|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ตามตำราพรหมชาติ หลวงปู่จามท่านเกิดปีจอ เดือน ๗ ท่านบอกว่าเปียกฝนอยู่ตลอดเวลา ที่กินที่นอนก็หายาก ลำบากลำบน เป็นคนทุกข์มาแต่เล็กแต่น้อย โบราณเขาดูแม่นนะ...
หลวงปู่จามท่านมีความจำท่านสุดยอดเลย อายุเป็นร้อยปีแล้ว ให้ท่านเล่าความหลังซักประวัติต้นตระกูลผู้ไทท่านบอกได้หมด ตั้งแต่สมัยพ่อขุนบรมลงมา หลวงปู่จามอายุ ๑๐๓ ปี หลวงปู่จันทร์ศรีเป็นรุ่นน้องท่าน อายุน้อยกว่าปีหนึ่งก็คือ ๑๐๒ ปี หลวงปู่จันทร์ศรีก็เพิ่งเข้าโรงพยาบาล พระระดับนี้เป็นห่วงแต่สังขารท่านเท่านั้น เรื่องของจิตใจไม่ต้องไปห่วงท่านเลย เขาบอกว่าพระปฏิบัติส่วนใหญ่ที่อายุยืน เกิดจากสาเหตุ ๒ - ๓ ประการด้วยกัน ประการแรกคือจิตใจท่านสงบ ในเมื่อจิตใจสงบ สภาพความเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนร่างกายไม่ขึ้นสุดลงสุดเหมือนคนทั่วไป อีกประการหนึ่งก็คือสวดมนต์ไหว้พระอยู่เป็นประจำ ฝรั่งเขาทำวิจัยว่า การสวดมนต์ไหว้พระเท่ากับได้บริหารอวัยวะภายใน อวัยวะภายในบริหารยาก แต่การสวดมนต์ไหว้พระเราต้องเปล่งเสียง ความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นไปบริหารอวัยวะภายในด้วย อวัยวะภายในจึงแข็งแรง ก็เลยทำให้นักปฏิบัติมักจะอายุยืน ที่แน่ ๆ ก็คือร่างกายเสื่อมโทรมช้า พอกำลังใจมั่นคง สภาพร่างกายเสื่อมโทรมช้า ก็เลยทำให้อายุยืนไปเลยปริยาย แต่ต้องหมายถึงว่ากรรมเก่าท่านไม่ได้มากมายด้วยนะ ถ้ากรรมเก่าหนัก ๆ ประเภทออกรบมาทุกชาติอายุยืนไม่ไหวหรอก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 17:08 |
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ลูกสาวเขาถามว่าทำไมคนเราต้องตายครับ ?
ตอบ : ถึงเวลาใช้ร่างกายมากไป ร่างกายอยู่ไม่ไหวก็พัง เคยเห็นของเก่า ๆ ไหมจ๊ะ ? ถึงเวลาก็พัง คนแก่ ๆ ก็พังเหมือนกัน อย่างหลวงตาเดี๋ยวแก่อีกหน่อยก็พังแล้ว ฉะนั้น..เป็นเรื่องปกติลูก ถึงเวลาเราก็เตรียมตัวพัง..เท่านั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2013 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีอาชีพไหนที่ทำแล้วไม่ก่อกรรมบ้างไหมครับ ?
ตอบ : เยอะแยะไป อยู่ที่สภาพจิตของเรา ถ้าสภาพจิตไม่มุ่งเบียดเบียนใครก็จบ ส่วนใหญ่แล้วจะอดไม่ได้นะสิ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-02-2013 เมื่อ 02:30 |
สมาชิก 231 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลานอนภาวนาไปแล้วตัวแข็ง ผมสติแตกทุกที ?
