|
เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ เก็บข้อธรรมจากบ้านอนุสาวรีย์มาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
ถาม : พระไม้ที่แกะสลัก ถ้าปิดทองจะดีไหมคะ ?
ตอบ : จะปิดทองก็ได้ แต่จุดประสงค์ที่แกะสลักพระมีอยู่อย่างหนึ่ง คือ เขาต้องการดูเนื้อไม้ ต้องถามเจ้าของเขาว่า เขาตั้งความหวังไว้แบบไหน ? ต้องการพระปิดทอง ? ต้องการอานิสงส์ปิดทอง ? หรือว่าต้องการพระไม้ ต้องการดูลายไม้ ? แล้วทำตามความประสงค์ของเขา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 12:57 |
สมาชิก 203 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมคนเราเวลานอน หรือว่าหมดแรงแล้ว จะปล่อยอะไรได้ง่าย ไม่เอาอะไรสักอย่าง ?
ตอบ : หมดสภาพใกล้ตายแล้วยังจะเอาอีกก็เกินไป..! แต่ถ้าเราทำมาไม่มากพอ อย่าฝันไปเลยว่าจะง่าย ลองนึกย้อนหลังไปดูซิว่า ก่อนหน้านั้นเราต้องลำบากยากแค้นแค่ไหน กว่าที่จะง่ายอย่างนี้ ตอนนั้นไม่ใช่แค่เลือดตากระเด็นเฉย ๆ เบ้าตาก็จะกระเด็นด้วย แต่เมื่อกำลังพอแล้ว อะไรก็เหมือนง่ายไปหมด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 12:59 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
ถาม : ที่ว่าพระอนาคามีทรงอธิจิต อธิจิตที่ว่าคือ..?
ตอบ : ทรงฌานสี่ได้เป็นปกติ ถาม : เวลาตัดสังโยชน์ พระอนาคามีท่านใช้กำลังฌานในการตัดหรือคะ ? ตอบ : พระอริยเจ้าทุกระดับต้องอาศัยกำลังฌานเป็นส่วนหนึ่งของการตัดกิเลส แต่สำคัญที่สุดคือปัญญา เห็นว่าร่างกายนี้มีสภาพที่ไม่ดีอย่างแท้จริง ถาม : ต่างกับอธิปัญญาของพระอรหันต์อย่างไร ? ตอบ : ปัญญาของพระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นไปอีก ถ้าจะนับก็คือ ปัญญาของพระอนาคามียังหยาบกว่าของพระอรหันต์อยู่ส่วนหนึ่ง พระอรหันต์ท่านจะเก็บรายละเอียดได้มากกว่า โดยเฉพาะในส่วนของมานะ และท้ายสุดก็คืออวิชชา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:02 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาทำบุญเราควรจะทำแล้วเกิดปีติ หรือควรจะทำบุญแล้วทรงฌานในการทำบุญ ?
ตอบ : ถ้าสามารถทำบุญแล้วทรงฌาน โดยเฉพาะการวางอุเบกขาได้ กำลังจะสูงกว่าเยอะ ถาม : หมายถึงกำลังที่เอาไปตัดในรัก โลภ โกรธ หลงได้หรือคะ ? ตอบ : ใช่ ถาม : ทำไมบางท่านบอกว่า ควรจะทำบุญให้เกิดปีติ ก็จะมีผล ? ตอบ : ก็เขาจะเอาบุญ อยากเอาบุญก็ได้แค่บุญ แต่ถ้าต้องการหลุดพ้น จะต้องก้าวพ้นทั้งบุญทั้งบาป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:36 |
สมาชิก 209 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าเกิดทรงปฐมฌานละเอียด สามารถกดกิเลสเอาไว้ได้ใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ได้แน่นอน แต่อย่าเผลอให้หลุดนะ ถ้าหลุดแล้วกิเลสตีกลับมีหวังโดนฟัดตาย..! ถาม : แต่ถ้าจะตัดกิเลส อย่างไรก็ต้องฌานสี่ แล้วที่บอกว่าทับเอาไว้นาน ๆ เดี๋ยวกิเลสก็จะตายได้เหมือนกัน อย่างนี้ท้ายสุดก็ต้องฌานสี่เหมือนกันใช่ไหมคะ ? ตอบ : จริง ๆ ถ้าจะเอาปฐมฌาน ก็ฆ่ากิเลสตายได้แค่ระดับของปฐมฌาน คือไม่เกินสังโยชน์สาม
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:05 |
สมาชิก 201 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
ถาม : เวลาไปทำบุญที่วัด ก็อยากแต่งตัวสวย ๆ งาม ๆ ไปทำบุญ แต่เรามองว่าเป็นโทษแก่คนดู ทำให้คนดูเห็นแล้วติดในรูปเรา แล้วเราควรที่จะแต่งตัวขนาดไหน ?
ตอบ : เอาแค่พอสมควร คือพอที่คนอื่นจะทนดูได้..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:07 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
ถาม : มีท่านหนึ่งบอกว่า การจุดธูปไหว้พระพุทธรูปเป็นการก่อให้เกิดมะเร็ง บางคนก็บอกว่า ควรงดจุดธูปเพื่อลดความเสี่ยง ในความคิดของหนูรู้แค่ว่าเป็นการบูชาด้วยของหอม หนูไม่รู้ว่าเราเลือกจะใช้ธูปหรือไม่ ?
