|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : ผมจะเอาพระนิพพานครับ ?
ตอบ : ของอย่างนี้ต้องลงมือทำ ไม่ใช่ดีแต่ปากพูด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 14:56 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกคุณจะทราบหรือไม่ทราบก็บอกให้รู้ว่า วัตถุมงคลของวัดท่าขนุน อาตมาก็ต้องควักเงินส่วนตัวบูชาเอง ไม่ใช่ว่าสร้างเองแล้วรับฟรี เพราะฉะนั้น..ถ้าช่วงไหนมีเงินส่วนตัวเหลือมากก็บูชาได้หลายองค์ ถ้าช่วงไหนมีน้อยก็อาจจะได้องค์เดียว ถ้าช่วงไหนไม่มีก็ไม่ได้เลย บางคนอาจจะคิดว่าเจ้าอาวาสเก็บเอาเองก็ได้ อาตมาไม่เคยใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าอาวาส"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 14:56 |
สมาชิก 235 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ถาม : เมื่อครู่มองที่พระพุทธรูปแล้วเห็นว่า วัตถุในโลกมีเพียงเท่านั้น สร้างเป็นพระพุทธรูปได้ดีที่สุดก็เท่านั้น แบบนี้เรียกว่าเห็นอะไรคะ ?
ตอบ : ลักษณะของการกระจายออกก็ต้องรวมเข้ามาอีกทีหนึ่ง ในเมื่อถึงที่สุด เห็นความเป็นจริงแล้ว แล้วก็ย้อนกลับมาอีกทีหนึ่ง เพราะว่าสมมติทั้งหลายจริง ๆ ก็ยังเป็นประโยชน์ สมมติที่เป็นประโยชน์อยู่ อย่างเช่นรูปพระ จัดเป็นพุทธานุสติ ถ้าหากว่าเราเอาจิตเกาะท่านไว้ก็เป็นการไม่ประมาท เราจะได้ไม่พลาดจากความดี อยู่ในลักษณะของคนที่ถึงพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังทรงความไม่ประมาทเป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าเราไปเห็นเฉย ๆ ว่าสิ่งนี้ไม่มีอะไรเลย เดี๋ยวจะออกอาการแบบเดียวกับวัดสามแยก ถึงเวลาก็เหยียบพระพุทธรูปได้ ตบพระพุทธรูปได้ หลอมพระพุทธรูปไปชั่งกิโลขายได้ เพราะเห็นว่าไม่มีอะไร ถาม : ไม่ได้เห็นว่าไม่มีอะไร แต่เห็นว่าพระพุทธรูปแม้จะสร้างด้วยวัตถุชั้นดีอะไรในโลก ก็เทียบไม่ได้เลยกับความเคารพพระที่มีอยู่ในใจค่ะ ? ตอบ : พูดง่าย ๆ ว่าสิ่งภายนอกเป็นแค่วัตถุเท่านั้น ความมั่นคงใจจริง ๆ อยู่ในใจของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 14:57 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า “ท่านใดที่บูชาสมเด็จองค์ปฐม ๙.๙ นิ้วไปก็ดี หรือสมเด็จองค์ปฐมลอยองค์ไปก็ดี ให้ตั้งใจสวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบทุกเช้า ขอบารมีพระท่านช่วยสงเคราะห์ อานุภาพที่เด่นที่สุดก็คือถ้าใครคิดร้ายจะแพ้ภัยไปเอง คำว่าใครในที่นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะมนุษย์ จะเป็นอมนุษย์ เทวดา มาร พรหมอะไรก็ตาม ถ้าคิดไม่ดีกับเราซึ่งบูชาท่านอยู่ ตัวเขาจะเดือดร้อนเอง ต้องบอกว่าอานุภาพครอบจักรวาลแบบนี้อยากได้มานานแล้ว
แต่ถ้าจะเอาอานุภาพแบบมหาสะท้อนก็ต้องพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดิน เนื้อทองคำอาตมาใส่ชนวนเหรียญพุทธบารมีทองคำลงไป ๑๓ บาทเศษ เนื้อเงินใส่ตะกรุดมหาสะท้อนลงไป ๓๐ ดอก มีคนถามว่าทำไมต้อง ๓๐ ดอก ? อ๋อ..พอดีมีอยู่แค่นั้น ถ้ามีเยอะกว่านั้นก็จะใส่อีก..! ตะกรุดมหาสะท้อนรุ่น ๕ เนื่องจากจ้างทางโรงงานเขาปั๊มให้ จึงต้องมาตอกโค้ดของเราเอง ฝีมือม้วนของคุณมะลิแก้ว ดังนั้น..ถ้าหากใครคิดจะปลอมก็ต้องปลอมโค้ดด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าโค้ดเล็กจิ๋วเดียว การสร้างวัตถุมงคลรุ่นหลัง ๆ มา ๓-๔ รุ่นมักจะมีโค้ดซ่อนอยู่ ถ้าท่านใดตาดี ๆ ก็จะเห็น เหรียญพุทธบารมีก็มีคนมาถามว่าจุด ๆ นี้คืออะไร แสดงว่าตาดีมองเห็นเหมือนกัน ก็เอาแว่นขยายส่องดูหน่อยสิ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 14:59 |
สมาชิก 219 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ถาม : ในขณะทุติยฌานละวิตก วิจาร แล้วเป็นฌานโดยไม่มีวิตกได้อย่างไร ?
