|
เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#41
|
||||
|
||||
"ส่วนประการที่ ๓ นั้น เป็นเรื่องที่น่าเสียดายและน่าเสียใจมาก คือเป็นการทำลายล้างกันระหว่างนิกาย ธรรมยุติกนิกายจะเห็นว่าตัวเองดีเลิศประเสริฐศรีอยู่เสมอ และมหานิกายเป็นพวกที่เลวทรามใช้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น...ธรรมยุตพยายามที่จะควบคุม โดยเฉพาะมีอำนาจในการปกครองให้เหนือมหานิกายเอาไว้ โดยอ้างความใกล้ชิดกับราชวงศ์
ซึ่งในส่วนนี้ถ้าเป็นการทำลายล้างกันระหว่างนิกาย จะเป็นเรื่องของการตีงูให้กากิน ก็คือถ้าทำลายกำลังหลักที่ช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนาลง ในประเด็นที่ ๒ ที่เป็นการทำลายล้างกันระหว่างศาสนา เท่ากับเราช่วยเขา ในเมื่อเราช่วยเขา เป็นแนวร่วมในลักษณะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เหมือนกับเราทำลายกำแพงป้องกันที่แข็งแกร่งของศาสนาพุทธลง หรือว่าทำลายขุนศึกที่เฝ้าชายแดนด้วยความเข้มแข็งลง เกรงว่าต่อไปธรรมยุตจะหาขุนศึกที่รบกับศาสนาอื่นไม่ได้ ถามว่าท่านเจ้าคุณจำนงค์ คือหลวงพ่อพระพรหมเมธี ท่านก็เป็นธรรมยุต ทำไมท่านโดนด้วย ? ก็เพราะว่าท่านเจ้าคุณจำนงค์ท่านรู้ว่าในเรื่องของพระพุทธศาสนานั้น ถ้ามีนิกายอยู่เป็นความแตกแยก ท่านก็พยายามที่จะประสานโดยเข้ากับมหานิกายให้ได้ จนกระทั่งเขาเรียกท่านว่า ธรรมยุตนอกคอก ในเมื่อเป็นธรรมยุตนอกคอก ในความรู้สึกของธรรมยุตในคอกก็คือ มึงต้องโดนด้วย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:38 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#42
|
||||
|
||||
"ดังนั้น ตามที่อาตมาวิเคราะห์ด้วยปัญญาเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตนเอง มองออกว่าเรื่องพรรค์นี้โยงกันอยู่ ๓ ประเด็น แต่ว่าทั้ง ๓ ประเด็นนั้นรวมแล้วเป็นประเด็นเดียว ก็คือต้องทำลายพระพุทธศาสนาให้ได้
เราถึงจะเห็นได้ว่าในส่วนของวันสำคัญทางศาสนา ไม่ว่าจะเป็นช่วงวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา เขาจะตีข่าวเล่นข่าวพวกนี้เสมอ ขอเพียงแค่ญาติโยมรู้สึกว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาทำแต่ความชั่วช้าเลวทราม เป็นที่พึ่งไม่ได้ เขาก็ประสบความสำเร็จแล้ว โยมสังเกตดูว่าทำไมข่าวออกแต่พุทธอิสระนุ่งขาวห่มขาว แต่ไม่มีรูปหลวงพ่อเจ้าคุณพรหมดิลก ไม่มีรูปหลวงพ่อเจ้าคุณพรหมสิทธิ ไม่มีเจ้าคุณอีก ๕ รูป เพราะว่านั่นคือสิ่งที่เขาอยากให้เราเห็น ทำในลักษณะที่ว่ามีความยุติธรรม ก็คือแม้แต่พวกเดียวกันอย่างพุทธอิสระก็โดน แต่ความจริงลักษณะนั้นเหมือนกับอุยกาย หรือไม่ก็วัสสการพราหมณ์ ยอมให้โดนโบยโดนตีเพื่อที่จะทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้ถึงรากถึงโคน ซึ่งลักษณะอย่างนี้เป็นการที่เอาเบี้ยแลกขุน ตัวเองไม่มีอะไรเสียหาย เพราะว่ากลับไปบวชใหม่เมื่อไรก็ได้ ซึ่งก็คือพุทธอิสระ แต่ว่าบรรดาหลวงพ่อทั้ง ๓ รูป ตลอดจนกระทั่งเจ้าคุณ ถึงเวลาโดนถอดยศ พอไปบวชใหม่กลับกลายเป็นพระใหม่ ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่หมด และในส่วนที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ แม้กระทั่งฆาตกรฆ่าหั่นศพ หรือว่าบรรดาผู้คนโกงกันเป็นร้อยล้านพันล้าน ถึงเวลายังต้องสู้กันถึง ๓ ศาล ยังมีการให้ประกันตัว แต่พระเราเขาจับถอดผ้าเหลืองเข้าคุกเลย การถอดผ้าเหลืองเอาเข้าคุกของพระนี่ เท่ากับประหารชีวิตทางพระพุทธศาสนา เพราะว่าขาดความเป็นพระไปแล้ว ตายจากความเป็นพระไปแล้ว ก็ในเมื่อแม้แต่อาชญากรตัวกลั่นเขายังให้โอกาสถึงขนาดสู้กัน ๓ ศาลเป็นเวลาหลายต่อหลายปี แล้วขณะเดียวกันบางทีสู้กันจนถึงศาลฎีกาพิพากษายืนแล้ว ยังมีการถวายฎีกาต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอีกต่างหาก แต่ความเป็นพระเราไม่มีโอกาสแบบนั้นเลย เขาจับสึกเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:40 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#43
