|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
ถาม : วิธีการฝึกเจโตปริยญาณต้องทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็คือทิพจักขุญาณ คือตัวมโนมยิทธินั่นเอง แต่ว่าใช้ในการดูจิตดูใจของคนอื่น ว่าตอนนี้เขาคิดอะไร เขาจะพูดอะไร จะทำอะไร แต่ถ้าดูแบบนี้ประโยชน์จะมีน้อย ที่สำคัญก็คือให้ดูใจตัวเองว่า ตอนนี้มีรัก โลภ โกรธ หลง อยู่หรือเปล่า ? ถ้าหากมีก็ขับไล่ออกไป แล้วระวังไว้อย่าให้เข้ามา แล้วเรามีความดีอยู่หรือเปล่า ? ถ้าไม่มีก็สร้างให้มีขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วก็รักษาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เพราะฉะนั้น..อย่าไปใช้ผิด รู้ใจคนอื่นอย่างเก่งก็แค่ตื่นเต้น แต่ไม่ได้ช่วยให้ตัดกิเลสเลย ถาม : แต่ถ้าฝึกลักษณะนี้ก็จะตรวจสอบยากใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าทำจริง ถึงเวลาเป็นก็จะรู้เอง ถาม : ตอนนี้ผมฝึกทรงอารมณ์สมาธิให้เป็นปกติ ก็คือรู้ลมหายใจตลอดเวลา ตอบ : ควรทำ อย่าเผลอหลุด หลุดเมื่อไรมีหวังถูกรัก โลภ โกรธ หลง ตีหงายท้องเลย..! ถาม : คราวนี้เวลาเผลอ จิตเหมือนจะดึงกลับมาภาวนาเอง ตอบ : จิตเคยชินกับทางไหนก็ไปทางนั้น ก่อนหน้านี้เราชินกับรัก โลภ โกรธ หลง ถึงเวลาใจก็ไปรัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าใจเคยชินกับความดีก็จะไปกับความดี ทำแล้วรักษาให้ได้ ถ้าทำแล้วรักษาไม่ได้ ก็เสียเวลาเปล่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 01:43 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
ถาม : อารมณ์ของพระโสดาบันเป็นอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : มีความรักพระนิพพานแน่นแฟ้นอยู่ในใจ ไม่คลอนคลายด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง แม้ด้วยเหตุแห่งชีวิตท่านก็เลือกพระนิพพานมากกว่า ถาม : แล้วที่บอกว่าถ้าเป็นพระโสดาบันยังจะต้องมาเกิดอีก ๓ ชาติ ๗ ชาตินี่หมายถึงอย่างไรครับ ? ตอบ : ต่ำสุดก็เป็นอย่างนั้นแหละ ยิ่งสูงขึ้นไป รัก โลภ โกรธ หลงยิ่งเบาลง การเกิดก็เกิดน้อยลงเป็นปกติ การเกิดของท่านเกิดแล้วมีจุดจบ ขณะที่ปุถุชนทั่ว ๆ ไปเกิดแล้วไม่จบ ถาม : พระโสดาบันที่ท่านเกาะนิพพานอยู่ได้ตลอดเวลา เวลาตายท่านก็ไม่ได้ไปพระนิพพานหรือครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่เขาก็ไปนิพพานกันเลย ถาม : ไม่ต้องมาเกิดอีก ๗ ชาติใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าหากว่าฉลาดน้อยก็เกิดใหม่ ถ้าฉลาดมากตัดก่อนตายก็ไปได้เลย ถาม : ตำราอื่นที่เขาบอกไม่เห็นตรงกัน ตรงที่บอกว่าจิตเกาะพระนิพพานเลย ตอบ : ก็ลองเป็นพระโสดาบันดูสิ เป็นแล้วหายสงสัยเอง..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-10-2011 เมื่อ 03:58 |
สมาชิก 218 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
ถาม : หากมีพระภิกษุท่านหนึ่ง นำเงินที่ญาติโยมเขาถวายไปทำประกันชีวิต โดยที่เห็นว่าอนาคตจะเอาเงินนี้มาบูรณะซ่อมแซมวิหารจะได้ไหมคะ ?
ตอบ : ไม่ได้..ยกเว้นเขาถวายเป็นเงินส่วนตัว ถ้าคุณเล่นไปประกันอนาคตแบบนั้น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคุณจะตายก่อนหรือเปล่า ? ถาม : แล้วถ้าตั้งใจว่าถ้าตายก็จะนำเงินส่วนนี้ถวายวัดเหมือนกัน ? ตอบ : ไม่ทันหรอก..จะซวยซะก่อน ภิกษุห้ามสะสมเงินโดยอัตโนมัติอยู่แล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-10-2011 เมื่อ 16:18 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
ถาม : ในเรื่องของการสะสมเงินของพระภิกษุ มีคนเขาบอกว่าถ้ามีคนเขาบริจาค พระภิกษุท่านต้องเอาเงินไปฝากที่ธนาคาร เพราะฉะนั้น..การซื้อประกันชีวิตไว้จะต่างกันอย่างไรคะ ?
