|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : ที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติพระวินัยมาว่า ห้ามกลืนเลือด เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : แต่แรกพระองค์ท่านห้ามภิกษุฉันอาหารที่เป็นเนื้อสด แล้วท้ายสุดมีคนสงสัย ไปถามพระองค์ท่านว่า ถ้าเป็นเลือดในปากของตัวเอง พระองค์ท่านก็ตรัสว่าไม่ควรกลืน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2010 เมื่อ 11:52 |
สมาชิก 152 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเป็นเมื่อก่อนหนูมองเข้าไปในร่างกาย ก็จะเห็นเป็นลำไส้เล็ก ลำไส้น้อย แต่ตอนนี้เห็นในลักษณะที่ว่าข้างในไม่มีอะไร เห็นเป็นแค่รูป และข้างในโล่ง ๆ โปร่ง ๆ ว่างเปล่า ตรงนี้คือ แค่จิตกับรูปใช่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เหลือแค่รูปกับนาม ถาม : ตอนนี้เป็นในลักษณะผู้ดูแล้ว อย่างมองร่างกายก็เห็นในลักษณะมีความเสื่อมไป มีความสกปรกของมัน แต่ทีนี้เมื่อก่อนจะมีความรู้สึกที่จะไปต้าน ไปฝืนไม่ให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ยอมรับว่าร่างกายเราเป็นอย่างนี้ เรามองในลักษณะเป็นผู้ดู ใช่หรือไม่คะ ? ตอบ : ใช่ ถาม : แต่ก็เห็นว่าเวลาคลายกำลังใจออกมา ตัวที่เล่นงานเราก่อนเป็นอันดับแรก คือ ตัวมานะ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ ถ้าหนูไม่คลายกำลังใจออกมาเลย จะตัดหรือทำให้เบาบางได้หรือเปล่าคะ ? ตอบ : ถ้าไม่บี้ให้ตายไปเลย หลุดเมื่อไรมันก็งอกงาม ไม่เป็นไรหรอก ถ้าโผล่หัวขึ้นมาเราก็ตีให้ยุบไปเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-06-2010 เมื่อ 12:16 |
สมาชิก 146 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าเรื่องการใช้ปัญญาแก้ปัญหา ให้ฟังว่า
"คุณตัน ภาสกรนที ที่ทำชาเขียวโออิชิ นอกจากเป็นคนเก่งแล้วยังรู้จักประเมินตัวเองด้วย ช่วงที่โออิชิกำลังรุ่ง ๆ อยู่ คุณตันขายหุ้น ขายแล้วมีพ่วงโปรโมชั่นด้วยว่า ใครซื้อไปเขาจะไปบริหารให้ เท่ากับตัวเองเก็บเงินสามพันล้านเอาไว้แล้วไปเป็นลูกจ้าง ไปบริหารให้เขาต่อ บริษัทจะเจ๊งหรือไม่ก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง เพราะรับเงินเดือนแล้ว สายตาเขายาวไกลมาก เพราะเห็นจุดอิ่มตัวแล้ว จะเห็นว่าตอนนี้ปั่นอย่างไรก็ฮือไม่ขึ้น ก็ต้องไปประเทศเพื่อนบ้านเราอย่างลาวหรือเขมร ตอนไปที่เขมร เขาขายชาเขียวแถมตุ๊กตาหมีตัวหนึ่ง วันแรกผ่านไปขายได้แค่ไม่กี่ขวด แต่คุณตันไปยืนดูอยู่ เขาเห็นว่าทุกคนที่ผ่านมาจะจับตุ๊กตาหมีดู แสดงว่าเขาอยากได้ตุ๊กตาหมี เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่ เป็นขายตุ๊กตาหมีแถมชาเขียว