 
| 
 | |||||||
| เก็บตกจากบ้านเติมบุญ เก็บข้อธรรมจากบ้านเติมบุญมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป | 
|  | 
|  | คำสั่งเพิ่มเติม | 
| 
			 
			#201  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "พรรคพวกเขาโอดครวญมาในไลน์ว่า  ตอนนี้การสอบอนุศาสนาจารย์เพื่อที่จะไปดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ  จากเดิมที่มีกติกาว่าต้องจบเปรียญธรรม  ๖  ประโยค  แต่ปัจจุบันนี้อธิบดีกรมราชทัณฑ์เป็นอิสลาม  ก็เลยประกาศว่าเป็นปริญญาตรีทุกสาขา  โดยไม่ได้ระบุวุฒิทางธรรม   นั่นจะเป็นการทำลายชนิดถึงรากถึงโคนเลย ขนาดในเรือนจำก็ยังไม่ละเว้น ก็ถือว่าเป็นไปตามวาระของเขา เพราะว่าใครใหญ่ขึ้นมาก็มักจะเอาพรรคพวกตัวเองมาทำงาน เพียงแต่ว่าทุกวันนี้อาทิตย์ละหนึ่งครั้งที่พระต้องเข้าไปเทศน์ในทัณฑสถานทุกแห่ง โดยเฉพาะเรือนจำในจังหวัด ต่อไปก็อาจจะมีคำสั่งห้ามพระเข้าไปเทศน์ก็ได้ อาตมาเข้าไปเมื่อไรไม่เคยเทศน์ ไปสอนเขาแหกคุก บอกเขาว่าจะสะเดาะกลอนก็ทำวิธีนี้ ภาวนาคาถานี้ รักษาศีลให้ได้ ภาวนาอย่างน้อยครั้งละครึ่งชั่วโมง ถ้าจะเหาะข้ามรั้วไปเลยก็ปฏิบัติกสิณอย่างนี้ ทำเอาผู้คุมทำตาปริบ ๆ ไปสอนนักโทษแหกคุกหน้าตาเฉย แรก ๆ ผู้คุมก็แปลกใจ เพราะว่าเขาต้องบังคับให้มานั่งฟัง ถ้าแดดร้อนหน่อยก็หนีกันหมด หลบไปอยู่ใต้ต้นไม้บ้าง ข้างกำแพงบ้าง แต่เวลาพระอาจารย์เล็กเข้าไปเทศน์ทีไร ผู้ต้องขังยอมนั่งตากแดดฟังกัน เพราะว่าต้องการวิธีแหกคุก กว่าเขาจะรู้ว่าอาตมาหลอกให้ภาวนา ก็คงจะตอนที่เขาทำสำเร็จแล้วแหละ ถ้าทำได้จริง ๆ รับประกันว่าราชฑัณฑ์มีเครียด..!" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 02:34 | 
| สมาชิก 156 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#202  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"ไปนึกถึงท่านอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง เขาว่าท่านเพี้ยน ร้อนวิชา ท้ายสุดก็โดนแจ้งความจับ  สมัยนั้นเขาเรียกว่าข้อหาภัยสังคม  เพราะว่าเป็นรัฐบาลทหารมาจากการปฏิวัติ   เอาท่านเข้าคุก สิบเวรลั่นกุญแจเดินหันหลังไป ท่านอาจารย์ฟ้อนก็บอกว่า “หมู่..ล็อกกุญแจด้วยสิ” อีกฝ่ายหนึ่งก็งง หันกลับมา อ้าว..กุญแจหลุดอยู่ ล็อกใหม่เสร็จเรียบร้อยหันหลังไป ท่านอาจารย์ฟ้อนก็บอก “หมู่..ล็อกกุญแจด้วยสิ ไม่ล็อกเดี๋ยวผมออกไปนะ” หันกลับมา..หลุดอีกแล้ว ท้ายสุดก็ต้องยกมือไหว้ บอกว่า “อาจารย์ครับ ขอร้องเถอะ เดี๋ยวผมได้ติดคุกแทนแน่” 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 02:36 | 
| สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#203  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"บรรดาฆราวาสที่เก่งวิชาแบบนี้  อย่างเช่นท่านขรัวอีโต้ หรือไม่ก็ท่านอาจารย์แปลก  ร้อยบาง ท่านอาจารย์แปลกนี่ท่านทำตะกรุดมหาโสฬส คนนิยมพอ ๆ กับตะกรุดของหลวงปู่เอี่ยมเลยนะ   ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง ปกติก็ลอยเรือไปเรื่อย ๆ ไม่อยู่เป็นที่ เขาถึงได้เรียกว่าร้อยบาง ถึงบางไหนก็พักตรงนั้นแหละ ปรากฏว่าปีนั้นอยู่ ๆ เรือไม่ยอมไปข้างหน้า เรือถอยหลังไปจนถึงหน้าวัดสะพานสูง