|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : ขอขยายความเรื่องวัญจกธรรมหน่อยครับ มีเวลาก็พาคุยเพลิน ๆ
ตอบ : เวลาไม่พอหรอก ถ้าจะเอารายละเอียดต้องเอาตำรามากางว่ากันทีละข้อ ให้รู้ว่าแต่ละข้อนั้นล้วนแล้วแต่มีข้ออ้างให้เข้าใจผิดได้ทั้งสิ้น การเข้าใจผิดนั้นก็มักจะอยู่ในลักษณะการเข้าข้างตนเอง ดังนั้น..ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมนั้น ห้ามปรารภตนเองเป็นใหญ่เด็ดขาด ถ้าขึ้นชื่อว่าตัวเองดีเมื่อไรก็เตรียมตัวเจ๊งได้เลย ถาม : ผมลองฟังดูคร่าว ๆ แล้ว สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน เลยอยากจะเรียนถามว่า มีจุดเครื่องเตือนใจอะไรไหมครับว่าเข้าข่ายแล้ว ? ตอบ : สมัยก่อนที่ปฏิบัติอยู่ที่วัดท่าซุง จะมีธรรมสากัจฉาหลังปฏิบัติกรรมฐานภาคค่ำ คุยกันไปคุยกันมาในระหว่างพี่น้อง ว่าแต่ละคนปฏิบัติอย่างไร ถึงเวลาติดขัดจะแก้ไขอย่างไร ท้ายสุดก็มาเรื่องที่กิเลสหลอกเราอย่างไร สรุปลงได้ว่า ทุกคนมีคาถาบทสุดท้ายประจำตัวว่า “กูไม่เชื่อมึง” โดยเฉพาะถ้าเขาบอกว่าเราดีแล้ว อย่าพึงเชื่อเป็นอันขาด ก่อนจะออกจากวัดประมาณ ๒ - ๓ พรรษา มีอยู่คืนหนึ่งขณะที่นอนอยู่ในเรือ เพื่อดูแลรักษาปลาหน้าวัด ตื่นขึ้นมาภาวนารู้สึกว่าอารมณ์ใจโปร่งเบาดีมาก กิเลสต่าง ๆ สงบเงียบเรียบร้อยไม่มีวี่แววเลย รู้สึกว่าผ่องใสเป็นพิเศษ ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า เราน่าจะเข้าถึงธรรมส่วนใดส่วนหนึ่งแล้ว ความเคยชินที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนไว้ก็คือ ถ้าอยากรู้ว่าตนเองเข้าถึงธรรมในส่วนไหน ให้พิจารณาเปรียบเทียบกับสังโยชน์ ๑๐ จึงค่อย ๆ ไล่ไปทีละข้อ ๆ เมื่อดูละเอียดจนถึงปลายแล้วย้อนทวนต้น ถึงต้นแล้วย้อนทวนปลายอยู่ ๓ รอบ สรุปได้ว่าติดครบทุกข้อ..! แต่ตอนนั้นกำลังของสมาธิหนักแน่นมากเป็นพิเศษ กิเลสก็เลยดับสนิทลงชั่วคราว ถามว่ากิเลสตายไหม ? ไม่ได้ตายหรอก หลบไปนอนที่ไหนก็ไม่รู้ เผลอเมื่อไรก็กลับมาใหม่ ดังนั้น..เรื่องของการปฏิบัติจะเชื่อว่าดีแล้วไม่ได้เป็นอันขาด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:52 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ตอนที่มาอยู่เกาะพระฤๅษี..มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งไปปฏิบัติธรรมอยู่ที่นั่น ติดขัดตรงไหนก็สอบถาม มีการแนะนำเป็นการเฉพาะตัว แล้วเขาเก่งมาก สามารถที่จะทำตามได้แทบทุกขั้นตอน จนกระทั่งวันหนึ่งแม่สาวก็มาปรารภว่า “หลวงพ่อ..คนเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นจะต้องตายเลย” ก็บอกกับเขาไปว่า ถ้าเป็นฆราวาสตายแน่ เขาบอก “ไม่เห็นหนูจะตายเลย..!”