ตอบ : สภาพจิตจะก้าวข้ามไปเอง เราไม่ต้องเสียเวลาไปตัดไปละอะไรทั้งนั้น พอสมาธิดิ่งลึกขึ้นไป ก็จะทิ้งวิตกวิจารไปโดยอัตโนมัติ เหมือนเราก้าวพ้นจากบันไดขั้นนี้ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เราไม่ต้องไปรื้อบันไดทิ้งหรอก แค่ไม่ไปยุ่งกับขั้นนั้นเท่านั้นเอง ถาม : คือทรงอยู่ตรงนั้น แต่ไม่สนใจ ? ตอบ :ลักษณะเหมือนกับที่เราเดินจงกรมยกย่างเหยียบ พอเรายกก็สมมติว่าเป็นวิตก เราย่างนี่เป็นวิจาร เราเหยียบนี่สมมติว่าเป็นปีติก็แล้วกันนะ พอเราย่างขั้นตอนในการยกก็จะหายไปเอง ไม่ต้องไปทิ้ง พอเราเหยียบ ขั้นตอนการย่างก็จะหายไป เราก็ไม่ต้องไปทิ้งขั้นตอนนั้น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าสภาพจิตดำเนินดิ่งลึกไปเรื่อย ๆ ตามระดับสมาธินั้น ๆ เอง เสียเวลาที่จะไปทิ้ง บางคนพยายามจะไปทิ้ง แล้วเมื่อไรจะทิ้งได้ ไม่ต้อง...จะเป็นไปเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 18:17 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : ผู้ที่ได้ฌาน ต้องจำเป็นไหมว่าต้องรู้ว่าตนได้ฌานอะไร ?
ตอบ : ถ้าสามารถศึกษาขั้นตอนไว้ก่อน ถึงเวลาเข้าถึงก็จะรู้เลยว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหน แต่ถ้าไม่ศึกษาไว้ก่อน เท่าที่พบมา หลายท่านทำได้เยอะมากเลย แต่ไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ถาม : จำเป็นต้องรู้ ? ตอบ : ไม่จำเป็นที่จะต้องไปรู้ ขอให้ทำได้ เพราะว่าทันทีที่ตัวเองทำได้ ก็จะมีอำนาจไปกดรัก โลภ โกรธ หลงให้ดับลงได้ชั่วคราว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 18:18 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : เรานึกถึงดวงกสิณ ถ้าเป็นฌานที่สอง ไม่ต้องนึกหรือครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว ถ้าใจเรายังจดจ่ออยู่ สภาพดวงกสิณที่เปลี่ยนแปลงนั่นแหละ คือสภาพจิตที่ดิ่งลึกเป็นสมาธิสูงไปเรื่อย ๆ เอง ถาม : แสดงว่าผู้ที่คล่องในฌานสองแล้ว เป็นผู้ที่มีดวงกสิณอยู่ตลอดเวลา ? ตอบ : สามารถที่จะทรงเองได้ อยู่ในลักษณะที่เรียกว่าเป็นปฏิภาคนิมิต ถาม : ในทุกอิริยาบถเลย ? ตอบ : ใช่..แต่คราวนี้ถ้าเผลอก็ลืม ต้องมาตั้งต้นใหม่ ยกขึ้นมาใหม่ เผลอขาดสติเมื่อไรก็ลืม สมมติว่าเผลอหลับก็ลืม ถ้าสภาพจิตหลับกับตื่นรู้ไม่เท่ากัน ดวงกสิณก็จะหาย ก็ต้องเสียเวลายกขึ้นมาใหม่ ถาม : ต้องยกขึ้นฌานหนึ่งใหม่ ? ตอบ : ใช่...การที่ยกขึ้นมาต้องเริ่มตั้งแต่อุคหนิมิตเลย นั่นเป็นส่วนของแค่ปีติ หรือว่าแค่วิตกวิจารก็ได้ แล้วแต่ความหยาบละเอียดของสภาพจิตของเราในตอนนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-07-2015 เมื่อ 18:19 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วที่บอกว่าเข้าฌานสี่ได้ทันทีเลย ?
