#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพหมดเวลาไปกับการเยี่ยมเพื่อน ก็คือพระครูสุนทรกาญจนธรรม (สุดใจ ปิยวโจ) เจ้าอาวาสวัดองสิต เจ้าคณะตำบลนาสวนเขต ๑ ท่านเป็นเบาหวานแล้วก็โดนตัดขาซ้ายไป จากที่วัดท่าขนุนวิ่งไปวัดของท่าน ถ้าหากว่าเป็นถนนอย่างเดียว ก็ใช้เวลาประมาณ ๓ ชั่วโมงกว่า แต่ว่าต้องไปรอลงแพขนานยนต์อีกประมาณครึ่งชั่วโมงต่อรอบ รวม ๆ แล้วใช้เวลาเดินทางประมาณ ๘ ชั่วโมง เหมือนอย่างกับไปต่างประเทศเลย..! ยังบอกกับท่านว่า "ถ้าไม่รักกันจริงก็ไม่มาเยี่ยมหรอก"
ท่านเป็นคนมีเพื่อนมาก เพราะว่าสอบพระอุปัชฌาย์รุ่นเดียวกับกระผม/อาตมภาพไม่ผ่าน เว้นไปปีหนึ่งแล้วก็ไปสอบอีก ๑ รุ่น เหตุที่ท่านไม่ผ่านเพราะว่าพื้นเพเดิมท่านเป็นคนกะเหรี่ยง ไม่ใช่ว่าพูดไทยไม่ชัด แต่เวลาเจอพระผู้ใหญ่แล้วท่านจะประหม่า แล้วก็ลืมสิ่งที่จำได้ไปเสียหมด คราวนี้ในระดับเจ้าคณะจังหวัดไม่กล้าตัดสินใจ จึงส่งท่านไปหาเจ้าคณะภาค ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ พอถึงเจ้าคณะภาคไม่กล้าตัดสินใจ ส่งท่านไปหาเจ้าคณะใหญ่ ก็บรรลัยเลย..! จบกันแค่นั้น ท่านก็เลยกลายเป็นคนเพื่อนมาก เพราะว่าต้องอบรมถึง ๒ รุ่น พอกลับมาถึงวัด กระผม/อาตมภาพก็ต้องไปค้นวัตถุมงคลเพื่อเตรียมส่งให้กับทางผู้รับเหมาก่อสร้างพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุน จะได้จัดเตรียมในการทำตู้โชว์ คราวนี้ไปพบว่าวัตถุมงคลบางชิ้นหมดไปแล้ว อย่างเช่นว่าตะกรุดมหาโสฬส หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ซึ่งปัจจุบันนี้ ถือว่าเป็นตะกรุดอันดับหนึ่งของประเทศไทย เพราะว่าตะกรุดมหาโสฬสตามตำรับวัดสะพานสูง ต้องเสกด้วยโองการมหาทมื่น ๑๐,๐๐๐ จบ..! เราลองคิดดูว่าเสกในช่วงเข้าพรรษา แล้วก็ไปมอบให้กับผู้ที่มาขอตอนออกพรรษา ตีเสียว่า ๙๐ วัน ต้องเสกวันหนึ่งกี่ร้อยจบ ใครจะศึกษาตำรานี้ให้บอกนะ เดี๋ยวกระผม/อาตมภาพจะสอนให้..! แต่คราวนี้สายหลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง สืบต่อมาถึงหลวงปู่กลิ่น ท่านอาจารย์แปลก แล้วก็หลวงพ่อทองสุข จนกระทั่งถึงหลวงปู่วาส ก็ยังคงรักษารูปแบบเดิม ๆ เอาไว้ ติดตลาดไปแล้วก็ตั้งแต่หลวงปู่เอี่ยม หลวงปู่กลิ่น ท่านอาจารย์แปลก ลงมาถึงหลวงพ่อทองสุข ส่วนหลวงปู่วาสท่านเพิ่งจะมรณภาพไม่นาน ราคาก็เลยยังไม่พุ่งทะยานฟ้าเหมือนกับรุ่นของครูบาอาจารย์ ส่วนที่คิดไม่ถึงก็คือท่านอาจารย์แปลก ท่านเป็นฆราวาส แต่ทำวัตถุมงคลได้ขลังพอ ๆ กับพระเลย ฆราวาสสมัยก่อนส่วนใหญ่แล้วเคยบวชพระอยู่ ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านอาจารย์เฮง ไพร์วัลย์ แม้กระทั่งท่านอาจารย์แปลก ร้อยบางก็เช่นกัน