ตอบ : คำตอบเดิม..มารใช้คนทุกคน ของทุกชิ้นและสัตว์ทุกตัวในการขวางทางทำความดีของเรา ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดมาก ถาม : ความเป็นมาของการใช้ธูป ? ตอบ : เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งของบรรพบุรุษเรา ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะใช้พวกผงไม้หอม อย่างเช่น กำยาน โปรยลงในกองไฟ พอมีความคิดมีความก้าวหน้าทางวิชาการเพิ่มขึ้น ก็ทำเป็นธูปขึ้นมา แทนที่จะไปโปรยเป็นผง ก็ปั้นเป็นแท่งขึ้นมา อย่างน้อย ๆ ก็พกไปไหนสะดวก และปัจจุบันก็มีใบ้หวยให้ด้วย เคยเห็นไหม ? เวลาซื้อธูปห่อใหญ่ เขาจะมีธูปพิเศษอยู่ดอกหนึ่ง สั้น ๆ ประมาณแค่นิ้ว เป็นแท่งสี่เหลี่ยม พอจุดแล้วปักไว้จะมีตัวเลขขึ้น เดี๋ยวนี้การตลาดเขาสุดยอด สามารถเอาไปเล่นหวยได้ด้วย..! ถาม : แล้วถ้าเราเลือกที่จะจุดเทียนหอมเพื่อบูชาพระเล่าคะ ? ตอบ : ได้ทั้งสองอย่าง บอกแล้วว่าวิชาการดีขึ้นเรื่อย ๆ เราก็พลิกแพลงการบูชาพระของเราตามไปด้วย ถาม : แบบนี้ไม่ต้องใช้ธูปก็ได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : ถ้าเอาตามที่คนเขายึดถือกัน การจุดธูป ๓ ดอกแทนพระรัตนตรัย คือ นึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การจุดเทียน ๒ เล่ม ก็นึกถึงโลกิยธรรม โลกุตรธรรม เพราะว่าเทียนเป็นแสงสว่าง แทนเครื่องหมายของธรรมะ ถ้าเรานึกตามนี้แล้วเราทำตามนี้ อานิสงส์ก็ได้มากกว่า เพราะทำให้อนุสติของเราเพิ่มขึ้น แต่ถ้าเราไม่ได้นึกตามนี้ ตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชาอย่างเดียว เราจะตัดธูปออกก็ไม่มีปัญหาอะไร ขึ้นอยู่กับการกระทำของเราเอง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-03-2011 เมื่อ 13:11 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมหนูไม่ได้เกิดเป็นผู้ชาย ?
ตอบ : หยิบอะไหล่มาผิด ถ้าหยิบอะไหล่ถูกชุด ก็เป็นผู้ชายไปแล้ว ต่อไปอย่ารีบร้อน..นี่พูดเล่นนะจ๊ะ เกิดเป็นผู้ชายไม่ใช่เรื่องดีนะ โดยเฉพาะในส่วนของการปฏิบัติธรรม เปรียบเทียบง่าย ๆ ว่า ถ้าใครได้มโนมยิทธิแล้วขึ้นสวรรค์ไปสักชั้นหนึ่ง จะเห็นนางฟ้าท่วมสวรรค์เลย ส่วนเทวดามีไม่เท่าไร เพราะตามหลักความเป็นจริงแล้ว ผู้ชายคือผู้ที่สร้างบารมีมามากกว่า ความเข้มแข็งของกำลังใจมีมากกว่า ก็เลยทำให้ค่อนข้างที่จะเชื่ออะไรยาก ในเมื่อเชื่อยาก กว่าจะยอมปฏิบัติธรรมก็ยาก คือ จะเป็นไปตามกำลังใจตัวเอง คนประเภทแข็งแรงมากก็ต้องแบกงานหนักหน่อย กลายเป็นว่าผู้หญิงมีโอกาสบรรลุธรรมมากกว่า ความจริงเราเลือกอะไหล่ถูกชุดแล้ว ถ้าเป็นผู้ชายอาจจะลำบาก กว่าจะบรรลุก็อีกหลายชาติ ถาม : โดนบังคับให้เลือก ตอบ : เขาบอกว่าพวกโดนบังคับ ชาติก่อนเป็นคนเจ้าชู้มาก ต้องมาเกิดเป็นผู้หญิงเสียให้เข็ด จะมีผู้หญิงประเภทเดียวที่บารมีสูงขนาดไหนก็ต้องเกิดเป็นผู้หญิง ก็คือ ท่านที่อธิษฐานมาเป็นพุทธมารดาหรือเป็นเนื้อคู่ของพระโพธิสัตว์ ดูอย่างพระนางสิริมหามายา พอขึ้นไปอยู่ข้างบนก็เป็นเทพบุตรอยู่ชั้นดุสิต พระพุทธเจ้าขึ้นไปโปรด ถามพระอินทร์ว่าทำไมไม่เห็นพุทธมารดา ? พระอินทร์บอกว่า อยู่ชั้นดุสิต จึงให้คนไปเชิญมา บาลีเขาบอกว่า มาตะรัง ปะมุขขัง กัตตะวา ตัสสา ปัญญายะ เตชะสา ผู้เป็นพุทธมารดาอยู่ในฐานะประมุขของเทวดา ในการฟังธรรมของพระพุทธเจ้าในวาระที่เสด็จขึ้นไปโปรด แต่ท่านได้แค่พระโสดาบัน ทั้ง ๆ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จขึ้นไปโปรดโดยเฉพาะ จริง ๆ แล้วน่าจะเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านเป็นไม่ได้ เพราะท่านอธิษฐานจะลงมาเป็นพุทธมารดาของพระศรีอาริยเมตไตรยอีกหนึ่งรอบ ถ้าได้เกินพระโสดาบันเดี๋ยวจะไม่ได้เกิด
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-04-2012 เมื่อ 02:53 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
ถาม : เรียกว่าล็อกตัวเอง ?