ตอบ : เจตนาคนละอย่าง ประกันชีวิตนี่เราตั้งใจเอาประโยชน์ ซึ่งไม่ใช่วิสัยของพระ แต่ว่าการไปฝากธนาคารนี่ประโยชน์ที่เราได้รับเป็นไปตามกฎกติกา เราไม่ได้ไปเรียกร้องอะไร ถ้าเป็นอาตมานี่ไม่เหลือฝากหรอก ใช้ก่อสร้างและทำงานสาธารณประโยชน์จนหมด ถาม : ในกรณีที่โยมซื้อประกันชีวิตถวายให้พระ ? ตอบ : ถ้าโยมซื้อถวายไม่เป็นไร แต่พระอย่าไปซื้อเอง อาตมาก็ยังมีอยู่ ๒ กรมธรรม์ โยมเขาถวาย มีประกันสุขภาพกับประกันอุบัติเหตุ ไม่มีหรอกประเภทสะสมเผื่อรวยตอนอายุ ๖๐ แบบที่คนอื่นเขามีกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-10-2011 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าหากว่าไปวัด ๆ หนึ่งแล้วมีตู้ทำบุญที่เขาไม่ได้เขียนว่าทำอะไร เราควรตั้งใจอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ทำเป็นสังฆทาน ธรรมทาน วิหารทาน อธิษฐานไปได้เลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2011 เมื่อ 12:52 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
ถาม : พระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านนี้บูชาอย่างไรครับ ?
ตอบ : ใช้คาถาเงินล้าน ว่าคาถา อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด แล้วก็ตามด้วยคาถาเงินล้านสัก ๙ จบ ถาม : ต้องว่าคาถาทุกวันไหมครับ ? ตอบ : ทุกวัน..เพื่อความแน่นอน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-10-2011 เมื่อ 17:39 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "คืนนี้จะนอนหลับแบบสลบไสลไม่ได้สติ เพราะเมื่อคืนกลับมาดึกมาก นั่งรถเกิน ๑๒ ชั่วโมง และนิสัยของอาตมาก็คือ เหนื่อยมาขนาดไหนก็ต้องทำงานให้ครบ ถึงเวลาก็ต้องมานั่งภาวนา ต่อให้นอนเที่ยงคืนก็ต้องตื่นขึ้นมาตี ๒-๓ เหมือนเดิม ถ้าไม่ตื่นก็จะโดนถีบจนตื่นเอง..!
สมัยอยู่ที่วัดท่าซุง ขอให้เจ้าที่ซึ่งท่านรักษาสถานที่ช่วยปลุกให้ตื่นตรงเวลาด้วย ตอนช่วงนั้นอาตมาตั้งใจตื่นตี ๓ ทุกวัน พอเวลา ๐๒.๕๕ นาฬิกา ท่านจะปลุกทุกครั้ง ถึงเวลาก็มีคนจะกระตุกปลายเท้า ทำให้สะดุ้งตื่น อาตมาก็ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตา สรงน้ำ ครองผ้า แล้วก็เริ่มเดินจงกรมภาวนา เรื่องของกิเลสนี่ถ้าเราตามใจเมื่อไร เราจะขี้เกียจไปเรื่อย ๆ แล้วจะเอาดีไม่ได้ อย่าไปผ่อนปรนให้เป็นอันขาด กับกิเลสเราต้องเข้มงวดอย่างเดียว ไม่มีผ่อนปรน ต่อให้มันบอกว่าจะตายเราก็จะทำ ให้มันตายลงไปเลย..! ปรากฏว่าวันนั้นไม่ไหว เพลียจัด เพราะไปรบกับพวกเรือหาปลามาทั้งคืน ๐๒.๕๕ ถูกปลุกตามปกติ อาตมาสะดุ้งลืมตาขึ้นมา “ขออีกหน่อยนะ” เท่านั้นแหละพ่อเจ้าประคุณเอ๋ย...กระบองอันเบ้อเร่อฟาดเปรี้ยงลงกลางแสกหน้า ดาวขึ้นว่อนเลย..! ก็เลยต้องลุก เพราะถ้าไม่ลุกจะโดนซ้ำอีก ใครโดนอย่างนั้นเข้า เหนื่อยแค่ไหนก็หูตาสว่างทุกคน..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 18-10-2011 เมื่อ 17:41 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"อยู่ที่นั่นก็เจอผีหลอก แต่เป็นผีหลอกของคนอื่น สำหรับอาตมาเป็นตัวกวนประสาทหรือไม่ก็คู่ซ้อม ตอนที่พักอยู่ที่ตึกกองทุน ติด ๆ กับตึกเป๊ปซี่ของโยมสุภาพร จากทางด้านวัดเก่า ฝั่งหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ถ้าเข้าไปซ้ายมือจะเป็นห้องยาม แล้วก็เป็นศาลาหลวงพ่อ ๔ พระองค์ ยาวไปจรดโรงเรียนทหารอากาศสงเคราะห์ ทางด้านขวามือก็จะเป็นห้องยาม เป็นตึกขาว เป็นตึกเป๊บซี่ แล้วจึงเป็นตึกกองทุน เป็นตึกเสริมศรี พวกเราไม่รู้จักกันหรอก เพราะเป็นชื่อเก่า ถ้าไม่ทันรุ่นเก่าก็จะไม่รู้จัก
ตึกกองทุนนั้น นอกจากชั้นล่างที่ว่างโล่งแล้ว ชั้นบนยังมีห้อง ทางซ้าย ๔ ห้อง ทางขวา ๔ ห้องใหญ่ ตรงกลางเป็นโถงยาวตลอด อาตมาเดินจงกรมภาวนาไป หมดสภาพตรงไหนก็นอนตรงนั้นแหละ นอนไม่เป็นที่เป็นทาง แล้วก็จะถูกท่านทั้งหลายเหล่านี้ก่อกวนเป็นประจำ พอนอนภาวนาอยู่ เขาก็เดินมา ตึกไหวยวบไปทั้งหลังเลย คนอะไรตัวหนักขนาดนั้น..! อาตมานอนตะแคงอยู่ หันคนละข้างกับที่เขาเดินมา กะจังหวะที่เขาเดิน พอก้าวสุดท้าย กะว่าอยู่ในรัศมีเท้าอาตมาก็พลิกกลับเตะเลย..เตะเต็มที่..! ปรากฏว่าไม่ใช่คน เป็นลูกแมวตัวเล็ก ๆ กระโดดข้ามเท้าของอาตมาแบบนิ่มนวลมาก แถมรู้ด้วยว่าอาตมาจะเตะตอนไหน อาตมาก็พลิกตัวตามไปมองแมว เห็นชัด ๆ ว่าหันมายิ้มหวานให้อาตมา แล้วก็เดินทะลุประตูไปเฉย ๆ ลูกแมวบ้านไหนวะ ? เดินทีหนึ่งตึกไหวทั้งหลัง..! เขาแกล้งให้หูตาสว่าง ลุกขึ้นมาภาวนาต่อได้เขาก็พอใจแล้ว เจอแบบนี้มาจนนับครั้งไม่ถ้วน เจอจนกระทั่งกลัวผีไม่เป็น ไม่รู้จะกลัวไปทำไม เพราะเจอจนเบื่อ..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2011 เมื่อ 01:39 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
"ถามว่าปัจจุบันนี้อาตมากลัวผีหรือไม่ ? ก็ต้องบอกว่ายังกลัวอยู่ เพราะเวลาผีมาจะขนลุกเกรียว ถ้าไม่กลัวขนจะลุกทำไม ?
