#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๖๖
|
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ วันนี้กระผม/อาตมภาพขอกล่าวถึงประเด็นร้อนในสังคมไทยของเรา ก็คือเรื่องของน้องไนซ์ เทวานิรมิตจุติ ซึ่งกระผม/อาตมภาพเคยกล่าวผ่าน ๆ ไปแล้วว่า "ไม่ให้ราคากับเรื่องนี้" เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า เทวดาที่มาเกิดเป็นมนุษย์นั้น มีเป็นล้าน ๆ คน..! แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพเองก็เป็นเทวดามาเกิดเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงไม่ได้สนใจในเรื่องของน้องไนซ์เลย
แต่มาถึงวันนี้ ปรากฏว่าเกิดการปะทะทางความคิด แล้วดูว่ามีท่าทีจะเป็นการปะทะด้วยกำลัง..! จึงจำเป็นที่จะต้องมากล่าวถึง อันดับแรกเลย ฉายา "เทวานิรมิตจุติ" ของน้องไนซ์นั้น ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครเป็นผู้ตั้งให้ เหตุที่เป็นเช่นนั้น ตามข่าวเขาบอกว่า น้องไนซ์นั้นเป็นร่างของพญานาคา คือพญานาคมาจุติ ขอให้ทุกคนทราบว่าในเรื่องของพญานาคนั้น ยังอยู่ในภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เพียงแต่ว่าเป็นเดรัจฉานกึ่งทิพย์ คือมีความสามารถหรือว่าฤทธิ์บางอย่าง แต่ว่าไม่ใช่เทวดา เพราะว่าภูมิที่สูงกว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นยังมีมนุษย์ แล้วจึงไปถึงเทวดา นางฟ้า แล้วจึงขึ้นไปเป็นพรหม จนกระทั่งถ้าสามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็พ้นจากภพภูมิทั้ง ๓๑ ที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ เข้าสู่พระนิพพาน พ้นการตาย พ้นการเกิดไปแล้ว ขอให้ทุกคนจดจำตรงนี้เอาไว้ เพราะว่าจะกล่าวถึงในช่วงสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อไม่ใช่เทวดา เป็นแค่พญานาคมาเกิด ก็แปลว่ามาจากภพภูมิที่ยังต่ำอยู่ เพียงแต่ว่าความเป็นทิพย์นั้น ถ้าหากว่าเคยชิน อย่างเช่นว่าเกิดต่อเนื่องในภพนั้นภูมินั้นเป็นร้อย ๆ ชาติ ความเป็นทิพย์บางอย่างก็สามารถที่จะข้ามชาติข้ามภพมาได้ แต่ว่ามักจะไม่ทนต่อการพิสูจน์ เนื่องเพราะว่าตอนเด็ก จิตใจยังสะอาดอยู่ ความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ก็จะรู้เห็นได้อย่างชัดเจน แต่พอนานไปแล้ว รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้น มากขึ้น ตามการเจริญเติบโต ก็จะค่อย ๆ บดบังจนสภาพจิตใจมืดบอด แล้วท้ายที่สุดก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นทิพย์นั้นได้อีก โดยเฉพาะบุคคลที่มีความเป็นทิพย์ เมื่อรู้เรื่องอะไร ไม่ใช่รู้แล้วพูดได้ทุกอย่าง หากแต่ว่ารู้แล้ว ต้องรู้ด้วยว่าเรื่องนี้พูดได้เท่าไร กระผม/อาตมภาพเคยบอกกล่าวหลายท่านไปแล้วว่า บางเรื่องรู้มาเป็น ๑๐๐ ให้พูดแค่ ๑ แค่ ๒ จะอกแตกตาย..! เพราะฉะนั้น..ถ้าเป็นเรื่องประเภทนี้ อย่ามาให้รู้เลย รู้แล้วพูดไม่ได้ จะให้รู้ไปทำอะไร ? นี่เป็นส่วนหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2023 เมื่อ 02:18 |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
อีกส่วนหนึ่งก็คือบุคคลที่รู้แล้วพูดไปตามนั้น ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นจริง อย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกกล่าวว่า เราเห็นเขาไล่ฆ่าไล่ฟันกันมา แล้วเราลากมีดลากปืนเข้าไปช่วย ก็จะไปโดนเขากระทืบตาย เพราะว่าเขากำลังถ่ายหนังกันอยู่..! เรื่องที่เราเห็น คือเรารู้เห็นจริง ๆ แต่สิ่งที่เรารู้เห็น ไม่แน่ว่าจะเป็นจริงตามที่เราคิด บุคคลที่เข้าถึงความเป็นทิพย์ จึงต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างสูง