ท่านอาจารย์แปลกก็ขึ้นจากเรือมากราบหลวงปู่เอี่ยม ถามว่า "พระเดชพระคุณมีธุระอะไรหรือครับ ถึงลากเรือผมมา ?" นั่นขนาดสุดยอดฆราวาสอภิญญานะ ถูกหลวงปู่เอี่ยมสร้างลากเรือมาจนถึงหน้าวัด หลวงปู่ท่านก็บอกว่า "ปีนี้น้ำมาก น้ำจะท่วมเยอะ มาอยู่ด้วยกันที่วัดนี่แหละ จะได้ไม่ลำบาก" แล้วก็สอนวิชาทำตะกรุดมหาโสฬส ทำผงมหาโสฬสให้ ท่านอาจารย์แปลกนี้ต้องถือว่านอกเหตุเหนือผล เพราะว่าปกติหลวงปู่เอี่ยมท่านจะถ่ายทอดวิชาให้เฉพาะศิษย์ใกล้ชิดที่เป็นพระเท่านั้น แต่ท่านอาจารย์แปลกได้วิชาทำตะกรุดมหาโสฬสไปด้วย" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 02:38 | 
| สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#204  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"ท่านอาจารย์แปลกทำตะกรุดออกมานี่คนว่าขลังกว่าของพระอาจารย์  ที่ว่าขลังกว่าของพระอาจารย์คือวิธีทํา ท่านอาจารย์แปลกเดินขึ้นไปบนยอดไม้ พวกยอดตาลยอดมะพร้าวสูง ๆ โน่น แล้วก็ไปห้อยหัวจารตะกรุดบนนั้นท่านเดินขึ้นไปได้อย่างไรเหมือนกับขึ้นบันได ? นั่นคือลักษณะของปฐวีกสิณ อธิษฐานให้พื้นทุกจุดที่ตัวเองเหยียบแข็งเหมือนหิน เหมือนดิน จะได้ขึ้นไปได้ แล้วก็ไปตีลังกาห้อยหัวบนยอดตาล ยอดมะพร้าว จารตะกรุดเสกให้เขา ถึงเวลาจารเสร็จ ม้วนเสร็จก็เอาลงมาพอกผง แต่ว่าตะกรุดมหาโสฬสนี่ลำบากมาก ลำบากตรงที่ต้องเสกนานถึง ๓ พรรษา แปลว่ากว่าจะได้ใช้แต่ละดอกก็ต้อง ๓ ปีผ่านไป ต้องเสกด้วยโองการมหาทะมื่นให้ได้หนึ่งหมื่นจบ เราลองนึกดูว่า ๓ ปีก็ประมาณพันกว่าวัน จะให้ได้หมื่นจบก็ต้องเสกอย่างน้อยให้ได้วันละ ๑๐ กว่าจบ โองการมหาทะมื่นถามว่าเยอะไหม ? ถ้าหากว่าอักษรขนาดฟอนต์ ๑๘ ก็เกือบ ๆ หน้ากระดาษเอสี่" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 02:40 | 
| สมาชิก 159 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#205  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"ท่านอาจารย์แปลก ร้อยบาง สร้างวีรกรรมที่โด่งดังที่สุดก็คือ เข้าไปลองของเสด็จในกรมหลวงชุมพรถึงในวัง  ใครเขาก็ลือกันว่าเสด็จในกรมองค์นี้ท่านขลังนัก  ท่านอาจารย์แปลกก็เลยบอกฝากญาติโยมแถว ๆ หน้าวัด ว่าช่วยดูแลเรือให้หน่อย จะไปเยี่ยมเจ้าเยี่ยมนาย    หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวลือว่าเครื่องต้น ก็คืออาหารที่ทำสำหรับเสด็จในกรมหลวงชุมพร มีมือดีขโมยกินก่อนทุกครั้ง คราวนี้ช่วยกันปิดอย่างไรก็ปิดไม่อยู่ ท้ายสุดความไปถึงหู เสด็จในกรมก็ทรงกริ้ว วางข่ายอาคมดักทุกอย่างก็ดักไม่สำเร็จ เมื่อดักไม่สำเร็จก็ต้องไปกราบเรียนหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงปู่ศุขก็บอกวิธีมาให้ ปรากฏว่าดักได้สำเร็จ จับตัวไปขังคุก ให้สืบความว่าเป็นใครมาจากไหน ปรากฏว่าถามเท่าไรก็ไม่ตอบ จะลงมือทรมานอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าทุบเท่าไร ตีเท่าไรก็เฉย ฟันเท่าไรก็ไม่เข้า ได้แต่นั่งยิ้ม เผลอหน่อยเดียวก็แหกคุกไปอีกแล้ว ก่อนไปสะกดคนทั้งวังหลับหมดเลย ยกเว้นเสด็จในกรมที่ครึ่งหลับครึ่งตื่น เพราะว่าท่านฝึกวิชามาเหมือนกัน สะกดไม่อยู่ ท่านอาจารย์แปลกจึงเข้าไปเรียนถวายว่าเป็นใคร ? มาจากไหน ? ได้ยินว่าท่านเป็นผู้ที่เรืองวิชา ก็เลยอยากจะลองดูเท่านั้นว่าเก่งจริงหรือเปล่า ? ขอโทษขอโพยที่ทำเรื่องไม่เหมาะสมไป แล้วก็กลับ เสด็จในกรมท่านถึงได้ทราบว่ามีฆราวาสชื่ออาจารย์แปลก ลอยเรืออยู่หน้าวัดสะพานสูง จังหวัดนนทบุรี" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 17-09-2018 เมื่อ 08:58 | 
