#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพตื่นตั้งแต่ยังไม่ทันจะ ๔ ทุ่ม เพราะรู้สึกว่าอากาศร้อนมาก ต้องถีบเอาถุงนอนออกไปจากตัว เปิดประตูให้อากาศเย็นไหลโกรกเข้ามาจึงค่อยยังชั่วหน่อย ไม่นึกว่าเจ้าแม่นภิสราเทวีและบริวารจะเล่นกันจนขนาดนี้ ในช่วงเช้าตอนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ ทุกคนก็บ่นเหมือนกันว่า "ใครบอกว่าอากาศลบ ๔ องศาเซลเซียส ทำไมถึงได้ร้อนขนาดนี้ก็ไม่รู้ ?" ดังนั้น..ถุงนอน ๐ องศาเซลเซียส ที่พวกเราเตรียมมาจึงแทบจะไม่ได้ใช้งานเลย
เพียงแต่ว่าที่นี่เขาจะตื่นสายกัน เนื่องจากว่าวิถีชีวิตคงจะเป็นไปตามการโคจรของพระอาทิตย์ ก็คือต้องรอจนแสงตะวันเริ่มแรงกล้า ทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉงขึ้น จึงได้ทำการทำงาน พวกเราไปรออยู่ในห้องอาหาร ปรากฏว่ามีเพียงข้าวโอ๊ตต้มอย่างเดียว ส่วนกับข้าวนั้นเป็นของทางเอ็น ซี ทัวร์ เตรียมมาทั้งสิ้น แต่พวกเราก็ไม่ฟังเสียงแล้ว เพราะว่าใกล้เวลาเดินทาง จึงเร่งฉันกันจนอิ่ม เมื่อยกเอากระเป๋าขึ้นรถเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางตอนประมาณ ๘ โมงเช้า เป็นการย้อนเส้นทางเดิมทุกประการ โดนเขย่าไปเป็นชั่วโมง ๆ จนกระทั่งมาถึงสามแยกใหญ่ ทุกคนขอให้โชเฟอร์หยุดรถลงชั่วคราว เพื่อไปหาห้องน้ำเข้ากันก่อน กระผม/อาตมภาพเห็นคิวห้องน้ำยาวเหยียดแล้วก็ถอดใจ จึงเดินไปทางด้านหลังอาคาร เห็นหลุมที่เขาขุดเอาไว้ใหม่ ๆ สำหรับทิ้งขยะ เพิ่งจะมีเศษขยะแค่ ๒ - ๓ ชิ้นเท่านั้น จึงเดินลงไปนั่งปัสสาวะในหลุม พักเดียวก็กลับมาขึ้นรถได้ ขณะที่คนอื่นต้องรอแล้วรออีกกว่าที่ห้องน้ำจะว่าง เรื่องของห้องน้ำห้องส้วมนั้น ชาวต่างชาติทุกคนที่มาเมืองไทย ล้วนแล้วแต่ชื่นชมทั้งสิ้นว่า บ้านเราแวะไปที่สถานีบริการน้ำมันไหนก็ตาม จะมีส้วมสะอาดเอาไว้รอรับเสมอ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ที่อื่นเขาไม่มีกัน โดยเฉพาะแถวนี้แล้วอย่างเก่งก็มีห้องน้ำให้ ๒ ห้อง เขาใช้คำว่า Wash Room ก็คือห้องซักล้าง ดังนั้น...อย่าไปใช้คำว่า Toilet เขาจะไม่เข้าใจ เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว แทนที่เราจะเลี้ยวซ้ายย้อนทางเดิม ปรากฏว่าเราวิ่งตรงไปทางด้านเมืองดิสกิต ซึ่งเมืองนี้เป็นเมืองมีชื่อแห่งหนึ่งในหุบเขานูบรา อันว่าหุบเขานูบรานั้นเป็นสถานที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของแคว้นลาดัก มีชื่อเสียงเลื่องลือในเรื่องของแอปเปิลและแอปปริค็อต ผลไม้เมืองหนาวทุกอย่างจะอยู่ในลักษณะที่ทั้งสด ใหม่ กรอบ อร่อย แต่ว่าพวกเราน่าจะมาผิดฤดู เพราะว่าช่วงนี้เห็นมีแต่ดอกเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:14 |
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
รถวิ่งไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า โดยที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์บ้าง ผ่านสถานที่สำคัญก็โดนบล็อกสัญญาณโทรศัพท์บ้าง เขย่ากันไปจนกระทั่งเหนื่อยใจเต็มทีว่าเมื่อไรจะถึงที่หมาย เพราะว่าในกำหนดการนั้น เราจะไปถึงที่หมาย คือโรงแรม The Grand Nubra ในเวลา ๑๑ โมงเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