คนเขมรก็ซื้อกันกระจายเลย พอคนชิมชาเข้าไป เห็นว่าเข้าท่าเขาก็ไปซื้อกินกันเอง คนเราต้องปรับตัวให้ทัน ถ้าเป็นพวกเราทั้งวันลงไป ๓,๐๐๐- ๔,๐๐๐ ขวด ขายได้แค่ ๕ - ๖ ขวด ก็หน้ามืดแล้ว แต่นี่เขาสังเกตดูว่าลูกค้าที่เข้ามา โดยเฉพาะผู้หญิงกับเด็กจะจับตุ๊กตาหมีมาพลิกซ้ายพลิกขวาดูกันทุกคน เขาก็เลยเปลี่ยนใหม่เป็นขายตุ๊กตาหมีแถมชาเขียว นี่คือปัญญาในการแก้ไขปัญหา ต้องพลิกแพลงเอาไปใช้ในสถานการณ์จริงได้ เราดูตัวอย่างของเขาแล้ว ต้องเอามาดูตัวเราด้วยว่า ถ้าเราอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะเอามาแก้ไขอย่างไร ถ้าสามารถทำตรงจุดนี้ได้ เรื่องของการปฏิบัติธรรมก็ไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจ เพราะว่าการปฏิบัติสำคัญที่สุดก็คือ ทำแล้วสามารถเอาไปใช้จริงได้ ส่วนใหญ่พวกเรารับมือกับเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ทัน ยิ่งเหตุการณ์ฉุกเฉินบางทีก็อึ้งไปเลย อย่างเช่นพอเป็นลมขึ้นมาก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราจะตาย ให้นึกถึงพระก็ไม่เอาแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2010 เมื่อ 03:01 |
สมาชิก 151 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
"อีกรายหนึ่งคือ เจ้าของสาหร่ายทอด ตราเถ้าแก่น้อย ตอนแรกเขาทำขายครึ่งหนึ่งแจกครึ่งหนึ่ง สมมติว่าทำมาห้าหมื่นซองเขาก็ขายแค่สองหมื่นห้า อีกสองหมื่นห้าที่เหลือเขาแจก โดยเฉพาะแจกผู้หญิง เน้นเป้าหมายเลยนะ
เขาบอกว่าผู้หญิงชอบกินของจุกจิกไปเรื่อย และถ้ารสชาติถูกปาก ไม่ต้องห่วงเลย ผู้หญิงจะบอกปากต่อปากกันให้เอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องเสียค่าโฆษณา ค่างบโฆษณาของเขาก็คือ ครึ่งหนึ่งที่แจก และเขาก็ประสบความสำเร็จ ตอนนี้ยอดรายรับเดือนหนึ่งเป็นร้อยล้าน แสดงว่าเขามองคนออก ใช้คนเป็น เรากลายเป็นเครื่องมือของเขาโดยไม่รู้ตัว นักเศรษฐศาสตร์เขาถึงได้สรุปว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เขาแจกเราฟรี แต่ไม่ใช่ของฟรีเรา เพราะว่าเท่ากับจ้างเราโฆษณานั่นเอง สมัยก่อนที่ไปอยู่บึงลับแล ไม่ได้แบกของไปเต็มอัตราเหมือนพวกเราหรอก เอาบะหมี่สำเร็จรูปและสาหร่ายอบแห้งไป ลองต้มบะหมี่ใส่สาหร่ายอบแห้งสิ รสชาติเด็ดอย่าบอกใครเลย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2010 เมื่อ 17:38 |
สมาชิก 149 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความสะดวกสบายยิ่งมีแก่พวกเรามากเท่าไร ยิ่งจำเป็นต้องฝึกลูกฝึกหลานให้หัดสมาธิให้มากเท่านั้น เพราะเมื่อเขาได้รับการตอบสนองทุกอย่างที่รวดเร็ว ทำให้กลายเป็นคนใจร้อน ใจเร็ว รออะไรไม่ได้ ถ้าขาดในเรื่องของสมาธิมาช่วย จะเป็นเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง น่าสงสารมาก