|
||||
|
||||
"เราจะเห็นว่าการทำลายล้างพระพุทธศาสนานั้นรุนแรงมาก ตั้งใจจะกวาดล้างให้พระพุทธศาสนาหมดไปจากประเทศไทย เพื่อเอาอีกศาสนาหนึ่งขึ้นแทนให้ได้ ขอให้ญาติโยมทุกคนตระหนักได้ว่า ภาระของพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่พระเท่านั้น พระพุทธเจ้าฝากไว้กับพุทธบริษัท ๔ อุบาสก อุบาสิกาอย่างญาติโยมทั้งหลาย ถ้าไม่สามารถช่วยกันค้ำจุนพระศาสนา ไม่เป็นปากเป็นเสียง ไม่ปกป้องพระพุทธศาสนา ลำพังแค่สถาบันพระอย่างเดียวก็เอาไม่อยู่
เพราะนอกจากการทำลายล้างทางการเมือง ยังมีการทำลายล้างทางศาสนา และมีการทำลายกันเองระหว่างนิกายด้วย เรื่องพวกนี้ลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกเราจะมองเห็นก็มี แต่อาตมายืนยันว่ามี และมีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าปัจจุบันนี้เป็นช่วงระยะเวลาที่มีการใช้อำนาจพิเศษ ก็เลยสามารถที่จะรวบหัวรวบหางจัดการอย่างเด็ดขาดได้ โดยมีการแสดงละครร่วมกัน และขณะเดียวกันสื่อมวลชนทั้งหมดที่เป็นฝ่ายตรงข้าม ก็จะออกข่าวโจมตีแต่ทางด้านพระที่เป็นกำลังใหญ่ในพระพุทธศาสนา"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:41 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#44
|
||||
|
||||
"เราจะเห็นว่าอย่างหลวงพ่อพระพรหมดิลก วัดสามพระยา ไม่ใช่คดีเงินทอน แต่เป็นการที่ท่านขอเงินไปบูรณะ ไม่ได้เอาไปสร้างอาคารในวัด แต่ว่าทางสำนักพุทธฯ นำส่งเงินให้โดยไม่มีหนังสือนำ เป็นเพียงเช็คใบเดียว ท่านเองก็คิดว่าเป็นเงินที่ท่านขอเอาไปสร้างอาคาร ท่านก็เอาไปใช้ ถ้าหากว่าเป็นความผิดก็เป็นแค่ใช้เงินผิดประเภท
โยมจะเห็นว่าเมื่อ ๒ วันก่อนเขามีข่าวออกมาเรื่องคดีโกงเงินคนจน สำรวจดูแล้วว่ามีคนผิดกี่ราย โทษสูงสุดก็คือให้ออกจากราชการ แค่นั้นเอง แต่ของพระกลับติดคุก เพราะฉะนั้น...ในส่วนนี้ถ้าเรารู้จักนำมาพินิจพิจารณาโดยที่ไม่เอาอารมณ์เข้าไปร่วมด้วย เราจะเห็นภาพอะไรที่ชัดเจนมาก ศาสนาพุทธเราจะอยู่ยากขึ้นเรื่อย ๆ หลวงพ่อสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดญาณเวศกวัน หรือหลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตฺโต บอกเอาไว้นานเป็น ๑๐ ปีแล้วว่า อีกศาสนาหนึ่งถ้ามีคนถึง ๕% เราจะเดือดร้อนมากกว่านี้อีก ปัจจุบันนี้เป็นอย่างนั้นแล้ว หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ บอกเอาไว้นานแล้วว่า เรื่องของพระศาสนาเราต้องเตรียมทางถอยไว้ที่ต่างประเทศ ทุกวันนี้เหตุการณ์ไม่เกิดขึ้นไม่ใช่แปลว่าจะไม่เกิด แล้วท้ายสุดก็เกิดขึ้นอย่างที่ท่านเตรียมการเอาไว้ บรรดากำลังใหญ่ที่ท่านวางเอาไว้เพื่อค้ำจุนพระศาสนา โดนเขากวาดทีเดียวเกือบหมดวัด เรื่องพวกนี้ถ้าเราไม่ตระหนักถึงภัยอันตราย ยังเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ พระพุทธศาสนาจะสูญสิ้นไปจากเมืองไทย แบบเดียวกับที่หมดไปจากประเทศอินเดีย ค่อย ๆ คิด คิดอะไรได้แล้วก็ทำ อาตมามีหน้าที่เป็นกำลังใจให้ เพราะตัวเองก็ทำจนจะหมดแรงอยู่แล้ว เมื่อวันที่ ๒๙ นี้ถ้าหากว่าญาติโยมไปวัด จะเห็นว่าทหารไปเป็นชุดเลย เพื่อกดดันไม่ให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนพูดอะไรในลักษณะปลุกระดมญาติโยม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:43 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#45
|
||||
|
||||
