|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ตอนทำสมาธิใจภาวนาไม่สงบเลยค่ะ ทีนี้ถ้าเราถนัดท่องพุทโธ ?
ตอบ : ถนัดแบบไหนให้ทำแบบนั้น เพราะสภาพจิตเราเคยชินแล้วจะยอมรับได้ง่ายขึ้น พออารมณ์ใจเริ่มทรงตัวแล้วเราค่อยเปลี่ยนไปภาวนาอย่างอื่น เช่น ถ้าเราภาวนาพุทโธจนชิน กำลังใจเราทรงตัวแล้วค่อยไปว่าอิติปิโส ๑๐๘ จบ เสร็จแล้วค่อยไปว่าคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบ พอว่าอย่างนั้นจบเราก็ย้อนเข้าหาพุทโธตามเดิม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเราภาวนาแล้วควรทำอย่างไรต่อ ?
ตอบ : ทำเฉย ๆ รู้ว่าตอนนี้คำภาวนาหายไปลมหายใจหายไป สภาพจิตของเราตอนนั้นคิดอย่างไร เป็นอย่างไร เรามีหน้าที่รู้อย่างเดียว อย่าไปอยากให้หายใจใหม่หรืออย่าไปอยากให้ภาวนาใหม่ ขณะเดียวกันก็อย่าอยากให้เป็นอย่างนั้น มีหน้าที่รับรู้ไว้เฉย ๆ แล้วสภาพจิตจะเป็นไปตามสภาพของเขาเอง ก็คือเข้าสู่สมาธิระดับลึกยิ่งขึ้น แต่ถ้าเราไปไขว่คว้าหาคำภาวนาหรือหาลมหายใจ เท่ากับเราถอยหลังกลับ ขณะเดียวกันถ้าเราอยากผลักดันให้ไปข้างหน้า อยากให้ไปดีกว่านี้ก็จะกลายเป็นฟุ้งซ่านไป ฉะนั้น..รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่าตอนนี้เป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เรามีหน้าที่ดูและรับรู้เท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 16:32 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาที่มีคนมาขอส่วนบุญ เราไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับเราหรือเปล่า ?
ตอบ : ต้องเคยมีส่วนเนื่องกันมา หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่า "เสวยสุขอยู่ก็ดี เสวยทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี" เขาจะได้มีโอกาสโมทนา ถาม : ถ้าไม่ใช่ญาติ กลัวว่าเขาจะไม่ได้ ? ตอบ : บุคคลทื่รองรับความดีเราได้ ก็คือบุคคลที่อยู่ในภูมิระดับต่ำกว่าเรา ประเภทสูงกว่าหรือเท่ากับเรา เราให้ท่าน ท่านยินดีด้วย แต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ถาม : ถ้าเราอุทิศส่วนกุศลให้ครูบาอาจารย์ ? ตอบ : ให้ไปท่านรับอยู่แล้ว แบบเดียวกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปรียบเทียบว่า เหมือนกับการไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่แล้วซื้อข้าวของมาฝาก พ่อแม่ก็ไม่ได้ยินดีกับข้าวของนั้นอะไรหรอก เพราะท่านมีเหลือเฟือแล้ว แต่ท่านดีใจที่ลูกยังคิดถึงท่าน เราเอาข้าวของมาฝาก ผู้ใหญ่จะรักเอ็นดูเรา ถึงเวลาเรามีอะไรไม่เกินวิสัย ท่านก็จะสงเคราะห์ให้ การระลึกถึงครูบาอาจารย์เป็นกตัญญูกติเวทิตา ขณะเดียวกันการระลึกถึงพระรัตนตรัยก็เป็นการปฏิบัติบูชา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 16:33 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : คุยกับเพื่อนทางธรรมด้วยกัน เขาจะชอบบอกว่าช่างสงสัย ครูบาอาจารย์ก็จะบอกว่าวิจิกิจฉาเยอะ ?