| สมาชิก 158 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#206  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"ฉะนั้น  บางทีพวกที่หาตะกรุดมหาโสฬสของหลวงปู่เอี่ยมไม่ได้  ก็ไปใช้ของท่านอาจารย์แปลกแทน  แต่ว่าตะกรุดมหาโสฬสของท่านอาจารย์แปลก  ถ้าใครมีอยู่จะหวงกว่าของหลวงปู่เอี่ยม  ที่หวงกว่าเพราะว่าวิธีการสร้างพิสดารกว่า  ดูน่าขลังกว่าใช่ไหม ?   แต่จริง ๆ  ก็คือ  ถ่ายทอดจากหลวงปู่เอี่ยม   ถัดจากหลวงปู่เอี่ยมมาก็เป็นหลวงปู่กลิ่น  จากหลวงปู่กลิ่นมาก็เป็นหลวงพ่อทองสุข   ถัดจากหลวงพ่อทองสุขก็เป็นหลวงปู่วาส  หลวงปู่วาสเพิ่งมรณภาพไปเมื่อไม่นานนี้เอง   อายุ  ๙๐  กว่าปี ถ้าเป็นตะกรุดมหาโสฬสสายวัดสะพานสูง หรือพระปิดตาสายวัดสะพานสูง ให้รีบคว้าไว้ก่อน จะเป็นของใครก็แล้วแต่ ได้ถึงระดับบรมครูก็ถือว่าชีวิตนี้สร้างกุศลมามหาศาล ของอย่างนี้จึงได้มาถึงมือ ถ้าไม่ได้ก็ลงมารุ่นหลัง ๆ อย่างหลวงปู่วาสก็ได้ แค่ของหลวงพ่อทองสุขก็สุดยอดแล้ว" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 02:44 | 
| สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#207  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"ตะกรุดสายวัดสะพานสูง  ส่วนใหญ่มาตรฐานอยู่ที่ยาวประมาณ ๓ นิ้วครึ่ง   ถ้าเป็นของหลวงปู่กลิ่นจะปิดทองลงรักก็มี  ลงรักอย่างเดียวไม่ปิดทองก็มี   แต่ถ้าเป็นของหลวงปู่เอี่ยมนี่ชัดเลย   ม้วนเล็กสุด ๆ  ถามว่าเล็กขนาดไหน ? เล็กขนาดหัวไม้ขีดแหย่ไม่เข้า  ดูความเก่า  ดูเนื้อผง  ดูรัก  แล้วต้องดูด้วยว่ารูตะกรุดใหญ่แค่ไหน  ถ้าใหญ่มากก็ไม่ใช่ของหลวงปู่เอี่ยม    นอกจากนี้ก็มีตะกรุดยอดบายศรีตอนทำพิธีพุทธาภิเษก ครั้งหนึ่งมีไม่เกินสี่ดอก ตะกรุดยอดบายศรีจะยาวประมาณ ๕ นิ้ว ถ้าใครได้ไปถือว่าโชคดีสุด ๆ แบบเดียวกับพระปิดตายอดบายศรี ท่านจะทำเป็นสามองค์หันหลังชนกัน หรือสี่องค์หันหลังชนกัน ถึงเวลาก็เสียบเอาไว้ยอดบายศรี ถือเป็นของบูชาครูอย่างหนึ่ง อาตมามีแค่ตะกรุดมหาโสฬสยอดบายศรีของหลวงปู่กลิ่น ของหลวงปู่เอี่ยมหลังจากที่สละไปหล่อพระปิดตามหาเศรษฐีเงินล้านรุ่นแรกแล้ว ก็ยังหาไม่ได้อีกเลย ตอนนั้นเอาผงที่พอกตะกรุดไปทำพระปิดตาเนื้อผง และตัวตะกรุดไปทำพระปิดตาเนื้อโลหะ กะว่าถ้าได้ใหม่แล้วค่อยว่ากัน ปรากฏว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ยังไม่ได้เห็นอีกเลย มีอยู่ดอกหนึ่งเขาลงในเว็บไว้ เป็นเนื้อสองกษัตริย์ ก็คือสองอย่าง เป็นทองแดงกับทองเหลืองม้วนทับกันอยู่ เปิดราคามาที่เจ็ดแสนบาท ตูจะเป็นลม ฉะนั้น...ญาติโยมเห็นอาตมาลงในเว็บราคาหกหมื่น เจ็ดหมื่นว่าแพง ลองไปดูในตลาดสิว่าเขาคิดกันเท่าไร" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 02:47 | 