เขาสามารถที่จะทรงฌาน แล้วรักษาอำนาจของสมาธิต่อเนื่องได้เป็นเดือนเป็นปี กิเลสไม่เกิด เขาก็เลยเข้าใจว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้ว ในเมื่ออาตมาพูดแล้วเขาไม่เชื่อ เมื่อมีสิ่งอื่นแทรกเข้ามา ในลักษณะของการรู้เห็น เขาก็ไปเชื่อทางด้านนั้นแทน ปัจจุบันนี้มีลูก ๔ คน สามี ๒ คน..! เพราะตอนนั้นโดนหลอกว่า เกิดมาแล้วต้องรับหน้าที่สำคัญในการรักษาประเทศชาติ โดยเฉพาะเมื่อตนเองเข้าถึงความบริสุทธิ์แล้ว ถ้าอยากจะช่วยโลกนี้ให้ดีจริง ๆ ก็คือต้องสร้างเผ่าพันธุ์ซูเปอร์ฮิวแมนขึ้นมา เพราะว่าสามีก็บริสุทธิ์ ภรรยาก็บริสุทธิ์ ลูกเกิดมาจะต้องดีแน่ ๆ เลย ไป ๆ มา ๆ ก็เลยสบาย นั่งเลี้ยงลูกไปก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:46 |
สมาชิก 215 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ถาม : อย่างนี้ประมาทไม่ได้เลย
ตอบ : เผลอเมื่อไรก็จะโดนดึงออกนอกทางไป เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ ถาม : เรื่องของการปฏิบัติยิ่งทำไปเรายิ่งต้องระวังมากขึ้น หรือเราทำได้แล้วก็ไม่ต้องระวังรักษาแล้ว เป็นอย่างไรครับ ? ตอบ : ถ้าปฏิบัติได้แล้วต้องมีการทบทวนอยู่เสมอ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยังบอกว่า “ถึงเป็นพระอรหันต์แล้วก็ยังพิจารณาธรรมอยู่เสมอ เพื่อความอยู่สุขของตนเอง และเพื่อความไม่ประมาท” แปลว่ายิ่งทำได้ยิ่งขยัน ถ้าทำได้แล้วทิ้งโอกาสที่จะตายมีสูงมาก..! ถาม : คือว่ายิ่งปฏิบัติไป ความไม่ประมาทยิ่งเพิ่มมากขึ้น ผมก็เข้าใจผิดว่ายิ่งทำไปแล้วสบาย ๆ ตอบ : เพราะว่าสบายก็เลยไม่ได้ไปไหนสักที ถ้าลำบากก็ตะกายไปไกลหน่อย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเราซื้อของเตรียมมาถวายพระ แต่ของเสียกลางทางโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ แล้วเราไม่ได้นำไปถวายพระ เราต้องชำระหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ไม่ต้อง..เพราะยังเป็นของ ๆ เราอยู่ สิ่งที่ควรทำก็คือ สร้างสติตัวเองให้ดีกว่านั้น เพราะว่าสติของตนเองบกพร่องก็เลยเกิดเรื่องอย่างนี้ บางทีญาติโยมบางท่านก็เหมือนกัน ไม่เข้าใจตรงจุดนี้ ไปนั่งเสียอกเสียใจอยู่เป็นนาน จิตใจเศร้าหมองอยู่ ถ้าตายตอนนั้นก็ขาดทุน บางท่านซื้อปลาไปปล่อย พอเทลงน้ำก็หงายท้องตายไปเลย แล้วก็ไปนั่งเสียอกเสียใจว่าเราทำให้ปลาตาย เขาเรียกว่าหลงประเด็น เจตนาของเราคือซื้อปลาไปปล่อย เราได้ปล่อยแล้ว ส่วนวาระกรรมของปลาเขาหนัก ไม่สามารถจะอยู่รอดได้ก็เป็นเรื่องของเขาแล้ว ถ้าเป็นอาตมาเห็นหงายท้องก็ช้อนกลับบ้าน เอาลงหม้อเรียบร้อยไปแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:48 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ถาม : ที่ท่านกล่าวว่าการปฏิบัติเชื่อถือไม่ได้ ก็คือ ?