ตอบ : แสดงว่ากลัวดี เมื่อจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกันจะขยับตัวไม่ได้ แค่คลายสมาธิออกมาหน่อยเดียวเท่านั้น ก็จะเป็นปกติเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 02:47 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณท่านเก่ง ท่านกำหนดเรื่องการบวชพระเพื่อให้เราได้บุญได้กุศลมากที่สุด เริ่มจากการแห่นาค สมัยก่อนเขาไม่ได้แห่นาคแค่รอบโบสถ์ เขาแห่รอบหมู่บ้าน แห่รอบตำบลกันเลย เพื่อให้ญาติโยมคนที่เห็นจะได้โมทนาด้วย นั่นคือเจตนาของการแห่นาคที่แท้จริง
ช่วงที่แห่นาครอบโบสถ์ก็นึกถึงพระพุทธ นึกถึงพระธรรม นึกถึงพระสงฆ์ ถึงได้แห่ ๓ รอบ จัดเป็นพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ การวันทาเสมาคือการขอขมาพระรัตนตรัย โทษอะไรที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมด้วย ลักษณะว่าจะเข้าไปบวชแล้ว ก็ให้บริสุทธิ์ที่สุด คราวนี้พอวันทาเสมาเสร็จก็มีการโปรยทาน เป็นการทำทานและเป็นทานไม่เจาะจงด้วย เพราะโปรยไปใครเก็บได้ก็เป็นของคนนั้น ต้องบอกว่าเกือบ ๆ จะเป็นสังฆทานแล้ว หลังจากนั้นพอเข้าโบสถ์ก็กราบพระ รับศีล ก็ได้ทาน ได้ศีล แล้วไปได้ภาวนาตอนเริ่มบวช พระอุปัชฌาย์ท่านจะบอกกรรมฐานให้ เขาเรียกมูลกรรมฐานหรือตจปัญจกกรรมฐาน แปลว่ากรรมฐาน ๕ ที่มีหนังเป็นที่สุด คือ เกศา โลมา นขา ทันตา ตโจ เพราะฉะนั้น..โบราณท่านเก่งมาก แทรกความดีไว้ในพิธีกรรมเต็มที่เลย แต่คนรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยรู้กัน เขาแห่เราก็แห่ด้วย บางทีก็เมาหัวทิ่มอยู่ในขบวนแห่นั่นแหละ สมัยก่อนเขาแห่นาคเพราะต้องการให้คนอื่นโมทนาในความดี แต่นี่ไปเมา..แล้วจะเอาความดีที่ไหนมาให้เขาโมทนาได้ บางคนเมาแล้วยิงปืนอีกต่างหาก..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-03-2013 เมื่อ 05:56 |
สมาชิก 226 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "การอุปสมบทหมู่ของวัดท่าขนุน อย่างน้อย ๆ ก็จะเหลือติดวัดไว้รุ่นละรูปหรือสองรูป ปรากฏว่าช่วงลอยกระทงปี ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา บวชไปสิบกว่ารูปแต่ไม่เหลือเลย รายสุดท้ายเพิ่งสึกไปหลังปีใหม่ แม้กระทั่งท่านลุคก็เหมือนกัน
ท่านลุคอยู่ในลักษณะโดนทดสอบกำลังใจแล้วไม่ผ่าน ท่านเองปีนขึ้นไปดูถังใส่น้ำประปา เพราะว่าลูกลอยไม่ตัด น้ำล้นอยู่ตลอด ท่านก็ปีนขึ้นไปซ่อม ตอนลงมามือซ้ายโดนเหล็กโครงสร้างหอประปาบาด แล้วตอนเดินบิณฑบาต เท้าซ้ายท่านไปโดนเศษแก้วตำ ท่านเป็นคนถนัดซ้าย แล้วโดนข้างซ้ายทั้งหมด ท่านเองก็ไปนั่งเซ็ง เกิดมาจนป่านนี้ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยกับใคร อยู่ ๆ เป็นทีเดียว ๒ อย่างทั้งบนทั้งล่างเลย จึงเสียกำลังใจ พออธิบายให้ท่านทราบ ท่านก็ค่อยเข้าใจหน่อยว่าเป็นการทดสอบ แต่ท่านก็แปลกใจว่าทำไมต้องทดสอบกันด้วย ท้ายสุดก็สอบไม่ผ่าน..