ถ้าอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็ต้องว่า เวลาผีปรากฏตัวให้พวกเราเห็น เขาจะดึงเอาพลังงานบริเวณนั้นไปหมด เพื่อทำให้โมเลกุลของตัวเองหยาบขึ้น เราจะได้มองเห็น การที่เขาดึงพลังงานบริเวณนั้นไปหมด ทำให้ความร้อนหมดไปด้วย จึงทำให้เรารู้สึกหนาวกะทันหันก็เลยขนลุก นี่อธิบายอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากเลยนะ ส่วนอาตมาถือว่า ถ้ายังขนลุกอยู่แสดงว่ายังกลัว แต่กลัวแบบไม่หนี คุยกันได้ จะให้อธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ก็บอกได้นะ อย่างที่บอกว่าวัสดุทุกอย่างเกิดจากโมเลกุลประกอบกันขึ้นมา การจัดเรียงโมเลกุลที่ต่างกัน ทำให้เกิดเป็นวัตถุที่ต่างกัน อย่างเราจะเปลี่ยนวัสดุให้เป็นทอง เราก็แค่เปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลให้เป็นการจัดเรียงแบบทอง เท่านี้ก็เป็นแล้ว คราวนี้เห็นหรือยังว่าการที่ใช้กสิณและอภิญญาเปลี่ยนธาตุโลหะนั้นไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่วิทยาศาสตร์ยังทำไม่ได้ แต่อภิญญาแค่ใช้อำนาจจิตเปลี่ยนการจัดเรียงโมเลกุลเท่านั้นก็เป็นแล้ว ฟังดูแล้วง่ายจัง น่าจะทำวิจัยเรื่องนี้เอาปริญญาเอกดีกว่า..!" ถาม : แล้วสีจะเปลี่ยนไปด้วยไหมคะ ? ตอบ : ถ้าจัดเรียงโมเลกุลใหม่ก็จะเปลี่ยนสภาพเลย เหมือนกับเปลี่ยนตัวต่อเลโก้ (LEGO) ต่อเป็นบ้านเป็นรถต่าง ๆ เราเปลี่ยนลักษณะการต่อ ก็กลายเป็นของอีกอย่างหนึ่ง พยายามอธิบายอะไรเป็นวิทยาศาสตร์ให้มาก ๆ เผื่อสำหรับพวกที่เชื่อยาก พวกนี้เขาเชื่อวิทยาศาสตร์ แต่ไม่เชื่อเรื่องของพระ ขำที่สุดก็น้องแพร (อรอมล จงเสริมศิริสกุล) น้องแพรเรียนวิทยาศาสตร์การอาหาร (Food Science) ใช้วิธีบนพระอย่างเดียว ตกลงว่าเรียนวิทยาศาสตร์ แต่วิธีการนี่แทบจะเป็นไสยศาสตร์ล้วน ๆ..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2011 เมื่อ 15:30 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
การรู้เห็นต่าง ๆ มีโทษมากกว่าประโยชน์ ยกเว้นว่าเรารู้ถูกทางจริง ๆ เมื่อครู่โยมผู้ชายที่ถามปัญหาเป็นอิสลาม เขาฝึกมโนมยิทธิได้ เขาก็เลยมาถามรายละเอียดที่เขาข้องขัดอยู่
ถึงได้บอกว่าสิ่งที่เรารู้เห็น ถ้าหากว่าเราเชื่อเสียทั้งหมดก็จะโดนชักจูงให้ผิดพลาดได้ง่าย และการรู้เห็นในแต่ละครั้งก็ไม่เท่ากัน วันนี้สมาธิเราดีเราอาจจะรู้เห็นได้ พรุ่งนี้สมาธิไม่ดีการรู้เห็นไม่มี ถ้าเป็นอย่างนั้นโปรดอย่ามั่ว..! ไม่ต้องกลัวเสียหน้า รู้ก็ให้บอกว่ารู้ ไม่รู้ให้บอกว่าไม่รู้ ถ้ามั่วเมื่อไร..เดี๋ยวจะพังทั้งคนบอกทั้งคนฟัง ประการที่สอง ก็คือ การรู้เห็นของแต่ละคนกำลังไม่เท่ากัน ความชำนิชำนาญไม่เหมือนกัน ฝึกมโนมยิทธิได้เหมือน ๆ กัน คนนี้อาจจะระลึกชาติได้เก่งมากเลย ชัดเจนมาก คนอื่นได้ไม่เท่า แต่อีกคนอาจจะได้เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่นเขา ไม่ว่าเขาจะคิดอะไร สามารถพูดออกมาได้ทุกคำเลย แต่ไปใช้อย่างอื่นก็ไม่ถนัด คนนั้นได้ปุพเพนิวาสานุสติญาณ อีกคนถนัดจุตูปปาตญาณ แล้วแต่ความถนัดของตน ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะคิดให้เก่งเสมอกันทุกอย่างย่อมเป็นไปไม่ได้ ต้องยอมรับสภาพ อย่างที่โยมสองคนบอกว่า คนหนึ่งได้ยินเสียง อีกคนหนึ่งเห็นภาพ เพราะฉะนั้น..