ตอบ : คำว่าเชื่อถือไม่ได้ก็คือเชื่อว่าตัวเองดีไม่ได้ ถ้าคิดว่าตัวเองดีเมื่อไรโอกาสที่จะเสียมีสูงมาก เพราะว่าถ้าคิดลักษณะอย่างนั้น อันดับแรกก็คือสักกายทิฐิ ตัวกูของกู ถูกวัญจกธรรมหลอกอีกแล้ว หลอกว่าเราดีแล้ว ขณะเดียวกันก็แบกมานะ คือความถือตัวถือตน อย่างที่ได้กล่าวแล้วว่า ทำไมเราถึงดี ก็ดีเพราะเราไปเปรียบกับคนอื่น กลายเป็นยกตนข่มท่านไป มานะเต็ม ๆ เลย ถาม : ตัวเองอย่าไปเชื่อถือ ? ตอบ : อย่าคิดว่าตัวเองดี
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : ความรู้สึกกลัวความตาย กลัวการพลัดพราก เพิ่งมาเกิดเมื่อไม่กี่วันมานี้ แล้วต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : แปลว่ากำลังในการปฏิบัติของเรายังอ่อนมาก ให้ไปเน้นในเรื่องของอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกให้มากไว้ อานาปานสติทำให้สมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่น ถ้าสมาธิของเราทรงตัวตั้งมั่นปัญญาจะเกิด จะเห็นว่าจริง ๆ แล้วความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก เป็นธรรมดา ธรรมชาติของกายสังขารของเราและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในเมื่อความตายมีเป็นปกติ กลัวหรือไม่กลัวเราก็ตายอยู่แล้ว ในเมื่อจะตายทั้งทีก็ทำดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าเราสามารถทำความดีจนกระทั่งมั่นใจว่าสุคติคือที่ไปของเรา เราก็จะไม่กลัวความตาย แต่ถ้าตราบใดที่ยังไม่มั่นใจในความดีของตัวเองก็จะกลัวไปเรื่อย ๆ ให้ไปเน้นที่ลมหายใจเข้าออกจ้ะ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:49 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
ถาม : บางทีหลังจากที่สวดมนต์เสร็จก็จะเปิดฟังเสียงหลวงพ่อวัดท่าซุง บางทีระหว่างที่ฟังไปเหมือนกับไม่ได้ยินเสียงเลยครับ เหมือนกับเราจะมีสติอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าภาวะที่เราไม่ได้ยินแล้วกลับมาได้ยินใหม่ เป็นเพราะเราหลับหรือว่าเรามีสมาธิมากเกินไปแล้วขาดสติครับ ?
ตอบ : สมาธิน้อยเกินไป คำว่าสมาธิน้อยเกินไปก็คือเริ่มเข้าสู่ปฐมฌานขั้นหยาบ จิตกับประสาทแยกออกจากกันแล้วสติตามไม่ทัน ก็เลยรับรู้อาการอย่างอื่นไม่ได้ โปรดเข้าใจใหม่ ไม่ใช่สมาธิมากเกิน หากแต่น้อยเกินไป ถ้าก้าวเข้าสู่ปฐมฌานละเอียดแล้วต้องการรับรู้ จะรับรู้ทุกอย่างรอบด้านได้ชัดเจนมากเป็นพิเศษ แต่ถ้ายังไม่ถึงตรงจุดนั้นก็มีโอกาสที่จะตัดเงียบไปเฉย ๆ แต่ถ้าบางท่านที่ไม่เคยชินกับลักษณะของฌานใช้งาน ที่สามารถจะสนใจในเรื่องอื่น ๆ ได้ ก็อาจจะเงียบไปเฉย ๆ เหมือนกันในทุกระดับฌานของตนเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:50 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "นั่งดูโยมถวายสังฆทานบ้าง ถวายปัจจัยบ้าง บางรายวนแล้ววนอีก อาตมาก็ได้แต่นั่งขำ พวกกลัวถูกรางวัลที่ ๑ ขอเลขท้าย ๒ ตัวไปเรื่อย ๆ ถวายที ๗ - ๘ รอบ
กำลังใจในการทำบุญของเราแต่ละคนไม่เหมือนกัน เวลาเกิดผลตอบแทนก็ตอบแทนไม่เหมือนกัน รายที่ถวายสังฆทานชุดละ ๑๐๐ บาท ๙ ชุด ถวายไปเรื่อยจนกว่าจะครบ ๙ ชุด ประเภทนี้ในเรื่องของลาภผลมาก็มาเรื่อย ๆ เหมือนกับน้ำที่ไหลไม่ขาดสาย ส่วนประเภทที่เทตูมเดียวมาครบเลย ก็จะเป็นประเภทสึนามิ ผลตอบแทนก็จะต่างกัน อาตมาเองชอบทำอะไรเร็ว ทีเดียว ลักษณะนี้พอถึงเวลาก็รับอะไรทีเดียวเลย รับกันจนเบื่อไปเลย ทุกครั้งที่ได้อะไรจะไม่เคยได้อย่างเดียว จะมาทีหลายอย่างพร้อมกันอยู่เสมอ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-05-2013 เมื่อ 02:51 |
สมาชิก 224 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมขงเบ้งถึงล่วงรู้ดินฟ้า เขาได้อภิญญาหรือครับ ?