ตอบ : ใช่..คำอธิษฐานล็อกตัวเอง ต้องปลดล็อกให้ได้ก่อน คนเราจะเกิดเป็นพุทธมารดาสัก ๑ ครั้งก็แสนยากแล้ว นี่ท่านเป็นสองครั้งเลย สุดยอดของกำลังใจจริง ๆ มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระนางปชาบดีเถรีไปทูลลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน เขาบอกว่า พระน้านางอายุได้ ๑๒๐ ปี ปรินิพพานก่อนพระพุทธเจ้า ๑ ปี ก็แปลว่าตอนนั้นพระพุทธเจ้าอายุ ๗๙ ปี ลบแล้วห่างกัน ๔๑ ปี เราก็สงสัยว่าน้องสาวอายุ ๔๑ ปี แล้วพี่สาวที่เป็นแม่จะอายุเท่าไร ? หักจากอายุของพระพุทธเจ้า อย่างต่ำสุดพุทธมารดาก็ต้องอายุ ๔๒ ปี เราสงสัยว่าทำไมท่านแก่ขนาดนั้น? พอไปอ่านในมธุรัตถวิลาสินี อรรถกถาพุทธวงศ์ จึงได้เจอว่า ปกติของพุทธมารดาจะตั้งครรภ์พระโพธิสัตว์ระหว่างอายุ ๔๐-๗๐ ปี ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อพุทธมารดาประสูติพระโพธิสัตว์แล้ว จะมีอายุได้ไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น เมื่อเป็นดังนั้นก็เลยต้องให้ท่านอายุยืนหน่อย จะได้ดูโลกนาน ๆ ท่านอายุ ๔๐ ปี แต่สวยเช้งวับเหมือนสาวอายุ ๑๖ ปีนะจ๊ะ แต่ท่านย่าวิสาขาอายุ ๑๒๐ ปี สวยกว่าหลานอีก หลานสาวอายุ ๑๖ ปี แต่สวยสู้ยายไม่ได้นี่อนาถจริง ๆ ท่านย่าวิสาขาท่านได้วัยงาม วย คือ วัย , ฉวิ คือ ผิว , อัฏฐิ คือ กระดูก แต่เขาหมายถึงฟัน ถาม : วัยงาม คือ งามตามวัยหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่จ้ะ เขาบอกว่าตั้งท้องลูกคนแรกอายุเท่าไร จะสวยอยู่แค่นั้นไปจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เพราะฉะนั้น..ต้องรีบตั้งท้องไว ๆ ท่านย่าวิสาขาแต่งงานตอนอายุ ๑๖ ปี ก็แปลว่าอายุ ๑๗ ปี ก็คลอดลูกคนแรกแล้ว ท่านมีลูก ๒๐ คน หลาน ๔๐๐ คน นั่งอยู่ในหมู่หลานสาว พระเจ้าปเสนทิโกศลแยกไม่ออกว่าใครเป็นย่า ใครเป็นหลาน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 12:32 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมผู้ชายคนจีนสมัยก่อนชอบดูเท้าผู้หญิง ?
