|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
![]() |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนเช้าเวลาอาตมาบิณฑบาต จะมีโยมบ้านหนึ่งเอาหลาน ๆ มาใส่บาตร แล้วก็สอนให้ไหว้พระ หลานก็ “ธุจ้า ๆ ” เขาก็ธุจ้าไปเรื่อย เนื่องจากพระวัดท่าขนุนมีจำนวนเยอะ พอ “ธุจ้า” ไปยี่สิบรูปชักจะหมดเสียง
น่าเสียดายที่หลายบ้านตอนเด็ก ๆ พ่อแม่วางรากฐานไว้ดี แต่พอโตเป็นวัยรุ่นเลิกใส่บาตร มี ๒ อย่าง อย่างแรก คือ ตื่นไม่ทัน อย่างที่ ๒ คือ อายพระ เลยไม่ใส่บาตร มีคุณยายคนหนึ่งเป็นอัมพาตแต่ใส่บาตรทุกวัน ไม่เห็นต้องอายเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-06-2012 เมื่อ 11:52 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "บาลีเขาบอกว่า เด็กมีเสียงร้องไห้เป็นกำลัง ผู้ใหญ่เห็นเด็กร้องไห้ไม่ได้หรอก..เสร็จหมด สตรีมีน้ำตาเป็นกำลัง ไม่ต้องร้องไห้หรอก แค่นั่งน้ำตาเล็ด ใครเดินผ่านเห็นก็ใจอ่อนแล้ว สมณะมีศีลเป็นกำลัง ถ้าศีลไม่ดีก็แปลว่ากำลังตัวเองน้อย
ถ้าเป็นผู้หญิงกับเด็กเราก็อย่าไปปะทะตรงจุดแข็งเขา ในเมื่อกำลังเขาดีกว่าเราก็เลี่ยงไปทางอื่น ยกเว้นว่ากำลังเราเหนือกว่าจริง ๆ จะว่าไปแล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ากำลังของผู้หญิงมากที่สุด บาลีบอกว่า พะลังจันโท พะลังสุริโย พะลังสมณะพราหมณา พะลังเวลาสมุทัสสะ พลาติพะละมิตถิโย ไม่ว่าจะเป็นกำลังของพระอาทิตย์ก็ดี พระจันทร์ก็ดี สมณพราหมณ์ก็ดี ตลอดจนกำลังของกาลเวลาและมหาสมุทร ก็สู้พลังของผู้หญิงไม่ได้ ผู้หญิงเป็นเพศแม่ เป็นผู้ให้กำเนิดชีวิต พลังแห่งการให้กำเนิดชีวิตถือว่าสูงที่สุด เราจะเห็นว่าผู้หญิงที่กำลังมีประจำเดือนอยู่ สามารถทำให้ไสยศาสตร์เสื่อมอานุภาพได้ เพราะสู้กำลังผู้หญิงไม่ได้ พวกบรรดาโอปปาติกะชั้นต่ำ ๆ ถ้าผู้หญิงมีประจำเดือนอยู่เข้าไป เขาเปิดกระเจิดกระเจิงหมด ไม่อยู่ด้วยหรอก ฉะนั้น..ควรจะภูมิใจตัวเองว่าเราเป็นเพศแม่ เป็นผู้ให้กำเนิด การให้กำเนิดชีวิตเป็นการให้กำเนิดโลกเลย ถึงขนาดสร้างโลกได้ จะมีอำนาจอะไรยิ่งไปกว่านั้นอีก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2012 เมื่อ 19:58 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : เรื่องอยู่ยงคงกระพัน มีจริงไหมครับ หรือว่าแค่เขาเชื่อกันเฉย ๆ ?