"ตอนนี้ที่เขาตีข่าวใหญ่ทางพระพุทธศาสนามีจุดมุ่งหมายอยู่อย่างหนึ่งก็คือ จะออกกฎหมายใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่อิสลาม กฎหมายนี้ดุเดือดมาก ก็คือจังหวัดไหนมีสุเหร่า ๓ แห่ง จังหวัดนั้นสามารถตั้งคณะกรรมการอิสลามกลางประจำจังหวัด ประจำอำเภอ ประจำตำบลได้
แล้วคณะกรรมการกลางอิสลามประจำจังหวัด มีหน้าที่ให้คำแนะนำผู้ว่าราชการจังหวัดว่าควรจะทำอะไร คณะกรรมการกลางอิสลามประจำอำเภอ เป็นคณะที่ปรึกษาให้คำแนะนำว่านายอำเภอควรจะทำอะไร และคณะกรรมการกลางอิสลามประจำตำบล มีหน้าที่ให้คำแนะนำว่ากำนันต้องทำอย่างไร ช่วงนี้ที่เขาตีข่าวทางพระพุทธศาสนาให้ดังมาก ๆ เพื่อจะกลบกฎหมายเหล่านี้เสีย แล้วกฎหมายอีกอย่างหนึ่งที่จะออกมาก็คือ กฎหมายฉบับใหม่ที่จะล้มล้างมหาเถรสมาคมและการปกครองคณะสงฆ์ เป็นฆราวาสร่างกฎหมายปกครองพระ อาตมาเองก็ยังนึกขำอยู่ว่า นี่ถ้าเขาให้พระร่างกฎหมายปกครองทหารตำรวจบ้างจะเป็นอย่างไร ? อย่างเช่นว่า ถ้าหากว่าจะเป็นทหารตำรวจต้องถือศีล ๒๒๗ ข้อ ต้องห้ามมีเมีย จะรับได้ไหม ? เพราะว่าเอาคนที่ไม่รู้เรื่องในวงการนั้นไปร่างกฎหมายให้เขาปฏิบัติตาม ก็คนที่ร่างบางคนบวชยังไม่เคยบวชเสียด้วยซ้ำไป แล้วโดยเฉพาะถ้าหากว่าเป็นคณะ สนช. ๘๔ คนเป็นอิสลามชัด ๆ ไป ๖๓ คน แล้วที่เป็นโดยแฝงอยู่แล้วเราไม่รู้อีกตั้งเท่าไร แล้วมาร่างกฎหมายปกครองพระ ก็เท่ากับกดดันและบีบคั้นให้พระอยู่ยากขึ้นไปเรื่อย ๆ สรุปง่าย ๆ ว่า ต่อไปพระหายใจก็ผิด ต้องเลิกหายใจเท่านั้น ดังนั้น...เรื่องที่เขาตีข่าวใหญ่ในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่แล้วเขามีเป้าหมายหลายอย่างด้วยกัน ทั้งทางด้านการเมือง ทั้งทางด้านศาสนา และทั้งการออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายของตนและทำลายล้างศาสนาพุทธ เรื่องพวกเราจะต้องรู้เท่าทัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:45 |
สมาชิก 205 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#46
|
||||
|
||||
"เราจะเห็นว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผ่านมา ที่ออกกฎหมายแล้วให้ประชาพิจารณ์ภายใน ๙๐ วัน แต่ก็ตีข่าวใหญ่ขึ้นมาเพื่อกลบเสีย จนกระทั่งเราลืมไปหมดแล้วว่ากฎหมายที่ออกมาคืออะไร เรื่องพวกนี้ลึกซึ้งมาก เพราะว่าฝ่ายตรงข้ามระดมด็อกเตอร์ ๓๐๐ กว่าคน ปรับแผนยุทธศาสตร์กันทุกอาทิตย์ เพื่อครองประเทศไทยให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
น่าเสียดายที่ว่าพุทธศาสนิกชนของเรา นอกจากรู้ไม่เท่าทันแล้วยังเป็นแนวร่วมให้เขาโดยไม่รู้ตัว แค่ถึงเวลามีข่าวคุณออกมาด่าพระ เขาก็ประสบความสำเร็จแล้ว และการอวดดีอวดฉลาดด่าพระโดยไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เป็นการแสดงความโง่ในสายตาของอาตมา ท่านทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นแนวร่วมชั้นดีในการทำลายพระพุทธศาสนา ด้วยความภาคภูมิใจว่าตัวเองทำดีทำถูก พวกเราต้องระมัดระวังและมีความสามัคคีเหนียวแน่น แสดงออกในการปกป้องพระพุทธศาสนาให้มากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นศาสนาพุทธที่บรรพบุรุษของเราเอาเลือดเนื้อและชีวิตปกป้องรักษา เพื่อให้ตั้งอยู่ในแผ่นดินไทย จะสูญสิ้นไปในรุ่นของเรานี่เอง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:46 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#47
|
||||
|
||||
"โดยปกติปัจจุบันนี้แม้กระทั่งในคณะพระอุปัชฌาย์รุ่น ๕๑ ในสังกัดคณะสงฆ์หนกลาง ๒๓ จังหวัดที่อาตมาเป็นประธานอยู่ ถึงเวลาก็ออกมาโวยวายกันในลักษณะที่ว่าทำอย่างนี้ได้อย่างไร ? เราจะสู้เขาได้อย่างไร ? โดยที่ไม่ได้มีความคิดแนวทางอะไรในการที่จะต่อสู้ออกมาเลย