| สมาชิก 155 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#208  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			พระอาจารย์เล่าว่า  "วันก่อนท่านพระครูศุภชัย  สมณศักดิ์ก็คือ พระครูศุภกิจชยาภรณ์   เจ้าคณะตำบลหนองมะคัง   เจ้าอาวาสหนองมะคัง  จังหวัดพิษณุโลก   ท่านเอาวัตถุมงคลชิ้นหนึ่งมาให้ดู เป็นลูกกลม ๆ  เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ  ๒ เซนติเมตรกว่า ๆ  เกือบ  ๓  เซนติเมตร   ท่านถามว่า "พระอาจารย์ครับ  ศิลาน้ำหรือเปล่าครับ ?  แต่ผมดูแล้วว่าเป็นผง  เก็บได้ในแม่น้ำ"  อาตมาดูแล้ว  ท่านพระครูสายตาใช้ได้เลย  เพียงแต่ไม่รู้จักของ  นั่นคือลูกอมของหลวงปู่ปาน  วัดบางนมโค   ลูกอมหลวงปู่ปาน เกิดจากการที่เขาเอาผงไปอุดพระ คราวนี้ผงที่เหลือก็ปั้นเป็นลูกอมไว้ บางทีผงก็เปื้อนปูนที่อุดพระมากบ้างน้อยบ้าง องค์ใหญ่บ้างเล็กบ้าง องค์นั้นเกือบสามเซนติเมตร อาตมาเคยเจอมาหลายลูกก็เลยรู้จัก ตอนนี้ยึดไว้อยู่ในย่าม แต่ก็คงต้องคืนท่าน เพราะว่าเป็นของหายาก สมัยก่อนการเดินทางและการค้าขายไปทางเรือกัน คาดว่าลูกศิษย์หลวงปู่คงจะพกลูกอมไว้ในกระเป๋าเสื้อ ก้มไปก้มมาก็ตกน้ำลงไป ถึงเวลาก็โดนพัดติดฝั่งขึ้นมา ท้ายสุดก็อยู่ที่บุญใครที่จะได้ครอบครอง แบบเดียวกับที่อาตมาไปได้แก้วอินทนิลมาจากพม่านั่นแหละ ถ้าผีไม่บอกก็ไม่มีใครรู้ว่ามีแก้วอินทนิลอยู่ตรงนั้น เขาบอกว่าจะไปเกิดแล้ว ให้ช่วยไปเอาหน่อย เขาจะได้ไปเสียที" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-09-2018 เมื่อ 20:02 | 
| สมาชิก 153 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#209  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			ถาม :  ที่เฝ้าแก้วอินทนิลอยู่เป็นอสุรกายหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ส่วนใหญ่เป็นเทวดาชั้นต่ำ จำพวกพระภูมิเจ้าที่ 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 05:08 | 
| สมาชิก 154 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#210  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			พระอาจารย์เล่าว่า  "เมื่อช่วงอาสาฬหบูชา-เข้าพรรษาที่ผ่านมา  เป็นช่วงที่ฝนหนักตกทั้งวันทั้งคืนต่อเนื่องกันมาหลายอาทิตย์  ญาติโยมเห็นว่าเป็นวันหยุดยาวก็อยากจะขึ้นไปเที่ยวสะพานมอญที่สังขละบุรี  แต่ไปกันไม่ไหว  เพราะว่าน้ำท่วมสังขละบุรีและมีดินถล่มด้วย  จึงเปลี่ยนมาแห่กันขึ้นบันไดไปสักการะรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุนแทน   คราวนี้ขึ้นบันไดอย่างเดียวก็ไม่ว่า พอลงมาแล้ว ร้านที่ตั้งขายของหน้าวัด เขาซื้อจนเกลี้ยง ไม่เหลืออะไรเลย นักท่องเที่ยวมามากจนเกินเหตุ แม่ค้าต้องวิ่งกลับบ้านไป เข้าสวนเอาผลไม้มาเพิ่มก็ไม่พอขาย โดยเฉพาะเงาะทองผาภูมิ มาเท่าไรก็หมด เงาะทองผาภูมิหน้าตาขี้เหร่มาก เขียว ๆ เหลือง ๆ หาสีแดงน้อยมาก แต่ล่อนและหวานกรอบมาก เข้าปากก็รู้เลยว่าไม่เหมือนที่อื่น" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 05:10 | 
| สมาชิก 145 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#211  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"สมัยอาตมาเป็นเจ้าคณะตำบลชะแล เขต ๒ ใหม่ ๆ ราว ๆ ปี  ๒๕๔๗  จัดงานประจำปี   หลวงพ่อพรหมดิลก วัดสามพระยา ตอนนั้นเป็นพระเทพสุธีอยู่  เป็นเจ้าคณะภาค ๑๔  อาตมานิมนต์ท่านไปงาน   อาตมาก็นึกไม่ถึง พระผู้ใหญ่ท่านบอกว่าอยากฉันเงาะทองผาภูมิ พอฉันอาหารเพลเสร็จของหวานมาถึง ไม่มีเงาะทองผาภูมิ แทนที่ท่านจะต่อว่าอาตมาที่เป็นเจ้าภาพ ท่านหันไปต่อว่าเจ้าคณะอำเภอ "คุณเป็นเจ้าคณะอำเภออย่างไรวะ ? ทำไมไม่เอาเงาะทองผาภูมิมาขึ้นโต๊ะบ้าง" ....( หัวเราะ)... อาตมาต้องกราบขออภัยท่าน บอกว่า "รอสักห้านาทีครับ" สั่งโยมวิ่งไปหามาให้ เพราะว่าสวนแถวใกล้วัดมีหลายสวน อย่างไร่ช้างเยี่ยมของลุงกมลก็ใส่บาตรทุกวันอยู่แล้ว แต่เงาะทองผาภูมิเป็นอะไรที่น่าสงสารมาก โดนปลอมอยู่เรื่อย เพราะว่าในพื้นที่ไม่พอขาย ถึงเวลาก็เอาของที่อื่นมา แล้วก็อ้างว่าเป็นเงาะทองผาภูมิ ของที่อื่นบางปีกิโลกรัมละ ๗-๘ บาท มาถึงทองผาภูมิขายกิโลกรัมละ ๒๕ บาท อัพเกรดได้เหมือนกัน ...(หัวเราะ)..." 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 05:11 | 
| สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#212  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"ด้วยความที่ทองผาภูมิอากาศดี  ฝนดี  ดินดีด้วย  โดยเฉพาะแถวองธิดินดำมาก  ต่างจากที่อื่นอย่างเห็นได้ชัด  ปลูกอะไรก็งาม  ปัจจุบันนี้ทองผาภูมิก็เลยมีผลไม้ทุกอย่างของตัวเอง โดยเฉพาะผลไม้เมืองหนาว  พวกอะโวคาโด  พวกสตรอเบอรี่ ฯลฯ   ก็เลยทำให้ของที่อื่นแทรกเข้าไปยาก  แม้กระทั่งทุเรียนก็ไปประกวดชนะได้ที่หนึ่งในงานประกวดทุเรียนโลกมา   เตือนอยู่อย่างหนึ่งว่าให้ขายราคาถูกหน่อย แต่ไม่ค่อยจะฟังกัน ขายราคาแพงมาก ถ้าขายถูกสักนิดหนึ่งก็จะขายได้มากขึ้น ก็ได้กำไรมากขึ้นไปเอง แต่ส่วนใหญ่จะไปขายราคาแพงทีเดียว" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 05:12 | 
| สมาชิก 144 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#213  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			ถาม :  ถ้าจะพิจารณาปฏิจจสมุปบาท  ต้องพิจารณาโพธิปักขิยธรรมด้วยหรือเปล่าครับ ? ตอบ : จริง ๆ แล้วปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักธรรมขั้นสูง ถ้าเข้าไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้าสักระดับหนึ่ง โอกาสที่จะเห็นได้ชัดจะมีน้อยมาก ฉะนั้น..ถ้าจะพิจารณาก็ได้ แต่จะไม่ค่อยได้อะไร ยกเว้นเรามีพื้นฐานอย่างเป็นพระโสดาบันขึ้นไป คราวนี้จะเข้าใจชัดขึ้น ถ้าผมบอกว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นคุณสมบัติของพระอนาคามี เดี๋ยวคนเขาจะรับกันไม่ได้ เพราะว่าสูงเกินไป เห็นคนทั่วไปเขานิยมพิจารณากัน ถ้าปัญญาเข้าไม่ถึงระดับก็ได้แค่ผิวเผิน พวกเราทั่วไปพิจารณาไตรลักษณ์ง่ายที่สุด จะเห็นชัดและยอมรับได้ง่าย ถาม : ถ้ามีโยมมาถามเรื่องปฏิจจสมุปบาท ? ตอบ : อธิบายไปตามที่เราเข้าใจ ถ้าเราเข้าใจน้อย โยมก็ไม่ได้อะไร ฉะนั้น..แนะนำให้เขาในเรื่องอื่นดีกว่า เพราะว่าเป็นเรื่องของพระอริยเจ้า ว่ากันยากหน่อย หลักธรรมของพระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านเทศน์เฉพาะคน เฉพาะสถานที่ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องเทศน์ถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ บางอย่างไม่ได้เหมาะสำหรับคนทั่วไป พระองค์ท่านเทศน์ให้เหมาะกับอุปนิสัยของผู้รับฟังตรงนั้น ในเมื่อได้สิ่งที่ตรงกับบุญเก่า ตรงกับกำลังบารมีที่สั่งสมมา ก็จะเข้าถึงได้ง่าย ระดับพระองค์ท่านสามารถหาหลักธรรมสำเร็จรูปออกมาเหมาะสำหรับคนทั่วไปได้ก็สุดยอด หลักการก็อยู่ใน ศีล สมาธิ และปัญญา นั่นแหละ เพียงแต่วิธีการแตกแขนงออกไปนับไม่ถ้วน 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 05:14 | 