ตอบ : ไม่ใช่ความเชื่อ เป็นความจริง แต่ว่าความจริงนั้นจะต้องประกอบด้วยเหตุและผล เหตุก็คือ สิ่งที่เรายึดมั่นเพื่อให้คงกระพัน อย่างเช่น วัตถุมงคล รอยสัก คาถาอาคม หรือว่านยา ประการที่ ๒ สิ่งที่จะต้องเข้ามารองรับ ก็คือ กำลังใจของเรา ถ้าหากว่าสองอย่างไม่ประสานกันก็แหว่ง..! ในเมื่อมีเหตุแล้ว จิตของเราจะต้องเปิดรับ ถ้าไม่เปิดรับ ปราศจากความเชื่อ หรือขาดความมั่นใจ ก็ไม่สามารถที่จะคงกระพันกับใครได้ เพราะใจไม่เอาด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2012 เมื่อ 19:59 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์เล่าว่า "คุณยายหยาด ใจมั่น เป็นอัมพาต ก่อนที่จะป่วยเป็นอัมพาต คุณยายจะใส่บาตรทุกวัน คราวนี้พอป่วยแล้วอยากใส่บาตรแต่ขยับไม่ได้ ได้แต่นั่งมองพระอยู่ทุกวัน อาตมาก็เลยบอกว่า “ยาย..ถ้าอยากใส่บาตรต้องพยายามขยับให้ได้ ไม่อย่างนั้นใส่ไม่ได้หรอก” ด้วยความมุ่งมั่น ยายก็พยายามขยับจนได้ แต่เวลาตักข้าวก็หกบ้างหล่นบ้างตามธรรมดา จนกระทั่งสามารถที่จะใส่บาตรได้สะดวก
เวลาทางวัดมีงานอะไรอาตมาก็จะบอกกับยายทุกครั้ง "ตอนนี้บวชพระ ๒ รูปนะ ยายโมทนาด้วย" "วันนี้เขาปฏิบัติธรรมกัน มีคนมาร่วมปฏิบัติธรรม ๒๐๐ คน" ยายเขาก็สาธุไปเรื่อย แล้วยายก็บ่นว่าไม่ได้เห็นวัดนานแล้ว ก็เลยบอกให้ลูกเขาเข็นยายไปวัดหน่อย พอเข็นยายไปวัด ยายบอกจำวัดไม่ได้ เพราะวัดท่าขนุนที่ยายเคยเห็นไม่ใช่แบบนี้ พออาตมาเข้าไปอยู่วัดท่าขนุนแล้ว ก็ไปปรับปรุงวัด ทำเอาคนไม่เคยชิน พอไปแล้วหาทางเข้าวัดไม่ถูก เพราะก่อนหน้านี้ทางเข้าวัดอยู่ตรงหน้าโบสถ์ ตอนปรับปรุงใหม่ ๆ ก็ขุดหลุมปลูกต้นไม้ขวางไว้ ด้วยความเคยชิน รถวิ่งไปถึงก็เลี้ยวเข้าตรงหน้าโบสถ์ก็เลยตกหลุม ก็แสดงว่า ความเคยชินของคนก็ยังคงเหมือนเดิม จนกว่าจะปรับได้ จึงเลี้ยวตามทางใหม่ที่ทำไว้ให้ ตอนนี้คุณยายหยาดตายแล้ว เมื่อวานเย็นครูพนอลูกสาวยายโทรมาบอก วันนี้จะรดน้ำศพ เดี๋ยวพรุ่งนี้อาตมากลับไปก็น่าจะทันงานเขาพอดี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2012 เมื่อ 20:01 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : คนเราเปลี่ยนแปลงได้ไหมคะ ?
ตอบ : ได้..เพียงแต่ยากหน่อย ถาม : และอะไรเป็นปัจจัยให้เปลี่ยน ? ตอบ : อันดับแรก..ความตั้งใจอยากจะเปลี่ยน อาจจะเบื่อตัวเองก็ได้ อันดับที่สอง...อาจจะเห็นทุกข์เห็นโทษว่า สิ่งที่ตัวเองเคยเป็นอยู่นั้นไม่ดี ก็อยากจะปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น อันดับต่อไป..มีการพัฒนากาย วาจา ใจ ไปในทางที่ดี สภาพจิตที่เข้าถึงความดีมากขึ้น เกิดความอ่อนน้อมถ่อมตน เปลี่ยนแปลงตัวเองไป อย่างที่เขาเรียกว่าพลิกฟ้าเป็นดิน หรือพลิกดินเป็นฟ้า อะไรทำนองนั้น ถาม : ธรรมนิยามมีส่วนในลักษณะนิสัยของคน ๆ หนึ่งไหมคะ ? ตอบ : มีทั้ง ๕ อย่างนั่นแหละ ถาม : ถ้าทางจิตวิทยาเขาจะอธิบายว่า นิสัยคน ๆ หนึ่งเกิดจากธรรมชาติและการเรียนรู้ ? ตอบ : ทั้งหมดของธรรมนิยาม ๕ นี่แหละคือธรรมชาติ ในส่วนของการเรียนรู้เพิ่มเติมเป็นประสบการณ์หลังเกิดแล้ว ทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นตัวก่อให้เกิด ภาษิตจีนเขาบอกว่า บุคคลอาชีพใด เอ่ยวาจามิเกิน ๓ ประโยค จะเข้าหาอาชีพของตัวเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 02-11-2015 เมื่อ 18:40 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : บางทีเวลาหนูทำงานอยู่จะรู้สึกเซ็งไปหมด น่าเบื่อจะตาย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ?
ตอบ : อันนี้เขาเรียกว่านิพพิทาญาณ นิพพิทาญาณเป็นของดี เพราะถ้าเราไม่เบื่อเราก็อยากเกิด ในเมื่อเราเบื่อ เราก็ต้องหาทางว่าต้องทำอย่างไรจะให้พ้นไปให้ได้ แล้วในที่สุดถ้าสติ สมาธิ ปัญญาสมบูรณ์พร้อม ก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราก็เจอแค่ชั่วเวลาครู่เดียวเท่านั้น ถ้าเปรียบกับวัฏสงสารที่ยาวไกลไม่สิ้นสุด ในเมื่อเป็นเพียงครู่เดียวทำไมเราจะทนไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นสังขารุเปกขาญาณแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2012 เมื่อ 20:04 |
สมาชิก 197 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ถ้าคน ๆ หนึ่งเกิดมามีลักษณะนิสัยเหมือนกับเรา เป็นไปได้ไหมคะ เพราะอะไรคะ ?