ตอบ : เหมือนกับผู้ชายสมัยนี้ที่ชอบดูหน้าอกผู้หญิง อะไรที่คนหวงเขาจะสนใจ สมัยก่อนเขาถือว่าเท้าเป็นสิ่งที่เปิดเผยไม่ได้ของผู้หญิง เคยได้ยินเรื่องที่บาทหลวงสอนศาสนาเขาไปที่เกาะแห่งหนึ่งไหม ? ผู้หญิงที่เกาะนั้นเขาเปลือยอกกัน พอถึงเวลาฟังเทศน์เขาก็ยกมือปิดหู เพราะเกาะนั้นเขาถือว่าหูเป็นสิ่งที่เปิดเผยต่อเพศตรงข้ามไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่น่าละอาย บาทหลวงเขาบันทึกไว้ว่า แกไม่รู้หรอกว่า อกแกทำให้ฉันฟุ้งซ่านมากกว่าหลายเท่าเลย ในแต่ละที่การยึดถือจะไม่เหมือนกัน อย่างสมัยที่อาตมายังเด็กอยู่ ผู้หญิงพอมีลูกสักคนหรือสองคน ก็ปล่อยเนื้อปล่อยตัวแล้ว และสมัยนั้นก็ไม่ค่อยจะใส่เสื้อกัน ยกเว้นผ้าถุงผืนเดียว ถ้าไปวัดไปวาจึงค่อยเอาผ้าแถบคาดอกไปเท่านั้น ถ้าอยู่กับบ้านก็ปล่อยโทง ๆ ไปเลย พอมายุคหลัง ๆ คิดว่าเป็นเพราะหัวการค้าของคน เขาอยากจะขายของได้เยอะ ๆ ก็เลยสร้างค่านิยมมา ว่าจำเป็นต้องใส่อย่างนี้แล้วจึงจะสวย แล้วก็ปกปิดไว้จะได้ไม่ต้องอายเขา สมัยนี้ไม่เห็นฝรั่งจะปกปิดสักเท่าไรเลย ลองไปดูที่พุน้ำร้อนทองผาภูมิสิ เดินลงมาทีขาวจนตาลายไปหมด กลางวันก็เลยเป็นเวลาอันตรายที่พระไม่ควรจะไปพุน้ำร้อน เพราะเวลาฝรั่งลงจากรถ ไม่วันพีซก็ทูพีชเดินลงมา เขาตั้งใจจะมาเล่นน้ำกันจริง ๆ ทำให้เป็นอันตรายต่อบุคคลที่จินตนาการดี อย่างพวกฟุ้งซ่านชอบปรุงแต่ง จะปรุงได้สุดยอดมากเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 17:14 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องการเรียนว่า "การเรียนในระดับปริญญาตรี โท เอก ของ มจร. มีส่วนดีให้เห็นอยู่สองอย่าง
อย่างแรก คือ ต้องใช้การค้นคว้าพระไตรปิฎกเยอะมาก เพราะเขาถือว่าเราเรียนในมหาวิทยาลัยของพระ ก็ควรจะเรียนในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านสอนด้วย แต่ก็แปลงมาเข้ากับทางโลก อย่างเช่น จิตวิทยาในพระไตรปิฎก นิเทศศาสตร์ในพระไตรปิฎก สาธารณสุขในพระไตรปิฎก ฯลฯ เราก็ต้องไปค้นคว้าหามา อีกส่วนหนึ่งที่เห็นว่าดีมากก็คือ มีการบังคับให้ปฏิบัติธรรมตามกำหนดของทางมหาวิทยาลัย ต้องปฏิบัติให้ครบจึงจะยอมให้รับปริญญา อย่างปริญญาตรีก็ต้องสะสมเวลาปฏิบัติธรรมไม่ต่ำกว่า ๔๐ วัน ปริญญาโทต้องสะสมไม่ต่ำกว่า ๓๐ วัน ถ้าวันปฏิบัติมีไม่พอ เขาก็ไม่ให้จบ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 12:35 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
"อาตมามาเรียนด้วยเหตุสองประการ ประการแรก ค่านิยมของคนทั่วไป เขายังเชื่อกระดาษแผ่นเดียวมากกว่าความสามารถของบุคคล
ถ้าบรรยายธรรมโดยพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน บางทีคนเขาไม่สนใจ แต่ถ้าเขาบอกว่าเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เขาก็หูผึ่งกัน เพราะฉะนั้น..ในเมื่อเขาต้องการ เราก็เอากระดาษให้เขาสักแผ่นหนึ่ง ประการที่สอง มาเรียนแล้วเราเจอเพื่อน เพื่อนที่ถือว่าเป็นนักปฏิบัติสุปฏิปันโน ถือว่าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด เราขอสักคนเดียวก็พอ" ถาม : ทำไมต้องเสียสละตนขนาดนี้ ? ตอบ : พอเราเรียนเข้าไปแล้ว จึงได้รู้ว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่งเกินครึ่ง จะอยู่ในลักษณะมิจฉาทิฐิ แนะนำให้ลูกศิษย์สงสัยในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไม่พอ ยังสนับสนุนให้ลูกศิษย์ละเมิดศีลกลาย ๆ ด้วย อย่างเช่น "เวลาเรียนใช้สมองมาก ๆ เราจะหิว ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นิมนต์ท่านอาจารย์กินข้าวเย็นไปเถอะ" เขาแนะนำอย่างนั้น ที่เรายอมเป็นอาจารย์เข้าไปสอนเขา อย่างน้อย ๆ ให้ลูกศิษย์เขารู้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยก็ไม่เห็นตายนี่หว่า และแถมเรียนดีกว่าเขาด้วย..! ตั้งแต่ปีแรกจนถึงปีนี้ที่เรียนมา