จนกระทั่งอาตมาต้องบอกว่า "แล้วทำไมไม่รู้จักหาข่าวดี ๆ มาสู้กับเขาบ้าง ?" เราทำอะไรมี Facebook มี LINE มีเว็บไซต์ใส่ลงไปให้มาก ๆ ให้ญาติโยมเขาได้รู้จักว่าพระในพระพุทธศาสนาของเราทำความดีอะไรบ้าง วิสาขบูชาที่ผ่านมาอาตมาเพิ่งให้ทุนการศึกษาไป ๑๒ โรงเรียน ถ้าหากว่านับเป็นตัวเงินก็เป็นล้าน ข่าวเหล่านี้เคยมีออกไหม ?...ไม่มี ปัจจุบันนี้การออกข่าวทางสื่อโซเชียลเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเรา เพราะฉะนั้นในเมื่อทางสื่อหลัก ๆ อย่างหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เขาไม่ออกให้ หรือที่เขาบอกว่าข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีต้องเสียเงิน เราเองในฐานะพุทธศาสนิกชน เราก็ช่วยกันออกสิ ลง Facebook ของเราแล้วแชร์กันไปก็ได้ ลง YouTube ก็ได้ ถ้าหากว่าลง YouTube กลัวต่างประเทศไม่รู้ ก็ใส่ซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษไปด้วยก็ได้ เป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินกำลังที่พวกเราจะทำ จะได้รู้ว่าพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนาของเราจริง ๆ แต่ละปีสร้างสิ่งที่ดีมากมายมหาศาล แต่ว่าเราไม่เห็น ไม่ยกย่อง ไม่สรรเสริญ แต่พอมีสิ่งที่เขาบอกว่าไม่ดีออกมานิดเดียว เราช่วยกันรุมถล่ม ก็กลายเป็นเราทำตัวเป็นคนพังรั้วบ้านให้โจรปล้นบ้านเราเอง ก็แบบเดียวกับที่ว่าการโกงเงินคนจนให้ออกจากราชการ ถ้าหากว่าพระท่านทำจริงก็คือให้ออกจากตำแหน่งหน้าที่ที่ท่านบริหารอยู่ แต่คราวนี้กลายเป็นว่าพระของเรายังไม่ทันจะตัดสินว่าผิดหรือถูก เขาก็เอาเข้าคุกไปแล้ว เขาพยายามที่จะทำให้พวกเราหวั่นไหว สงสัย ลังเล ในตัวบุคคลที่เราเคยเคารพเลื่อมใส แล้วท้ายสุดก็กลายเป็นหมดความเคารพนับถือในพระพุทธศาสนาไปด้วย ดังนั้น...อาตมาถึงได้ดุเพื่อนพระอุปัชฌาย์ไป บอกว่าให้สร้างข่าวดี ๆ ขึ้นมาสู้กับเขา เขาก็บอกว่าข่าวร้ายลงฟรี ข่าวดีเสียเงิน อาตมาบอกว่าของตูไม่เห็นต้องไปจ้างเขาลง ถ้าคิดว่าคุณทำอยู่ในระดับที่ดีพอ เขาจะต้องมาง้อเอาข่าวไปลงเองนั่นแหละ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:48 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#48
|
||||
|
||||
"เรื่องของพุทธอิสระ ซึ่งปัจจุบันก็คือนักโทษชายสุวิทย์ ทองประเสริฐ เราสามารถมองเป็น ๒ อย่างด้วยกัน อย่างแรกก็คือท่านเสียสละตัวเองเพื่อจะล้มล้างฝ่ายตรงข้าม ก็คือทำให้รัฐบาลดูดีว่า ไม่ได้จัดการเฉพาะฝ่ายพระมหาเถระเท่านั้น แม้กระทั่งฝ่ายเดียวกันถ้าทำไม่ดี ทำไม่ถูกก็โดนด้วย นี่คืออย่างที่หนึ่ง
ส่วนอย่างที่สองก็ตรงกับภาษิตจีนที่ว่า เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล กลายเป็นว่า ตอนที่ต้องการใช้งานก็ปล่อยท่านเอาไว้ กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าหากว่าไม่ใช้งานเมื่อไรลุยจับทันที ซึ่งลักษณะการบังคับใช้กฎหมายแบบนี้ ในความรู้สึกของอาตมาขอบอกว่าทุเรศมาก แต่เขาก็ทำกันเป็นปกติ ในเมื่อเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร เราก็อย่าไปเสียอารมณ์ทุเรศกับเขาเลย แล้วเราจะเห็นว่าบรรดาข่าวทางหนังสือพิมพ์หรือโทรทัศน์ จะออกข่าวแต่ด้านพุทธอิสระที่โดนจับกุมคุมขังอยู่ในชุดนักโทษ แต่จะไม่มีข่าวทางด้านพระมหาเถระ เพราะว่าต้องการเอามาลดกระแสความไม่พอใจของพุทธศาสนิกชน เพราะว่าถ้าบุคคลที่ทางด้านลูกศิษย์ลูกหามั่นใจว่าท่านไม่ได้ทำผิด แต่ว่าโดนใส่ร้าย โดนให้ร้าย โดนทำลายล้าง ทั้งทางการเมืองและทางศาสนา ก็เกรงว่ากระแสความไม่พอใจของลูกศิษย์จะกลายเป็นการปลุกระดมมวลชนขึ้นมา จึงไม่ให้ออกข่าว แต่ทางด้านของพุทธอิสระนี้ที่ให้ออกข่าว เพื่อลดกระแสความไม่พอใจลงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยที่ทางด้านรัฐบาลออกมากล่าวคำขอโทษในลักษณะว่าทำการรุนแรง แต่จริง ๆ แล้วในส่วนที่ออกมาขอโทษ ก็คือละครการเมืองอย่างหนึ่งเหมือนกัน ซึ่งถ้าเรามีความเข้าใจตรงจุดนี้ก็จะไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าแปลกใจ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:49 |