ตอบ : สมัยก่อนเขาเรียนอะไรก็ต้องรู้จริง เก่งจริง ดูตัวอย่างแค่ในหลวงรัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านเรียนโหราศาสตร์แท้ ๆ แต่สามารถคำนวณได้ว่าจะเกิดสุริยุปราคาเมื่อไร ? ที่ไหน ? ถึงขนาดมีพระราชหัตถเลขาส่งไปเชิญฝรั่งมาดูเป็นสักขีพยาน อย่างนั้นสมัยโบราณก็เรียกว่า "ผู้หยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร" เหมือนกัน สำคัญอยู่ที่ว่าเรียนให้รู้ เมื่อรู้จริงแล้วสามารถนำไปใช้งานจริงได้ด้วย อย่างน้อยก็มีอยู่ ๒ เหตุการณ์ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า ขงเบ้งน่าจะเป็นผู้ได้อภิญญา อย่างหนึ่งก็คือ ตอนที่ไปรบกับเบ้งเฮ็ก อีกฝ่ายมีการใช้กองทัพเทวดา ก็คือเสกหุ่นพยนต์ เขาว่าเสกกระดาษเป็นกองทัพเทวดามาช่วยรบด้วย แล้วขงเบ้งทำลายอาถรรพ์ได้หมด อีกส่วนหนึ่งก็คือ หลังจากตายไปแล้วสามารถบอกได้ว่า จะมีใครมาขุดหลุมศพตัวเองเมื่อไร มีจารึกบอกไว้เรียบร้อยว่า เราชื่อนั้น ตายไปในวันนั้นเวลานั้น อีก ๑๐๐ ปีให้หลังจะมีบุคคลนั้นชื่อนั้นมาขุดหลุมศพของเรา เมื่อเห็นป้ายนี้ให้หยุดอยู่แค่นี้ ถ้าขุดต่อไปเดี๋ยวจะตายเพราะเกาทันฑ์ เขาก็ไม่เชื่อ พอย้ายป้ายออกก็ไปโดนกลไก ถูกลูกเกาทัณฑ์ตายคาที่ ในสองส่วนนี้ก็น่าจะบอกได้ชัดว่า ขงเบ้งสามารถรู้อนาคตได้ อีกฝ่ายหนึ่งใช้อภิญญาในส่วนที่เป็นโลกียะคือไสยศาสตร์ แล้วตนเองสามารถแก้ตกได้ ถ้าความสามารถไม่ได้ขนาดนั้นก็คงแก้ของเขาไม่ได้ ถาม : เป็นพุทธหรือครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นลัทธิเต๋า ถาม : หุ่นพยนต์ทำงานอย่างไร ใช้อภิญญาหรือครับ ? ตอบ : ใช้อภิญญากำกับ อธิษฐานทิ้งไว้ ถึงเวลาก็เป็นไปตามที่ต้องการ ถาม : เป็นวัตถุธรรมดาหรือครับ ? ตอบ : เป็นวัตถุผสมกับกำลังของอภิญญา แบบเดียวกับที่ขุนแผนสร้างค่าย แทนที่จะไปตัดเสามาปัก ขุนแผนก็เอาไม้อ้อมาเสียบ ๆ พอถึงเวลาเสกคาถา ซัดข้าวสาร ก็เป็นเสาไม้จริงทั้งหมด ต้องมีวัตถุเป็นสื่อด้วย ถาม : มีหลายคนที่ได้อภิญญา ? ตอบ : ของพวกนี้สมัยก่อนเป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องปกติเหมือนสมัยนี้เรียนหนังสือก็ต้องจบ สมัยนั้นเขาเรียนก็ต้องได้อภิญญา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2013 เมื่อ 04:04 |
สมาชิก 214 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
ถาม : หุ่นพยนต์ทำงานตลอดเวลาไหมครับ ?
ตอบ : ทำเฉพาะตอนที่ป้องกันอันตราย กลไกซึ่งมีวัตถุเป็นสื่อ ถ้าทำงานตลอดเวลาก็ชำรุด จึงทำงานเฉพาะเวลาที่จำเป็นต้องป้องกันเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:15 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้ว ๑ พระธรรมขันธ์ คืออย่างไรครับ ?