แต่ว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่รถมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะบรรดาสิงห์มอเตอร์ไซค์ที่เข้าไปเที่ยวยังหุบเขานูบรากัน เมื่อวิ่งสวนมาก็ทำให้ต้องคอยระมัดระวัง เพราะว่าถนนแถวนี้เขาทำสำหรับรถวิ่งคันเดียวเท่านั้น ถ้าหากว่ามาสวนกันเมื่อไร ก็แปลว่าต้องลงข้างทางกันคนละล้อ แล้วบางทีกระจกมองข้างกระทบกันก็มี แต่ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยไปกันได้ ส่วนใหญ่บรรยากาศก็เป็นหุบเขาแห้งแล้งกรอบเกรียม บนยอดเขาก็จะเป็นยอดเขาหิมะตามปกติ ส่วนทางด้านล่างบางแห่งก็เป็นแม่น้ำ หรือว่าเป็นลำธาร แต่ว่าเป็นลำธารที่ค่อนข้างจะใส น้ำออกสีฟ้าเขียวสวยงามทีเดียว แต่ว่าพวกเราทั้งเหนื่อยทั้งหิวแล้ว เพราะว่าวิ่งไปจนเที่ยงครึ่ง มาถึงเมืองหลายแห่ง แต่ก็วิ่งเลยไปทุกที จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพเห็นป้ายว่าอีก ๙๗ กิโลเมตรจะถึงเมืองเลห์ ยังทำให้ตัวเองตกใจว่าเส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่กลับไปยังเลห์ได้อีกด้วย ก็แปลว่าในวันพรุ่งนี้เราไม่จำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปทางเดิม หากแต่ว่าวิ่งผ่าไปเลยก็ได้ รถยนต์ที่แล่นสวนมานั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นรถของนักท่องเที่ยว มีทั้งรถแวน ๕ ประตู แล้วก็รถตู้ ๑๐ ที่นั่งแบบคันของเรา ส่วนหนึ่งที่เป็นสิงห์มอเตอร์ไซค์ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ส่วนตัว หรือว่าเป็นรถที่เช่าหามาก็ไม่รู้ ? แต่บางทีเห็นวิ่งตามกันมาทีหนึ่งจำนวนมาก ๆ ดูแล้วอบอุ่นดีเหมือนกัน มีเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมา จะได้ช่วยเหลือกันได้ พวกเรามาถึงโรงแรม The Grand Nubra ในเวลา ๑๔.๒๐ น. ของทางประเทศอินเดีย กระผม/อาตมภาพและพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. จึงได้ฉันเพลในเวลาบ่าย ๒ ครึ่งของประเทศอินเดีย หรือ ๔ โมงเย็นของบ้านเรา แต่ว่าโรงแรม The Grand Nubra นี้ดีตรงที่ไวไฟแรงมาก จึงได้ตั้งหน้าตั้งตาส่งงานเสียที หายไปเป็นวันเป็นคืน ญาติโยมบ่นจนกระทั่งหูจะพังอยู่แล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:17 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เมื่อรีบ ๆ ร้อน ๆ กินจนอิ่มแล้ว ทุกคนก็ขนกระเป๋าไปเข้าห้องของตนเองแล้วมาขึ้นรถ เพื่อที่จะวิ่งต่อไปยังพื้นที่กึ่งทะเลทราย ซึ่งเป็นเป้าหมายที่เรามาในวันนี้ ก็คือไปขี่อูฐกัน ถ้าหากว่าบ้านเรามีพื้นที่ลักษณะนี้ คาดว่าคงมีคนเลี้ยงอูฐให้คนขี่เช่นกัน อูฐที่นี่กำลังผลัดขนฤดูหนาวออก ดังนั้น..จึงมีขนร่วงเป็นหย่อม ๆ แหว่งเป็นแถบ ๆ ดูแล้วไม่ค่อยจะสวยงามเท่าไร
กระผม/อาตมภาพเคยชินกับการขี่วัวขี่ควายมาตั้งแต่เด็ก เมื่อมาขี่ม้าขี่อูฐจึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เห็นอยู่ว่าญาติโยมคณะอื่น มีหลายคนที่เวลาอูฐยกตัวขึ้นแล้วก็หงายหลังตึงลงมาเลย หรือว่าเวลาอูฐคุกเข่าลงเพื่อที่จะให้พวกเราลงจากหลัง ก็มีการหน้าคะมำลงมา ถ้าลักษณะแบบนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก เพราะว่าอูฐนั้นตัวใหญ่กว่าม้าเสียอีก ถ้าตกลงจากหลังอูฐ คาดว่าความสูงก็ไม่ต่ำกว่า ๒ เมตร มีโอกาสที่จะบาดเจ็บได้ง่าย ๆ ในระหว่างที่พวกเราเดินตามกันไปเป็นกระบวน บรรดาอูฐก็ร้องเรียกหากัน โดยเฉพาะเจ้าตัวที่เดินตาม อาจจะคันที่ขนหน้าหนาวกำลังจะหลุด