ตอบ : ถ้าเข้ามาปฏิบัติ ตัววิจิกิจฉาน้อยแล้ว วิจิกิจฉาจริง ๆ คือความลังเลสงสัยในคุณพระรัตนตรัย การที่สงสัยหาคำตอบไม่ได้แล้วถามคนอื่นถือเป็นเรื่องปกติ แต่วิจิกิจฉาคือสงสัยลังเลในความดีแล้วก็ไม่ปฏิบัติเสียที เพราะฉะนั้น..ไปตีความคำว่าวิจิกิจฉาเสียใหม่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 16:34 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาเราสวดมนต์ต้องอาราธนาศีลห้าหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าเรารู้ว่าศีลคืออะไรแล้ว เราตั้งใจรักษาก็ไม่ต้องเสียเวลาอาราธนา การอาราธนาศีลจริง ๆ ก็คือการขอให้พระท่านบอกว่าศีลมีอะไรบ้าง ในเมื่อเรารู้ว่าศีลมีอะไรบ้าง ก็ไม่ต้องอาราธนา ให้ตั้งใจทำไปเลย ถาม : กลัวว่าถ้าไม่อาราธนาศีลแล้วศีลจะไม่ครบ ? ตอบ : ศีลอยู่ที่การงดเว้น ถ้าไม่งดเว้นแต่ไม่ผิดศีลก็ยังไม่มีอานิสงส์เลย เพราะเจตนาไม่มี ดังนั้น..เรารู้อยู่แล้วว่าศีลมีอะไรบ้าง ไม่ละเมิดศีลทั้งหลายเหล่านั้นก็แปลว่าเรามีศีลครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 16:34 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเราสอนลูกให้รักษาศีลห้า ?
ตอบ : เล่นกับเขาสนุก ๆ เช่น ถ้าลูกตั้งใจท่องปาณาติปาตา เวรมณีฯ ได้ก็ชมว่าเก่งจังเลย ลองดูซิเก่งกว่าน้องดีแลนด์ได้ไหม ต่อไปท่อง อทินนาทานา เวรมณีฯ บอกเขาไปว่าถ้าเขาท่องแล้วเขาจะเก่งกว่าเพื่อนในห้อง เพราะเพื่อนในห้องยังท่องไม่ได้เลย เดี๋ยวลูกก็ตั้งใจทำเอง หลังจากนั้นเราก็ค่อยอธิบายความหมายทีละนิดทีละหน่อย ว่าแต่ละข้อหมายถึงอะไร ต้องทำอย่างไร ถ้าลูกทำผิดก็อย่าไปดุเขา บอกว่า ถ้าลูกยังเป็นลูกที่แม่รักอยู่ ต่อไปอย่าทำอย่างนี้นะ เพราะจะเกิดโทษแก่ตัวเองอย่างนี้ ๆ แล้วถ้าลูกจะต้องตกไปอยู่ในที่ไม่ดี แม่ก็อยู่ด้วยไม่ได้ แล้วลูกจะอยู่กับใคร เห็นไหม..เรื่องหลอกเด็กง่ายจะตายไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 16:36 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าอุทิศส่วนกุศลให้เขาบ่อย ๆ เขาจะมาหาบ่อยขึ้นหรือเปล่า ?
ตอบ : จะว่าอย่างนั้นก็ได้ เพราะไม่ว่าคนหรือสัตว์ พอตายไปแล้วจึงจะฉลาด ตอนนั้นก็เริ่มรู้ว่าอะไรคือความดี อะไรคือความชั่ว ที่ไหนที่มีคนทำบุญทำกุศล ตรงจุดนั้นจะสว่าง เขาจะเห็นได้ชัดเลย เขาก็จะไปเสาะหาดูว่า เขามีส่วนร่วมในบุญกุศลนั้นหรือเปล่า ฉะนั้น..จะเรียกว่าทำให้เขามาเยอะขึ้นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่ท่านทั้งหลายที่ได้รับความดีส่วนนี้ พอสบายขึ้นแล้วมักจะกตัญญู รู้ว่าได้ดีเพราะเรา ถึงเวลาพอขอให้ท่านสงเคราะห์อะไรก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เราก็ให้ไปเฉย ๆ ไม่ได้คิดจะขออะไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-05-2013 เมื่อ 16:37 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ลูกเขามองไม่เห็นผี จะบอกเขาอย่างไร ?