ตอบ : คือหัวข้อธรรมข้อหนึ่ง เขาจะแบ่งเป็นหัวข้อ ไปเปิดดูในพระไตรปิฎกก็ได้ เขาจะเขียนบอกทีละหัวข้อไล่ไปเรื่อย จะมีตัวเลขวงเล็บอยู่ด้านหน้า วงเล็บหนึ่งก็คือหัวข้อหนึ่ง ไล่ไปเรื่อยจนครบ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถาม : ในปฐมสมโพธิกถาเป็นพระธรรมขันธ์ด้วยไหมครับ ? ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ปฐมสมโพธิกถาเป็นของที่แต่งขึ้นใหม่ อาศัยเนื้อความในพุทธประวัติ แต่งขึ้นเป็นเนื้อหาหนังสือในอีกสำนวนหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:17 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
ถาม : พื้นฐานมนุษย์มาจากพรหมจริงหรือไม่จริงครับ ?
ตอบ : ถ้าว่ากันตามอัคคัญญสูตรของพระพุทธเจ้าก็เป็นอย่างนั้น ปล่อยให้ฝรั่งเขางมโข่งกันต่อไป ฝรั่งพยายามจะเอามนุษย์มาจากลิงให้ได้ แล้วก็สงสัยว่าทำไมถึงหาห่วงโซ่ข้อกลางไม่ได้ ก็คือระหว่างลิงกับคน โครโมโซมจะห่างกันอยู่ ๒ คู่ เขาบอกว่าถ้ามนุษย์กับลิงมาด้วยกัน อย่างน้อย ๆ ต้องมีอีกคู่หนึ่ง แต่ยังหาไม่ได้ ในเมื่อโครโมโซมห่างไป ๒ คู่ เท่ากับเป็นคนละพันธุ์กัน จะต้องมีอีก ๑ เผ่าพันธุ์ที่เป็นตัวเชื่อมตรงกลาง แต่จนบัดนี้ก็ยังหาไม่ได้ เรื่องพวกนี้ในความรู้สึกของฝรั่ง ก็เหมือนนิทานหลอกเด็ก เป็นพวกเทพนิยาย เขาพยายามจะหาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ แต่จนบัดนี้ก็ยังหาไม่ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ความจริงการทำบุญกองทุนรักษาพยาบาลพระภิกษุสามเณร มีญาติโยมหลายท่านทำแบบน่าชื่นชม อย่างเช่น ทำเป็นประจำ เดือนละ ๑๐๐ บาท ๒๐๐ บาท ๓๐๐ บาท บางคนทำเดือนนี้ ๓๐๐ บาท เดือนหน้า ๔,๐๐๐ บาท เดือนต่อไป ๕๐๐ บาท เดือนถัดไป ๑,๒๐๐ บาท มั่วไปหมด
คนที่เขาทำสม่ำเสมอ ต่อให้ลงบัญชีพลาด แต่ถึงเวลาก็จะรู้ว่าเขาทำแค่นี้ แล้วก็ลงให้เขาได้ บางคนขนาดทำวันเดียวกันทุกเดือน มีอยู่รายหนึ่งทำทุกวันที่ ๒๓ ของเดือน คนที่เขาทำสม่ำเสมอต้องบอกว่า นอกจากกำลังใจในจาคานุสติและทานบารมีทรงตัวแล้ว ในเรื่องของสัจจะบารมี ความแน่วแน่มั่นคง ตรงไปตรงมา สม่ำเสมอ ก็ยังมีอีกด้วย บางทีไปคิด ๆ คำนวณตัวเลขเสร็จสรรพเรียบร้อย มองตั้งแต่ต้นยันท้าย เห็นว่าเขาทำเท่ากันทุกเดือน ก็เอา ๑๒ คูณไปเลย ปีละเท่าไร แต่ว่าหลายรายทำขึ้น ๆ ลง ๆ ตามกำลังของตัวเองในช่วงนั้น มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย บางทีก็ทำเอาอาตมาสับสนไปด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"หลักการปฏิบัติธรรมนั้น ความจริงจังสม่ำเสมอเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อย่างนั้นจะอยู่ในลักษณะของการทำ ๆ ทิ้ง ๆ เอาดีได้ยาก ต้องบอกว่าบารมียังพร่องอยู่ ถ้าลักษณะของการทำไม่สม่ำเสมอ แสดงว่าสัจจะบารมียังพร่องอยู่"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ถาม : มูลกัจจายน์อยู่ในพระไตรปิฎกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มูลกัจจายน์เป็นการศึกษาภาษาบาลีแบบถึงต้นรากของศัพท์เลย