มีลูกมีหลานพยายามจับให้หัดสมาธิให้ได้ อย่างน้อย ๆ จะได้เป็นประโยชน์แก่เขาในภายหน้า ไม่ต้องถึงขนาดตายแล้วไปสวรรค์ ไปพรหม หรือไปนิพพานหรอก เอาให้แค่รู้จักระงับยับยั้งชั่งใจตนเองได้ก็พอ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อครู่ไปบ้านเพื่อนมา เขาเชิญลูกศิษย์หลวงพ่อสมัยก่อนมาช่วยตั้งพระพุทธรูปให้ เขายืนยันว่าตั้งหันหน้าไปทิศตะวันตกได้ ผมก็เถียงว่าหลวงพ่อสั่งไว้ ห้ามเด็ดขาด เขาบอกว่า พระอยู่ที่เราเคารพ ถ้าตั้งตรงไหนแล้วเราไม่เคารพ ก็แค่นั้นแหละ เหตุผลเขาก็ดี แต่ผมว่าเขาคงเกิดอีกนาน เลยมาถามท่านดีกว่า
ตอบ : จะถามทำไม อาตมาบอกไปนานแล้ว ถาม : ผมเป็นห่วงเพื่อนครับ ไม่รู้จะบอกอย่างไรดีว่าฉิบหายแน่นอน ตอบ : ไม่แน่เขาอาจจะรุ่ง ถาม : ทำไมละครับ? ตอบ : ก็เขารู้สึกว่าดี ถ้ากำลังใจเขาเข้มแข็ง สำเร็จด้วยใจขึ้นมา อาจจะดีกว่าที่เราคิดเสียอีก รอดูไปก่อนก็แล้วกัน ถ้าเขาเจ๊งแล้วค่อยไปสะกิดบอกเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 141 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : เวลานั่งสมาธิบางครั้งเห็นหลวงพ่อแล้ว รู้สึกรักหลวงพ่อสุดจิตสุดใจเลย อารมณ์อย่างนี้ดีหรือไม่ดีครับ ?
ตอบ : ดี..แต่รักษาให้อยู่ด้วย ถ้าหากว่ารักจริง รักษาให้อยู่ แล้วตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ? ส่วนใหญ่จะรักแค่ตรงนั้น พอรักษาไม่อยู่ก็สลายไป บางทียังมานั่งเสียดายว่า หายไปไหนหว่า ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ถาม : สวดคาถาเงินล้านวันละ ๑๐๘ จบ ถ้าเราสวดตอนเช้า ๑๐๘ จบไปเลย กับอารมณ์สบายสวดทั้งวันให้ได้ ๑๐๘ จบ อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ทั้งวันดีกว่า เพราะใจเป็นกุศลมากกว่า ถาม : ทำไมเวลาเราสวดมนต์ บางครั้งรู้สึกอึดอัดเครียด เหมือนไม่อยากสวดเลยครับ ? ตอบ : กิเลสมาร เขากลัวเราจะได้ดีก็ต้องขวาง ถือเป็นเรื่องปกติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 03:09 |
สมาชิก 142 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเรานั่งกรรมฐานที่บ้าน แล้วส่งกำลังใจแบบมโนมยิทธิว่า เรามานั่งข้างหน้าท่าน จะเหมือนกันไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เหมือน เพราะความชัดเจนยังไม่ได้ ถ้าหากความชัดเจนได้ด้วยถึงจะเหมือน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 03:10 |
สมาชิก 139 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ถาม : การที่เราคิดว่า เอาพระองค์นั้นแขวน องค์นี้แขวน องค์นั้นก็ดี องค์นี้ก็ดี อย่างนี้เป็นพุทธานุสติหรือฟุ้งซ่านครับ ?