ตอบ : บอกว่าเป็นเรื่องปกติ ผีมีอยู่ทั่วไป สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่มีอะไรน่ากลัว เราเป็นคนรวยเขาเป็นคนจน เขามาเพื่อขอแบ่งปันความดีจากเรา คนรวยไม่ควรจะกลัวคนจนที่มาขอ หน้าที่ของเราก็คือแบ่งปันให้เขา ถึงเวลามีอะไรที่ไม่เกินวิสัยก็ขอให้เขาช่วยสงเคราะห์ อาตมาไปธุดงค์ ป่าบางแห่งพวกนี้มีอยู่เต็มมาก พออุทิศส่วนกุศลให้เขามาเต็มไปหมด ถึงเวลาก็ขอให้เขาช่วยดูแลรักษาให้ ปรากฏว่าเขายืนซ้อนกันเป็นชั้น ๆ ยาวเป็นกิโลเมตรเลย ถ้าเป็นคนก็เป็นกองทัพเลย ถ้าคนทั่วไปมาเห็นได้คงช็อกตาย ดีอยู่อย่างคือ ถ้าเขารับปากเราก็ปลอดภัยแน่นอน อาตมาเป็นคนตื่นไม่เป็นเวลา บางทีก็ห้าทุ่ม-เที่ยงคืน หรือตีหนึ่งตีสอง ตื่นขึ้นมาก็เดินไปด้วย ภาวนาไปด้วย แปลกตรงที่ว่าถึงมืดแค่ไหนก็จะมองเห็นทางไปเรื่อย จะไปทางไหนก็มีทางให้ไป พอไม่มั่นใจลังเลเมื่อไร เขาจะมายืนกวักมือ แล้วเราก็ไปตามนั้นแหละ แปลกที่เสือสางช้างม้างูเงี้ยวเขี้ยวขอก็ไม่มี เดินไปได้เรื่อย ๆ บางแห่งไม่เคยไปเลย ตั้งใจกำหนดนึกถึงเขา ก็เห็นเขามายืนโบกมือให้ไปทางนั้นทางนี้ พอเดินเข้าไปใกล้ ตรงนั้นอาจจะกลายเป็นก้อนหินหรือตอไม้ แต่อาตมาทำไมเห็นเป็นคนยืนอยู่ก็ไม่รู้ ? ถาม : แล้วถ้าคนไม่เห็นเขาจะดลใจให้ไปทางนั้นได้ไหม ? ตอบ : ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2013 เมื่อ 02:34 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การที่เราไม่เห็นเขา แสดงว่า...?
ตอบ : กำลังใจของเราไม่ตรงร่อง ก็เลยไม่เห็นเขา การเห็นผู้อื่นได้เกิดจากสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือเราปรับกำลังใจไปตรงกับเขา อย่างที่สองคือเขาปรับมาตรงกับเรา การที่เราปรับตรงกับเขา ด้วยความที่เราไม่เคยชินก็จะยาก นาน ๆ จะตรงสักครั้งหนึ่ง ต้องผ่านการฝึกปรือมาสักระยะหนึ่งจนคล่องตัวแล้ว จึงปรับให้ตรงกับเขาได้ ส่วนที่ไหนที่เขากำลังสูงหน่อย เขาสามารถปรับมาตรงกับเราได้ ถ้าเขามาปรับมาจะชัดกว่า ถ้าเราปรับไปไม่ค่อยชัดหรอก ดังนั้น..การไม่เห็นก็เป็นเรื่องปกติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2013 เมื่อ 02:35 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "เมื่อ ๔-๕ วันที่ผ่านมา มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งหนีไปอยู่วัด เขาไม่เคยไปมาก่อน หาข้อมูลจากอินเตอร์เน็ตแล้วนั่งรถไป กว่าจะไปถึงวัดก็ ๘ ชั่วโมง ไปขออยู่วัดเลย