| สมาชิก 135 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#214  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "เรื่องของชื่อบ้านนามเมือง  บางทีก็เพี้ยนไปเรื่อย ๆ ไปตามยุคตามสมัย  มีการแก้ไขด้วยนะ อย่างสมัยก่อนเขาเรียก โคกอีหอม  มาสมัยนี้เป็น ดอนยายหอม   คลองไอ้โส ปัจจุบันคือคลองตาโส นาน ๆ ไปไอ้โสแก่ตัวขึ้น กลายเป็นตาโสสมัยอาตมาเล็ก ๆ เขาเรียก นกอีแอ่น สมัยนี้นกอีแอ่นไม่มี มีแต่นกนางแอ่น มีอยู่ระยะหนึ่งที่เขานิยมเรียกว่า นางเก้ง เปลี่ยนมาจากอีเก้ง ไม่รู้ว่า "อี" หยาบตรงไหน ท้ายสุดเรียกไปเรียกมา คนเรียกคงทุเรศตัวเอง ก็เลยเหลือเก้งคำเดียว แบบเดียวกับคำว่า แรด เป็นคำหยาบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาก็เลยเปลี่ยนจากแรดมาเป็นระมาดแทน เพราะฉะนั้น...พวกเราจะรู้จักตลิ่งชัน บางระมาด แต่ไม่รู้ว่าระมาดคืออะไร แสดงว่าสมัยนั้นพื้นที่แถวฝั่งธนยังมีแรดอยู่เลย เขาถึงเรียกบางระมาด แรดมีนิสัยที่ชอบนอนเกลือกปลัก ถ้าหลังจากกินอิ่มแล้วก็จะนอนแช่ปลักกลิ้งไปกลิ้งมา เพราะแรดจะมีหนังที่พับย่น ๆ อยู่ พวกแมลงชอบเข้าไปอาศัยอยู่ พวกเห็บไปกินก็รำคาญ ก็เลยต้องไปแช่ปลักเพื่อที่จะขับไล่พวกแมลง ผู้ใหญ่เห็นพวกลูกหลานตนเองไม่ได้ทำอะไร วัน ๆ เอาแต่ประเภทนอน ก็ด่า “อีแช่แรด” เพราะฉะนั้น...คำว่าแรดเขาใช้ด่ากันมาตั้งแต่สมัยที่อาตมายังแก้ผ้าวิ่งอยู่เลย" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 19:52 | 
| สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#215  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			พระอาจารย์กล่าวว่า  "ลูกคนไทยเสียเปรียบ บ้านเมืองของไทยอุดมสมบูรณ์  ในน้ำมีปลา  ในนามีข้าว  คนไทยก็เลย "เรื่อย ๆ  มาเรียง ๆ" ส่วนลูกคนจีนจะอดตายกันก็มี  ก็ต้องขยัน  อย่างที่เพื่อนพระสังฆาธิการบอกว่า อาตมา "ขยันฉิบหาย" นั้น สมัยอาตมาเด็ก ๆ โดนพ่อแม่ทั้งตีทั้งด่ามาไม่รู้เท่าไร ท่านว่าขี้เกียจ ถามว่ารุ่นพ่อแม่เป็นอย่างไร ? ท่านทำงานทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าเป็นข้างขึ้นพอมองเห็นบ้างก็ออกไปทำไร่ทำนากัน ถึงเวลาก็รูดใบยา เก็บใบยาสูบ หั่นใบยากัน อาตมาก็ไม่ไหวแล้ว ห้าทุ่มเที่ยงคืนก็หัวทิ่มพื้น อากาศก็หนาว กำลังง่วงสัปหงก มีเสียง “เพียะ” โดนก้านใบยาสูบฟาดไปที ตาสว่างโล่งเลย ฉะนั้น...ที่อาตมาทำอยู่ทุกวัน คนเห็นว่าขยัน จริง ๆ แล้วในสมัยโน้นถือว่าขี้เกียจบรรลัยเลย รุ่นหนึ่งผ่านไปก็ขี้เกียจลงไปอีกส่วนหนึ่ง ลูกคนจีนได้เปรียบ พลัดบ้านพลัดเมืองมา จำเป็นต้องขยัน ถ้าไม่ขยันทำมาหากิน ก็ไม่รู้ว่าจะเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงเมียเลี้ยงลูกอย่างไร เพราะว่าไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ ตอนมานี่มือเปล่าเลย ไม่มีพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว ต้องค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบแล้วลงทุน" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 19:55 | 