ขอสึก เมื่อวานก็ย่องมาทำบุญ การทดสอบลักษณะนี้ดีกว่าทดสอบลักษณะของทิพยจักขุญาณ เพราะว่าท่านลุคทิพจักขุญาณท่านชัดด้วย ถ้าทดสอบลักษณะนั้นแล้วพลาด จะไปยาวเลย เนื่องจากว่ารู้เห็นด้วยตัวเอง ในเมื่อรู้เห็นด้วยตัวเองทำให้น้อมใจเชื่อ ถ้าคนปัญญาไม่พอก็จะเชื่อยาวไปเลย ที่เชื่อเพราะว่าตัวเองเห็น โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งตัวเองเห็นนั้น เราเห็นจริง ๆ แต่เรื่องที่เราเห็นนั้นไม่แน่ว่าจริง เคยยกตัวอย่างให้พระท่านฟังอยู่บ่อย ๆ ว่าเราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา แล้วเราก็ไปขวางเขา จะถูกเขากระทืบเราตายเพราะเขาถ่ายหนังกันอยู่ เราเห็นเขาไล่ฆ่ากันมาจริงหรือเปล่า ? ก็จริง..แต่เรื่องที่เราเห็นไม่จริง เพราะเป็นฉากในหนังเท่านั้น เรื่องของทิพยจักขุญาณเวลาเขาทดสอบเรา จะทดสอบเจ็บอย่างนี้แหละ ถ้าปัญญาไม่ถึง การตรึกตรองใคร่ครวญไม่ดีก็จะหลงทาง โดนเขาหลอกแล้วไปยาวเลย เพราะว่าตัวเองเห็นเลยไปมั่นใจว่าต้องใช่อย่างนั้น ต้องเป็นอย่างนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 229 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีแต่คนนิยมสร้างสมเด็จองค์ปฐมจนอาตมาเองก็หนักใจ ตกลงว่าเขาทำถูกหรือทำผิด ? มีการบวงสรวงขออนุญาตกันหรือเปล่า ? เรื่องของพระพุทธเจ้าบางทีพวกเราก็เผลอ ด้วยความที่สมัยนี้เทคโนโลยีต่าง ๆ นั้นง่าย สะดวกไปหมด ใครนึกจะสร้างก็สร้าง ต้องบวงสรวงบอกกล่าวกันให้เรียบร้อยก่อน ยิ่งถ้าได้มโนมยิทธิหรือว่าได้อภิญญาก็ไปกราบขอต่อหน้าพระพักตร์เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 02:54 |
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวเตือนโยมว่า "เอาพระพุทธรูปไว้ข้างบนเลยลูก พระพุทธอย่าวางไว้ต่ำ วางสูงไว้ก่อน พุทธานุภาพของพระพุทธเจ้านั้นยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ สมัยก่อนเขาใช้พุทโธคำเดียวหนังเหนียวฟันแทงไม่เข้าเลย
หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟังว่า มีนักเลงรุ่นน้าบ้านอยู่ตลิ่งชัน ชื่อปาน เป็นเพื่อนของน้าชายของหลวงพ่อที่เป็นตำรวจ น้าปานเป็นนักเลงใหญ่ประเภทคุ้มครองคนในหมู่บ้าน ถ้าแถวบางระมาดหรือตลิ่งชันมีคนอื่นมารังแก น้าปานจะออกหน้ารับหมด รับได้เพราะแกหนังเหนียว ซัดกันทีไรถ้าคู่ต่อสู้หนังไม่ดีจริงนี่เยินไปทุกราย คนก็เลยกลัวและเกรงน้ำใจ ปรากฏว่าวันนั้นเดินกลับบ้านผ่านไร่อ้อย น้าปานเกิดหิวน้ำขึ้นมา ไปตัดอ้อยของเจ๊กเขามาลำหนึ่งกินแก้หิวน้ำ ปรากฏว่าพวกเจ๊กเขากรูกันออกมาสิบกว่าคน ช่วยกันจับน้าปานมัดเป็นหมูเลย คนเดียวสู้เขาไม่ได้ พวกเจ๊กก็ทั้งฟันทั้งแทงปรากฏว่าไม่เข้า เจ้าของไร่โมโห ให้เมียมานั่งคร่อมหัวก็ยังแทงไม่เข้า เขาเลยกะว่าเอาไฟเผา ก็เลยจะเอาคบไต้ทิ่มหน้า พอเห็นเป็นน้าปานคบไต้หลุดมือเลย ตกใจ..ไปเล่นนักเลงใหญ่เสียเต็มที่เลย น้าปานก็เลยบอกว่า “ทำไมอาเจ๊กทำกันอย่างนี้เล่า ? แค่กินอ้อยลำเดียวเท่านั้น ต้องถึงขนาดฆ่าแกงกันด้วยหรือ ? ดึกแล้วฉันเองก็ไม่อยากจะตะโกนเรียก ก็เลยถือวิสาสะตัดเอาเอง” เจ๊กเขาบอกว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น หลายวันก่อนอีมาที อีเล่นตัดแล้วขนไปเป็นหอบ ๆ เลย” เลยขอโทษขอโพย น้าปานก็ไม่โกรธ เพราะรู้เหตุผลอยู่แล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 230 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