เอ็งไปด้วยกัน ถึงเวลาก็ตั้งกำลังใจพร้อม ๆ กัน แล้วก็เอาเรื่องมาต่อกันก็จบ มโนมยิทธิที่มีโทษมากกว่าประโยชน์ เพราะว่าส่วนใหญ่คนเห็นแล้วเชื่อเลย ตัวนี้เป็นสักกายทิฐิและมานะเต็ม ๆ "กูเห็น กูจึงเชื่อ" เห็นหรือยังว่าขึ้นด้วยตัวกูเต็ม ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2011 เมื่อ 15:30 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
เมื่ออาทิตย์ก่อน มีโยมคนหนึ่งโทรมา บอกว่ามีเด็กคนหนึ่งจะโดนทิ้ง มาเข้าฝันว่าให้ไปเก็บมาเลี้ยงด้วย เพราะว่ามีกรรมเนื่องกันมาต้องชดใช้เขา ถ้าเป็นอาตมานี่เด็กคนนั้นอยู่ในถังขยะแน่นอน..! ถ้าเอ็งจะมาทวง เอ็งหาทางมาสิ แล้วจะชดใช้ให้ ไม่ใช่ให้เราไปเก็บมาเลี้ยง
นี่ไม่ใช่เรื่องของการใจร้ายใจดำ แต่เป็นการไม่ยุ่งกับกรรมของคนอื่น ถ้าเราไปยุ่งกับกรรมคนอื่นเรื่องจบยาก ไม่แน่..เขาอาจจะเป็นเครื่องมือที่มารพามาถ่วงเราเพื่อให้เข้าถึงพระนิพพานช้า มัวแต่ไปห่วงไปกังวล ไปเลี้ยงไปดู ให้การศึกษา กว่าจะโตเป็นผู้เป็นคนก็ ๒๐ กว่าปี ถ้าเราตายก่อน การปฏิบัติก็ขาดช่วงไป ก็ไม่ได้อะไรเลย ฉะนั้น..ของทุกอย่างเป็นทั้งเครื่องทดสอบและเป็นทั้งเครื่องวัดกำลังใจของเราด้วย ว่าสิ่งที่เรารู้เห็นทั้งหมดนั้น เราน้อมใจเชื่อโดยส่วนเดียว หรือว่าเชื่ออย่างคนมีปัญญา ถ้าคุณจะทวงก็ไม่ยากหรอก ให้เขาเอามาทิ้งหน้าบ้านสิ ถ้าอย่างนั้นแปลว่าต้องเลี้ยงเอง ถ้าหากว่าเขามาทิ้งไว้หน้ากุฏิ อาตมาเปิดประตูมากระแทกเด็กปลิวไป เด็กก็นอนกลิ้งอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าคลานตามมาเมื่อไรแล้วถึงจะยอมเลี้ยง..! ถาม : ช่วยอย่างคนมีปัญญาเขาทำอย่างไรครับ ? ตอบ : ช่วยอย่างคนมีปัญญาก็คือ เอาตัวรอดทุกวิถีทางที่จะไม่ต้องเลี้ยงเขา ถ้าหากว่าจับพลัดจับผลู ท้ายสุดต้องเลี้ยง นั่นถึงจะยอมรับว่าเป็นวาระกรรมที่เนื่องกันจริง ๆ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2011 เมื่อ 15:30 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
ถาม : จะไม่เป็นการขาดความเมตตาหรือคะ?
ตอบ : เมตตา กรุณา มุทิตา ท้ายสุดอุเบกขา ใช้ให้ครบสิวะ..! เมตตาเหมือนกัน แต่ว่าตอนนี้เรายังเอาตัวไม่รอด เอ็งช่วยตัวเองไปก่อนนะ กรุณาสงสาร..อยากให้เอ็งพ้นทุกข์เหมือนกัน แต่ขอข้าพ้นก่อน มุทิตา..ถ้ามีคนเอาเอ็งไปเลี้ยง ข้าก็ยินดีด้วย เพราะข้าไม่ต้องเหนื่อย ท้ายสุดก็อุเบกขา..ตัวใครตัวมันนะ ลาก่อน ชอบใจเพลงเพลงหนึ่งจริง ๆ เขาร้องว่า “ลำพังตัวเองยังเลี้ยงไม่รอด แล้วเธอยังดอดคิดไปมีผัว” เพราะถ้าตัวเองยังเอาไม่รอด จะไปรับภาระคนอื่นเขาไหวหรือ ?