จึงเอาหัวมาสีกับต้นขาของกระผม/อาตมภาพอยู่บ่อย ๆ แต่ว่าในเมื่อพยายามจะช่วยดึงให้ก็เหนียวเหลือเกิน ดึงเท่าไรก็ไม่หลุด..! เมื่อพวกเราเดินไปจนกระทั่งถึงพุ่มไม้หนาม ซึ่งเป็นไม้หนามที่อูฐชอบกิน แล้วมีธงแดงปักอยู่ที่พุ่มไม้ ก็แปลว่าสุดทางแล้ว บรรดาเจ้าของอูฐก็จัดแถวให้ถ่ายรูปกัน เมื่อเสร็จเรียบร้อยพวกเราก็เดินกลับมาที่เดิม คืนอูฐให้แก่พวกเขา ค่าเช่าในการขี่อูฐนั้นค่อนข้างจะถูกมาก วันก่อนเช่าม้าที่เมืองโซนามาร์กตัวละ ๑,๑๐๐ รูปี แต่ปรากฏว่าวันนี้เช่าอูฐตัวละ ๓๐๐ รูปีเท่านั้น พวกเราเดินทางต่อไปยังวัดดิสกิต ซึ่งเป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดในหุบเขานูบรา ขึ้นไปกราบพระศรีอริยเมตไตรยองค์ใหญ่ สูงถึง ๑๐๘ ฟุต วัดดิสกิตนี้เกิดจากเจ้าเมืองดิสกิต ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเมืองอิสระปกครองตนเองอยู่ ทางเมืองเลห์ยกกองทัพมาตี เพื่อที่จะยึดเป็นข้าขอบขัณฑสีมา ปรากฏว่าบรรดาพระลามะนิกายเกลุกปะได้ช่วยเหลือทางเจ้าเมืองดิสกิตในการวางแผนรบ ทำให้กองทัพของเลห์ ต้องพ่ายแพ้ถอยกลับไป ทางด้านเจ้าเมืองซาบซึ้งใจมาก จึงได้สร้างวัดนี้ขึ้นมาถวาย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:19 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
พวกเราถ่ายรูปกันเสร็จสรรพเรียบร้อยแล้ว ปรากฏว่าอากาศวันนี้แปลก ๆ ก็คือ นอกจากลมแรงเป็นพิเศษถึงขนาดมีพายุทรายแล้ว ก็ยังมีฝนตกลงมาเปาะแปะอีกด้วย ทางด้านโชเฟอร์พาพวกเราขึ้นไปยังยอดเขา เพื่อที่จะไปชมวิหารต่าง ๆ แต่กระผม/อาตมภาพบอกว่า ไม่เอา..ไร้แรงบินแล้ว ขออนุญาตกลับโรงแรมเถอะ เพราะว่าโรงแรม The Grand Nubra นี้มีการเปิดไฟตามเวลา คือประมาณ ๕ โมงเย็น ถึง ๒ ทุ่มเท่านั้น หลังจากนั้นแล้วก็จะปิดหายไปเลย แบบเดียวกับทางโรงแรมพันกองสาหร่ายนั่นเอง ดังนั้น..มีอะไรก็ต้องรีบทำกันตอนนี้ โดยเฉพาะการอาบน้ำร้อน
สำหรับวันนี้อากาศที่นี่ประมาณ ๖ องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากว่าลมแรงมาก จึงรู้สึกหนาวมากกว่าลบ ๔ องศาเซลเซียสที่ทะเลสาบพันกองเสียอีก แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราเข้าสู่ที่พักก็เป็นอันว่าจบกันแค่นั้น ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาชำระสะสางตนเอง ต่างคนต่างก็เข้าสู่ที่พัก เหนื่อยกันมาหลายวัน นั่งรถกันวันหนึ่ง ๗ - ๘ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย พรุ่งนี้ยังต้องขึ้นไปยังช่องเขาที่สูงที่สุดในโลกอีกต่างหาก ความสูงอยู่ที่ ๕,๖๐๐ เมตร ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะมีใครอยู่ จะมีใครไปหรือไม่ ? แล้วขณะเดียวกันก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีสัญญาณคลื่นโทรศัพท์หรือเปล่า ? ญาติโยมทั้งหลายก็ถือว่าฝึกความอดทน ก็คือพวกเรามาทนลำบากกัน ว่าอยากจะฟังเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก็ไม่ได้ฟังตามเวลา อยากที่จะดูภาพอาจารย์เป็นเรียลไทม์ก็ไม่สามารถที่จะดูได้ เพราะว่ามีสัญญาณบ้างไม่มีบ้าง ก็ให้ทุกคนหัดทำใจกันเอาไว้ หลังจากนี้การปฏิบัติธรรมจะได้ก้าวหน้าขึ้นไป..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-05-2023 เมื่อ 22:21 เหตุผล: The |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|