เข้าปีที่ ๕ แล้ว ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งที่เขาเห็นเราปฏิบัติตัวแบบเสมอต้นเสมอปลาย คือ ใครจะเละขนาดไหน เราก็บ้าตามไปแค่กรอบเท่านั้น และโดยเฉพาะว่าเป็นผู้นำเขาในเรื่องการเรียนได้ ชั่วโมงเรียนสถิติเต็มเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ถ้าไม่ใช่ติดรับสังฆทานต้นเดือนที่นี่ อาตมาไม่เคยขาดเลย และวันเรียนที่ตรงกับวันรับสังฆทานอย่างนี้จะน้อยมาก สถิติการเรียนเต็ม จนอาจารย์บางคนถามว่า "นี่ไม่มีกิจนิมนต์บ้างเลยหรือ ถึงไม่เคยขาดกับใครเขา ?" "ไม่มีเพื่อนนิมนต์บ้างเลยหรือ ?" อาตมาก็ขำ ๆ บอกท่านไปว่า "เขาก็ไม่ค่อยคบผมกันหรอกครับ" ทำให้เพื่อนจำนวนหนึ่งเขายกเราขึ้นเป็นตัวอย่าง และมีบางคนทำตาม ทำตามจนเพื่อนคนอื่นถามว่า "เฮ้ย..ทำไมเปลี่ยนไปเยอะเลยวะ ?" เขาบอกว่า "ดูตัวอย่างจากพี่เล็กว่ะ..พี่เล็กเป็นพระสังฆาธิการเหมือนกับพวกเรา ต้องปกครองวัดหลายวัดเหมือนกัน แต่พี่เขามาเรียนอย่างสม่ำเสมอไม่ขาด ขณะเดียวกันเรียนเก่งกว่าพวกเราด้วย ก็เลยอยากเก่งอย่างพี่เล็กเขาบ้าง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 12:38 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ จันทร์ดำ ท่านยุให้อาตมาไปเรียนมหาวิทยาลัยข้างนอก ท่านบอกว่า "ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งอย่างไรก็ตาม ถ้าอยู่กับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พระคุณเจ้าก็ไม่มีชื่อเสียงเกียรติคุณอะไรขึ้นมาหรอกครับ เพราะมหาจุฬาฯ ของเรามีพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) มีพระธรรมโกศาจารย์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) อยู่แล้ว
ต่อให้พระคุณเจ้าเรียนเก่งขนาดไหน เขาก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่ถ้าพระคุณเจ้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยข้างนอก ผมมั่นใจว่าสามเดือนเท่านั้นแหละ ด้วยศักยภาพของพระคุณเจ้า สามารถเอาเขาทั้งมหาวิทยาลัยมาเป็นลูกศิษย์ได้แน่" อาตมาเองก็ได้แต่ครับ ๆ แต่คิดอยู่ในใจว่า เราจะเอาไปทำไม ? คือเราเรียนเก่งในหมู่พระ แต่อย่างไรก็สู้สองท่านนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เพราะท่านเป็นบุคคลต้นแบบในดวงใจของคนอื่นไปแล้ว คนหนึ่งก็คือผู้ที่ได้ปริญญากิตติมศักดิ์ จนตัวท่านเองก็จำไม่ได้ว่ารับไปกี่ใบแล้ว ส่วนอีกท่านปัจจุบันก็เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ ถือว่าอายุยังน้อยมากเลย อายุ ๕๕ ปี ขึ้นถึงระดับเจ้าคุณธรรมแล้ว อีกขั้นเดียวจะขึ้นไปเป็นสมเด็จราชาคณะหิรัญบัตรแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 12:40 |
สมาชิก 198 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
ถาม : ตอนที่ผมเจอปัญหาอยู่ ผมไปที่วัดท่าซุงและตั้งจิตที่จะปฏิบัติยึดตามคำสอนของหลวงพ่อ ผมฟังธรรมะท่าน ฟังเอ็มพีสาม ตั้งจิตไว้ว่าขอนิพพานในชาตินี้ ผมมานั่งคุยกับเพื่อน เขาบอกว่าเกิดจากการที่เราตั้งจิตขอให้จบในชาตินี้ วิบากกรรมที่ได้รับกลับมา ในทางธรรมผมเห็นความเปลี่ยนแปลงระดับหนึ่งซึ่งผมตั้งใจไป แต่ทางโลกมันเกิดปัญหาในเรื่องการงาน ที่เคยตั้งใจหวังไว้หลายอย่างถูกทำให้เลื่อนออกไป ห่างออกไป เลยขอความเมตตาจากท่าน