ตอบ : ฟุ้งซ่าน แต่ยังอยู่ในพุทธานุสติ ถาม : ขาดความมั่นใจใช่ไหมครับ ? ตอบ : ของมีก็ใช้ คนเรากินอาหารรสเดียวกันทุกวันยังรู้สึกเบื่อ ก็ต้องเปลี่ยนบ้าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-06-2010 เมื่อ 09:08 |
สมาชิก 140 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงพระรูปหนึ่งว่า "เมื่อเช้ามีโยมจากลพบุรีมาขอพระไปอยู่ที่นั่น โยมเขาบอกว่า ยกที่ตรงนั้นให้พระอาจารย์สมปอง แล้วก็เอาพระของเราไปอยู่
ความจริงพระท่านเพิ่งบวชไม่นาน คราวนี้สิ่งที่ท่านทำมักจะขัดกับคนอื่นเขา ท่านก็เลยอยู่ที่วัดท่าขนุนไม่ได้..ขอออกจากวัดไป คาดว่าไปหาพระอาจารย์สมปอง ท่านก็เลยยกที่ให้ส่วนหนึ่ง โยมเขาก็ดีใจว่ามีพระไปดูแล ก็เลยมาที่นี่ จะมาขอคำแนะนำ อาตมาบอกว่า "ไม่มีคำแนะนำ พระท่านเพิ่งบวชไม่นาน ศีลมีอะไรบ้างก็ยังรู้ไม่ครบ ถ้าหากว่าโยมเอาไปอยู่ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นโยมก็รับผิดชอบเองแล้วกัน เพราะว่าเขาพ้นจากวัดไปก็ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของอาตมาแล้ว..!" เรื่องนี้จริง ๆ แล้วความผิดอยู่ที่พระ เรียนทางโลกมาก็สูง คือ จบปริญญาโท แต่ว่าทางโลกกับทางพระนั้นคนละเรื่องกัน เราจะมีความมั่นใจอะไรสักเท่าใดก็ตาม จะเอามาใช้กับเรื่องของศีล สมาธิ ปัญญาไม่ได้ เพราะเป็นคนละส่วนกัน ประสบการณ์ทางโลกไม่ใช่ประสบการณ์ทางธรรม พระพุทธเจ้าก็ระบุไว้ชัดว่า ถ้ายังไม่ได้ ๕ พรรษาขึ้นไป ก็ยังไม่ได้นิสัยมุตตกะ ยังต้องอยู่ภายใต้การปกครองดูแลของครูบาอาจารย์ ท่านรู้ทั้งรู้ แต่ว่าเป็นคนชอบไปเรื่อย ๆ อยู่ไม่เป็นที่ ที่ออกจากวัดไปเพราะวัดมีระเบียบไว้ว่าลาได้กี่วัน แต่ไม่เพียงพอกับเวลาที่ท่านจะไป ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ส่วนที่เสียหายมากที่สุดคือพระศาสนา พระที่ไปอยู่ยังไม่มีคุณภาพพอ ไม่ว่าปริยัติหรือปฏิบัติยังไม่สามารถรักษาตัวเองได้ แล้วยังต้องรับภาระไปดูแลสถานที่ ซึ่งถ้าได้ยินไม่ผิดก็คือ พื้นที่ ๓๐ ไร่ ยิ่งถ้าต้องมีการก่อสร้างมีอะไรเข้าไปด้วย โดยที่กำลังใจของตนเองยังไม่มั่นคง ก็จะเกิดความเสียหายขึ้นแก่ตัวเองก่อน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2010 เมื่อ 11:52 |
สมาชิก 138 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
หลังจากนั้นแล้วความเสียหายก็จะกว้างออกไป อย่างเช่นว่า อาจารย์เล็กฝึกลูกศิษย์มาได้แย่ขนาดนี้เชียวหรือ ? ไม่มีดีกว่านี้แล้วใช่ไหม ? ก็บรรลัยเราอีก..!