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-10-2011 เมื่อ 15:30 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "เจ้าดอกรัก เป็นหมาวัดที่ดื้อสุด ๆ ดุอีกด้วย ถ้าใครไปตีก็จะกัด อาตมาตีกระจายเลย เจ้าดอกรักก็แปลกใจว่าคนอื่นตีไม่เจ็บ ทำไมอาตมาตีถึงเจ็บ ก็เพราะอาตมาใช้ไม้เล็ก ๆ ตี คนอื่นใช้ไม้ใหญ่ตีไม่เจ็บหรอก ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วสะบัดเจ็บแสบดีนักแล
อาตมาไม่กลัวหมากัดด้วย กัดมาก็ตีไปเรื่อย พอกัดจนเหนื่อย ทนเจ็บไม่ไหวก็ต้องเลิกไปเอง เจ้าดอกรักจะมุดหนีไปอยู่ใต้เตียง อาตมาก็มุดตามไปตีใต้เตียง ตีจนกระทั่งเขารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ตีได้ หลังจากนั้นพอเห็นหน้าอาตมาเจ้าดอกรักก็เผ่นแน่บ อาจารย์สมพงษ์ไปเตะเจ้าดอกรักเข้า โดนงับขาเลือดสาดกระจาย..! แม่ชีโหล่เขาบอกว่า "ยังกัดเข้าแบบนี้ออกเหรียญไม่ได้หรอก" อาจารย์สมพงษ์ก็โกรธใหญ่ ไม่ช่วยทำแผลแล้วยังปากไม่ดีอีก อาจารย์สมพงษ์ก็ด่า แม่ชีโหล่ก็เถียง “มันกัดอาจารย์เล็กจนเหนื่อย ไม่เห็นจะเข้าเลย” อาจารย์สมพงษ์ก็ยิ่งโมโหใหญ่ “ก็มันคนเดียวกันเสียเมื่อไรเล่าวะ ?” เจ้าดอกรักจะซ่ากับคนอื่น เพราะเวลามันแยกเขี้ยวใส่แล้วเขากลัว ส่วนอาตมาไม่กลัว ตีสวนไปเลย บางทีถูกมันกัดไม้หักไป ๓-๔ อัน อาตมาก็คว้าไม้อันใหม่ตีไปเรื่อย ถึงมุดหนีไปใต้เตียงก็ตามไปตี เวลาหมามุดไปที่แคบเขาจะถนัดกว่าเรา แต่อาตมาไม่กลัว มีปัญญาเอ็งก็กัดไป ข้าก็ตีไปเรื่อย ตีจนไม่มีที่ให้วิ่งหลบ ต้องหนีออกไปข้างนอก อาตมาใช้วิธีเดียวกันคือให้หมาเห็นว่าเราดื้อกว่า แต่เราดื้อแล้วเขาเจ็บตัวเท่านั้นเอง ใช้ไม้ใหญ่ตีหมา..หมาช้ำ แต่ไม่เจ็บ แต่ไม้เล็ก ๆ ตีแล้วเจ็บจนสะดุ้ง เพราะฉะนั้น..ให้ใช้ไม้เรียวเล็ก ๆ บางทีก็ใช้ไม้ที่เขาเสียบเงินกัณฑ์เทศน์นั่นแหละ ตีมันดีแท้ มีเป็นร้อย ๆ อัน กัดหักอันหนึ่งก็หยิบอันใหม่มาได้เลย อาตมาบอกกับแม่ชีเขาว่า "สอนให้รู้ตัวว่ามันเป็นหมา เพราะว่ามันทำกร่างเป็นเจ้าพ่อ" ในหอฉันเวลาเขาปูผ้าให้พระนั่งฉัน เจ้าดอกรักก็จะไปฉี่ใส่ผ้าของพระ แล้วก็จะมีเสียงของแม่ชีโหล่ว่า “ดอกรัก..ลูกอย่าทำอย่างนั้น” คงจะฟังอยู่หรอก..! อาตมาไปถึงไม่ฟังเสียงเลย ตีไว้ก่อน พอโดนเข้าก็เข็ด ระยะหลังนี่หอฉันจะเป็นที่หมายปองของบรรดาหมาทั้งหลายมาก พวกหมาจะคอยมอง พอเห็นอาจารย์ลับหลังก็วิ่งพรวดเข้าไปเลย ขอให้เหยียบหน่อยก็ชื่นใจแล้ว พอมาถึงอาตมาตวาดแว้ดเดียว เผ่นหายหมด โยมเห็นทีไรหัวเราะทุกทีเลย ที่เขาลือว่าเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนดุกว่าหมา ก็ตอนที่ตวาดหมาเผ่นหมดไม่เหลือ คนอื่นตีเท่าไรหมาก็หมอบให้ตี เพราะรู้ว่าตีไม่จริง เจอคนตีจริงเข้าก็ต้องเผ่น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-10-2011 เมื่อ 16:58 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
"มีอีกตัวไอ้อ้วน น่าจะเป็นเบาหวาน เพราะแผลไม่หายเสียที พอถึงเวลาก็จะย่องเข้ามาที่โรงครัว ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ คนอื่นเห็นมันอ้วนและขาเป็นแผลด้วยก็สงสาร อาตมาเห็นก็ดุ “ไอ้อ้วน ออกไปเดี๋ยวนี้นะ” มันก็ลุกเดินเหี่ยวออกไป มันรู้ว่าใครเอาจริงหรือไม่เอาจริง เวลาญาติโยมมาเลี้ยงเพล เห็นหมาแต่ละตัวทำท่าแล้วหัวเราะทุกคนเลย