สมาชิก 194 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#49
|
||||
|
||||
"เรื่องของทางด้านพระมหาเถระทุกรูปก็ดี ทางด้านพุทธอิสระก็ดี เมื่อเรื่องราวเกิดขึ้นเป็นเครื่องวัดกำลังใจของพวกเราเป็นอย่างดีว่า รัก โลภ โกรธ หลง ของพวกเรามีมากแค่ไหน ? มีโกรธ มีน้อยใจ มีเสียใจ มีหดหู่ มีเศร้าหมองหรือไม่ ? เป็นการวัดกำลังการปฏิบัติธรรมของเรา หรือว่าดีใจ สะใจ ที่เห็นอีกฝ่ายหนึ่งติดคุก ถ้าลักษณะนั้นก็แปลว่ากำลังใจของเราใช้ไม่ได้
ทำอย่างไรถึงจะทำให้กำลังใจของเราอยู่ในระดับกลาง ๆ ไม่ยินดียินร้าย พยายามมองให้เห็นว่าเป็นวาระกรรม อย่างที่หลวงพ่อพรหมดิลกท่านใช้คำว่า น่าจะหมดบุญของท่านแล้ว เป็นต้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:49 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#50
|
||||
|
||||
พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนอาตมาอุ้มถุงใส่เม็ดเงิน ๓๒ กิโลกรัมกว่า อุ้มมือเดียวอีกมือหนึ่งก็ปิดประตูรถ พระท่านก็วิ่งเข้ามาด้วยความหวังดี “หลวงพ่อครับ..ผมช่วย” ถามว่า “แน่ใจนะ ?” ท่านบอกว่าแน่ใจ “ถ้าแน่ใจ..ก็เอาไปเลย” พอรับไปท่านก็หัวทิ่มไปพร้อมกับถุงเลย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2018 เมื่อ 12:50 |
สมาชิก 212 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#51
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของพระ เรื่องของพรหม เรื่องของเทวดา อาตมาขอยืนยันว่ามีจริง และพบมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว สิ่งต่าง ๆ ที่ท่านบอก ที่ท่านกล่าว เป็นไปตามนั้นจนเลิกสงสัยมานานสิบปีแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นท่านบอกอะไร อาตมาทำตามอย่างเดียว
สมัยก่อนมีรุ่นน้องคือทิดชาติชาย พอถึงเวลาอาตมาก็บอกว่าพระท่านบอกอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ หลวงพ่อบอกอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ ท่านย่าบอกอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ ท่านก็มาซักรายละเอียดกับอาตมาว่า ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ? ทำไมถึงไม่เป็นอย่างนี้ ? อาตมาก็บอกว่า "กูไม่รู้" ทิดถามว่าทำไมถึงไม่รู้ ? "ก็กูไม่สงสัย กูเลยไม่ถาม" เพราะฉะนั้น...ถ้าใครสงสัยก็ไปถามท่านเอง ตัวสงสัยอย่าลืมว่าเป็นส่วนของวิจิกิจฉา ในเมื่อลังเลสงสัยก็ทุ่มไม่เต็มร้อย ในเมื่อทุ่มเทไม่เต็มร้อยโอกาสจะได้ผลมากก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ เราจะเห็นว่าการทำสิ่งเดียวกัน ทำไมคนหนึ่งทำแล้วได้ผลมากกว่า เพราะว่าเขาทุ่มเทเต็มร้อย ขณะที่เราเองลงแรงไปไม่ถึงครึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-06-2018 เมื่อ 19:38 |
สมาชิก 199 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#52
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "เรื่องของการปฏิบัติธรรม ก็คือการที่เราปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าให้ละชั่ว ทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลส
คราวนี้การปฏิบัติธรรมส่วนใหญ่ เราจะเข้าใจว่าเป็นการนั่งสมาธิ ซึ่งก็ยังดีที่เข้าใจเช่นนั้น เพราะว่าถ้าอย่างน้อยกำลังสมาธิทรงตัว ก็กดกิเลสลงได้ชั่วคราว ทำให้สภาพจิตของเราผ่องใสไประยะหนึ่ง ถ้าไม่ได้ทำต่อเนื่อง ถึงเวลากิเลสตีกลับก็มัวหมองใหม่ แต่ถ้าทำได้ต่อเนื่องยาวนาน สภาพจิตยิ่งผ่องใส ก็จะเกิดปัญญาเห็นว่า จะชำระกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง แต่ละตัวให้หมดไปอย่างไรบ้าง ดังนั้น การที่เรามาปฏิบัติธรรม อันดับแรกเลยก็คือ สร้างความดีให้เกิดขึ้นในใจของเรา หลังจากนั้นก็เพิ่มความดีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเติมน้ำจืดลงในน้ำเค็ม ถ้าเติมมากพอ น้ำเค็มไม่ได้หายไปไหน แต่รสเค็มไม่ได้ปรากฏ เพราะว่าน้ำจืดมีปริมาณมากกว่า พอถึงเวลาทำไปแล้วก็กลายเป็นความดีเฉพาะตัว ความดีเฉพาะตัวเขาเรียกว่า คุณธรรม พอเรามีความดีเฉพาะตัวเวลาไปไหนคนเขาเห็นว่าเรามีศีลมีธรรม ก็ให้เกียรติยกย่อง คนที่อยากเป็นแบบนั้นบ้างก็ทำตาม การที่คนอื่นเลียนแบบทำตาม เขาเรียกว่า จริยธรรม จะเห็นได้ว่าในเรื่องของคุณธรรม จริยธรรม ศีลธรรมนั้น ศีลธรรมต้องมาก่อน ปฏิบัติตามศีลตามธรรมจนเกิดความดีเฉพาะตัวจนเกิดเป็นคุณธรรม เมื่อคนอื่นเห็นว่าความดีเป็นสิ่งที่ดี อยากทำตาม เมื่อเริ่มมีคนทำตามก็เป็นจริยธรรม เป็นแบบอย่างแก่เขาได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-06-2018 เมื่อ 19:51 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#53
|
||||
|
||||
"บางทีฟังมานานแต่เราก็แยกไม่ออก ประสิทธิภาพกับประสิทธิผลก็แยกไม่ออก ประสิทธิภาพคือความสามารถที่จะทำงานให้สำเร็จ ประสิทธิผลคืองานที่สำเร็จนั้นดีแค่ไหน ทำไมเวลาฟังคนอื่นพูดแล้วไม่รู้เรื่อง ฟังอาจารย์พูดแล้วง่ายนะ ?
พรุ่งนี้เป็นต้นไป อาตมาต้องเข้าสู่วงจรเดิม ๆ คือไปสอนนิสิต ซึ่งโดนนิสิตเรียกร้องมากขึ้น ๆ อย่างพรุ่งนี้ก็สอน ๕ ห้อง ๑๐ ชั่วโมง เหตุที่นิสิตเขาเรียกร้องมากขึ้น เพราะเขาบอกว่าเวลาอาจารย์พูดแล้วเข้าใจง่าย แต่เวลาอาจารย์ท่านอื่นพูดแล้วอาจารย์เองก็ยังไม่เข้าใจ อาตมาขอยกตัวอย่างท่านเจ้าคุณโสภณกาญจนาภรณ์ ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็ก...ช่วยสอนวิสุทธิมรรคศึกษาแทนผมทีเถอะ ผมเองยังอ่านไม่เข้าใจเลย แล้วผมจะไปสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจได้อย่างไร ?" วิสุทธิมรรคศึกษาต้องแปลไทยเป็นไทยย้อนหลายชั้น เพราะว่าเป็นคำไทยเก่า ๆ ถ้าหากว่าเรายังไม่เข้าใจความหมาย พอถึงเวลาไปอธิบายให้คนอื่นเข้าใจย่อมเป็นไปไม่ได้"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2018 เมื่อ 18:57 |
สมาชิก 185 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#54
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "คุณเข้าใจคำว่า ติดหลังแห ไหม ? ส่วนใหญ่พวกเราไปใช้คำว่า ติดร่างแห ติดหลังแหก็คือปลาดวงซวย ถึงเวลาเขาเหวี่ยงแห พอแหคลุมลงไป ปลาก็จะติดขึ้นมา แต่ตอนที่เขาชักขึ้น ปลาดวงซวยดันติดหลังแหด้านนอกขึ้นมา นั่นแหละ...แบบพวกที่ไปนอนอยู่ข้างวงไพ่ พอตำรวจจับคนเล่นไพ่ ตัวเองก็โดนไปด้วย...ทำนองนั้น"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2018 เมื่อ 18:58 |
สมาชิก 183 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#55
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าอยากให้ผอมต้องดื่มน้ำร้อนทั้งวันหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : งานวิจัยของคุณหมอเขาบอกว่า ให้ดื่มน้ำร้อนให้ได้วันหนึ่งประมาณ ๔ ลิตร แต่ว่าแก้วหนึ่งให้จิบให้นานที่สุด โดยอุณหภูมิสูงที่สุดเท่าที่เราทนได้ พอจิบลงไปเรื่อย ๆ อุณหภูมิร่างกายจะร้อนเหมือนตอนที่เราออกกำลังกาย ระบบร่างกายของเราพอร้อนถึงระดับหนึ่ง ก็จะเตือนให้ร่างกายผลาญแคลอรี ก็คือตอนเราออกกำลัง ร่างกายต้องการพลังงานไปเพื่อจะใช้ในการออกกำลัง แต่น้ำร้อนเป็นตัวหลอกให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น แล้วระบบร่างกายก็จะคิดว่าจะเป็นการออกกำลัง ต้องการใช้พลังงาน ก็จะช่วยผลาญแคลอรี่ให้ เพราะฉะนั้น...