เรื่องทั้งหลายเหล่านี้พระพุทธเจ้าจึงได้สรุปว่า ศาสนาพุทธจะโดนทำลายจากคนในเท่านั้น ไม่ใช่จากคนนอก ก็คือจาก ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อย่าว่าแต่การเรียนรู้และศึกษาธรรมให้แตกฉานเลย แม้กระทั่งศีลและอภิสมาจารมีอะไรบ้าง ก็ยังรู้ไม่ครบ ก็เลยไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าเกิดญาติโยมเขามีงานอะไรขึ้นมา จะไปปฏิบัติให้ถูกต้องตามศาสนพิธีได้หรือเปล่า ? เราพูดมากก็ไม่ได้ เพราะว่าถ้าพูดมากไปก็เหมือนไปลดความน่าเชื่อถือของเขา ขณะเดียวกันคนที่ไม่เข้าใจก็จะมองว่าเราอิจฉาลูกศิษย์ ก็เลยไม่อยากให้ไปได้ดี ทั้ง ๆ ที่เขาผิดพระวินัยมาตั้งแต่ต้น การไปอยู่ลักษณะนั้นเท่ากับฝืนคำของพระพุทธเจ้า เท่ากับโดนอาบัติศีลขาดอยู่ทุกวัน จึงเป็นเรื่องที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก พอโยมเขาถามว่ามีคำแนะนำอะไรบ้าง ถึงได้บอกไปสั้น ๆ ว่า "ไม่มี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2010 เมื่อ 11:54 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
ถาม : ทำบุญอะไรจะได้บุญสูงสุดคะ ?
ตอบ : บุญสูงสุดจริง ๆ ก็คือ ทำตัวให้เป็นพระอริยเจ้า ไม่ต้องเสียเวลาไปทำภายนอก ถาม : แต่ถ้าเป็นทานบารมีละคะ ? ตอบ : ทานบารมีเป็นสิ่งที่ต่ำสุด สูงขึ้นไปเป็นศีล แล้วเป็นภาวนา ถ้าทำทานบารมีแล้วบอกจะเอาสูงสุด ชาตินี้ก็คงจะไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-06-2010 เมื่อ 20:18 |
สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราฝึกสมาธิ โดยกำหนดจิตไว้ที่ท้องน้อยหรือเหนือสะดือ แล้วกำหนดคำภาวนาว่า รู้ รู้ รู้ อย่างนี้จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้อยู่ แต่ว่าเป็นคำภาวนาเท่านั้น สำคัญที่ตรงสติ ว่าเรารู้ตามจริงหรือเปล่า ? ถ้าหากสติรู้ตามจริงก็จะเป็นวิปัสสนาก็คือ กำหนดรู้เฉพาะหน้า แต่ถ้าไม่ใช่สติรู้ตาม เราสักแต่ว่า รู้ รู้ รู้ ก็เป็นสมถะเต็ม ๆ เพราะเท่ากับสร้างสมาธิให้เกิด ถาม : ถ้าเอาจิตตามไปในที่สุดผลจะเป็นอย่างไรบ้างครับ ? ตอบ : ถ้ากำหนดรู้ไปเรื่อยก็จะอยู่กับปัจจุบันไปตลอด ในเมื่ออยู่กับปัจจุบันตลอด จิตไม่ส่งไปในอดีตไม่ส่งไปในอนาคต ก็ตัดทุกข์ที่จะเกิดขึ้นได้เยอะเลย ถาม : ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือตรงจุดนี้หรือเปล่าครับ ? ตอบ : เกือบจะใช่ เป็นแค่สติในปัจจุบันเท่านั้น จะเป็นผู้รู้จะต้องมี สติ สมาธิ ปัญญา มากกว่านี้ ถาม : ผมนึกว่ากำหนดคำว่ารู้ ๆ แล้วภาวนาไปจนจิตลุกโพลงขึ้นมา หมายความว่าเราเกิดตัวรู้ขึ้นมาแล้ว แต่จริง ๆ ยังไม่ใช่ ใช่ไหมครับ ? ตอบ : ยังไม่ใช่ เพราะว่าตัวรู้ที่แท้จริง ต้องรู้ในอริยสัจ ส่วนใหญ่ตัวรู้ของเราที่รู้มา เป็นแค่สติที่เกิดขึ้นในสมาธิที่เราสั่งสม อีกอย่างที่เราว่ามา เท่ากับเป็นการตั้งใจปฏิบัติในสมถะ โดยใช้คำว่ารู้ เป็นคำภาวนาเสียด้วยซ้ำไป ถ้าจะเอารู้จริง ๆ จิตอยู่ในสภาพตื่นอยู่ตลอดเวลา นั่นจะต้องรู้ในอริยสัจและจะต้องยอมรับแล้ว ในเมื่อยอมรับแล้วว่าทุกอย่างเป็นทุกข์ ปล่อยวางลงได้ ไม่ไปปรุงแต่งอะไรอีก จิตอยู่กับปัจจุบันตลอด ก็จะเป็นผู้ตื่น ไม่ถูกตัณหาและอวิชชาทับถมเอาไว้ ถาม : ก็เป็นแค่สมถะอย่างหนึ่ง ? ตอบ : เป็นแค่สมถะ แล้วหลังจากนั้นจะเป็นบาทให้ก้าวไปสู่วิปัสสนาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2010 เมื่อ 02:55 |
สมาชิก 123 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ถาม : ระหว่างกำหนดเป็นดวงแก้ว กับกำหนดเป็นพระพุทธรูป
ตอบ : จัดเป็นกสิณ เพียงแต่กำหนดภาพพระพุทธรูปเราได้พุทธานุสติเพิ่มขึ้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม |
สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
ถาม : เวลามีเรื่องเกิดขึ้นกับเรา เราคิดว่าเป็นกรรมของเรา แต่หลัง ๆ เริ่มคิดว่าเป็นธรรมดาของโลกที่เป็นแบบนี้ การคิดแบบไหนจะดีกว่ากัน?
ตอบ : เอาทั้งสองอย่างมารวมกัน ธรรมดาของโลกเป็นแบบนี้ ในเมื่อเราทำไว้ เราก็ต้องยอมรับ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2010 เมื่อ 02:56 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ถ้าหากว่าบ้านวิริยบารมีเสร็จ ขอความกรุณาอย่าเอารถส่วนตัวไป เพราะหน้าบ้านเป็นซอยแคบ ๆ แค่รถเก๋งคันหนึ่งขับได้และกลับรถไม่ได้ ส่วนด้านนอกริมถนนรถก็จอดได้ไม่กี่คัน
ถ้าให้สะดวกก็ไปแท็กซี่หรือรอรถไฟฟ้าช่วงสองเสร็จ จะลงหน้าบ้านพอดี ถ้าใครคิดว่าอาตมาขู่ก็ลองเอารถไปดู ปกติอาตมาก็ชอบขู่เขาแบบนี้ บอกพวกที่ไปบึงลับแลว่า ไม่ไหวหรอกเดี๋ยวจะเป็นลมเสียเปล่า เขาก็บอกว่า โอ๊ย..ไม่เป็นไรหรอก..ไปได้ จะแค่ไหนเชียว อาจารย์แก่แล้วยังไปได้เลย.. สรุปว่าเป็นลมตั้งแต่เนินแรก แต่อาจารย์ไปเนินสุดท้ายยังสบายดีอยู่เลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2010 เมื่อ 02:57 |
สมาชิก 129 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
ถาม : เดี๋ยวนี้ผมแยกไม่ออกว่า ภิกษุรูปไหนควรทำบุญด้วย รูปไหนไม่ควรทำบุญด้วย พิจารณาดูอย่างไรครับ ?
