยเฉพาะท่านไบรท์ พระอาจารย์ชมแล้วชมอีก ไบรท์สมชื่อเลย
ต้องท่องจนแตกฉานจริง ๆ ชนิดว่าเอาศัพท์ไหนมาต้องแยกได้หมด ผมเองท่องตอนแรก ๆ ก็ไม่เข้าใจ ท่อง ๆ ไปอยู่ ๆ ก็แตกโป๊ะขึ้นมา เหมือนจะเข้าใจเอง แล้วรู้เลยว่าทั้งหมดต้องทำอย่างนี้ ชุดนี้ต้องทำอย่างนี้ ๆ แสดงว่าเรื่องของการอ่านหนังสือ จะอ่านรอบเดียวไม่ได้ ต้องซ้ำแล้วซ้ำอีก ย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำจนเข้าใจจริง ๆ คนไปเรียนนี่เครียดหัวหงอกเลย ขนาดท่องหนีอาจารย์แล้วหนีอาจารย์อีก ก็หนีไม่พ้นสักที ผมถึงเคยแนะนำไว้ว่าให้ท่องหนีอาจารย์ไว้เยอะ ๆ เลย ถ้าปล่อยให้อาจารย์ไล่ทันนี่นรกแตกแน่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 13-02-2016 เมื่อ 07:42 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ร่างกายก็เป็นแต่ธาตุสี่ เวลาแยกจากจิตแล้ว ทำไมต้องพัก ?
ตอบ : ต้อง...เมื่อเกิดความล้าก็แสดงให้เราเห็นว่าจะต้องพักแล้ว คราวนี้สภาพความอดทนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน บางคนพักผ่อนน้อยก็อยู่ได้ บางคนก็ต้องมากหน่อย ถาม : จริง ๆ เกิดอะไรขึ้นกับ.... ตอบ : ความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ อย่างที่เราเล่นกีฬาแล้วกรดแลคติกออกมาเยอะ ลักษณะการใช้แล้วสูญเสียก็เลยต้องมีการทดแทน พูดง่าย ๆ ก็คือว่าขณะที่ร่างกายทรุดโทรมลง ก็มีการซ่อมเสริมตัวเอง ช่วงพักก็คือเวลาซ่อม ถาม : ถ้าเราทิ้งร่างกายที่แยกออกจากจิตไว้ได้ ร่างกายจะซ่อมเองไหมคะ ? ตอบ : ซ่อม...อย่างไรเขาก็ทำหน้าที่ของเขา เพราะว่าเรามีกล้ามเนื้อที่นอกเหนือการควบคุม อย่างเช่นการเต้นของหัวใจ เราบังคับเขาไม่ได้หรอก เขาทำของเขาเอง ถาม : จริง ๆ แล้ว ร่างกายก็พังของมันอยู่ ก็ซ่อมของมันอยู่ ตามสภาพการปรับสมดุลของธาตุสี่ เราแยกจิตทิ้งมันไปได้นานแค่ไหนคะจึงจะเน่า ? ตอบ : อยู่ที่ว่ากำลังสมาธิพอที่จะรักษาได้ไหม ? ถ้าสมาธิรักษาได้ จะไปกี่ปีก็ไปเถอะ ถาม : แสดงว่าร่างกายกับจิต มีอะไรผูกกันอยู่ ? ตอบ : ยังผูกกันอยู่ ร่างกายจะมีปราณละเอียดหล่อเลี้ยงอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-02-2016 เมื่อ 20:32 |
สมาชิก 160 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พวกผักผลไม้ต่าง ๆ จะรู้ได้อย่างไรว่ามีฤทธิ์ร้อน ฤทธิ์เย็น หรือเป็นกลางครับ ?
ตอบ : ก็ศึกษาหน่อยสิครับ พวกฟักแฟงแตงน้ำเต้านี่ฤทธิ์เย็นทั้งหมดแหละ ถาม : อย่างลำไยสดก็ร้อน ถ้าตากแห้งก็เย็น ? ตอบ : ศึกษาเอาสิวะ ตำราก็มี สมัยนี้น่าจะโหลดได้แล้ว ถาม : ขออย่างคร่าว ๆ ครับ ? ตอบ : ประเภทอวบน้ำส่วนใหญ่จะเย็น ต่อให้เป็นผักก็เถอะ อย่างเช่นผักกาดขาวเย็นแน่นอนเพราะอวบน้ำ ผักบุ้ง ผักกาดขาว ถาม : แล้วพวกพืชมีหัวที่อยู่ในดินละครับ ? ตอบ : พืชมีหัวถ้าไม่ใช่ธาตุกลางก็ธาตุร้อนไปเลย เพราะว่าพืชมีหัวอย่างขิง ข่า กระชายจะร้อน แต่ถ้าหากว่าพืชดินมีหัวอย่างพวกเผือก มัน จะเป็นธาตุกลาง ถาม : มะม่วง ? ตอบ : กลาง ถาม : แล้วรสมีผลไหมครับว่าหวานมากหวานน้อย ? ตอบ : หวานมากก็ร้อน ถาม : องุ่นเย็นไหมครับ ? ตอบ : ฤทธิ์ร้อน ถาม : องุ่นอมน้ำนี่ครับ ? ตอบ : จำคำว่าส่วนใหญ่ได้ไหม ? องุ่นลองกินไปสักพวงใหญ่ ๆ จะร้อนในขี้ตาแห้งไปเลย ค่อย ๆ จำเอาทีละอย่าง โดนแล้วก็เข็ดจนจำไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-02-2016 เมื่อ 19:17 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ป่วยอีกแล้ว ไปดูงานกลับมาก็ป่วย ?
ตอบ : จะไม่ให้ป่วยเลยก็ต้องเลิกเกิด แก่แล้วจะไม่ให้ป่วยบ้างก็เกินไป..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-02-2016 เมื่อ 00:36 |
สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) | |
|
|