"สมัยก่อนกว่าจะได้อ้อยมา กว่าจะคั้นน้ำ กว่าจะทำเป็นงบน้ำอ้อยขึ้นมานั้นลำบากลำบนจะตาย กวนกันข้ามวันข้ามคืนกว่าจะได้ เขาทำมาหากินสุจริตพวกนี้ยังไปขโมยเขาอีก แต่ต้องบอกว่าน้าปานแกเฮงเองแหละ ผ่านไปตอนนั้นพอดี ถ้าไม่ใช่หนังเหนียวก็ตายคาที่ไปแล้ว เพราะกลางคืนมืด ๆ โดนรุมตีเอา ตัวเองคนเดียวสู้เขาไม่ได้ พวกเจ๊กมีวิทยายุทธ์ทั้งนั้นเลยจับมัดไว้ ถ้าไม่ได้คิดจะใช้ไฟเผาก็ยังจำไม่ได้ว่าใคร
นั่นแหละคุณพระรัตนตรัย หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านถามว่าน้าปานมีของดีอะไร น้าปานบอกว่าไม่มีหรอก ภาวนาพุทโธเท่านั้น แล้วคิดดูว่าขนาดผู้หญิงนั่งคร่อมหัวกำลังใจแกยังไม่ตก ในเมื่อกำลังใจไม่ตกก็ยังเหนียวเหมือนเดิม แทงเท่าไรก็แทงไม่เข้า ดังนั้น..เรื่องของพระรัตนตรัยอย่าถือเป็นเรื่องเล็กน้อย ญาติโยมหลายคนมาถวายสังฆทาน พอวางพระลงก็หยิบเงินถวายข้ามเศียรพระเลย อาตมาพยายามเบี่ยงขันหลบซ้ายหลบขวา บางทีโยมไม่ได้สังเกต เห็นอาตมาเบี่ยงขันหลบ โยมเขาก็ยกเงินข้ามเศียรพระแล้วก็เบี่ยงตามมา ต้องระมัดระวังกันนิดหนึ่ง เราเป็นนักปฏิบัติ ทำบุญหวังความดีชั้นสูง จิตใจต้องละเอียด ถ้ากำลังใจไม่ละเอียดมักจะปรามาสพระรัตนตรัยโดยไม่รู้ตัว ถึงเวลาต้องขอขมาไว้ก่อน จะไหว้พระ จะสวดมนต์ จะทำวัตร ตื่นนอน ก่อนนอน กราบขอขมาพระไว้ให้ชิน ถึงเวลาแล้วตั้งใจขอขมาไว้ก่อน จะทำโดยรู้หรือไม่รู้ก็ขอเอาไว้ จะได้ปลอดภัย โดยเฉพาะเรื่องของกรรมล่วงเกินพระรัตนตรัยนี่ ถ้าปฏิบัติธรรมจะไม่ก้าวหน้าเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 03:00 |
สมาชิก 239 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าพระบรมสารีริกธาตุที่เราบูชาอยู่เกิดเปลี่ยนวรรณะ หมายความว่าอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตีเสียว่าดีแล้วกัน แต่พระบรมสารีริกธาตุของอาตมานี่ ถ้าเปลี่ยนเมื่อไรแล้วต้องระวัง ที่ระวังก็คือมักจะเกรงว่าตัวเองความดีจะไม่พอ คนอื่นเขาบูชาแล้วพระธาตุงอกบ้าง เพิ่มบ้าง แต่ของอาตมาบูชาไปแล้วลดลงไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมไม่เหมือนเขา พอมานึกได้ว่าอาตมาเป็นคนไม่หวงของ ปกติใครขอก็ให้เขาอยู่แล้ว กลายเป็นว่าท่านเลยเสด็จไปอยู่กับคนอื่นเรื่อย ส่วนของอาตมานี่ท่านมาเพิ่มเมื่อไร ก็ระแวงว่าเราทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า กลายเป็นว่าตรงกันข้ามกับคนอื่น ของคนอื่นเขาเพิ่มบ้าง งอกบ้าง เปลี่ยนแปลงบ้าง ถือว่าดี แต่ของอาตมาถ้าเพิ่ม งอกขึ้นมานี่ต้องระแวงว่ามีอะไรไม่ดีหรือเปล่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 20:47 |
สมาชิก 227 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เวลาแผ่เมตตาออกไป ตอนที่ดึงกลับยังดึงไม่ค่อยได้ ?