ตอบ : ถ้ามีความคล่องตัว บาลีเรียกว่า สมาปัชชนวสี ก็คือมีความคล่องที่จะเข้าสมาธิทุกระดับที่ต้องการได้ ถ้าลักษณะอย่างนั้นบางทียังไม่ทันคิดอะไรก็ไปแล้ว อาตมามีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง ก็คือหลวงพ่อพระครูสุวรรณจันทนิวิฐ ท่านเป็นลูกศิษย์เรียนปริญญาโท แต่อายุท่านมากกว่า พรรษาท่านมากกว่า ท่านมีความสามารถในการเข้าฌาน แต่ไม่มีความคล่องตัวในการออก บางทีพอหมดเวลา เพื่อนต้องช่วยกันยกท่านที่แข็งทื่อเอาไปไว้ที่อื่น จะได้ไม่เกะกะเขา เขาจะได้เก็บกวาดสถานที่ได้ บอกหลวงพ่อท่านให้ตั้งเวลาไว้ ท่านไม่เข้าใจคำว่าตั้งเวลา ในเมื่อไม่เข้าใจคำว่าตั้งเวลาแล้วตูจะไปทำอะไรได้ ? บอกว่า "หลวงพ่อตั้งใจไว้สิ..ว่าอีก ๑ ชั่วโมงเราจะเลิก" หรือจะเอากี่ชั่วโมงก็ว่าไป คราวนี้ท่านขาดวุฏฐานวสี ความชำนาญในการออกจากฌาน มีแต่สมาปัชชนวสี ความชำนาญในการเข้าฌาน ในเมื่อขาดวุฏฐานวสี ไม่สามารถที่จะออกได้ตามที่ตนเองต้องการ ก็ต้องรอจนกว่าสมาธิจะคลายเอง เขาอุ้มท่านไปตั้งไว้ที่อื่นเสียนานเลย ถาม : ท่านได้สมาบัติที่คล่องในการเข้า ? ตอบ : นั่งพักเดียวก็เข้าได้เลย แต่คราวนี้ท่านตั้งเวลาออกไม่เป็น เขาถึงได้แยกวสีออกเป็น ๕ แบบ ท่านเองไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาได้ แล้วขำที่สุดก็คือ เขามีพุทธาภิเษกจนกระทั่งเลิกแล้ว หลวงพ่อท่านก็ยังนั่งอยู่อย่างนั้น จนท้ายสุดท่านเจ้าคุณแย้ม (พระราชวิริยาลังการ) เจ้าอาวาสวัดไร่ขิงก็บอกให้ช่วยกันยกเอาไปตั้งไว้ที่อื่นก่อนก็แล้วกัน ทำอย่างกับยกหุ่นหรือรูปปั้น ถาม : ตัวท่านไม่มีปัญหา ? ตอบ : ไม่มีปัญหา เพราะสมาธิท่านอยู่ข้างใน ไม่รับรู้อาการภายนอกอยู่แล้ว ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า ฟ้าผ่าข้างหูก็ไม่รู้สึก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:09 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเข้าปฐมฌานจะไม่รู้สึก ไม่ได้ยิน หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ปฐมฌานยังรู้สึกอยู่ ความรู้สึกยังอยู่ที่ตัวครบถ้วน แต่ว่าไม่สนใจ มีความรู้สึกอยู่ ใครจะสัมผัส ใครจะพูดอะไร ยังรู้ ยังได้ยินอยู่ทุกอย่าง แต่ว่าไม่ไปสนใจเท่านั้น ก็คือไม่สามารถไปทำให้ท่านสะเทือนจนกระทั่งออกมารับรู้ข้างนอกได้ ยกเว้นว่าท่านจะตั้งใจรู้เอง ถาม : ถ้าคล่องตัวในสมาบัติมาก จะไม่ได้ยินเสียงเลย ? ตอบ : ถ้าเข้าถึงจริง ๆ รู้ทุกอย่างแต่ไม่สนใจ ที่บอกว่าไม่ได้ยินอะไรเลยจริง