บางตัวก็ทำถูกกติกานะ ยืนอยู่ตรงขอบประตูเลื่อนแล้วก็ยื่นหัวเข้ามา ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปนิดหนึ่งก็ชื่นใจแล้ว เลี้ยงหมาแล้วก็จะรู้ว่าเขาก็คือคนนั่นแหละ เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาสร้างไว้ ทำให้เขาโดนจำกัดอยู่ในร่างของสัตว์เดรัจฉาน นิสัยเหมือนคนนี่เอง หมาบางตัวก็สง่าสุด ๆ เลยนะ ประเภทเห็นก็รู้เลยว่าไอ้นี่แน่จริง แต่ปัจจุบันนี้อาตมาจะไม่เลี้ยงหมา มีหน้าที่ดูแลควบคุม หมาบางตัวต้องการแสดงความสนิทสนม เข้ามาหาก็เกา ๆ ให้หน่อย" ถาม : เกาทำไมคะ ? ตอบ : เป็นภาษาหมา ถาม : แปลว่าอะไรคะ ? ตอบ : ฉันยอมรับว่าแกอยู่ในฝูงเดียวกัน เหมือนกับหมาที่งับหมัดให้กัน เห็นไหม ? บางทีเวลาหมาก็งับ ๆ ให้กัน ถ้าหมาดุ ถึงเราปราบอยู่ แต่มันจะไม่เชื่อง อย่าให้หัวเราต่ำกว่าเป็นอันขาด ถ้าหัวเราต่ำกว่าเมื่อไร มันถือว่าเราลงให้มันแล้ว มันจะข่ม แต่ถ้าหัวยังสูงกว่ายังไม่เป็นไร ถาม : หมาที่บ้านชอบไปนอนบนหมอนคน บางทีก็ชอบมานอนบนหัวค่ะ หมายความว่าอย่างไรคะ ? ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก เขาแค่แสดงความเป็นเจ้าของแค่นั้นเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2011 เมื่อ 09:32 |
สมาชิก 175 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
อาตมาไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน ที่โรงพยาบาลทหารเรือ หลวงปู่ท่านป่วยมาตั้งเกือบ ๒ เดือน อาตมากลัวท่านจะล้มในห้องน้ำ จึงนอนขวางหน้าเตียงเลย พอหลวงปู่ขยับ เสียงเตียงลั่นอาตมาก็ลุก “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำหรือครับ ?” ถ้าท่านพยักหน้า อาตมาก็อุ้มท่านเข้าอุ้มท่านออก
วันนั้นพอเสียงเตียงลั่น ลืมตาขึ้นมา “หลวงปู่จะเข้าห้องน้ำใช่ไหมครับ ?” ท่านยิ้มหวานจ๋อยเลย “เข้ามาแล้ว” ท่านเป็นพระสุกขวิปัสโก อาตมาเห็นนี่ยิ่งกว่าอภิญญาอีก สำคัญที่ว่าท่านจะใช้หรือเปล่า ? เพราะว่าเรื่องฤทธิ์ไม่จำเป็นต้องเป็นฤทธิ์ในกสิณ ๑๐ มีฤทธิ์ในการอธิษฐาน ฤทธิ์ในฌานสมาบัติ ฤทธิ์ในบุญ อาตมานอนขวางหน้าเตียงอยู่ เป็นไปไม่ได้หรอก ที่ท่านจะไปเองได้ ขนาดขาท่านยังยกไม่ขึ้นเลย แล้วจะก้าวข้ามตัวไปได้อย่างไร ? เวลาท่านลุกขึ้น เตียงต้องดัง อาตมาต้องได้ยินแน่นอน แต่ปรากฏว่าท่านเข้าห้องน้ำไปเรียบร้อยแล้ว ท่านยิ้มหวานไม่พอ ท่านว่าอะไรรู้ไหม ? “อะไรที่เป็นระเบียบ ถ้าฝืนได้แล้วมีความสุขนะ” เจ้าพวกนั้นก็เหมือนกัน ขอแค่ให้ได้ยื่นหน้าเข้าไปที่โรงครัวก็ชื่นใจแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2011 เมื่อ 09:35 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ภูมิปัญญาโบราณที่สั่งสมมานั้น ทำให้การกินการอยู่เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศบ้านเรา พอมารุ่นใหม่นี่เห่อบ้านตามแบบฝรั่ง ปลูกบ้านติดพื้นดิน ที่ฝรั่งเขาปลูกบ้านติดดินแล้วอับทึบมาก เพราะว่าหน้าหนาวเขาจะได้เอาไว้หลบความหนาว และหลังคาจะได้ไม่รับน้ำหนักหิมะมากจนถล่มลงมา
แต่คนไทยเราไปเห็นดีเห็นงามสร้างตามแบบเขา พอขาดเครื่องปรับอากาศก็อยู่ไม่ได้ เมื่อฝนมา น้ำท่วม ก็ไม่มีที่ให้หลบ เพราะบางทีหลังคาก็ไม่เหลือ โบราณสร้างบ้านใต้ถุนสูง มีเรือขึ้นคานรอไว้ หน้าน้ำก็ยาเรือเอาลง ปล่อยให้น้ำท่วมข้างล่างแล้วก็อยู่ชั้นบนตามปกติ พอหน้าแล้งเอาเรือขึ้นคาน ชั้นล่างก็เอาไว้ทำงานทำการสารพัด ดังนั้น..ถ้าใครสร้างบ้านก็เอาแบบโบราณนะ บ้านใต้ถุนสูงจะปลอดภัยและเหมาะกับบ้านเรามากกว่า คุณหมอประสิทธิ์สร้างบ้านหมดเงินไป ๗๐ ล้านบาท พอไปเจออาคารเรือนไม้ที่เกาะพระฤๅษี คุณหมออยากได้มาก ถามว่าราคาเท่าไร อาตมาบอกว่าต่อเติมมา ๒ ครั้งแล้ว อยู่ในงบประมาณ ๒.๔ ล้านบาท คุณหมอคงกลับไปตีอกชกหัวตัวเอง ๒.๔ ล้านบาท กับ ๗๐ ล้านบาทนี่ต่างกันมหาศาล เพราะบ้านที่บริษัทรับเหมาก่อสร้างเขาคิดราคามักจะสูงเกินจริงไปเยอะ ภูมิปัญญาโบราณเป็นสิ่งที่สั่งสมกันมารุ่นแล้วรุ่นเล่า อย่างช่วงนี้อากาศเริ่มเปลี่ยน ก็จะมีแกงส้มดอกแค กินแก้ไข้หัวลม ยิ่งถ้าซดร้อน ๆ เหงื่อแตกเลยยิ่งดี จะได้เป็นสิวน้อยลงด้วย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2011 เมื่อ 17:32 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