ตอบ : ให้ซ้อมบ่อย ๆ ของอย่างนี้ถ้าขาดความชำนาญก็จะเป็นอย่างที่ว่ามา ถ้าซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวความคล่องตัวก็มีขึ้น โดยเฉพาะถ้าได้ความคล่องตัวในตัวสมาธิ เวลารัก โลภ โกรธ หลงเข้ามาอย่างกะทันหัน เราจะได้ป้องกันทัน ถ้าสมาธิไม่ทรงตัวหรือตั้งรับไม่ทัน ก็เหมือนกับปิดประตูบ้านไม่ทัน ขโมยเข้าบ้านไปแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 20:48 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พระมีผู้หญิงในห้อง มีข้อหาปาราชิก ยังไม่มีการตัดสินจากฝ่ายธรรมยุติ ไปบวชใหม่ทางมหานิกาย อย่างนี้จะขาดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ว่าเขาทำจริงหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นการอยู่กับหญิงสองต่อสองนี่เขาปรับแค่อาบัติปาจิตตีย์ ถาม : แล้วอย่างนี้ถ้าคดีขึ้นสู่ศาล ต้องไปพิสูจน์ว่าปาราชิกจริงไหม จะทำได้ยาก ? ตอบ : ถ้าทำก็ไม่ต้องพิสูจน์ เพราะขาดจากความเป็นพระไปแล้ว ในเรื่องของทางธรรมขาดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในเรื่องของทางโลกก็ลำบากหน่อย มัวแต่ไปพิสูจน์กันอยู่ ถาม : ต้องไปรอเจ้าคณะอำเภอตัดสินไหมครับ ? ตอบ : ถ้าขาดแล้วก็ไม่ต้องรอใครตัดสินหรอก ตัวเองก็รู้เอง ถาม : แล้วในเรื่องของสายการปกครองไม่ต้องไปรอใช่ไหมครับ ? ตอบ : ก็ให้เขาตัดสินแล้วสึกเสียให้หมดเรื่องหมดราวไป เสียดายว่าไม่มีโทษอื่น แค่สึกก็จบ ถ้าให้ติดคุกติดตะรางเสียบ้าง น่าจะรู้สึกกลัวกันมากขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-03-2013 เมื่อ 20:50 |
สมาชิก 217 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : หนูแต่งงานกับผู้ชายต่างศาสนา บางทีเขาหึงก็ทำร้ายร่างกายหนู ควรทำอย่างไรให้หมดเวรกรรมตรงส่วนนี้ดีคะ ?