ๆ ก็ได้ยิน ไม่รู้ลมหายใจเลยจริง ๆ ก็รู้ แต่ว่ารู้ในลักษณะที่สักแต่ว่ารู้เฉย ๆ ซึ่งขั้นตอนนี้เกินจากที่เราอ่านตำราไป ต้องบอกว่าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเปิดทางสายใหม่ให้พวกเราก็คือมโนมยิทธิ โดยปกติแล้วยกจิตออกไปก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรกับร่างกายนี้ได้เลย แต่ท่านขอบารมีพระ ขอบารมีครูบาอาจารย์ให้สงเคราะห์ว่า ให้สามารถตอบโต้ได้ เพื่อคนที่ไปไม่ได้จะได้รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น ตรงจุดนี้จึงกลายเป็นทางสายใหม่ เพราะปกติสมาธิในระดับนั้นจะไม่สามารถรับรู้เรื่องภายนอกได้ แต่อาศัยที่พระหรือว่าครูบาอาจารย์ท่านสงเคราะห์ ทำให้เราสามารถรู้ได้ แรก ๆ อาตมาก็แปลกใจ เอ๊ะ..ปกติสมาธิระดับนี้ต้องไม่รู้เรื่องภายนอก ทำไมเรารู้วะ ? ปกติต้องพูดไม่ได้ ทำไมเราพูดได้ ? แต่กว่าจะบังคับให้ตัวเองพูดได้ ต้องขยับแล้วขยับอีก กว่าที่สมาธิจะตรงล็อกให้เราพูดได้ ถาม : ไม่ใช่เราเลื่อนสมาธิให้มารับรู้ ? ตอบ : แรก ๆ กว่าจะบังคับตัวเองได้ บางทีก็แข็งทื่ออยู่ตั้งนาน มีอยู่เที่ยวหนึ่งที่ลูกศิษย์เขาโทรศัพท์มาตอนตี ๒ กว่า แล้วอาตมาเฝ้าหลวงปู่มหาอำพันที่ท่านป่วยอยู่ ด้วยความที่กลัวว่าเสียงโทรศัพท์จะไปกวนหลวงปู่ พอโทรศัพท์ดัง อาตมาก็ปราดไปถึง ยกหูขึ้นมา แล้วก็ยืนแข็งทื่ออยู่ท่าอย่างนั้น แล้วก็รู้ตัวว่า นี่ตูยังหลับอยู่นะ ยังหลับอยู่ สมาธิยังลึกมากเลย บังคับร่างกายให้ไปคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา แต่ยังพูดไม่ได้ ยังต้องขยับอีกตั้งนานกว่าที่จะพูดกับเขาได้ ถาม : อันนั้น คือ เราคลายสมาธิออกมารับรู้แล้วรีบกลับเข้าไปใช่ไหมคะ ? ตอบ : เป็นการเข้าออกสมาธิเร็วเกินไป ตอนนั้นยังไม่มีความชำนาญ ยังบังคับไม่ได้อย่างใจ ถาม : เข้าออกเร็วมาก ? ตอบ : ใช่..เข้าออกเร็วมาก วิ่งไปถึงเครื่องแล้วพอยกโทรศัพท์ขึ้นมา ดันกลับเข้าไปสู่สมาธิเดิม เลยทำให้พูดไม่ได้ ถาม : ลักษณะที่เรามีสมาธิต่อเนื่องแล้วทำอะไรได้นี่ แสดงว่าเราเข้า-ออกได้เร็ว ? ตอบ : เราต้องเข้าออกได้เร็วพอ ก็คือมีความชำนาญในการเข้าและการออก แต่การต่อสู้ส่วนใหญ่จะเป็นการถอยออกมาจากสมาธิระดับสูง โดยที่กำลังของสมาธิระดับนั้นยังคุมเราอยู่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 12-07-2015 เมื่อ 08:31 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ถาม : การเจริญอนิจจสัญญาจำเป็นต้องมีสติปัฏฐานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จำเป็นต้องมี เพราะถ้าหากขาดสติเมื่อไร ก็จะกลายเป็นนิจจัง แล้วไม่เป็นอนัตตา คือปัญญาจะไม่ยอมรับทันทีเลย เพราะว่าสภาพจิตมีความดื้อเป็นปกติ ในเมื่อเราเห็นว่าไม่เที่ยง เผลอเมื่อไรก็จะมาเถียง ที่พระพุทธเจ้าเตือนไว้ว่า การเมาวัย ก็คือเมาว่าเรายังหนุ่มยังสาวอยู่ แล้วก็เมาชีวิต ก็คือถึงเวลาไม่ไปคิดว่าอนิจจัง ไม่คิดว่าแก่แล้ว ไม่คิดว่าจะตาย ถาม : อย่างนี้ความเข้าใจชั่วครั้งชั่วคราวเราเรียกว่าปัญญา ? ตอบ : เป็นปัญญาชั่วคราวเหมือนกัน อาจจะเป็นแค่จินตามยปัญญา ก็คือคิดได้ แต่ว่ายังไม่เป็นภาวนามยปัญญา ก็คือใจยังไม่ยอมรับจริง ๆ แต่ว่าให้ได้เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่ได้นี่เท่ากับเรายังห่างอีกมากเลย ถาม : ที่ท่านบอกว่า เข้าถึงอนิจจสัญญาจะสามารถละอสมิมานะได้ ? ตอบ : ก็ถ้าเห็นว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ก็ไม่รู้จะไปยึดถือมั่นหมายทำอะไร ตัวกูของกูก็เลยไม่มี ในเมื่อตัวเองไม่เที่ยงอย่างนี้ ในฐานะอื่น ๆ โดยเฉพาะทางโลกที่เขายกให้ จะมียศ มีตำแหน่งอะไร ก็ยิ่งไม่เที่ยงเข้าไปใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 161 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ครูบาอาจารย์บางท่านกล่าวว่า สภาพจิตของเรามีความกลับกลอกเป็นปกติ แต่ความจริงก็คือต้องบอกว่ากิเลสเก่งกว่า ในเมื่อกิเลสเก่งกว่าถ้าเราก้าวพ้นไม่ได้จริง ๆ ถึงเวลาก็โดนดึงกลับ ก็เลยเป็นประเภทเบื่อ ๆ อยาก ๆ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
ถาม : ในเรื่องจับภาพพระ เราควรกำหนดภาพพระปางพระนิพพานหรือเปล่า ? มีพี่คนหนึ่งบอกว่า เราควรกำหนดภาพพระพุทธชินราช ?
ตอบ : ในเรื่องของภาพพระ ให้เอาที่เรารักเราชอบมากที่สุด เพราะว่าจิตจะได้ยึดเกาะได้ง่าย เขาชอบ..ไม่ใช่เราชอบ เพราะฉะนั้น..ไม่จำเป็นต้องไปตามเขา ถ้าเรากำหนดภาพพระปางพระนิพพานก็จะได้อุปสมานุสติด้วย ก็คือพระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนนอกจากที่พระนิพพาน ในเมื่อเราเห็นท่านก็คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน ถึงเวลาเราก็แปะตัวเองอยู่บนนั้นเลย ตายก็จบ..ไม่ต้องเสียเวลาทำอะไรอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:19 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
ถาม : บางท่านเจริญอนิจจสัญญา บางท่านเจริญทุกขสัญญา ?