ลักษณะเดียวกับที่เราศึกษาหลักภาษาไทยหรือแกรมม่าของอังกฤษ แต่จะละเอียดลึกซึ้งกว่ากันมาก มูลกัจจายน์สืบสายมาจากพระมหากัจจายนะ สมัยนี้เขาไม่ค่อยเรียนกัน เขาบอกว่ายาก อาตมาเคยเรียนแค่ส่วนหนึ่ง ไปนั่งท่องสูตรเป็นร้อย ๆ สูตร ถึงได้รู้ว่าบาลีมีที่มาที่ไปอย่างไร ปัจจุบันนี้เขาเรียนบาลีตั้งแต่ประโยค ๑ - ๒ ถึงประโยค ๙ บางทีไม่รู้หรอกว่ามาอย่างไร เขาให้เชื่อแล้วจำอย่างเดียว ในเมื่อเชื่อแล้วจำอย่างเดียว ไม่รู้ที่มา บางคนเรียนไปก็อึดอัด ไม่รู้ว่ามาอย่างไรแต่รู้ว่าต้องตอบแบบนี้ ปัจจุบันนี้ที่ยังมีมูลกัจจายน์เรียนอยู่ คือที่สำนักวัดท่ามะโอ วัดจองคำ และสถาบันบาลีศึกษาพุทธโฆษ พวกนี้ยังชอบของยากอยู่ แต่จะเรียนมูลกัจจายน์หรือบาลีไวยากรณ์ชั้นสูง เขาบังคับว่าต้องจบประโยค ๕ แล้วถึงยอมเรียนได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีพื้นฐานแล้วจะไปไม่เป็น อาตมาเองไม่มีพื้นฐานประโยคมาก่อน แต่เคยท่องไวยากรณ์บาลีมา พอไปอ่านสูตรแต่ละสูตร ก็เข้าใจเลยว่าอะไรเป็นอะไร ก่อนหน้านั้นเขาบังคับให้ท่องแล้วเชื่ออย่างเดียว แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าแต่ละอย่างมีที่มาอย่างไร เขาขึ้นบาลีว่า "อตฺโถ อกฺขรสญฺญโต" อันดับแรกต้องจดจำอักขระทั้งหมดให้ได้ก่อน จะได้แม่นยำไม่ผิดเพี้ยน เขายกตัวอย่างว่า พระไปนั่งภาวนาอยู่ริมสระน้ำตามที่พระอุปัชฌาย์อาจารย์บอก มอบคาถาไว้ให้ คาถาคือ "ขยะวยะ ขยะวยะ" ก็คือความสิ้นไปของกิเลส ท่านก็นั่งภาวนาไป พอดีนกกระยางพุ่งลงจับปลา โผพรวดลงน้ำไป ท่านภาวนาอยู่สมาธิยังไม่ทรงตัว ได้ยินเสียงนกกระยางพุ่งลงจับปลา ก็ตกใจลืมตาขึ้นมาดู คราวนี้จำคำภาวนาที่อาจารย์ให้ไม่ได้ จำได้แต่นกกระยางลงน้ำ ก็เลยกลายเป็นคำภาวนา "พกะ อุทกะ" พกะคือนกกระยาง อุทกะคือน้ำ พอขึ้นบาลี อันดับแรกเลยต้องจำอักขระให้ได้ทั้งหมดก่อน ว่าแบ่งเป็นกี่วรรค มีเศษวรรคเท่าไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:26 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
ถาม : คนที่จะเรียนมูลกัจจายน์ได้ต้องมีปัญญามากหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ใช่..เป็นสิ่งที่คนโบราณเขาเรียนกันและรู้กันเป็นปกติ แต่คนสมัยใหม่สมองรับขนาดนั้นไม่ไหว ก็เลยกลายเป็นเรื่องละเอียดลึกซึ้ง ดูอย่างพระสมัยก่อนท่องพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้เป็นเรื่องปกติ สมัยนั้นเขาใช้วิธีส่งต่อกันแบบมุขปาฐะคือท่องจำด้วยปากเปล่า จนกระทั่ง ๕๐๐ ปีผ่านไป ถึงได้มีการจารึกพระไตรปิฎกขึ้นเป็นตัวอักษรขึ้นมาที่ประเทศศรีลังกา เขาท่องกันมา ๕๐๐ กว่าปี สมัยนี้ขนาดเราเปิดคอมพิวเตอร์ยังจำไม่ค่อยจะได้เลย ปัจจุบันนี้ประเทศพม่ามีพระผู้ทรงจำพระไตรปิฎกได้ เรียกว่าพหูสูตรอยู่ ๙ รูปด้วยกัน อาตมาไปลุ้นเขาอยู่ ๕ ปีติด ๆ กัน สอบตกยกชั้นทุกปี สมัยนี้เขาผ่อนผันลง แสดงว่าสมองคนแย่ลงไปเยอะ เขาผ่อนผันว่าให้เก็บทีละหมวดได้ หมวดพระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ได้ แล้วไปเก็บหมวดพระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แล้วค่อยไปเก็บหมวดพระอภิธรรม ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่ว่าสมัยหลวงปู่วิจิตตะ ท่านท่องรวดเดียวเลย สมัยนี้ผ่อนผันให้มากแล้ว ที่ไปดูเพราะมีพระไทยไปสอบด้วย ปัจจุบันนี้ท่านเก็บหมวดพระวินัยได้แล้ว แต่ที่เหลือก็ติดอยู่กับที่เหมือนเดิม เกรงอยู่อย่างเดียวว่าท่องขึ้นหน้ามาก ๆ เดี๋ยวถอยหลังมาจำไม่ได้ ก็จะสอบตกอีก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:28 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
พระพม่าเวลาจบพระไตรปิฎก เขาจะมีคำว่า "ตรีปิฏกะบัณฑิต" ต่อท้าย เวลาไปที่ไหนญาติโยมจะแห่กันไปทำบุญ เขาถือว่าเท่ากับเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า สามารถจำพระธรรมทั้งหมดของพระองค์ได้ โดยที่ลืมนึกไปว่า พระธรรมทั้งหมดของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านตรัสว่าเป็นใบไม้กำมือเดียว ในเมื่อเป็นแค่ใบไม้กำมือเดียวแล้วจะไปเป็นตัวแทนได้อย่างไร ? อีกอย่างหนึ่งก็คือ การจำได้ไม่ได้หมายความว่าทำได้ ไม่ได้หมายความว่าอธิบายให้ละเอียดลึกซึ้งได้ เป็นแค่การท่องจำเฉย ๆ เท่านั้น
เขามีการสอบกันทุกปี ใช้เวลา ๑ เดือน ท่านหนึ่งจะมีพระผู้ใหญ่ ๒ รูปเป็นกรรมการ และมีฆราวาสที่เคยได้เปรียญธรรมสูง ๆ อีก ๒ คน คอยดูแลควบคุมอยู่ ๑ ต่อ ๔ พอเริ่มต้นก็ว่าไป พระผู้ใหญ่ท่านก็เปิดพระไตรปิฎกทวนอยู่ตรงนั้น ถ้าเหนื่อยขึ้นมาก็นอนพักตรงนั้นแหละ หิวขึ้นมาโยมก็เอาอาหารมาประเคน จะไปห้องน้ำห้องส้วมโยมก็ตามประกบไป ไม่มีโอกาสหลบไปเปิดตำราที่ไหนเลย ให้เวลา ๑ เดือน ต้องท่องมาให้หมด หลวงปู่วิจิตตะที่มรณภาพไปแล้ว หนังสือกินเนสบุ๊กบันทึกว่า เป็นบุคคลที่มีความทรงจำเลิศที่สุดในโลก สามารถทรงจำอักขระต่าง ๆ คิดเป็นตัวหนังสือในหน้ากระดาษ A๔ ได้ประมาณ ๑๑,๐๐๐ หน้า ก็คือพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั่นแหละ แต่ ๑๑,๐๐๐ หน้าของหลวงปู่ ท่านเก่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก ถ้าเรายกขึ้นมาคำหนึ่งค้นหาในคอมพิวเตอร์ จะได้ข้อมูลมาเยอะแยะไปหมดเลย คุณจะใช้ตรงไหนต้องไปเลือกเอา แต่ของหลวงปู่วิจิตตะ ถ้ายกขึ้นมาคำหนึ่ง ท่านบอกได้เลยว่าข้างหน้าคือคำอะไร ข้างหลังคืออะไร อยู่ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าไหน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:32 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