ในการที่วิจัยวิจารณ์การเข้าถึงธรรม หรือว่าความเป็นทิพย์ต่าง ๆ ในสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุงนั้น เมื่อเลิกกรรมฐานแล้ว พระพี่พระน้องมาฉันน้ำปานะด้วยกัน แล้วก็บอกกล่าวถึงเรื่องต่าง ๆ ที่ตนเองสัมผัสมา เพื่อที่ต้องการจะรู้ว่าตรงกับคนอื่นหรือไม่ ? ตลอดจนกระทั่งใช่เรื่องที่ควรรู้ ควรทราบ และบอกกล่าวต่อได้หรือไม่ ? ท้ายที่สุดจากระยะเวลาเป็นปี ๆ ที่วิเคราะห์วิจัยกันมา สุดท้ายแล้ว การรู้เห็นต่าง ๆ นั้นพวกเราสรุปลงคำเดียวเหมือนกันทุกรูป ก็คือ "กูไม่เชื่อ..!" แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพเอง ก็โดน "ผีหลอก" มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว คำว่าผีในที่นี้ก็คือ บรรดาท่านผู้หวังดีปรารถนาดี หรือว่าต้องการจะทดลองใจหรือเปล่าก็ไม่ทราบ ? บอกว่าตรงนั้นมีขุมสมบัติ ตรงนี้มีขุมสมบัติ ให้ไปขุดขึ้นมา จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในพุทธศาสนา พร้อมกับแสดงภาพ หรือว่าเปิดขุมสมบัตินั้นให้ดูด้วย..! เมื่อกระผม/อาตมภาพทราบแล้ว ก็นัดแนะกันไปขุดตามที่เขาบอกเอาไว้ ปรากฏว่าขุดแล้วไม่เจออะไร เมื่อไปต่อว่า อีกฝ่ายก็บอกว่า ขั้นตอนนั้นทำผิดอย่างนั้น ขั้นตอนนี้ผิดเวลาอย่างนี้ ให้ไปใหม่ แต่เมื่อทำตามขั้นตอนนั้นแล้ว ก็ยังไม่สามารถที่จะได้ขุมทรัพย์มาอีก ยังมีกฎเกณฑ์กติกาว่า จะต้องมีเครื่องบวงสรวงแบบนั้น จะต้องมีพิธีกรรมแบบนี้ โดนเข้าไปแค่ ๒ ครั้ง กระผม/อาตมภาพก็เลิกสนใจเรื่องพวกนี้ทันที ไม่ว่าจะเป็นขุมสมบัติที่ใหญ่โตขนาดไหนก็ไม่เอาอีกแล้ว..! เมื่อมาบอกมากล่าวกันอีก กระผม/อาตมภาพก็บอกว่า "ถ้าอยากจะให้สมบัติเหล่านี้เพื่อช่วยเหลืองานพระพุทธศาสนา ที่กระผม/อาตมภาพทำอยู่จริง ๆ คุณก็เอาสมบัติพวกนั้นไปขาย โอนเป็นเงินสดเข้าบัญชีของกระผม/อาตมภาพมา แล้วจะจัดการดำเนินการให้ แต่ถ้าให้ไปขุดไปค้นเองแบบก่อน ๆ นี้ ไม่เอาอีกแล้ว" เมื่อเจอแบบนี้เข้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็ไม่มีใครเปิดขุมสมบัติให้ดูอีกเลย เรื่องพวกนี้บางทีก็เป็นการทดสอบกำลังใจของเรา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2023 เมื่อ 02:21 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
อีกส่วนหนึ่งก็คือ พอมีผู้ที่มีความสามารถพิเศษแบบนี้ขึ้นมา ก็จะมีบุคคลเข้ามาแอบแฝงหาประโยชน์ เมื่อมีการแอบแฝงหาประโยชน์ ก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เมื่อฝ่ายที่เสียประโยชน์ มีบุคคล "ชี้ช่องบ่องทาง" ให้ ว่านี่เป็นการหลอกลวง ทำให้เราเสียประโยชน์ ก็จะเกิดการปะทะทางความคิด กลายเป็นการปะทะทางวาจา
และท้ายที่สุดก็อาจจะมีการใช้กำลังจนเลือดตกยางออกกัน อย่างที่กระผม/อาตมภาพเป็นห่วง โดยเฉพาะในการหาประโยชน์นั้น เมื่อเกิดความไม่บริสุทธิ์ขึ้น การรู้เห็นต่าง ๆ ก็จะมืดมัวไปตามกิเลสที่เกิดขึ้นรอบข้าง ตลอดจนเกิดขึ้นกับตนเอง แล้วท้ายที่สุดก็จะสูญเสียความสามารถเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย เรื่องพวกนี้เกิดกับบรรดา "ร่างทรง" หลายต่อหลายร่างด้วยกัน แรก ๆ ก็สามารถที่จะบอกกล่าวเรื่องราวได้แม่นยำมาก หรือว่ารักษาโรคให้ผู้คน ก็หายในระยะเวลาอันรวดเร็ว บอกกล่าวแก้ไขปัญหาอะไร ก็ถูกต้องตรงตามนั้น และแก้ไขปัญหาได้ง่าย แต่พอชื่อเสียงลาภยศไหลมาเทมา สภาพจิตที่ยังไม่มั่นคงพอ ก็โดนย้อมด้วย รัก โลภ โกรธ หลง ทำให้สภาพจิตมืดบอด ร่างทรงไม่สามารถที่จะประทับได้อีก แต่ว่าเมื่อตนเองสูญเสียความสามารถนี้ไปแล้ว ไม่อยากสูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับ ก็จะมีการ "ทรงปลอม" กันขึ้นมา ก็คือมั่วไปเรื่อย ถูกบ้าง ผิดบ้าง แล้วแต่เวรแต่กรรม ก็มีชื่อเสียงต่อไปได้บ้าง สูญเสียชื่อเสียงไปบ้าง ดังนั้น..