อาตมาบอกว่าไม่ได้ ต้องให้พ่อแม่อนุญาตก่อน เขาก็โทรศัพท์กลับบ้าน อาตมาก็ทำวัตรเย็นไป พอทำวัตรเสร็จเขาบอกว่า "ป๊าอนุญาตให้อยู่วัดแล้ว" ถามว่าอนุญาตอย่างไร "ป๊าบอกว่าจะไปตายโหงตายห่าที่ไหนก็ไป..!" วันรุ่งขึ้นพ่อ อา และพี่สาวมา อาตมาบอกเขาว่าไม่เห็นด้วยแต่แรกแล้ว เพราะออกมาในลักษณะนี้ทำให้คนอื่นเขาไม่เข้าใจ มองศาสนาในแง่ร้ายไปเลย ส่วนเด็กเขายืนยันว่า เขาอยากจะเร่งทำความดีไว้ ถ้าตายเสียก่อนเขาก็ยังไม่ได้ทำ แต่พ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ พูดกันคนละภาษาก็เลยไม่รู้เรื่องกันสักที ต้องให้น้องเล็กไปคุยด้วย บอกเขาว่าทำแบบนี้โลกช้ำธรรมเสีย เขาก็ยืนยันว่า ไม่อยากเสียอารมณ์ใจอย่างนี้ไปอีก ก็คือพอทำมาถึงระดับนี้ อยู่ ๆ กำลังใจหล่นลงไปก็เสียดายมาก แล้วเมื่อไรจะตั้งกำลังใจได้ระดับนี้อีก เขาก็เลยทิ้งเรื่องการเรียนไป เขาเรียนเอแบคแล้วขอไปอยู่วัดแทน น้องเล็กบอกว่า เรื่องกำลังใจตกยังต้องเจออีกนับครั้งไม่ถ้วน ไม่ใช่ว่ากำลังใจดีแล้วมาขออยู่วัด ดีไม่ดีจะตกตอนอยู่วัดนี่แหละ เพราะสถานที่ดีไม่ได้หมายความว่าคนที่อยู่ในวัดจะดีด้วย คนเมื่อไรก็เป็นคน การกระทบกระทั่งกันย่อมมีอยู่ ท้ายสุดพ่อก็รับปากว่าสงกรานต์จะพามาทำบุญที่วัด เขาพยายามจะให้พ่อเข้าวัดทำบุญด้วย พ่อเขาก็บอกว่าต้องทำมาหากิน จะให้เอาแต่ทำบุญย่อมเป็นไปไม่ได้ นั่งเถียงกันอยู่ตรงนั้นแหละ ท้ายสุดอาตมาตั้งใจจะทำพาวเวอร์พอยต์สำหรับประชุมกรรมการวัด ก็เลยไม่ต้องทำ ให้พ่อแม่ลูกเถียงกันจนหมดวัน ท้ายสุดเขาก็ต้องยอมกลับบ้าน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2013 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
พ่อเขาก็มาถาม "หลวงพ่อมีอะไรให้ผมต้องทำบุญไหม ?" เพราะลูกเขาบอกว่าพ่อไม่ทำบุญเลย "หลวงพ่อกำลังสร้างศาลา ต้องการเงินทำบุญเท่าไรจึงพอ ?" อาตมาบอกว่า "เอาไว้รู้จักกันมากกว่านี้ก่อน ถ้าคุณไม่เปลี่ยนใจแล้วค่อยมาทำ" เขามากระซิบบอกว่า ส่วนใหญ่ไปที่อื่นแล้ว เขามักจะเรียกร้องให้ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ทำเท่านั้นทำเท่านี้ เพิ่งจะมาเจอที่นี่แหละ ขอทำบุญแล้วยังไล่กลับอีก
อาตมาบอกเขาว่า "ให้ดูไปนาน ๆ ยังมีเวลาอีกมาก ถ้าเห็นว่าถูกใจแล้วค่อยมาทำบุญทีหลัง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-05-2013 เมื่อ 02:40 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เราสวดมนต์ทุกวันกับนั่งสมาธิอย่างไหนจะดีกว่าคะ ?