ตอบ : ภิกษุทุกรูปควรทำบุญด้วย..! ถาม : เห็นจริยวัตรท่านแล้ว... ตอบ : ยกเว้นว่าเราโง่พอ ถ้าโง่พอก็จะเลือกที่ทำบุญ..! พระท่านจะดีจะชั่วก็เรื่องของพระ เราตั้งใจถวายเป็นสังฆทานก็จบแล้ว ถาม : เวลาเราจะทำอะไรเพื่อพระศาสนา ทำไมมีปัญหาสารพัดเยอะแยะเลยครับ ? ตอบ : การทำความดีก็ย่อมมีสิ่งขวางเป็นปกติ โดยเฉพาะทำความดีโดยไม่รู้กาลเทศะ..! ต้องดูด้วยว่าเหมาะควรไหม ถึงเวลาแล้วหรือยัง ไม่ใช่คิดจะทำก็ทำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-06-2010 เมื่อ 12:42 |
สมาชิก 127 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ถาม : จะมีญาณเครื่องรู้เกิดขึ้นว่า เหลืออีกเท่าไร จะต้องทำอีกแค่ไหน ใช้กรรมฐานกองไหน และเราเห็นว่าจะตัดได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ตัดฉับในทันที ตรงนี้คือต้องย้ำอีก ?
ตอบ : กำลังยังไม่พอ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยเฉพาะตรงจุดกำลังใจของเราเอง ถ้าหากว่ายังไม่เด็ดขาด แปลว่า สมาธิอาจจะอ่อนไปด้วย เหลือเชื่อ..เราจะคิดว่าปัญญาถึง มองเห็นทางแล้วจะไปได้..ไม่ใช่ มองเห็นทางแต่ถ้ากำลังไม่ถึง ก็ไปไม่รอดเหมือนกัน ถาม : บางทีหนูก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน กลัวว่าจะเป็นการประมาท เพราะเวลาคลายกำลังสมาธิออกมา ใช่..กำลังใจเท่ากับตอนสมาธิสูง แต่ก็ไม่แน่ว่าจะพลาดตกลงมาเหมือนเดิมหรือเปล่า ตอบ : ตกแค่นี้ (ทำมือ) ไม่ตกไปมากกว่านี้แน่.. ถาม : กำลังใจไม่เอาเพศตรงข้าม ไม่เกิดความรู้สึกอยากได้เขามาเป็นแฟน แต่ก็ยังเมตตาเขา สนใจเขา ตอบ : ถ้าหมดรัก หมดโกรธไปเลยจะปลอดภัยกว่า ถ้ายังไม่ถึงตรงนั้น ยังมีสิทธิ์ที่จะหงายท้องได้ตลอดเวลา ถาม : หนูสังเกตอย่างหนึ่งว่า บางคนเขาไปไล่ตัวรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่หนูไม่ถนัดในตัวนั้น ตรงนี้เป็นลักษณะปัจจัตตังของแต่ละคนใช่ไหมคะ ? ตอบ : เป็นเฉพาะของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องศึกษาเยอะ ๆ เอาอย่างเดียวให้แน่จริง ก็ไปได้แล้ว รู้มากก็ยากนาน แต่ส่วนใหญ่อยากรู้ให้มากที่สุด ไป ๆ มา ๆ ก็ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2019 เมื่อ 20:12 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถาม : ระหว่างกำลังใจ กับสติ สมาธิ ปัญญาเป็นอย่างเดียวกันหรือต่างกันคะ ?
ตอบ : อย่างเดียวกัน ศีล สมาธิ ปัญญา จะเป็นกำลังใจที่เรียกว่าบารมี โดยเฉพาะตัวสมาธิจะทำให้กำลังใจทรงตัวดี ถาม : ตอนแรกหนูก็แยกไม่ได้ค่ะ หนูอยากบอกว่า ตอนนี้มีความสุขมากกว่าเดิม เหมือนยกภูเขาออกจากอก โล่ง เบา ถึงแม้ยกออกไม่หมด แต่ก็มีความสุข ตอบ : ให้สังเกตไว้ว่าอารมณ์ก็ดี งานการก็ดี เวลาที่เราวางแล้วจะเบา ในเมื่อรู้แล้วที่เหลือก็อย่าไปแบกไว้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2010 เมื่อ 03:05 |
สมาชิก 119 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|