ตอบ : ได้..เพราะการสั่งสมบุญบาปในอดีต มีมาใกล้เคียงกัน ถาม : ทั้ง ๆ ที่เราแยกกันอยู่ ? ตอบ : ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน..อาจจะอยู่กันคนละมุมโลกก็ได้ เนื่องจากว่าการทำดีทำชั่วมีมาใกล้เคียงกัน ก็เลยส่งผลให้ออกมาใกล้เคียงกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-06-2012 เมื่อ 20:05 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "อย่ารักลูกมากเกินไป เขาทำอะไรผิดลงโทษเขาด้วย ไม่อย่างนั้นเด็กจะไม่เอาเหตุเอาผล เอาแต่ใจตัวเอง ถ้าจะให้ดีบอกเขาก่อนว่าที่เขาทำเป็นสิ่งไม่ดี ไม่ถูก ถ้าต่อไปถ้าทำอีกแม่จะตี
ถ้าเขาทำอีกก็บอกว่า "เตือนแล้วใช่ไหมว่า ถ้าทำผิดอย่างนี้อีกจะตี" ว่าแล้วก็ฟาดเลย เด็กเขารู้เหตุผล แต่ความจำเขาสั้น ต้องย้ำบ่อย ๆ ถ้าเราตีอย่างไม่มีเหตุผลแล้วเขาจะดื้อ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2012 เมื่อ 15:56 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เห็นหรือเปล่าว่าดินฟ้าอากาศไม่เคยโกหก เมื่อเช้าบอกว่าสภาพแดดอย่างนี้ฝนจะตกตอนบ่าย นี่ฟ้ามืดมาแล้ว ถึงได้บอกว่าโบราณเขาดูเป็น มองฟ้ามองดินแล้วบอกได้ว่าลมฟ้าจะเป็นอย่างไร สมัยนี้เขาแปลกใจว่าทำไมคนโบราณจึงดูออก เพราะเป็นประสบการณ์ที่สั่งสมมา (ว่าแล้วฝนก็เทลงมา) เราต้องเชื่อ ไม่ใช่ความเป็นทิพย์ขอยืนยัน แต่เป็นประสบการณ์ที่มองด้วยสายตาก็รู้
ถ้าแดดอย่างเมื่อเช้าแล้ว ยิ่งฟ้าใส ๆ ด้วย ฝนตกฟ้าถล่มดินทลายเลย นั่นเป็นลักษณะของไอน้ำที่ลอยขึ้นแล้วสะท้อนแสงแดดกลับมาอีกที แดดจะจัดเป็นพิเศษ สามารถอธิบายเป็นหลักวิทยาศาสตร์ได้ เพียงแต่คนไม่รู้ว่าแดดฝนหน้าตาเป็นอย่างนี้ เกณฑ์ธาราธิคุณปีนี้น้ำน้อย ลมแรง แต่เราต้องไปนึกถึงสุบินนิมิต ๑๖ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศล พระองค์ท่านสุบินว่าพ่อครัวหุงข้าว แล้วข้าวในหม้อมีทั้งดิบ มีทั้งแฉะ มีทั้งสุก พอทูลถามพระพุทธเจ้าว่าหมายถึงอะไร ? พระองค์ท่านพยากรณ์ว่า ต่อไปภายหน้าดินฟ้าจะแปรปรวน สถานที่แห่งเดียวกัน มีทั้งแล้ง มีทั้งน้ำท่วม มีทั้งน้ำบริบูรณ์พอดี รู้สึกว่าอะไร ๆ ที่พระองค์ท่านสุบินนิมิตไว้ จะมาเกิดในสมัยนี้แทบทั้งนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2012 เมื่อ 15:58 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าผู้สูงอายุทำตัวเป็นคนใจเย็นนี่อยู่ได้เป็นร้อยปีเลย เพราะว่าเวลาเราโกรธพลังชีวิตจะเสียไปมาก เราจะเห็นว่าคนขี้โกรธหน้าตาเขาจะแก่เร็ว ดังนั้น..ถ้าทำตัวเป็นคนใจเย็นนี่อยู่ได้เป็นร้อยปีเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2012 เมื่อ 15:58 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้ที่วัดมีการโกนหัวนาคตอนบ่ายโมง ต่อมาเวลาทุ่มครึ่งมีเทศน์สอนนาคและมอบผ้าไตร แต่อาตมาไม่อยู่ จึงมอบหมายงานให้พระรับผิดชอบกันไป อาตมาเองพยายามจัดระบบของวัดให้อยู่ในระบบที่ว่า "ถ้าไม่มีเรา เขาต้องอยู่ได้" ดังนั้น..ในเรื่องของการควบคุมบังคับบัญชาก็จะไปตามลำดับชั้น ลักษณะเหมือนกับหน่วยทหาร แต่ยังไม่สามารถฝึกได้แบบหน่วยทหาร