ตอบ : ถ้าสวดมนต์เป็นก็คือนั่งสมาธินั่นแหละ แต่เป็นสมาธิขณะที่เราทำอย่างอื่นด้วย ส่วนการนั่งสมาธิถ้าไม่ใช่คล่องตัวจริง ๆ ยังสู้สวดมนต์แล้วทรงสมาธิไม่ได้ เพราะว่าการที่เราทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้วทรงสมาธิได้ กับการที่เรานั่งสมาธิเฉย ๆ ความสำเร็จและความสามารถเป็นคนละระดับกัน นั่งเฉย ๆ ได้สมาธิ ถ้าขยับอาจจะหลุดไปเลย แต่ถ้าเราทำอย่างอื่นแล้วทรงสมาธิได้ สมาธิก็จะอยู่กับเราได้นาน ฉะนั้น..ถ้าเราสวดมนต์ยาว ๆ จนทรงสมาธิทรงตัวได้ ต่อไปก็ทำอย่างอื่นไปด้วยได้ ถาม : เวลาสวดแล้วจิตสงบมั่นคงดีค่ะ ตอบ : การสวดมนต์ถ้าเราทำเป็นถึงพระนิพพานได้ อันดับแรกก็คือสมาธิขั้นต้นต้องได้แน่นอน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวเราจะสวดผิด อันดับที่สองถ้าตั้งใจที่จะทรงฌาน ใช้คำสวดทั้งหมดเป็นคำภาวนา เท่ากับว่าเราภาวนาโดยใช้คาถาทั้งบท แต่เป็นคำภาวนาที่ยาวหน่อย จนกระทั่งสมาธิสามารถทรงตัวได้ตามที่ต้องการ อันดับต่อไปถ้าจะทำทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงคำสวดมาเป็นคำ ๆ ถ้าเห็นตัวหนังสือได้ชัดเท่าไร เราก็จะเห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ท้ายสุดถ้ายกจิตขึ้นพระนิพพานได้ ให้ยกจิตขึ้นไปสวดถวายพระพุทธเจ้าข้างบนเลย ตายตอนนั้นก็อยู่บนพระนิพพานเลย เพราะฉะนั้น..อย่าไปคิดว่าแค่สวดมนต์ สำคัญว่าเราทำได้แค่ไหน ถ้าเราทำเป็น ประยุกต์ใช้เป็น แค่สวดมนต์ไปพระนิพพานได้สบาย ถาม : สวดมนต์บทใดก็ได้ ? ตอบ : อะไรก็ได้ ยิ่งสวดเยอะยิ่งดี อย่างน้อยขณะที่เราสวดอยู่ เราก็ทำความชั่วไม่ได้ ทำความชั่วทางกายไม่ได้ เพราะนั่งอยู่ตรงนั้นต่อหน้าพระ ทำความชั่วทางวาจาไม่ได้ เพราะปากต้องสวดมนต์ อย่างเก่งก็นึกแช่งคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง เป็นเพียงความชั่วทางใจเล็ก ๆ เท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:23 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวกับพ่อแม่ของเด็กว่า "พาเด็ก ๆ มาวัดได้ มาที่นี่ได้ แต่อย่าให้เขารำคาญ เพราะเดี๋ยวเขาจะไม่มาอีก ฉะนั้น..ถ้าจะชวนเด็กมา ต้องมีวิธีหลอกล่อเขาด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:24 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : อารมณ์ระดับของพระอริยเจ้าเราสามารถรู้ได้ไหมคะ ?
ตอบ : ทำไปเรื่อย ๆ จ้ะ ทำถึงแค่ไหนก็รู้ได้แค่นั้น แต่บางคนเขาเข้าใจผิด อย่างเช่นว่าถึงความเป็นพระโสดาบันละเอียด แต่คิดว่าตนเองเป็นพระอรหันต์ก็มี เพราะไม่เคยชินกับอารมณ์นี้ พอเข้าไปถึงก็ โอ้..ทำไมถึงสุขอย่างนี้ ทำไมเบาสบายอย่างนี้ คิดว่าเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ที่ไหนได้เป็นตั้งพระโสดาบัน..! ถาม : หมายความว่าเราต้องฝึกสมาธิให้เยอะ ? ตอบ : ศีล สมาธิ ปัญญา ต้องครบจ้ะ อย่างเดียวไปไม่รอด มีศีลเป็นพื้นฐาน มีสมาธิช่วยในการยับยั้งและตัดกิเลส มีปัญญารู้เห็นตามสภาพความเป็นจริงแล้วปล่อยวางได้ ต้องมีให้ครบ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:25 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พระอริยเจ้ามีเยอะไหมคะ ?