ถาม : แล้วที่บอกว่า พระที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณจะมีการทรงพระไตรปิฎกด้วย ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถาม : แล้วต้องท่องจำหรือเปล่า ? ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาท่องจำ หลักธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมด สรุปรวมลงที่กายสังขารนี้ ในเมื่อรู้รายละเอียดของร่างกายทั้งหมด ก็แปลว่ารู้พระไตรปิฎกทั้งหมดนั่นแหละ ดังบาลีที่ว่า โอปนยิโก ให้น้อมเข้ามาดูข้างใน ไม่ต้องไปดูที่อื่น กว้างศอกยาววาหนาคืบ นี่แหละคือก้อนธรรม เกิดก็ตรงนี้ แก่ก็ตรงนี้ เจ็บก็ตรงนี้ ตายก็ตรงนี้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็อยู่ตรงนี้ ถาม : แต่ผู้ทรงพระไตรปิฎกก็รู้เรื่องพวกนี้ ? ตอบ : รู้เป็นปกติ แต่รู้ตัวนั้นไม่มีประโยชน์ เพราะท่านแค่จำได้ แต่พระปฏิสัมภิทาญาณท่านรู้เพราะทำได้ รู้ลักษณะนั้นลองไปถามท่านก็ได้ อย่างหลวงปู่บุดดาไม่เคยเรียนหนังสือมา แต่ถ้าไปถามท่าน ท่านยกพระไตรปิฎกมาให้ฟังได้เป็นเล่ม ๆ เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 02:33 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ถาม : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์เท่ากันทุกพระองค์หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าในช่วงนั้น บุคคลที่เข้าถึงธรรมจัดอยู่ในบารมีระดับไหน ถ้ามีบารมีน้อยก็ต้องเคี่ยวเข็ญกันมาก อาศัยหลักธรรมจำนวนมาก เพื่อที่จะให้ครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ว่าระดับไหนมาก็จะได้มีหลักธรรมเทศน์สอนเขาได้ แต่ถ้าไปเจอสมัยพระศรีอาริยเมตไตรย เทศน์พระสูตรเดียวก็ไปพระนิพพานกันหมดแล้ว จะเอาอะไรมาเทศน์อีก ? ถาม : คนสมัยนี้อยากไปบรรลุธรรมสมัยพระศรีอาริย์ ? ตอบ : ปล่อยเขาไป ถ้าเราไปได้ก่อน เราก็ไปก่อน ถ้าไปไม่ได้ค่อยไปกับเขาด้วย อยากเกิดสมัยพระศรีอริยเมตไตรย ไม่ใช่ของง่ายนะ ท่านบอกว่าต้องรักษากรรมบถ ๑๐ ให้ได้เป็นปกติ ถ้ารักษากรรมบถ ๑๐ เป็นปกตินี่คุณเป็นพระโสดาบันได้สบาย ๆ เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-05-2013 เมื่อ 04:05 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถาม : พุทธมารดาของพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริย์ด้วยใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ท่านตั้งใจว่าจะไปเกิดเป็นพระพุทธมารดาอีกครั้งหนึ่ง ไม่อย่างนั้นท่านบรรลุมรรคผลไปตั้งแต่พระพุทธเจ้าขึ้นไปเทศน์แล้ว แต่ท่านติดอธิษฐานบารมีว่า ตั้งใจจะเกิดเป็นพระพุทธมารดาอีกครั้ง ก็เลยต้องไปเกิดในสมัยหน้าอีกรอบ คงอยากเกิดเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก ๒ ครั้ง เบญจกัลยาณีนี่สวยสู้ผู้หญิงที่เป็นพระพุทธมารดาไม่ได้นะ เบญจกัลยาณีหลัก ๆ แล้วงามเด่นอยู่ ๕ อย่าง แต่พุทธมารดามีลักษณะความงาม ๖๔ อย่าง ในวรรณคดีเรื่องสังข์ทอง..ใช่ไหม ? ที่ชมนางรจนาว่า "งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ นางในทั้งธรณีไม่มีเหมือน" เขาสงสัยว่าเป็นนางฟ้าลงมาหรือเปล่า ? นั่นยังไม่งามจริง ถ้า..งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์..ต้องเป็นพระพุทธมารดาเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-05-2013 เมื่อ 08:08 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|