หน่วยทหารจะฝึกผู้นำหน่วยให้รับผิดชอบสูงกว่าตำแหน่งตนเอง ๒ ชั้น อย่างเช่น ถ้าเป็นผู้บังคับหมู่ ก็ต้องทำหน้าที่หัวหน้าตอนได้ และทำหน้าที่ผู้บังคับหมวดได้ ถ้าเป็นผู้บังคับหมวดต้องทำหน้าที่ผู้บังคับกองร้อยและรองผู้บังคับกองพันได้ เพราะฉะนั้น..แม้แต่พลทหาร ถ้าจำเป็นก็ต้องทำหน้าที่ผู้บังคับหมู่ได้ เพียงแต่ว่าเราเป็นพระเป็นเณร ถ้าเข้มงวดขนาดนั้นเดี๋ยวมีรายการโวยกัน ขนาดนั้นยังมีหลวงตาแก่ ๆ โวยพระครูปลัดปรีชามาแล้วว่า “ผมมาบวชพระนะ ผมไม่ได้มาฝึกทหาร” เขายังไม่รู้ว่าถ้าอาจารย์ฝึกเองจะโหดกว่านั้นอีก นั่นแค่ลูกศิษย์ช่วยฝึกให้ ตอนนี้นาค ๑๕ ท่าน หายไป ๑ ท่านแล้ว จำไว้ว่าการเข้าไปบวช เราต้องเปลี่ยนเพศภาวะของตนเอง เปลี่ยนกฎกติกาในการดำเนินชีวิต ก็คือนอกจากเปลี่ยนเครื่องแบบแล้วยังต้องเปลี่ยนกติกาด้วย ในเมื่อคุณไม่พยายามทำตามกติกาใหม่ ก็แปลว่าจะผิดพลาดเมื่อใดก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สมควรที่จะบวช"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2012 เมื่อ 15:59 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
![]()
"สำหรับวัดท่าขนุนแล้วไม่แปลก ที่นาคมักโดนไล่ออกทั้งที่ยังไม่ทันได้บวช บางท่านไม่ทันจะขานนาคได้ก็โดนไล่ไปแล้ว เล่นมานอนวัดกระดิกเท้าเปิดเพลงฟังเพลิดเพลินเจริญใจ แถมยังเปิดเผื่อแผ่ห้องข้าง ๆ ด้วย ก็เลยเชิญกลับบ้านไป ให้ไปฟังที่บ้านให้พอ..!
ตอนแรก ๆ ที่อาตมาเข้มงวด หลวงพ่อวัดท่ามะขาม ตอนนั้นท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดอยู่ ท่านบอกอาตมาว่า “ระวังจะต้องอยู่คนเดียว” อาตมาก็กราบเรียนท่านไปว่า "ผมอยู่คนเดียวมาบ่อยแล้ว ไม่กลัวหรอกครับ" แต่ปรากฏว่าพอเข้มงวดเข้า เขาก็เอาลูกมาบวชกันใหญ่ ตัวลูกไม่ได้อยากบวชวัดท่าขนุนหรอก แต่พ่อแม่บังคับให้มาบวช ยกเว้นบางคนที่ไม่เอาไหนจริง ๆ ต้องไปบวชที่อื่น คือลูกเกเรจนพ่อแม่เอาไม่อยู่ ถ้ามาอยู่กับอาตมาต้องโดนไล่ออกอย่างแน่นอน ก็เลยบอกพ่อแม่เขาไปว่าเอาไปบวชที่อื่นเถอะ ถ้าโดนไล่ออกจะเสียมากกว่านี้ ตอนนี้ทางวัดท่าขนุนก็เลยแบกรับข้อหาใหม่ ๆ เยอะแยะ ตอนที่พวกเราปฏิบัติธรรมอยู่ เขาแห่นาคมาเพื่อกราบขอขมาหลวงปู่สายแล้วจะไปบวช พวกเรากำลังนั่งกรรมฐานกันอยู่เต็มศาลา อาตมาก็เลยลงไปขอเขาว่าให้หยุดเรื่องดนตรีไว้ก่อน กราบขอขมาหลวงปู่เสร็จ ไปพ้นวัดแล้วจะใส่กันเต็มที่แค่ไหนก็ได้ เขาก็ไปลือกันว่าวัดท่าขนุนเดี๋ยวนี้กระทั่งแห่นาคก็ไม่ให้แห่แล้ว นอกจากนี้ก็มีประเภทลูกเจ้าพ่อเจ้าแม่ มาแล้วไม่ทำตามกฎวัดก็เลยเชิญเขาอยู่ที่อื่น เขาก็โวยวายว่าปู่ย่าตาทวดเขาก็มาบวชวัดนี้ ทำไมมาถึงรุ่นเขาแล้วถึงบวชไม่ได้ เดี๋ยวก็จะมีข้อหาใหม่ เพราะไม่กี่วันที่ผ่านมาจัดประชุมกรรมการวัดเพื่อเตรียมงานฉลองพัดยศ ปรากฏว่ากรรมการวัดท่านหนึ่งบอกว่าอยากให้ไปจัดที่เทศบาลบ้าง เพราะว่าประชุมที่วัดอย่างเดียวไม่มีอะไรแปลกใหม่ พอไปจัดประชุมที่นั่นอาตมาจึงบอกกับพวกเขาว่า ต่อไปเขาก็จะไปลือกันว่า เดี๋ยวนี้กระทั่งกรรมการวัด อาจารย์เล็กก็ไม่ยอมให้เข้าวัดแล้ว ขนาดประชุมยังต้องไปประชุมที่เทศบาลเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2012 เมื่อ 16:02 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
![]()
"เรื่องพวกนี้เราต้องทำใจว่า อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดไปกรีดหิน แม้องค์พระปฏิมายังราคิน คนเดินดินหรือจะพ้นคนนินทา เก็บเอามาคิดก็เปลืองสมองเปล่า เขาพูดจบเราก็กองไว้ตรงนั้นแหละ เขาไม่เหนื่อยก็ให้เขาพูดต่อไป เหนื่อยเมื่อไรเขาก็เลิกไปเอง ไม่อย่างนั้นถ้าเรามัวแต่เอาคำพูดคนอื่นมาเป็นอารมณ์ จะเสียเวลาเปล่า ๆ
เราไม่สามารถทำให้คนทุกคนพอใจได้หรอก แต่เราต้องทำให้คนส่วนใหญ่พอใจให้ได้ ในเมื่อส่วนใหญ่เขาเห็นว่าการเข้มงวดเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เราก็ต้องทำอย่างนั้น ต่อให้เขาไม่เห็นด้วย อาตมาก็ต้องทำ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีพระเณรที่ชาวบ้านไหว้ได้เต็มไม้เต็มมือ มีภาพที่เขาเจอมาแล้วแต่พวกเขายังไม่รู้สึกตัวกัน ก็คือเวลาเดินบิณฑบาต พอวัดอื่นเดินมาชาวบ้านเขายกขันข้าวหนี หันหลังให้เลย พอพระวัดท่าขนุนบิณฑบาตไปเขาถึงใส่ โดนขนาดนั้นเขาก็น่าจะสำนึกตัวได้แล้ว แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะว่าผู้นำเขาไม่เด็ดขาด โดยเฉพาะตัวเองไม่เคยออกบิณฑบาตเลย ชาวบ้านเขาอยากรู้ว่าอาตมาอยู่วัดหรือไม่ก็ดูตอนบิณฑบาต ถ้าพระอาจารย์อยู่วัดก็จะเห็นว่าออกบิณฑบาต แต่อาตมาก็บอกเขาว่าไม่แน่หรอก ออกบิณฑบาตก็จริง แต่ฉันเสร็จแล้วไปจากวัดก็มี เพราะฉะนั้น..ถ้าจะมาหาตอนหลังเพลยังไม่แน่หรอก บางทีหายไปจากวัดแต่เช้าแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 21-06-2012 เมื่อ 16:03 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
![]()
มีโยมที่สั่งจองวัตถุมงคลไว้แล้วไม่ยอมมารับ ทิ้งไว้ครึ่งค่อนปี จนทีมงานที่สร้างวัตถุมงคลต้องถวายวัตถุมงคลนั้นแด่พระอาจารย์