"ฝรั่งเข้ามาทำวิจัยอาหารไทย ว่าประกอบไปด้วยเครื่องสมุนไพรรักษาได้สารพัดโรค แต่ปรากฏว่าคนไทยไปเห่อเคเอฟซี เห่อแฮมเบอร์เกอร์ เป็นอะไรที่กลับข้างกันมาก ถามคนไปเมืองฝรั่งเถอะ อาหารบ้านเขาอร่อยสู้บ้านเราไม่ได้ จะซื้ออาหารไทยที่นั่นก็ยิ่งแย่ใหญ่ เพราะราคาแพงมาก
ตอนนี้ฝรั่งเขาบอกว่า มัสมั่นไทยอร่อยที่สุดในโลก ต้นตำรับมาจากอินเดีย ไม่รู้ว่าจำได้หรือเปล่า ? เพราะบ้านเราพอของต่างชาติเข้ามาแล้ว มักจะนำมาดัดแปลงให้เข้ากับลิ้นคนไทย เรากินอาหารจีนในบ้านเราว่าอร่อย ลองไปฮ่องกงหรือไม่ก็จีนดูสิ ไปสั่งอาหารจีนบ้านเขาดูว่าจะกินลงไหม ? กินไม่ลงหรอก เพราะมีแต่มัน ๆ เลี่ยน ๆ ในไทยเราเอามาปรับให้เข้ากับลิ้นของเรา ก็แปลว่าอร่อยที่บ้านเราไม่ได้แปลว่าจะอร่อยที่บ้านเขา อาหารหลายต่อหลายอย่างบ้านเราดัดแปลงจนต้นตำรับเขาจำไม่ได้ พวกทองหยิบ ฝอยทองอะไรพวกนั้น คุณหญิงกีมาร์ (Marie Guimar de Pinha) ฟื้นขึ้นมาใหม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะจำหน้าตาได้หรือเปล่าว่าสอนลูกหลานไทยเอาไว้เอง คุณหญิงกีมาร์เป็นโปรตุเกส แต่งงานกับฟอลคอน (Constantine Phaulkon) ที่เป็นกรีก ข้ามน้ำข้ามทะเลมาเมืองไทย แล้วรับราชการสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นออกญาหรือเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ภรรยาเป็นคุณท้าว คราวนี้ท่านชื่อกีมาร์ คนไทยเลยเรียกว่า "ท้าวทองกีบม้า"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-10-2011 เมื่อ 17:34 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
"อาตมาเห็นคนไทยสมัยก่อนอ่านหนังสือแล้วกลุ้มใจ เขาอ่านตามสบายใจฉัน อย่างเช่น "แฮรี่ เบอร์นี่" คนไทยอ่านเป็น “หันแตร บารนี” ชื่อเป็นไทยมาก "เซอร์ เจมส์ บรู๊ก" คนไทยอ่านเป็น “เย สัปบุรุษ” เขาเปลี่ยนเป็นชื่อไทยได้หมด
"หมอบรัดเลย์" กลายเป็น “ปลัดเล” สถานีเขาเรียก “กะเตชั่น” แบ็ดมินตันเขาเรียก “ปั๊กกะตั้น” "เทเลกราฟ" (โทรเลข) เขาเรียกเป็น “ตะแล็บแก๊บ” ธนาคารแห่งแรกของประเทศไทย ก็คือ สยามกัมมาจล ก่อนหน้านั้นเขากลัวว่าการตั้งธนาคารจะทำให้เป็นที่เพ่งเล็งของต่างชาติ เขาก็เลยตั้งเป็น "บุคคลัภย์" มาจากคำว่า Book Club เขาสามารถแปลงให้กลายเป็นภาษาไทยได้ สังเกตไหมว่าเด็กรุ่นใหม่ออกเสียง “จ” ไม่ได้ ออกเสียงเป็นตัว J หมด ปกติ จ.จานไม่ต้องห่อลิ้นนะ แต่สมัยนี้ออกเสียง จ.จาน แบบห่อลิ้น แก้ไขไม่ได้ด้วย เพราะเสียมาหลายรุ่นแล้ว นอกจากนี้ เรายังไปออกเสียง “ญ” กับ “ย” เป็นเสียงเดียวกัน ออกเสียง “น” กับ “ณ” เป็นเสียงเดียวกัน ซึ่งแท้จริงเขาแยกเสียงได้ “น” เขาออกเสียงขึ้นจมูก ถ้า “ณ” ถึงจะออกเสียงปกติ ลองไปฟังเพลงสาวเชียงใหม่ของสุนทรี เวชานนท์ดูสิ เขาออกเสียง ย. ยักษ์ชัดมากเลย “เยือกเย็นสดใสเหมือนน้ำแม่ปิง” นั่นแหละเสียง “ย” แท้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-10-2011 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 173 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "กฐินปลดหนี้ของอาตมาจะเลือกช่วยเฉพาะวัดที่เดือดร้อนจริง ๆ ดังนั้น..กฐินปลดหนี้ปีหน้าจะไปที่วัดถ้ำป่าอาชาทอง ของครูบาเหนือชัย