ตอบ : ไปเอาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงมาภาวนา สักเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ถ้าทำได้ต่อเนื่องกันสองเดือน ทุกอย่างจะคล่องตัวเอง เพราะในคาถาเงินล้านมีอยู่บทหนึ่งที่ใช้แก้ไขอุปสรรคโดยเฉพาะ ส่วนบทอื่นจะเสริมความคล่องตัวเรื่องการงานและการเงิน เราใช้เป็นคำภาวนาไปเลย ปกติเราจะภาวนาอย่างไรก็ช่าง แต่คาถาเงินล้านให้ภาวนาเช้าสักชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเหมือนกับที่เราภาวนาคาถาอื่น ไม่ใช่ท่องสักแต่ว่าให้จบ ภาวนาหายใจออกนึกตามไป หายใจเข้านึกตามไป ให้ใจอยู่เฉพาะหน้า ถ้าทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องสองเดือนก็จะเห็นผล ถึงเวลาก็อย่าบ่นแล้วกัน ถ้าอะไรไหลมาเทมาจนเยอะเกินกำลังของเรา ถาม : สิ่งที่เข้ามาอาจจะหนักสำหรับเรา ตอบ : แล้วคุณจะไปกลัวทำไม ? ถาม : เรื่องสังขารร่างกายผมไม่มีปัญหา ผมไม่กลัว แต่.. ตอบ : คุณไม่ต้องไปใส่ใจ การที่เราตัดการเวียนตายเวียนเกิดนับชาติไม่ถ้วนลงไปได้ โดยการใช้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในแค่ชั่วอายุไม่กี่ปีของเรานี้ ดีกว่าการเกิดมาทุกข์อีกนับกัปไม่ถ้วน แล้วทำไมเราจะอยู่กับโลกนี้โดยดีไม่ได้ แทนที่จะรู้สึกกลัว ควรจะรู้สึกบันเทิงเริงใจมากกว่า ถ้าเขายิ่งทวงมากเท่าไร เราก็ไปได้เร็วเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 17:12 |
สมาชิก 193 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ถาม : พระคำข้าว หลวงพ่อเคยบอกว่า..?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาหรอก ถ้าคุณไปภาวนาคาถาเงินล้านภายในสองเดือนก็รู้เรื่องแล้ว ถาม : ภาวนาเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง โดยประมาณใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่..เรื่องของเรายังไม่หนักหนาสาหัสหรอก เรื่องของพระคำข้าวที่ท่านให้ขอพรได้ อาตมาไม่ได้ยินจากปากของหลวงพ่อเอง แต่เขาบอกต่อ ๆ กันมา แล้วมาเข้าหู อะไรที่ไม่ได้ยินมาจะไม่กล้ายืนยัน ถาม : เห็นเขาอ้างว่าท่านบอก ตอบ : อาตมาเพียงแต่บอกให้ทราบว่า ได้ยินมาอย่างนี้ แต่ไม่ได้ฟังจากปากหลวงพ่อเอง ถาม : เขาบอกว่าถ้าไม่สุด ๆ เต็มที่ จนเลือดตากระเด็น อย่าไปทำเลย ตอบ : อาตมาเองก็ไม่เคยคิดที่จะทำด้วย เพราะว่าการที่เราใช้อะไรบางอย่างมากจนเกินไป ถึงเวลาเขาทวงคืนก็โดนมากเหมือนกัน ถาม : เหมือนกับเราติดหนี้มากขึ้นใช่ไหมครับ ? ตอบ : ใช่..เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นอย่าไปทำ ใช้ความสามารถของเราเองนี่แหละ ถ้าคุณภาวนาคาถาเงินล้านให้อารมณ์ทรงตัวเช้าชั่วโมงเย็นชั่วโมง ภายในสองเดือนต้องเห็นผลแน่นอน ขอยืนยัน ทุกวันนี้อาตมาทำอะไรง่าย จนคนเขาอิจฉากันหมดแล้ว เพราะจริง ๆ ก็คือ คาถาบทเดียวนี่แหละ ขอให้เราทำจริงเท่านั้น ทุกอย่างสะดวกแน่
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 12:45 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
ถาม : เราโดนกดให้หลับลงไป พระท่านอยากจะบอกอะไรเราสักอย่างหนึ่งหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าไม่ใช่พระ ก็พรหม เทวดา หรือครูบาอาจารย์ ถาม : ถ้าเราหลับไป เราจะรู้เลยหรือคะ ? ตอบ : ไม่ใช่หลับ เราจะอยู่ในช่วงของอุปจารสมาธิหรือฌานสี่ไปเลย แล้วแต่ความสามารถของเรา ถ้าความสามารถเราไม่พอ ก็อาจจะแค่อุปจารสมาธิ จะรู้สึกเคลิ้ม ๆ เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น หรือถ้าเราทำได้ถึงฌานสี่ ก็เป็นฌานสี่เต็มกำลัง ออกแบบเต็มกำลังไปเลย ถาม : กลับมาจะจำได้ไหมคะ ? ตอบ : จำได้ ถ้าเป็นเรื่องที่ท่านต้องการบอก จะจำได้แม่นมากด้วย จำเป็นถึงขนาดท่านต้องการกดเราให้หลับเพื่อบอก อย่างไรท่านก็ไม่ให้เราลืมหรอก ถาม : แล้วอยู่ ๆ ง่วงหลับไปเลย? ตอบ : นั่นไม่ใช่ แบบนั้นเขาเรียกว่าขี้เกียจ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-02-2015 เมื่อ 10:19 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
ถาม : การกระทำของคนอื่น เราเห็นว่าเป็นการกระทำที่เป็นปกติของเขา แล้วเราเกิดความรู้ขึ้นมาว่า สิ่งที่เขาทำ เบื้องหลังก็คือกิเลสสักอย่างที่นอนอยู่ข้างใต้ แล้วเราก็เห็นว่าเรามีอย่างนี้เหมือนกัน เคยทำอย่างนี้เหมือนกัน แล้วเราก็เตือนตัวเองโดยกะทันหันว่า ต่อไปเราอย่าทำนะ อันนี้เขาเรียกว่าสนใจจริยาคนอื่นหรือเปล่า?
ตอบ : ท่านเรียกว่า อัตตนา โจทยัตตานัง ดูแล้วเตือนตัวเอง ถาม : แต่ว่าก้ำกึ่ง ? ตอบ : ถ้าเลี้ยวผิดนิดเดียวก็ไปเลย บอกแล้วว่าความดีกับกิเลสหน้าตาเหมือนกัน เหลือก้าวสุดท้ายว่าจะเลี้ยวไปทางไหนเท่านั้น ถาม : หากเราไปเพ่งโทษ ? ตอบ : เจ๊งแน่..แต่ถ้าเก็บไปสอนใจตัวเอง โดยที่ไม่จับผิดเขา เห็นว่าเป็นปกติธรรมดาเป็นอย่างนั้น ก็เป็นอันว่าเลี้ยวถูก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-03-2011 เมื่อ 17:11 |
สมาชิก 176 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระเนื้อนวโลหะ ท้ายสุดเงินที่ผสมอยู่ก็จะทำให้เนื้อเป็นสีดำอยู่ดี เหตุที่ดำเพราะว่าเวลาเนื้อเงินทำปฏิกิริยากับออกซิเจน จะเกิดออกไซด์ขึ้นมา ลักษณะเหมือนกับสนิม ทำให้พระที่เป็นเนื้อนวโลหะค่อย ๆ ดำขึ้นเรื่อย ๆ
สมัยอาตมาอยู่กับหลวงปู่มหาอำพัน ท่านจะมีครอบน้ำมนต์อยู่ใบหนึ่ง ถ้าสมัยนี้ก็เป็นขันน้ำมนต์ แต่เป็นขันน้ำมนต์ที่มีเชิงและมีฝาปิด ครอบน้ำมนต์ของหลวงปู่ใบนั้นดำปี๋เลย ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร แต่อาตมาเห็นนี่น้ำลายไหลเลย เพราะเป็นครอบน้ำมนต์ปทุมโลหิตของสมเด็จพระสังฆราช(แพ) ท่านหล่อให้เฉพาะลูกศิษย์สำคัญ เอาไว้อาตมามีอารมณ์จะทำครอบน้ำมนต์บ้าง" ถาม : ต้องช่วยทำให้ท่านมีอารมณ์ จะได้สร้าง ตอบ : ถ้าไม่มีคำสั่ง ก็ไม่มีอารมณ์จริง ๆ อาตมาเป็นคนขี้เกียจมาก ขนาดหลวงปู่ปานท่านสั่งให้ทำล็อกเก็ตรุ่นแรก อาตมากราบเรียนหลวงปู่ว่า "ไม่ทำได้ไหมครับ เพราะผมปลุกเสกไม่เป็น" ท้ายสุดหลวงปู่บอกว่า ไปทำมาเดี๋ยวท่านเสกให้เอง นั่นแหละ..จึงได้เริ่มสร้าง ที่ขำที่สุดก็คือ วันเสาร์ ๕ ที่จะทำพุทธาภิเษก บ่ายสามโมงแล้วอาตมายังช่วยเขาฝึกมโนมยิทธิอยู่ที่วัดท่าซุงเลย พอเสร็จจากมโนมยิทธิก็ตีรถกลับมาที่บ้านอนุสาวรีย์ มาถึงเวลา ๖ โมงครึ่ง ก็ดีใจว่าทันหนึ่งทุ่มตามที่หลวงปู่ท่านนัดเอาไว้ พอมาถึงปรากฏว่า เครื่องบวงสรวงทุกชิ้นวางไว้อย่างเรียบร้อย เขารอให้อาตมากลับมาจัด..! ไม่มีใครกล้าจัดเอง กลัววางผิด อาตมาจึงต้องจัดให้ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็หนึ่งทุ่มยี่สิบนาที ปาดเหงื่อได้ก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ เจอหน้าหลวงปู่ท่านก็หัวเราะ ท่านบอกว่า "ไปไหว้พระเถอะลูก เสร็จตั้งนานแล้ว" ท่านแอบเสกให้ตอนไหนก็ไม่รู้ ? ของบางอย่างก็เป็นอุบัติเหตุเหมือนกัน ทุกคนคิดเหมือนกันว่ารอพระอาจารย์ดีกว่า จะได้ไม่ผิด จึงมีรายการด่ากระจาย และก็แนะนำว่าอะไรควรจะทำอย่างไร วางไว้ด้านไหน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2011 เมื่อ 17:37 |
สมาชิก 171 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
ตอนนั้นมหาเอ (พระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม) ท่านยังไม่ได้บวช ยังเป็นหมอเออยู่ ท่านก็เลยรีบศึกษาไว้ ก่อนที่จะโดนด่าอีก เพราะเครื่องบวงสรวงจะมีส่วนสำคัญอยู่สามสี่อย่าง
อย่างแรก คือ ต้นบายศรี ไม่ว่าเราจะทำบายศรีเป็นสีอะไรก็ตาม ให้ติดสีแดงไว้นิดหนึ่ง ถ้าไม่มีอะไรจะเอากลีบกุหลาบแดงติดยอดบายศรีก็ได้ ท่านบอกว่าสีแดงเป็นสีของท้าวมหาราชทั้ง ๔ ส่วนใหญ่ในงานบวงสรวงท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านจะรับภาระโดยตรง ให้ติดสีแดงไว้บ้างเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของท่าน ประการที่สอง ก็คือ สีของบายศรีปากชามสี่ทิศ แต่ละทิศเป็นสีจำเพาะของท้าวมหาราชแต่ละพระองค์ คือ ทิศเหนือสีแดง ทิศใต้สีม่วง ทิศตะวันออกสีเหลือง ทิศตะวันตกสีขาว อีกส่วนหนึ่ง ก็คือ หัวหมูกับไก่ สามทิศวางหัวหมู แต่ทิศเหนือต้องวางไก่เท่านั้น อย่าผิดทิศเป็นอันขาด อาตมาไปย้ายให้มาหลายเจ้าแล้ว บางเจ้าสี่ทิศก็ผิด และมีบางรายเห็นวัดมีสัปทนก็เลยกางบ้าง แต่ไม่รู้ว่าเขากางตามสีทิศเหมือนกัน เพราะฉะนั้น..