ตอบ : แล้วแต่ความถนัดความชำนาญของแต่ละคน บางคนดูทุกข์แล้วเห็นง่าย แต่บางคนบอกว่าดูทุกข์แล้วเศร้าหมอง ก็หันไปดูความไม่เที่ยงแทน ถาม : ก็ทุกข์เหมือนกัน ? ตอบ : เหมือนกัน..ความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์ ความไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทั้ง ๓ อย่าง มีอย่างใดอย่างหนึ่งก็มีครบ ๓ อย่างเลย ก็คือในเมื่อเห็นว่าไม่เที่ยง สิ่งที่ไม่เที่ยงก็ต้องเป็นทุกข์ ในเมื่อไม่เที่ยง แล้วเป็นทุกข์ เราจะไปยึดถือมั่นหมายได้อย่างไร ? เรื่องความทุกข์กับอนัตตาก็เหมือนกัน เพียงแต่ว่าคนที่ยังไม่เข้าถึงจริง ๆ ก็จะเห็นทีละอย่างไปก่อน พอเห็นจนคล่องตัวจริง ๆ แล้วถึงจะอ๋อ..ที่แท้ ๓ อย่างก็รวมกันอยู่ในอย่างเดียวนั่นแหละ ถาม : การเจริญอนิจจสัญญาใช้การจำเอา นึกเอา ? ตอบ : แรก ๆ เป็นการจำ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ ใจยอมรับแล้ว คราวนี้ไม่ใช่จำแล้ว เป็นปัญญา ก็คือจากจำได้กลายเป็นทำได้ จากสัญญากลายเป็นปัญญา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:20 |
สมาชิก 166 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
ถาม : พิจารณากายคตานุสติ แต่ใจไม่ยอมรับเสียที ?
ตอบ : สภาพจิตของเราต้องพยายามยกขึ้นไปเรื่อย ๆ ก่อน พิจารณาไปเรื่อย ๆ จนกว่าเขาจะยอมรับ ต้องย้ำแล้วย้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถาม : ทำผิดด้วยครับ ? ตอบ : มีหลายคนทำผิด ในเมื่อเห็นว่าทุกข์จึงพยายามปรนเปรอกายให้มีความสุข เลยยุ่งกันใหญ่ ยิ่งยึดหนักเข้าไปอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วความรู้สึกหายไป ?
ตอบ : สติขาด แสดงว่าสภาพของจิตหยาบไปนิดหนึ่ง พอเริ่มเข้าสู่สมาธิขั้นสูง จิตกับประสาทต้องแยกออกจากกัน เราเองก็ไปเข้าใจผิดว่าหายไป แต่ความจริงไม่ใช่ สภาพจิตละเอียดไม่พอ ก็เลยตามสมาธิไม่ทัน ถาม : ต้องทำอย่างไรครับ ? ตอบ : ต้องเอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจี้ติดกับลมหายใจเข้าออก ให้สังเกตว่าทันทีที่หลุดจากลมเมื่อไรก็หายไปเมื่อนั้น ต้องเอาใจจี้ติด ๆ ไปเลย แรก ๆ ก็จะหลุดอยู่เรื่อย พยายามแล้วพยายามอีก เดี๋ยวความคล่องตัวดีขึ้น สภาพจิตก็จะตามทันได้เอง ถ้าตามทันได้ก็จะก้าวข้ามตรงนั้นไป ต่อไปก็จะไม่ต้องมาเสียเวลาในขั้นตอนนี้อีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:22 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
มีโยมเอาพระกริ่งเนื้อทองคำมาถวาย พระอาจารย์กล่าวว่า "สรุปว่าถ้าไม่เปิดกระทู้คนมีเงินเหลือกินเหลือใช้ให้เขาบูชาไป อาตมาจะมีพระกริ่งทองคำมากที่สุด นี่เพิ่งได้มาอีก ๑ องค์ แสดงว่าคนรวยมีเยอะมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 02:23 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
ถาม : พยายามคิดหาวิธีตัดโทสะ แต่พอครั้งหนึ่งตอนนั่งสมาธิก็รู้สึกขึ้นมาเองว่า จนป่านนี้แล้วไม่รู้หรือว่าโทสะไม่ดีอย่างไร ? คอยเผาใจเราอยู่ตลอดเวลายังไม่รู้ว่าไม่ดีอีกหรือ ? แล้วถ้ารู้ว่าไม่ดีแล้วการจะตัดยังยากอีกหรือ ? แต่แม้ว่าเรารู้แล้ว พอถึงเวลามีเหตุมากระทบ โทสะก็ยังคงเกิดอยู่ดี ?