จึงเป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายต้องพึงสังวรระวังเอาไว้ ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ อันดับแรกเลย เขาต้องการความเคารพจากเรา ไม่ได้ต้องการผลประโยชน์ ประการที่สอง เรื่องต่าง ๆ ที่บอกกล่าวมา ต้องเป็นจริงตามนั้น ถ้ารักษาโรค บอกว่าหาย ก็ต้องหาย บอกว่าไม่หาย ก็ต้องไม่หาย อีกส่วนหนึ่งที่อยากกล่าวถึงในตอนท้ายนี้ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็ตาม ตลอดจนกระทั่งพระอรหันต์ทุก ๆ พระองค์ที่หลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานไปนั้น เปรียบเหมือนกับไฟที่หมดเชื้อแล้วดับลงไป ในเมื่อไม่มีเชื้อให้ติด ย่อมไม่สามารถที่จะกลับมาเกิดใหม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ประการหนึ่ง..ที่น้องไนซ์บอกว่า "เป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิด" ก็ผิดไปจากคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่ว่าจะเป็นพระไตรปิฎกฉบับไหนก็ตาม ประการที่สอง..ก็คือ คำพูดนี้ขัดกับตอนแรก ที่บอกว่าเป็นพญานาคาจุติมา แต่ว่ามากล่าวทีหลังว่าเป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2023 เมื่อ 02:24 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
เรื่องแบบนี้ กระผม/อาตมภาพเคยเจอมาแล้ว จากครูบาอาจารย์ใหญ่ของบางสำนัก มีหนังสือเป็นหลักฐานชัดเจนมาก หนังสือหน้าซ้ายมือบอกว่า "ทุกคนร่วมสร้างบุญกับคุณยาย แล้วไปนิพพานกับคุณยายกันเถอะ" พอมาหน้าขวามือก็บอกว่า "ขอให้ทุกคนที่ร่วมสร้างบุญกับคุณยาย ได้มาเกิดเพื่อร่วมบุญกันต่อ"
เราจะเห็นชัดว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราศึกษาอย่างมีสติ ก็จะเห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในทันที แต่ส่วนใหญ่แล้ว ในสังคมของเรานั้นมักจะ "ถือมงคลตื่นข่าว" จึงทำให้บุคคลขาดสติ ไหลตามกระแสกันไป จนกระทั่งบางคนเสียหายใหญ่โต เพราะว่าไปทุ่มเทเงินทองทำบุญด้วยความศรัทธาอย่างยิ่ง แต่เป็นอธิโมกขศรัทธา คือปราศจากปัญญาประกอบ ถึงขนาดทำบุญจนหมดเนื้อหมดตัว ตนเองและคนรอบข้างเดือดร้อนก็มี..! จึงได้แต่หวังว่า เรื่องของน้องไนซ์เทวานิรมิตจุตินี้ ได้เป็นประโยชน์และเป็นอุทาหรณ์สอนใจแก่สังคมไทยของเรา ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ชัดเจนว่า อักขาตาโร ตถาคตา แม้แต่พระตถาคตเจ้าก็เป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ตัวเราจะได้ดีหรือไม่ได้ดี ปฏิบัติธรรมแล้ว จะเกิดผลหรือไม่เกิดผล ศึกษาธรรมะแล้วนำไปใช้จนกระทั่งสามารถหลุดพ้น หรือไม่หลุดพ้น เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องทำด้วยตนเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่สามารถที่จะช่วยเหลือให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสู่พระนิพพานได้ด้วยอำนาจของพระองค์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านทั้งหลายที่ "มักง่าย" คือ หวังจะบรรลุธรรมง่าย ๆ ขอให้เข้าใจว่า ถ้าเรื่องมีง่ายแบบนั้น เราคงไม่มาเกิดทุกข์ยากอยู่อย่างทุกวันนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คงจะกวาดพวกเราไปพระนิพพานกันจนหมดสิ้นตั้งแต่ ๒,๖๐๐ กว่าปีมาแล้ว..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๖ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-12-2023 เมื่อ 02:27 |
สมาชิก 43 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|