ลองเปลี่ยนนิสัยดู ทำให้ได้อย่างที่คุณหมอเขาว่า แต่ต้องยอมรับนะ...หมออายุ ๕๐ กว่าแล้ว ยังสูงระหงทรงเพรียวหุ่นเรียวชะลูดอยู่เลย วันละ ๔ ลิตรไหวไหม ? ความร้อนสูงที่สุดเท่าที่เราทนได้ แล้วจิบยาว ๆ อย่าไปอึกเดียวหมด เขาต้องการคงอุณหภูมิในร่างกายเราให้นานที่สุด เพื่อหลอกร่างกาย อาตมาก็มานึกถึงตัวเองว่า ที่เราผอมอยู่ทุกวันนี้เป็นคงจะเพราะน้ำร้อนนี่แหละ แล้วที่เป็นอย่างนี้ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะทำให้ผอม แต่เกิดจากว่าเป็นมาลาเรียแล้วโดนน้ำเย็นไม่ได้ เป็นผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ไปทั่วโลก ก็ถือว่าได้รับการรับรองแล้ว ในวงการแพทย์เขาฮือฮากันใหญ่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2018 เมื่อ 19:00 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#56
|
||||
|
||||
คุณหมอพิพิธพรน่ารักมาก ทำบุญตลอด หมอเกรียงศักดิ์สามีก็ประเภทภรรยาว่าอะไรก็ว่าตามกัน ถวายที่ดินที่เชียงราย ๒๐๐ กว่าไร่ให้หลวงพ่อเยื้อน ขนฺติพโล คุณหมอก็บอกว่า “ที่สวยมากนะคุณ แบ่งไว้สักนิดไม่ได้หรือ ?” หมอพิพิธพรบอก ว่า ไหน ๆ ก็ถวายแล้ว ก็ถวายทั้งหมดนั่นแหละ ตกลงก็ยกถวายไปหมดเลย
นี่กำลังเลี้ยวมาจะหาให้พระอาจารย์เล็ก อาตมาบอกว่าไม่ต้องหาภาระมาเลย ขนาดที่ของคุณนิรันดร์ที่เชียงรายยังไม่กล้ารับเขาไว้ เพราะว่าเวลารับไว้เขาก็จะให้หาพระไป ตอนนี้ทางเจ้าคณะอำเภอทองผาภูมิขอเจ้าอาวาสมาอีก ๒ ราย ยังไม่มีปัญญาหาให้เขา เดี๋ยวกลับไปค่อยไปประชุมว่าใครจะดวงเฮง เดี๋ยวคงต้องให้ปลัดนก (พระปลัดคมสันต์ ธมฺมรโส)ดวงเฮงสักวัดหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2018 เมื่อ 19:01 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#57
|
||||
|
||||
เมื่อวานนี้อาตมาไปเผาศพแม่ของท่านปลัดนกที่วัดป่ากลางทุ่ง อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี ตอนกลางเดือนพฤษภาคมน้องชายของท่านตาย พอถัดมาอีกไม่ถึงอาทิตย์แม่ตาย เมื่อวานตอนไปเผา “อาจารย์ครับ ขออนุญาตลาต่อนะครับ เมื่อวานย่าผมตาย..!” ๓ ศพติดกัน ก่อนจะขึ้นเมรุท่านก็มาถาม “ตกลงนี่ผมเผาได้ไหม ?” อาตมาบอกว่า “เผาไปเถอะ ถ้าเป็นอาถรรพ์ว่าเผาแล้วจะตายต่อ ๆ กัน ก็เผาให้หมดบ้านไปเลยแล้วกัน”
ที่เขาห้ามคือคนเป็นพ่อเป็นแม่ ห้ามว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่อย่าไปเผาลูก ถ้าเผาแล้วจะได้เผาอีก เป็นความเชื่อของเขาอย่างนั้น นี่ตัวเองเป็นลูกจะเผาแม่ก็เผาไปเถอะ ก็มีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้นแหละ ไม่มีอีกหรอก ยกเว้นว่าใครเป็นแม่บุญธรรมก็เผาต่อไปเลย การที่เจอเหตุการณ์หนัก ๆ แบบนี้ คนในบ้านตายที ๓-๔ ศพติด ๆ กัน ถ้าหากว่าผ่านไปได้ จะเป็นการเจริญเติบโตทางจิตอย่างหนึ่ง ก็คือสภาพจิตรับการกระทบขนาดนี้ได้ เหมือนกับเป็นการตื่นรู้และยกระดับจิตของตัวเองขึ้นไป ต่อไปจะมั่นคงมาก ถ้าขนาดคนใกล้ชิด ๓ ศพ ๔ ศพยังเฉย เรื่องอื่นก็เรื่องเล็กแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-06-2018 เมื่อ 19:03 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#58
|
||||
|
||||
มีโยมถวายมะม่วงเขียวเสวยยักษ์ "อาตมาถึงได้ว่ารู้จักต้นไม้กับรู้จักพระเครื่องก็เหมือนกัน จะมาลูกใหญ่ ลูกเล็ก ลูกบิด ลูกเบี้ยวอย่างไร เรามองก็รู้ว่านี่คือเขียวเสวย แต่โยมมองแล้วไม่แน่ใจ "มะม่วงอะไรวะ..ใหญ่จัง ?" เรื่องของพระเครื่องหรือบรรดาเครื่องรางก็เหมือนกัน พอเราดูเป็นดูออกแล้ว ชิ้นต่อไปก็เหมือน ๆ กัน"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2018 เมื่อ 03:34 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#59
|
||||
|
||||
ถาม : โบสถ์มีรูปแบบตายตัวไหมคะ ?