ตอบ : ไม่หมดหรอก ระดับนั้นหมดยาก...รู้จักคาถาเมตตาของหลวงปู่แช่ม วัดฉลองไหม ? พระอรหัง สุคโต ภควา นะ เมตตาจิต เช้าขึ้นมาก็นึกถึงหน้าเขา แล้วภาวนาไปสักครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวเขาก็ดีกับเราเอง ภาวนาให้เป็นกรรมฐานเลย ตั้งใจนึกถึงหน้าของทุกคนในบ้าน ยิ่งต่างชาติยิ่งดี เขาไม่รู้ว่าอยู่ ๆ ทำไมรักเรามากขึ้น คาถานี้ช่วยให้เขารักเขาเมตตา เขาก็จะทำดีกับเราเอง ให้ทำเป็นกรรมฐานเลย ถ้าเคยใช้พุทโธก็ใช้คาถานี้แทน ยาวหน่อยก็ไม่เป็นไร ค่อย ๆ ทำไป เท่ากับเราได้ภาวนามากขึ้นด้วย เวลาภาวนาอย่าทิ้งลมหายใจเข้าออก อานุภาพคาถาจะมีมากมีน้อย ขึ้นอยู่การทรงตัวของลมหายใจของเรา ถ้าลมหายใจทรงตัวเป็นสมาธิสูงมากเท่าไร คาถาก็มีผลมากเท่านั้น ไปลงมือทำได้แล้ว..ห้ามมาคร่ำครวญ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2013 เมื่อ 02:03 |
สมาชิก 221 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พระที่อาพาธด้วยโรคริดสีดวงทวาร ไม่สามารถผ่าตัดได้ จริงหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ถ้าตามพระวินัยแล้วพระพุทธเจ้าท่านห้าม แต่ถ้าเห็นว่าท่านทรมานมากก็ผ่าตัดให้ แล้วให้ท่านไปปลงอาบัติเอา เพราะว่าเป็นศีลที่เป็นส่วนเกินจากพระปาฏิโมกข์ ที่เราเรียกว่าอภิสมาจาร ในเมื่อเป็นอภิสมาจารก็อยู่ในลักษณะว่าเขาปรับเท่ากับจับเงิน คือปรับอาบัติทุกกฎ ทุกกฎแปลว่าความชั่ว เหตุที่เป็นดังนั้นเพราะสมัยก่อน เวลาพระท่านเป็นริดสีดวงทวารแล้วไปให้หมอรักษา ซึ่งหมอที่ไม่ใช่พุทธศาสนิกชน เป็นคนศาสนาอื่น อย่างพวกฮินดู เขาก็เอาพระไปวิจารณ์เสีย ๆ หาย ๆ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยห้าม คราวนี้ว่าของเราผ่าตัดแล้วก็แนะนำท่านให้ไปปลงอาบัติเอาก็แล้วกัน อย่างน้อย ๆ ท่านก็ไม่ได้ทรมานเพราะโรคภัยไข้เจ็บอีก ถาม : ถ้าเป็นอย่างนั้นจะได้สั่งว่านเพชรสังฆาตไปด้วย ตอบ : เอาเพชรสังฆาตก่อนดีกว่าจ้ะ เพราะว่าเพชรสังฆาตช่วยได้เยอะมากเลย ถ้ากินต่อเนื่องกันครบแล้วส่วนใหญ่ริดสีดวงทวารจะหาย แต่เพชรสังฆาตถ้ากินไม่เป็นนี่คันตายเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2013 เมื่อ 12:19 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
การผ่าริดสีดวงทวารท่านใช้คำว่า ทำสัตถกรรมในที่แคบ สัตถะแปลว่าอาวุธ ก็คือใช้มีดผ่าตัด ท่านห้ามเอาไว้ สมัยโน้นนั้นเขาจะมีเวชกรรม มีอยู่อันหนึ่งที่ปรับพระแรงมากเลย ก็คือเปลี่ยนเพศให้กับคนอื่น แสดงว่าสมัยก่อนการเปลี่ยนเพศเขาทำเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะเป็นผ่าตัดหรือใช้สมุนไพร หรือว่าใช้อภิญญาฤทธิ์อะไร ไปเปลี่ยนเพศให้เขานี่ท่านปรับเลย
มานึกถึงเรื่องการแพทย์โบราณ ประเทศจีนกับอินเดียรู้สึกว่าก้าวหน้าใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่แล้วคนโบราณจิตใจสงบ เกิดทิพจักขุญาณขึ้นมา ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าควรจะทำอย่างไร อย่างที่หมอฮัวโต๋ผ่าตัดกะโหลกศีรษะ หรือไม่ก็แบบเดียวกับที่หมอชีวกฯ ท่านรักษาคนไข้ อยากได้ตำรายาถ่ายของพ่อปู่หมอชีวกฯ สมัยนี้คงทำกันไม่ได้แล้ว ให้ดมแล้วถ่ายได้ ไม่ต้องกินเลย แค่ดมยาแล้วถ่ายนี่ต้องบอกว่าสุดยอดเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2013 เมื่อ 12:20 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ท่านที่ยอมรับกฎของกรรมก็ไม่รู้ว่าจะไปฝืนทำไม ธรรมชาติเป็นอย่างนั้น ตัวท่านเองก็ไม่ได้มีความรู้สึกไปเดือดเนื้อร้อนใจกับการเสื่อมโทรม เจ็บไข้ได้ป่วย แต่ว่าลูกศิษย์ทนดูไม่ได้ ในเมื่อลูกศิษย์ทนดูไม่ได้ก็ให้การรักษา ท่านก็รับการรักษาสนองน้ำใจ ถ้าไม่ได้รักษาท่านก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก จะตายวันตายพรุ่งก็เป็นเรื่องของร่างกาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2013 เมื่อ 12:21 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ทางตะวันตกเขาก็ยอมรับแล้วว่าการทำสมาธิทำให้อาการโรคภัยไข้เจ็บหลายอย่างดีขึ้นได้ ?