สัปทนถ้าจะใช้ก็สี่สีเหมือนกัน คือ เหนือแดง ใต้ม่วง ตะวันออกเหลือง ตะวันตกขาว ถาม : ทิศนี่ดูตามเข็มทิศหรือคะ ? ตอบ : เอาทิศจริงเป็นหลักจ้ะ ตามเข็มทิศไม่ได้ ถ้าตามเข็มทิศ ทิศจะเพี้ยนไป ๒๓ องศาครึ่ง เคยเรียนมาหรือเปล่า ? ถ้าเรียนมาเขาจะบอกว่าแกนโลกเอียง ๒๓ ๑/๒ องศา เพราะฉะนั้น..ทิศจริงกับทิศเข็มทิศจะเพี้ยน ๒๓ ๑/๒ องศา ถาม : แล้วควรทำอย่างไรคะ ? ตอบ : ดูตะวันเป็นหลัก ถ้าตะวันไม่มีก็ถามเจ้าของสถานที่ว่าแดดออกทางไหน ถาม : บวก ๒๓ องศาครึ่งไปทางไหน ? ตอบ : ไม่ต้องบวกต้องลบ ดูของจริงเลย ถึงเวลาคุณหันหน้าเข้าหาเหนือ ขวามือคือตะวันออก ฯลฯ ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็หันไหล่ขวาเข้าหาดวงตะวัน ตรงหน้าคุณคือทิศเหนือ ถ้าหลังคือทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันตก แต่ถ้าเป็นตอนบ่ายก็ตรงกันข้าม ตอนบ่ายหันหน้าเข้าหาทิศใต้ ซ้ายมือคือตะวันออก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2011 เมื่อ 17:40 |
สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
ถาม : ไก่กับบายศรีจำเป็นต้องวางตรงกันเป๊ะ ๆ เลยไหมครับ ?
ตอบ : เอาทิศที่ใกล้เคียงที่สุด ถาม : ทั้งไก่และบายศรีเลยหรือครับ ? ตอบ : ใกล้เคียงที่สุด ใกล้ความจริงที่สุด ถ้าเป๊ะ ๆ เลยยิ่งดี ถาม : แล้วทำไมต้องทาสีแดง ? ตอบ : เรื่องของการทาสีหรือรองด้วยกระดาษแดง เกิดจากครั้งหนึ่งพระท่านบอกหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า ถ้ารองหัวหมูและไก่ด้วยกระดาษแดงจะป้องกันเรื่องไฟไหม้และฟ้าผ่าได้ ใครทำการบวงสรวงที่บ้าน ควรจะทำอย่างนั้น อธิษฐานขอให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านสงเคราะห์เรื่องกันไฟไหม้กันฟ้าผ่าได้ พอหลวงพ่อท่านถามท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านให้เพิ่มว่า ถ้าต้องการป้องกันวินาศภัย ให้ทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง ถ้ารองด้วยกระดาษสีแดงกันไฟไหม้กันฟ้าผ่า แต่ถ้าทาหัวหมูและไก่ด้วยสีแดง จะป้องกันวินาศภัยได้ด้วย แสดงว่าห้างเซ็นเตอร์วันไม่ได้ทำอย่างนี้ เลยโดนเผากระจาย ตึกข้าง ๆ บ้านอนุสาวรีย์นี่ก็โดน จนกระทั่งคนเขาตกใจว่าบ้านอนุสาวรีย์โดนเผาไปด้วยแล้ว เพราะไฟไหม้ตึกแถวเดียวกัน แต่ขอโทษ..บ้านอนุสาวรีย์บวงสรวงมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ถาม : จำเป็นว่า ต้องเป็นบายศรี ๙ ชั้นหรือเปล่า ? ตอบ : ขึ้นอยู่กับว่าเรามีแรงทำเท่าไร บายศรีจะมี ๕ ชั้น ๗ ชั้น ๙ ชั้น แล้วแต่เราจะทำ แต่สำคัญตรงลูกบายศรี (ลูกบายศรี คือ ชั้นที่เหมือนกับนิ้วมือ) ถ้าไหว้พระ ลูกบายศรีให้มีอย่างน้อย ๙ ชั้น แต่ถ้าไหว้พรหมหรือเทวดาให้มีน้อยกว่านั้น ส่วนใหญ่เขาเลือก ๗ ชั้น จะได้เป็นสัญลักษณ์ว่าชุดนี้ไหว้พระหรือไหว้พรหมเทวดา ลูกบายศรี คำว่า บาย เป็นภาษาเขมร แปลว่า ข้าว บายศรี ก็คือ ขวัญข้าว แต่ถ้าซีบาย แปลว่า กินข้าว แต่ถ้ากินน้ำ ภาษาเขมรว่า อมตรึ๊ก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2011 เมื่อ 17:44 |
สมาชิก 163 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) | |
|
|