ตอบ : เยอะจ้ะ..บางทีเดินชนกันตายไปหลายรูป แต่เราก็ยังไม่รู้จัก..! ถาม : เราไม่ทราบว่าท่านไหนเป็น จะได้ทำบุญด้วย ? ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจจ้ะ ทำบุญกับใครก็ได้ ตั้งใจเป็นสังฆทานหรือไม่ถ้าสมาธิดี ๆ ก็ใช้วิธีตั้งใจน้อมจิตน้อมใจกราบท่าน แต่นึกถึงพระรัตนตรัยแทน ถ้าตั้งใจกราบท่านด้วยความเคารพนอบน้อมในพระรัตนตรัยจริง ๆ ต่อให้ท่านตั้งใจปิดอย่างไรก็ตาม จะปิดกระแสเย็นไม่ได้ จะรู้สึกว่าท่านมีความเย็นที่ชวนให้เราชิดใกล้อยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็มั่นใจได้ว่าท่านต้องเป็นพระอริยเจ้าระดับใดระดับหนึ่งแน่ ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:26 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าเราฝันถึงพระอริยเจ้า อย่างนี้หมายความว่าอะไรคะ ?
ตอบ : หมายความว่าฝัน..! จะเอาอะไรมากมาย ถ้าเราสามารถฝันถึงสิ่งที่ดีได้ ก็แปลว่ากำลังใจของเราอยู่ในด้านดีมากกว่า ถ้ากำลังใจของเราอยู่ในด้านไม่ดี จะไม่ฝันถึงสิ่งดี ๆ หรอก นับแล้วก็คือกำลังใจของเราทรงตัวอยู่ในด้านดีระดับที่น่าพอใจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:27 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เมื่อก่อนจะนั่งไปแล้วมีปีติ แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีค่ะ ?
ตอบ : เดี๋ยวนี้แย่ลง ไม่ปีติเลยใช่ไหม ? ..(หัวเราะ).. ส่วนใหญ่คนเราจะเข้าใจผิด อยากจะบอกว่าปีติเป็นแค่เด็กชั้นประถม พอเราทำไป ๆ สภาพจิตเคยชินกับความดีก็จะก้าวข้ามปีติไป ถ้าก้าวข้ามปีติไปแปลว่าเราทรงฌานในความดีนั้นได้ ในเมื่อทรงฌานในความดีนั้นได้ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าความดีนั้นยังมีอยู่ ไม่ได้ถดถอยไปไหน ? ก็ให้ดูว่าเรายังยินดีในการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติหรือเปล่า ? ถ้าเรายังยินดีที่จะให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นปกติ ก็แปลว่ากำลังใจเราก้าวข้ามความดีจากปีติไปเป็นฌานแล้ว เราทำอะไรก็เลยรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีปีติอีก ไม่ได้หมายความว่ากำลังใจลดลง หากแต่ก้าวสูงไปจากเดิม ถ้าอยากจะปีติอีกก็ต้องลดกำลังใจลงมา ซึ่งถ้าไม่คล่องตัว ลดไม่เป็นก็ไม่เจอหรอก ฉะนั้น..คนที่ทำบุญไปนาน ๆ แรก ๆ มีปีติ หลังจากนั้นก็ตายด้าน เฉย ๆ ไป ไม่ใช่กำลังใจแย่นะจ๊ะ กำลังใจดีขึ้น แต่เราไม่รู้ว่ากำลังใจดีขึ้น ก็ไปคิดว่า เอ..เราเลวลงหรือเปล่า ? ทำไมตอนนี้ทำบุญไม่มีความปีติเลย ? นั่นกลายเป็นฌานไปแล้วจ้ะ เป็นฌานก้าวข้ามปีติไปแล้ว แต่พิจารณาง่าย ๆ ว่าเรายังยินดีทำสิ่งนั้นเป็นปกติ ถึงเวลามีบุญมีกุศลที่ไหน เราก็เต็มใจทำ ถึงเวลาเราก็รักษาศีล เจริญภาวนาได้ ก็แปลว่าเราทรงฌานในความดีได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:28 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : บางทีนึกว่าเราเข้ามาทางธรรมช้าไป กว่าที่จะได้เจอครูบาอาจารย์ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียดาย แต่ละคนมีวาระของตัวเอง ถ้ามัวแต่เสียดายอยู่ คิดหรือว่าถ้าเข้ามาก่อนหน้านี้แล้วเราจะอยู่ได้แบบนี้ ? อาจจะประเภททะเลาะกันบ้านแตกไปตั้งนานแล้วก็ได้ ฉะนั้น..