พระอาจารย์กล่าวว่า "ปกติอาตมาทำอะไรตรงไปตรงมา บอกอย่างไรก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น..ถ้าผิดกติกานี่ไม่ต้องมาอ้อนตีนเลย..! เรื่องของกฎระเบียบต้องตรงไปตรงมา ถ้าไป ๒ มาตรฐานก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลที่แล้ว..! ชาวบ้านแถววัดเขาร่ำลืออยู่อย่างหนึ่งว่า อาตมาตรงไปตรงมาจนน่าเกลียด เพราะเขาไม่เคยชินกับกติกา ที่สำคัญก็คือ ถ้าผิดอาตมาไม่เคยปล่อยใครให้ลอยนวล โดยเฉพาะถ้าเป็นญาติพี่น้องตัวเองนี่จะโดนก่อนเพื่อน ถ้าคนของเราแล้วเราเอาไม่อยู่ เราไปควบคุมคนอื่นเขาไม่ได้หรอก เพราะตัวอย่างมี ดังนั้นถ้าเป็นญาติเป็นโยม เป็นพี่เป็นน้องกันต้องใส่ให้หนัก เวลาคนอื่นทำผิด ถ้าคนของเราทำต้องถือว่าผิดหลายเท่า ด้วยความที่ตรงไปตรงมาก็ทำให้ชาวบ้านจำนวนหนึ่งไม่ค่อยชอบใจ ออกปากว่าจะไม่มาทำบุญวัดนี้อีกแล้ว อาตมาบอกว่าดี เพราะปกติโยมก็ไม่ได้โผล่หัวมาให้เห็นอยู่แล้ว มีปัญหาเมื่อไรคุณถึงมาวัด เพราะฉะนั้นไม่มาได้อาตมาก็สบาย เขาเข้าวัดสมัยเขาบวช แล้วเขามาเข้าวัดอีกทีตอนลูกเขาบวช ถ้าพระต้องรอการอนุเคราะห์จากเขาก็ตายหมดวัดแล้ว เพราะฉะนั้น..ต่อให้คุณมาทำบุญทุกวัน แต่ถ้าคุณฝืนระเบียบก็โดนเท่ากัน ไม่ใช่ว่ามาอุปถัมภ์อุปัฏฐากวัดแล้วจะมีสิทธิพิเศษ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยสอนเอาไว้ว่า “ตอนดีส่วนดี ถ้าตอนไม่ดีก็ว่ากันไปตามระเบียบ” ในเมื่อกติกาประกาศเป็นสากลก็แปลว่ารู้กันทั่วแล้ว ถึงเวลาเขาผ่อนผันให้คนหนึ่ง คนอื่นที่เหลือก็จะมองหน้า ว่าทำไมเขาเองไม่ได้รับการผ่อนผันด้วย ต่อไปก็ไม่สามารถที่จะปกครองใครได้ สมัยแรก ๆ ก็มีพระเณรหลายรูปถือว่าทำประโยชน์ให้กับวัดมาก เคยช่วยงานวัดแบบทุ่มเทมาก่อน แต่พอมาถึงรุ่นของอาตมาแล้วก็โดนเชิญออกจากวัดไป เขาก็ไม่เข้าใจว่าเขาทำประโยชน์ให้วัดขนาดนั้น แล้วทำไมถึงไม่ผ่อนผันให้ ก็บอกว่าทำประโยชน์เป็นส่วนบุญของคุณ แต่ทำผิดต้องลงโทษกันตามระเบียบ ฉะนั้น..ญาติโยมที่มาวัด บางคนยังไม่เจอหน้ายักษ์ของอาตมา เจอแต่หน้าพระ เขาก็ไปเที่ยวคุยกันว่าไหนว่าหลวงพ่อดุ..? ช่วยไปให้ถูกจังหวะหน่อยเดี๋ยวได้โดนแน่นอน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2012 เมื่อ 11:38 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "เดือนนี้วัดท่าขนุนมีงานใหญ่ ๒ งาน ญาติโยมหลายท่านต้องเลือกว่าจะไปงานไหน ยกเว้นว่าใครมีกำลังพอจะไปได้ทุกงานก็ว่าไปอย่างหนึ่ง ในเรื่องของการบุญการกุศล อย่าให้ตนเองและคนอื่นเดือดร้อนเป็นดีที่สุด อย่าบ้าขนาดอาตมา สมัยก่อนนี่วัดท่าซุงมีกี่งานอาตมาไปหมด ทำบุญแค่หมดกระเป๋า แล้วก็ยืมแม่ค้าหน้าวัดกลับ ถึงเวลางานต่อไปก็รีบไปคืนเขา ฉะนั้น..ถ้าอยากเป็นคนน่าเชื่อถือ ยืมใครแล้วได้ ก็ต้องรีบคืนให้เร็วที่สุด บางทีเขาก็บอกว่ารีบคืนทำไม เพิ่งจะไม่กี่วันเอง ?