ตอบ : ถ้าสติยังไม่ทันโทสะก็จะเกิด เหตุที่โทสะเกิด ก็เพราะเข้าทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เข้ามาแล้วเราไม่ชอบใจก็จะเป็นโทสะ ถ้าเข้ามาแล้วชอบใจก็เป็นราคะ แสดงว่าสติของเราไม่ทัน ในเมื่อสติไม่ทัน ทั้งราคะ โลภะ โทสะ โมหะ สามารถกำเริบได้ทุกเวลา ก็แปลว่าต้องสร้างสมาธิให้มากกว่านี้ เพื่อสติจะได้มั่นคงและแหลมคมว่องไวขึ้น ถาม : ระหว่างวันพยายามทรงสมาธิไว้ แล้วก็คอยดูอยู่ค่ะ แต่บางครั้งพอมีเรื่องกระทบนี่เห็นเลยว่าโทสะขึ้น แต่ก็ขึ้นแบบไม่เต็มที่ค่ะ ขึ้นเหมือนโดนล็อกคอเอาไว้ แบบนี้ก็คือสมาธิยังไม่พอใช่ไหมคะ ? ตอบ : ยังไม่พอ เพราะว่าเราจะต้องเห็นโทษ พอเห็นโทษแล้วก็เบื่อหน่าย แล้วก็วางลง ยังเหลืออีกหลายขั้นตอน ตอนนี้เราเห็นโทษแล้ว รู้หน้าตาของโทสะแล้ว แต่ยังวางไม่ลง ว่าแล้วก็สู้ต่อไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 14:55 |
สมาชิก 170 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
ถาม : ผมจะทำบุญบ้าน ถ้าพื้นที่เราไม่พอ นิมนต์พระมา ๕ รูปได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าทำบุญจะเป็น ๕ รูป ๗ รูป ๙ รูปก็ได้ ปกติแล้วบางบ้านเอาแค่ ๓ รูปเท่านั้น แต่อาตมาเห็นว่าไม่ครบองค์สงฆ์ ไม่เป็นสังฆทาน เพราะฉะนั้น..ถ้าคิดจะทำบุญ แค่ ๕ รูปก็ได้แล้ว ทำไปเถอะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 14:55 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ถาม : มีข่าวลือว่าท่านจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมรุ่น ๒ ครับ ?
ตอบ : ในเมื่อเป็นข่าวลือ..แล้วคุณจะไปกังวลอะไรกับข่าวลือ ? ถาม : ผมต้องการข้อมูลจริงครับ ? ตอบ : ถึงมีข้อมูลจริงก็ไม่บอก เพราะว่าทุกวันนี้เผลอไม่ได้หรอก ขนาดอุตส่าห์ประกาศให้บูชาวัตถุมงคลก่อนเวลาแค่ ๓-๕ วัน ก็ยังเอาไปลงเว็บ จำหน่ายของได้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีของในมือ พออาตมาประกาศว่า มีพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินจำหน่ายวันที่ ๒๐ มิถุนายน ประกาศล่วงหน้าแค่ ๕ วัน ประกาศวันนั้น เขาก็ไปออกเว็บวันนั้นเลยว่าเชิญจองพระกริ่งปลดหนี้ ๒ แผ่นดินเนื้อเงิน ราคา ๖,๙๐๐ บาท โอนแล้วรับวันที่ ๒๐ เขาสามารถจับเสือมือเปล่าได้ทุกเวลา ต้องบอกว่าเป็นความสามารถที่เราตามไม่ทัน..! เพราะฉะนั้น..อย่าถามให้เสียเวลา เก็บเงินไว้ก็แล้วกัน ถ้ามีก็จองได้เอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 15:22 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ช่วงนี้อาตมาจ่ายค่าเล่าเรียนของพระเณรเดือนละประมาณ ๑ แสนบาท ถ้าเดือนไหนค่าเทอมออกก็ราว ๆ ๘ แสนบาท ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าจะเรียนก็ไปบวชชี เดี๋ยวจะส่งให้ เรียนเสร็จก็สึกได้ ถ้าอยู่ที่วัดท่าขนุน อาตมาส่งพระเณรเรียนโดยไม่มีข้อแม้ เรียนจบจะสึกไปทำงานก็ไม่ได้ว่าอะไร"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-07-2015 เมื่อ 16:28 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|