| สมาชิก 133 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#216  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"การลงทุนของคนจีนสมัยก่อนเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด   แต่ปัจจุบันเขาถือว่าเป็นการลงทุนที่ใช้ไม่ได้  การลงทุนสมัยก่อนก็คือลงทุนเท่าที่มี  เขาใช้คำพูดง่าย ๆ  ว่า สู้แค่หน้าตัก  มีทุนอยู่เท่าไรก็ใช้แค่นั้น   ต่อให้เจ๊งหมดตัวก็ไม่มีหนี้  แต่สมัยนี้เขาต้องกู้  ในเมื่อกู้มา พอเจ๊งหมดตัวยังมีหนี้ก้อนโตรออยู่   พวกเราสมัยนี้ไปเชื่อทฤษฎีเศรษฐกิจของฝรั่ง "มีหนี้มากแสดงว่าเครดิตดี" จะตายเอา ใช้หนี้ไม่ไหว เราอยู่ทางด้านเอเชีย จะใช้หลักการอะไรก็ต้องเป็นหลักการที่เหมาะสมกับคนเอเชีย โดยเฉพาะทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงนี่ใช้ได้ทั้งโลกเลย ค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบ พอถึงเวลาก็เปิดกิจการเล็ก ๆ ของตัวเอง อย่างเช่น ร้านโชห่วย ร้านขายกาแฟ เป็นช่างฝีมือบ้าง พอตั้งหลักได้ มีเงินมากก็ขยายการลงทุนมากขึ้น การขยายการลงทุนที่ดีก็คือ หากิจการให้ลูกหลานทำ" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 19:56 | 
| สมาชิก 134 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#217  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"เราจะเห็นว่าธนาคารสมัยเก่า ไม่ว่าจะธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารกรุงศรีอยุธยา  เป็นกิจการในครอบครัว  เป็นกิจการของตระกูล  อย่างธนาคารกสิกรไทยก็ตระกูลล่ำซำ   ธนาคารศรีอยุธยาก็ตระกูลเตชะไพบูลย์  ธนาคารกรุงเทพก็ตระกูลโสภณพนิช   เราจะเห็นว่าเป็นกิจการในครอบครัว    หลังจากนั้นระบบบรรษัท คือ บริษัทหลายบริษัทเข้ามาร่วมกันอย่างหนึ่ง และระบบมหาชนก็คือกระจายหุ้นให้คนทั่วไปเข้ามามีส่วนร่วมอีกอย่างหนึ่ง ก็ทำให้กิจการเหล่านี้ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปจากงานครอบครัวมาเป็นงานทั่วไป เป็นงานที่สากลเขายอมรับกัน พวกนี้เกิดจากการลงทุนแค่หน้าตักมาก่อน ก็คือสู้แค่ตัวเองมีทุนก่อน ไม่ยอมกู้หนี้ยืมสินใคร ถ้าจะกู้หนี้ยืมสินก็ต้องเป็นคนที่ไว้วางใจได้ ต้องเป็นญาติเป็นพี่น้องกัน ร่วมแซ่ร่วมตระกูล ร่วมบ้าน ร่วมอำเภอ ร่วมจังหวัดกัน เขาหาทางเชื่อมโยงกันได้ ท้ายที่สุดก็ร่วมสมาคมเดียวกัน คนจีนโดนบังคับให้ขยันเพราะว่าพลัดบ้านพลัดเมืองมา ส่วนคนไทยเป็นเจ้าของบ้านไม่ยอมขยัน ท้ายสุดกิจการก็อยู่ในมือคนจีนหมด ไม่ต้องโทษใคร ส่วนงานปกครองทุกอย่างปัจจุบันนี้ก็อยู่ในมืออิสลามหมด " 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-09-2018 เมื่อ 19:57 | 