ตอบ : ไม่มี จริง ๆ แล้ว สมัยโบราณไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าเป็นจุดที่กำหนดว่าให้ทำสังฆกรรมได้ ก็จะส่งพระออกไป ๘ ทิศ ในระยะที่เพียงพอต่อการที่พระส่วนใหญ่นั่งทำสังฆกรรมรวมกัน แล้วก็สวดถามว่าแต่ละทิศมีอะไรเป็นเครื่องหมาย ? เมื่อยืนยันกลับมาแล้วก็จดจำไว้ว่า ทิศนี้มีอย่างนี้เป็นเครื่องหมาย ๆ ครบทั้ง ๘ ทิศแล้วก็ทำสังฆกรรมได้ พอมาระยะหลังมีการสร้างเป็นอาคารถาวรขึ้นมา ก็แล้วแต่ว่าศิลปะของแต่ละสถานที่เป็นอย่างไร จะสร้างแบบไหนก็ได้ แต่ส่วนสำคัญก็คือต้องมีสีมา ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือที่ปัจจุบันเราเรียกว่าลูกนิมิต ดังนั้นแบบไม่ตายตัว สร้างแบบไหนก็ได้ เล็กที่สุดต้องบรรจุพระได้อย่างน้อย ๒๑ รูป ใหญ่ที่สุดไม่เกิน ๓ โยชน์ ก็คือห้ามกว้างเกิน ๔๘ กิโลเมตร ที่กว้าง ๔๘ กิโลเมตร ส่วนใหญ่เขาเรียกว่า คามสีมา พูดง่าย ๆ ว่าทั้งหมู่บ้านหรือว่าทั้งเมืองเลย จะเป็นเขตสีมาหมด นั่นหมายความว่าถ้าพระพุทธเจ้าเสด็จแล้วพระตามไป ๒๐๐,๐๐๐ รูปอะไรอย่างนี้ ก็คงได้ปิดบ้านปิดเมืองเพื่อทำสังฆกรรมกันเลย ถาม : แล้วที่ผ่านมาในพระไตรปิฎกมีแบบนี้ไหมครับ ? ตอบ : เต็มที่ก็ ๒๐๐,๐๐๐ รูป เคยมีมาแล้ว ถาม : โบสถ์ควรจะมีกี่ชั้นคะ ? ตอบ : กี่ชั้นก็ได้ แต่ถ้าทำสังฆกรรมควรจะให้คนที่อยู่ข้างล่างออกไปเพื่อความแน่นอน เพราะว่าบางคนเขาลังเลสงสัย ถาม : แล้วในช่วงที่ไม่มีสังฆกรรม สามารถเข้าไปใช้งานใต้โบสถ์ได้ไหม ? ตอบ : จะทำอะไรก็เชิญ ถ้าทางฝั่งพม่าโบสถ์นี่ก็คือที่พัก ทางฝั่งพม่าไม่ให้ความสำคัญกับโบสถ์ ทั้ง ๆ ที่โบสถ์เป็นที่ทำสังฆกรรมทั้งหมด เขาจะให้ความสำคัญกับศาลารับแขก ก่อสร้างทุกอย่างเสียหรูหราสุด ๆ จนกระทั่งเขาสรุปว่าเอาไว้อวดแขก ส่วนโบสถ์อย่างไรก็ได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2018 เมื่อ 03:36 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#60
|
||||
|
||||
ถาม : ช่วงงานกฐินเราถวายแต่เงิน ไม่ได้เอาผ้าไตรไป จะได้หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ได้ ก็เท่ากับว่าเราร่วมกองบุญไป อย่าลืมว่าเขาใช้คำว่า กะฐินะจีวะระทุสสัง ผ้าจีวรสำหรับกรานกฐิน แล้วคราวนี้ยังมีบริวารอีก ที่เราถวายเงินไปก็คือบริวารกฐิน ถ้าไม่มีผ้าไตรแล้วที่วัดไหนเขามี เราก็ไปบูชาที่วัดแล้วถวายร่วมไป กะฐินะจีวะระ ก็คือจีวรสำหรับกฐิน ทุสสัง คือผ้า ผ้าจีวรสำหรับกรานกฐิน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2018 เมื่อ 03:38 |
สมาชิก 179 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|