ตอบ : เราต้องยอมรับว่าความเครียดเป็นสาเหตุของโรคภัยสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะ โรคหัวใจ โรคความดัน โรคประสาท เหล่านี้เป็นต้น การทำกรรมฐานทำให้หายเครียด ในเมื่อหายเครียดโรคเหล่านี้ก็พลอยหายไปด้วย ระยะหลัง ๆ อย่าง ไมเกรนยาก็เอาไม่อยู่ ต้องใช้วิธีเจริญกรรมฐานแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2013 เมื่อ 03:50 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีครั้งหนึ่งทำกรรมฐานแล้วรู้สึกว่าตัวเองดูตัวเองอยู่ ไม่ทราบว่าเพี้ยนไปหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เพี้ยนไปแล้วจ้ะ คือจิตแยกจากร่างกายเป็นเรื่องปกติ หลายต่อหลายคนที่มีประสบการณ์นี้ใหม่ ๆ ก็สงสัยว่าตัวเรายืนอยู่นี่ แล้วคนนั้นเป็นใคร เป็นเรื่องปกติจ้ะ ให้ทำต่อไป ถ้ากำลังของเราเพียงพอ เราจะควบคุมได้ เราจะไปที่ไหนก็กำหนดได้ ถ้าปล่อยให้หลุดส่งเดช เดี๋ยวหลุดไปห้องน้ำแล้วคนอื่นกำลังอาบน้ำอยู่จะยุ่ง เขาไม่เห็นเราหรอก แต่เราเห็นเขานะสิ..! เพราะฉะนั้น..กลับไปฝึกสมาธิเพิ่มขึ้น กำลังเข้มแข็งขึ้นจะได้ควบคุมได้ง่าย ส่วนใหญ่แล้วโยมเขาจะกลัวกัน เพราะว่าไม่เคยชิน หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านใช้คำว่ากลัวดี จะได้ดีแล้วกลัว ก็เลยไม่ทำต่อ จริง ๆ แล้วถ้ากำลังใจมั่นคง คุ้มครองตนเองได้ คุ้มครองหมู่คณะได้ก็สบายเลย เอาแค่คุ้มครองตัวเองได้ ไม่เป็นภาระคนอื่นก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2013 เมื่อ 12:27 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การใช้คาถาย่นระยะทางให้สั้นลง มีตรรกะทางโลกอธิบายไหมคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้ว ตอนที่ตัวเองย่นระยะทางก็ไม่รู้ตัวนะ รู้แต่ว่าคนอื่นไล่ตามไม่ทัน ถ้าจะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ ก็คือการเคลื่อนที่เร็วขึ้น แต่ความเร็วในการเคลื่อนที่เร็วขึ้นโดยที่ตัวเราไม่รู้ตัว ระยะทางยังเท่าเดิมนั่นแหละ เพียงแต่ไปถึงเร็วขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2013 เมื่อ 03:45 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : การใช้ลูกแก้วพระปัจเจกพุทธเจ้า ขอให้หลวงพ่อสอนเป็นกรรมฐานหน่อยครับ
ตอบ : ก็มองแล้วจำภาพ จะเป็นกสิณ ๒ อย่างด้วยกันคืออาโลกกสิณ กสิณลูกแก้ว และกสิณภาพพระ เป็นพุทธานุสติด้วย ๒ อย่างรวมกัน ตั้งใจนึกถึงท่าน เอาให้ย่อได้ ขยายได้ แล้วคราวนี้จะอธิษฐานอย่างไรก็ตามใจจ้ะ ของพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ควรจะภาวนาคาถาเงินล้านไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-03-2013 เมื่อ 03:45 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|