อาตมาเป็นคนที่เงินหมดไม่จริง เพราะจะมีเงินฉุกเฉินติดตัวอยู่ตลอด สมัยนั้นธนบัตรใบใหญ่ที่สุดก็คือ ๕๐๐ บาท จะมีใบละ ๕๐๐ สองใบพับเล็ก ๆ ใส่ไว้ในกรอบพระ เป็นกรอบพระสเตนเลส พับใส่ไว้ข้างหลัง องค์พระอยู่ข้างหน้า ไม่มีใครอยากได้พระ เพราะว่าไม่ใช่พระเก่า เป็นพระใหม่ สมัยนั้นเงินหนึ่งพันบาทไปอยู่สุดเหนือสุดใต้ก็กลับบ้านได้แน่นอน ถ้าฉุกเฉินขึ้นมาค่อยงัดขึ้นมาใช้ กลับถึงบ้านเมื่อไรก็รีบใส่คืนไป ใครจะเอาวิธีนี้ไปใช้บ้างก็ได้ แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็จะมีเงินฉุกเฉินติดตัวอยู่ ถ้าหมดจริง ๆ ก็จะเอาเงินฉุกเฉินขึ้นมาใช้ เป็นส่วนสำรอง เขาเรียกว่าไม้ตายสุดท้าย พูดง่าย ๆ ว่า ต่อให้โดนปล้น โจรก็คงไม่อยากได้สร้อยสเตนเลสกับพระใหม่ ๆ หรอก ถึงเขาเอาเราไปทิ้งไว้กลางทางเราก็กลับบ้านได้ ส่วนนี้ได้มาจากหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่าสมัยที่ท่านบวชอยู่ ท่านจะมีเงินติดย่ามอยู่ ๒๐๐ บาทเป็นปกติ แปลว่าฉุกเฉินอะไรขึ้นมาท่านขึ้นรถขึ้นเรือที่ไหนก็ได้เลย อาตมาลองมาบวกลบคูณหารดูแล้ว สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวสองชาม ๕ สตางค์ เงินจำนวนนั้นจะอยู่ที่ประมาณแปดแสนบาท เพราะฉะนั้น..มาถึงสมัยนี้ ได้โปรดอย่าพกเงินถึงแปดแสนบาท เดี๋ยวเดือดร้อนตำรวจ ติดตัวไว้สักสองพันบาทก็ได้ ถือว่าเป็นธนบัตร ๒ ใบ พับเล็ก ๆ ซุกไว้ที่ไหนก็ได้ แต่ตอนซักผ้าต้องจำให้ได้นะ จำไม่ได้เผลอไปซักเข้าก็เยินหมด"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2012 เมื่อ 11:41 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "การเรียนบาลีสมัยนี้ เขาเรียนปทรูปสิทธิหรือบาลีไวยากรณ์ชั้นสูง ซึ่งเป็นแค่มุมเดียวของมูลกัจจายน์ แล้วลองคิดดูว่ารุ่นหลวงปู่ รุ่นหลวงพ่อเราเรียนมูลกัจจายน์ทั้งนั้น รุ่นเราเรียนแค่มุมเดียวนะ แสดงว่าปัญญาของคนทรามลงจริง ๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้
สมัยก่อนเขาเรียนมูลกัจจายน์กันสนุกสนาน สมัยของเราขนาดธรรมบท ๘ ภาค ยังเหลือแค่ ๔ ภาค แต่พม่าเขาท่องหมด อย่างวัดจองคำที่ลำปางก็เอาแบบพม่าชัด ๆ เลย ท่องให้ได้ทุกคำไว้ก่อน ถึงเวลาตอบได้แน่นอน ตอนที่ พระพิมลธรรม วัดมหาธาตุ ไปพม่า แล้วก็คงอยากจะอวดประโยคความรู้ตัวเอง ก็ไปถามอาจารย์ใหญ่ที่นั่นว่า “คำนี้ ความหมายที่แท้จริงควรจะเป็นอะไร ?” อาจารย์เขากวักมือเรียกเณรที่กำลังประเคนน้ำว่า "ช่วยอธิบายให้อาจารย์จากเมืองไทยฟังทีซิ" โห..ขายหน้าไป ๓ ประเทศเลย ประโยค ๙ จากเมืองไทยต้องไปฟังเณรจากพม่าอธิบายให้ฟัง..! ที่พม่าเขาเรียนลึกกว่าเราเยอะ พอถึงระดับบาลีปารคูนี่เขาใช้ภาษาบาลีเป็นการสนทนาในชีวิตประจำวัน บาลีปารคูนี่แปลว่าผู้ถึงฝั่งแห่งบาลี ขึ้นฝั่งได้แล้วก็ไปเรื่อยแหละ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-06-2012 เมื่อ 11:42 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#97
|
||||
|
||||
![]()
พระอาจารย์กล่าวว่า "ที่พม่าพอจบประโยค ๘ เทียบเท่าประโยค ๙ ของเรา เขาจะมีบาลีปารคู ใช้บาลีในการสนทนาประจำวัน คุยกันด้วยภาษาบาลี อาจารย์ใหญ่ยานิกะพูดมาเป็นชุด ๆ อาตมาฟังแทบไม่ทัน ท่านพูดอังกฤษมาอาตมาฟังไม่ทัน ท่านพูดภาษาพม่าอาตมาก็ฟังไม่ได้ แต่พอท่านพูดภาษาบาลีมา พอจะฟังได้บางส่วน ท่านจึงพูดภาษาบาลีเป็นหลักเลย