จะมาเร็วมาช้า ไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อมาพบความดีแล้ว เราไขว่คว้าเอาไว้ได้หรือเปล่า ? ถาม : กว่าเราจะเจอครูบาอาจารย์ได้ก็ไปหลายที่ ? ตอบ :แรก ๆ เราก็ต้องตะเกียกตะกายไว้ก่อน หิวมากจะเข้าร้านอาหารที่ไหนก็ได้ พอกิน ๆ ไปเริ่มอิ่ม รู้ว่ารสอาหารไม่ถูกใจค่อยเปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็เจอที่ถูกใจไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:29 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : บางทีเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกใจ แต่ท่านก็ละสังขารไปแล้ว ?
ตอบ : เราก็อย่าไปละสังขารตามท่านสิ คนตายความดีไม่ได้ตาย ในเมื่อความดีไม่ได้ตาย เราก็ยึดตามหลักปฏิบัติของท่าน ตั้งหน้าตั้งตาทำตามท่าน อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า โย ธัมมัง ปัสสะติ โสมัง ปัสสะติ ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นจะเห็นเรา เพราะถ้าเราไม่ได้ยึดมั่นและปฏิบัติตามคำสอนของท่าน ก็เท่ากับไม่เห็นท่าน ถ้าเรายึดมั่นแล้วปฏิบัติตามคำสอนของท่านด้วยความเคารพและจริงจัง ก็เท่ากับอยู่กับท่านตลอดเวลา ฉะนั้น...ครูบาอาจารย์จะยุคไหนสมัยไหนก็ไม่เป็นไรหรอก ถ้ายึดถือท่านเป็นครูบาอาจารย์ ระลึกถึงแล้วปฏิบัติตามท่านก็ใช้ได้เหมือนกัน ถาม : แสดงว่าเรามีความเกี่ยวเนื่องกับท่าน ? ตอบ : ต้องเคยมี ถ้าไม่มีก็ไม่ตามกันมา ถาม : เคยเหมือนเห็นหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านมา แต่ก็ไม่แน่ใจว่าท่านมาจริงหรือเปล่า ? ตอบ : สมัยนี้ไม่ต้องรอให้ท่านมา ไปซื้อซีดีมาสักแผ่นแล้วมานั่งดูเสียให้พอ เห็นชัดแจ๋วเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-05-2013 เมื่อ 17:31 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : แสดงว่าจิตเริ่มมีมุทิตาในพรหมวิหารแล้ว สมัยที่อาตมาฝึกเรื่องพวกนี้อยู่ สภาพจิตตอนนั้นเห็นใครเขาได้รับความดี ก็รู้สึกยินดีกับเขาไปหมด ขนาดเดินบิณฑบาต ก้มหน้าก้มตาเดินไปภาวนาไป ได้ยินเสียงรถ เออ..เขาทำบุญไว้ดีจังเลยนะ มีรถขี่ น่ายินดีมากเลย พลอยดีใจกับเขาไปด้วย ใครยังไม่เคยฝึกไปลองฝึกดู ถ้าทำสำเร็จก็เหมือนกับคนบ้าดี ๆ นี่เอง เจอใครก็ยิ้มกับเขาได้หมด ไม่มีใครยิ้มกับพื้นก็ยังเอา อยู่บ้านไม่มีใครจะยิ้มด้วย ก็ยิ้มกับจิ้งจกตุ๊กแกได้หมด ลองทำอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน สวนกระแสเขาก็หาว่าบ้าดี ๆ นี่เอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-05-2013 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|