| สมาชิก 136 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#218  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"พวกเรามาดูงานในปัจจุบันก็คือธุรกิจอิสระ ส่วนใหญ่เป็นการค้าขาย โดยเฉพาะการค้าขายออนไลน์   ความจริงก็เป็นการหาเงินที่ง่ายมาก   แต่อาตมาไม่ค่อยเห็นด้วย  เพราะว่าส่วนใหญ่สั่งสินค้ามาแล้วขายต่อ  เราไม่ได้ผลิตเอง  จึงควบคุมได้ยาก  ถ้าเราผลิตเองอย่างผลิตผ้าทอมือ  ผลิตงานฝีมือ งานประดิษฐ์ต่าง ๆ  พวกนี้เราควบคุมได้ เพราะว่าเป็นสินค้าของเราผลิตเอง   สามารถกำหนดได้ว่าลูกค้าสั่งมาเท่าไร  เราจะมีสินค้าขายให้เขา  ถ้าเราไม่ได้เป็นผู้ผลิตเอง  ต่างคนต่างขาย  ท้ายสุดจะไปเอาสินค้าที่ไหนมา  เพราะว่าเราทำเองไม่ได้   แบบเดียวกับพวกเปิดขายวัตถุมงคลวัดท่าขนุน พอถึงเวลาหาวัตถุมงคลเพิ่มไม่ได้ก็เจ๊ง ไม่มีของขาย ลักษณะใกล้เคียงกันเพราะว่าเราไม่ใช่ผู้ผลิต ฉะนั้น...ถ้าจะทำการค้าขายออนไลน์ อาตมาขอยืนยันว่าถ้าเราผลิตได้เองก็ทำไปเถอะ แต่ถ้าเราผลิตเองไม่ได้ แล้วต้องสั่งจากคนอื่น หาความแน่นอนไม่ได้หรอก เขาโอนเงินแล้วส่งของไม่ได้ เดี๋ยวก็กลายเป็นฟ้องร้องมีคดีความกันอีก" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2018 เมื่อ 19:34 | 
| สมาชิก 124 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#219  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"เศรษฐกิจพอเพียงของในหลวง ร.๙ ก็คือทำให้ตนเองพอกินพอใช้ไปก่อน  เหลือแล้วค่อยขาย  ถ้าทำแล้วตนเองพอกินพอใช้  ความมั่นคงก็จะมีขึ้น    นึกถึงที่หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร พระบิดาแห่งการเกษตร ท่านบอกว่า "เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลาสิของจริง" อาตมาเจอมาชัด ๆ เลยสมัยที่อยู่ชายแดนตาพระยา พลอยดิบ ๑ กระป๋อง แลกกับข้าวสาร ๑ กระป๋อง เราจะไปคิดว่าพลอยราคาแพงมาก ทำไมแลกข้าวได้แค่นั้น ? แล้วคุณกินพลอยได้ไหม ? ในเมื่อกินไม่ได้ก็ต้องยอมแลก หรือเหมือนที่พวกอาตมาเข้าตาจน เงินทองก็ไม่มี ต้องถอดนาฬิกาข้อมือ เอาไปแลกข้าวห่อได้ ๑ ห่อ นาฬิการาคาสามสี่พันบาท สมัยนั้นซื้อทองได้บาทกว่าเลยนะ" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2018 เมื่อ 19:36 | 
| สมาชิก 126 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
| 
			 
			#220  
			
			
			
			
			
		 | ||||
| 
 | ||||
|   
			
			"เมื่อเงินทองเป็นของมายา  ข้าวปลาเป็นของจริง ก็ชวนให้พวกเราทำอะไรก็ได้  อย่างที่อาตมาทำชุมชนคุณธรรม  โครงการผักสวนครัวรั้วกินได้  ทำอย่างไรที่เราไม่ต้องไปเสียเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกวัน  จะว่าเล็กน้อยก็ไม่ได้นะ  สมมติว่าเราปลูกพริกขี้หนูใส่กระถาง  ๓-๔  กระถาง  ก็พอกินในครัวเรือนแล้ว   เวลาไปซื้อพอกินไหมล่ะ ? สมัยนี้ไปซื้อพริกขี้หนู ๕ บาท แม่ค้าบอกว่าหยิบไม่ได้ อาตมาก็ว่า "ในเมื่อโยมหยิบไม่ได้ อาตมาขอหยิบเอง" "ไม่ใช่ค่ะ ราคานี้ซื้อไม่ได้" ประเภทขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด ปลูกไว้รอบ ๆ บ้านบ้าง ปลูกใส่กระถางโอ่งอ่างอะไรไว้ก็ได้" 
				__________________ ........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-09-2018 เมื่อ 19:37 | 
| สมาชิก 125 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
|  | 
| ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
| 
 | 
 |