พี่ ๆ น้อง ๆ ใครที่เดือดร้อนก็จะไปช่วย เป็นความตั้งใจมาตั้งแต่สมัยออกจากวัดท่าซุงใหม่ ๆ ช่วงนั้นมีบุคคลอยู่จำนวนหนึ่งที่เขามองลักษณะว่า อาตมาตั้งตนเป็นอาจารย์แข่งกับสำนักใหญ่ อาตมาก็มาคิดว่า ถ้าเป็นอาตมาเองจะไม่เสียเวลาคิดอย่างนี้ ถ้าใครสามารถตั้งตัวเป็นอาจารย์ได้ จะสนับสนุนให้สุดตัวไปเลย แล้วการสนับสนุนก็ไม่ต้องลำบากยากเข็ญอะไร ก็แค่ประกาศข่าวว่ามีพี่น้องอยู่ทางด้านนี้ด้านนั้น ให้พากันไปเยี่ยมเยียนกัน คนก็แห่ไปช่วยกันเอง ไม่ต้องแบกต้องหามกันสักหน่อย ไปแนะไปนำกันว่าเป็นพี่เป็นน้องกันอย่างไร ถึงเวลาญาติโยมท่านไหนอยู่ใกล้ก็ไปทำบุญที่นั่น จะได้ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงวัดท่าซุง ถ้าหากว่าทางวัดใหญ่ทำแบบนี้ เวลาวัดใหญ่มีงาน ทางสำนักต่าง ๆ เขาก็เต็มใจแห่กันไปช่วยอยู่แล้ว กลายเป็นว่ารวบรวมญาติโยมทางด้านนี้ไปช่วยทางสำนักใหญ่ มีแต่ได้หลายอย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือ เห็นความสามัคคีเหนียวแน่นในหมู่ลูกพ่อเดียวกัน อย่างที่สองก็คือ ถ้าหากว่าขาดเหลืออะไร ตัวเองเป็นสำนักใหญ่ สามารถช่วยเหลือเจือจุนได้ สำนักเหล่านั้นจะสามารถตั้งหลักได้เร็ว เป็นที่พึ่งของญาติโยมได้เร็ว อย่างที่สามก็คือ สมมติว่าญาติโยมอยู่สุไหงโกลก ญาติโยมทางด้านนั้นก็ไม่ต้องแห่ขึ้นมาไกลตั้ง ๑,๕๐๐-๑,๖๐๐ กิโลเมตร เพื่อที่จะได้มาทำบุญที่วัดท่าซุง เพราะมีวัดพี่วัดน้องที่นั่นแล้ว กลายเป็นว่าอาตมาคิดคนละอย่างกับคนอื่น แต่ก็เป็นความตั้งใจที่อยู่ในใจอยู่แล้ว ดังนั้นพองานตัวเองเบาลงนิดหนึ่ง พอที่จะช่วยที่อื่นเขาได้ ถึงได้จัดเป็นกฐินปลดหนี้ไปช่วยเขา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-10-2011 เมื่อ 16:06 |
สมาชิก 186 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
"วันก่อนตุ๊ป้อสิงห์บอกว่าสร้างโบสถ์อยู่ ปัจจัยที่น้องหาให้เมื่อตอนกฐินปลดหนี้ได้ใช้อย่างเต็มที่ เพราะว่าหัวหน้าช่างที่เชิญมาเขาคิดค่าแรงเดือนละ ๕๐,๐๐๐ บาท
ก็ต้องดูว่าแต่ละปีตรงไหนเร่งด่วน เราก็ไปช่วยตรงนั้นกัน ช่วยได้สักปีละวัดก็ยังดี เบื่อแล้วประเภททำกฐินเอาบุญ ทำครั้งหนึ่ง ๒๐-๓๐ วัด เฉลี่ยแล้วได้วัดละไม่กี่สตางค์ ไม่พอยาขี้ฟัน ลงไปวัดเดียวหมดเรื่องหมดราว ให้เห็นหน้าเห็นหลังไปเลย อีกไม่กี่วันก็จะลงไปที่สุไหงปาดี กลางดงระเบิดเลย กลางดงอิสลาม ชื่อวัดอย่างเป็นทางการคือวัดรัตนานุภาพ แต่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าวัดโคกโก อาตมาลงปักษ์ใต้ไปตั้งแต่ตอนที่ภาคใต้ยังไม่มีเรื่องไม่มีราว ลงไปจนกลายเป็นตัวประหลาดในหมู่อิสลาม ที่แปลกที่สุดก็คือ ลงไปเจอหลวงพี่นิล (พระอาจารย์ธวัชชัย ชาครธมฺโม) ครั้งแรกที่ปักษ์ใต้ บวชใหม่ ๆ ด้วยกันทั้งคู่ อาตมาบวชได้ ๘ พรรษา ท่านเพิ่งบวชได้ ๔ พรรษา แล้วก็อยู่มาจนกระทั่งทางใต้มีเรื่องมีราว แต่อาตมาก็ยังคงลงไปตลอด แรก ๆ ก็ลงไปปีละครั้ง ไป ๆ มา ๆ พอเขาเดือดร้อนก็ไปถี่ขึ้น มาระยะนี้ความเดือดร้อนน้อยลงก็ไปห่างหน่อย บางช่วงเหตุการณ์รุนแรงมาก อย่างระเบิดสถานีรถไฟหาดใหญ่ พออาตมาขึ้นรถไฟ ก็จะมีตำรวจเขารักษาการณ์หัวท้ายตู้ละ ๒ นาย ส่วนใหญ่พระจะมีเวรมีกรรม พอพระนั่งก็ไม่มีใครอยากนั่งด้วย ที่ตรงข้ามก็จะว่าง พอตำรวจเดินไปเดินมาจนเมื่อย เขาก็มานั่งกับพระ แล้วถามว่า “หลวง ๆ ลงมาไม่กลัวรื้อ ?” อาตมาตอบว่า “อ๋อ..อยากให้ระเบิดที่รถคันนี้เลย จะได้ดังบ้าง” ตำรวจเดินหนีไปเลย เจอพระไม่กลัวไม่พอ ภาวนาให้ระเบิดคันนี้อีกด้วย..! คำว่า “คัน” ในภาษารถไฟก็คือคำว่า “ตู้” พูดง่าย ๆ อยากให้เขาระเบิดตู้นี้แหละ แต่ว่าแปลก..การรถไฟเขาเรียกเป็นคัน เพราะฉะนั้น..รถไฟถ้าลงสายใต้ขบวนหนึ่งจะมี ๒๐ กว่าคัน "
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-10-2011 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|