ท่านมาขอไม้เก่า เสาเก่า ที่รื้อศาลาวัดหนองบัวไป เอาไปทำศาลาการเปรียญของท่าน อาตมาเรียนท่านว่า ทำไมไม่ขอจากลูกศิษย์ เพราะลูกศิษย์ของท่านคือครูบาเมียงจีงู เป็นที่เคารพนับถือของทหารทั่วประเทศ ถ้าครูบาใหญ่เอ่ยปากคำเดียว ทหารคงขนมาถวายถึงวัดเลย ท่านบอกว่า ไม่แน่ใจว่าไม้พวกนั้นเสียภาษีถูกต้องหรือเปล่า ? กลัวโดนอาบัติปาราชิก ท่านบอกว่าจะสร้างศาลาปฏิบัติธรรมเพราะท่านปฏิบัติแล้วเห็นประโยชน์ และตั้งใจว่าชีวิตนี้จะเอาความเป็นโสดาบันให้ได้ ฉะนั้น..ต้องรักษาศีลให้มากไว้ ถึงลูกศิษย์เป็นใหญ่เป็นโตท่านก็ไม่ไปเอา มาขอไม้เก่า ๆ ของอาตมาไปทำ สบายใจกว่า" ถาม : ไม่พร่องศีลแม้แต่นิดเดียว การเป็นพระโสดาบันก็มีใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถ้ายังละเมิดศีลแปลว่าไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ในเมื่อเราไม่เชื่อ ก็แปลว่าเรายังไม่เคารพท่านจริง กติกาข้อแรกยังไม่ได้เลย ถาม : เพราะความชั่วมีมากกว่า ตอบ : ก็เพราะความชั่วมีมากกว่าก็เลยไปเชื่อกิเลส แทนที่จะเชื่อพระพุทธเจ้า เวลาเห็นท่านที่เคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย รู้สึกว่าอยากสนับสนุนท่าน ท่านเองก็ไปลูบ ๆ คลำ ๆ พระแก้วมรกตหน้าตัก ๓๐ นิ้ว "ถ้าได้ที่วัดผมสักองค์จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง" แหม..ไม่ได้ขนไปง่าย ๆ นะหลวงพ่อ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2012 เมื่อ 15:35 |
สมาชิก 169 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#98
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : ชาติที่แล้วได้พระโสดาบัน คนเป็นพระโสดาบันจะมาเกิดอีกไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : เกิด ถาม : ถ้าชาติใหม่ เขาจะเข้าใจไหมว่าเขาเป็น ? ตอบ : เป็นโดยอัตโนมัติ ถาม : มีโอกาสศีลบกพร่องไหมคะ ? ตอบ : ไม่มี..ตัวตายก็ไม่ยอมให้ศีลขาด ไม่รู้ว่าทำไม ? แต่ต้องทำอย่างนั้น ถาม : มีเหตุผลไหมคะ ? ตอบ : มี..แต่ไม่รู้เหตุผล (หัวเราะ)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2012 เมื่อ 15:36 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#99
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : พุทธภูมิเขามีโอกาสผิดศีล...?
ตอบ : พระโพธิสัตว์เมื่อปฏิบัติไปถึงช่วงท้าย ๆ แล้ว อารมณ์ใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ท่านจะไม่ยอมผิดศีลเลย เพราะถ้าอารมณ์ไม่เทียบเท่าพระอริยเจ้า ไม่รู้อารมณ์ตรงนั้น แล้วท่านจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร ? นอกจากท่านจะรู้แล้ว ยังรู้ละเอียดกว่าหลายเท่า แบบเดียวกับที่พระโพธิสัตว์เป็นชายตัดฟืน จะไปเก็บดอกบัวในสระ ผีเสื้อน้ำบอกว่าพระโพธิสัตว์ขโมย ท่านบอกว่าคนอื่นเก็บได้ แล้วทำไมท่านเก็บถึงบอกว่าเป็นขโมย ผีเสื้อน้ำบอกว่าคนอื่นเป็นชาวบ้านทั่วไป เก็บได้ไม่มีความผิด แต่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ปรารถนาพระโพธิญาณ จะไปเป็นครูสอนคนอื่นเขา ถ้าใจไม่ละเอียดพอแล้วจะไปสอนคนอื่นได้อย่างไร ? ฉะนั้น..สิ่งที่คนอื่นถือเอา โดยปกติถือว่าไม่ผิด ส่วนท่านถือเอานั้นผิด ผีเสื้อน้ำถือว่าเขาเป็นเจ้าของสระ เก็บดอกไม้ในสระเขาถือว่าคุณขโมยของเขา แต่ชาวบ้านทั่วไปเก็บได้ ถาม : ผีเสื้อน้ำเป็นยักษ์หรือเปล่าครับ ? ตอบ : ก็เป็นพวกยักษ์ประเภทหนึ่ง แต่อยากจะบอกว่าเป็นอสุรกายด้วยซ้ำไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2012 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 168 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#100
|
||||
|
||||
![]()
ถาม : มีหลานพิการทางสมอง เคยพาเขาไปบ้านอนุสาวรีย์ ตอนหลังไม่ค่อยพามา หลังจากเขานอนที่โรงพยาบาล ตัวเขาใหญ่ขึ้น เลือดออกในกระเพาะ ถ้าเขาไม่สะดวกมาที่นี่ ควรทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : หาเทปเสียงพระสวดเปิดให้เขาฟัง ยิ่งเสียงสวดทิเบตยิ่งดี เนื่องจากมีเสียงไพเราะ อย่างน้อย ๆ ก็ให้ใจเขาเกาะความดีไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2012 เมื่อ 15:37 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|