พอถึงเวลาแล้วก็อยู่ในลักษณะว่า "ของขึ้น" ท่านทำอะไรแปลก ๆ แล้วมีคนไปฟ้องร้องว่าท่านอวดอุตริมนุสสธรรม ท่านก็เลยตัดสินใจสึกไปเป็นฆราวาส แต่ยังทำตัวเหมือนกับพระ ก็คือส่วนใหญ่ลอยเรืออยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย เรือนชานบ้านช่องไม่เข้า ก็ต้องบอกว่าท่านรักพระศาสนามากกว่าตัวเอง ก็เลยทำในลักษณะอย่างนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2023 เมื่อ 03:03 |
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
อย่างท่านอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ถึงเวลาของขึ้น อยากแสดงฤทธิ์ ก็เดินขึ้นต้นมะพร้าวหน้าตาเฉย เดินเหมือนกับมีบันไดขึ้นไป นั่นก็คือปฐวีกสิณธรรมดา ๆ เพียงแต่ว่าคนที่ไม่รู้ก็จะรู้สึกว่ามหัศจรรย์ ของท่านอาจารย์แปลกนี่ถึงขนาดเข้าไปในวังของเสด็จในกรมหลวงชุมพร ไปแอบกินเครื่องเสวย เพราะอยากรู้ว่าเสด็จในกรมฯ ท่านเก่งแค่ไหน ต้องบอกว่าถ้าไม่ตีกันก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน นั่นก็แค่ใช้นีลกสิณกำบังตัวเองเข้าไป พอเฉลยขึ้นมาก็แทบจะไม่มีอะไรเลย แต่พอพวกเราไปเห็นเข้าก็คิดว่าเป็นอัศจรรย์
ถ้าอยากฟังเรื่องพวกนี้ โน่นเลย..ไปอ่านวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน โดยเฉพาะตอนที่ขุนแผนกับพลายงามลองฤทธิ์กันหน้าพระที่นั่งของสมเด็จพระพันวษา แล้วก็การทดสอบพวกนักโทษ ๓๕ คนที่ติดคุกอยู่ พวกเราอาจจะสงสัยว่าทำไมเก่งขนาดนั้นแล้วยังติดคุก ครูบาอาจารย์ท่านทราบดีว่าไอ้พวกตัวแสบมีเยอะ ก็เลยต้องกำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้ว่า "ห้ามหนีอาญาแผ่นดิน" ถ้าทำผิดต้องยอมรับโทษ ขุนแผนตอนกลางวันนอนในคุก กลางคืนก็นอนบ้าน ใครจะไปขังพ่อเจ้าประคุณได้ ? แบบเดียวกับที่ท่านอาจารย์ฟ้อนเดินเข้าคุก ตำรวจลั่นกุญแจปั๊บ แกก็บอก "หมู่..กุญแจไม่ได้ล็อค" หันกลับมา อ้าว..ไม่ได้ล็อคจริง ๆ ก็ล็อคกลับเข้าไป แกบอก "หมู่..กุญแจไม่ได้ล็อค" หันกลับมาหลุดอีกแล้ว ท้ายสุดตำรวจต้องยกมือไหว้นักโทษ "ท่านอาจารย์..ขอเถอะครับ เดี๋ยวผมจะได้ติดคุกแทน..!" แกถึงได้เลิกเล่น ในช่วงนี้เอาพวกมีด พวกดาบ พวกอะไรไปให้ไอ้ตัวเล็กไปลงกระทู้ เลยนึกขึ้นมาได้ว่าโบราณเขามีการวัดชะตามีด ชะตาปืน ชะตาดาบอะไรพวกนั้นอยู่ เป็นวิธีการที่เขาดูว่า อาวุธชิ้นนั้นเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่เจ้าของ อย่าลืมว่าโบราณของเรา คำว่า ปืน ไม่ใช่อาวุธปืนอย่างปัจจุบัน ปืนของโบราณอยู่ในลักษณะคล้าย ๆ กับหน้าไม้ "ปืน ผา หน้าไม้" ถ้า "ผา" ก็คือหนังสติ๊กรูปปืนนั่นแหละ เพราะว่าใช้ยางดีดลูกออกไป แต่ก็อยู่ในลักษณะรางยาว ๆ คล้าย ๆ กับปืนสมัยนี้ ตอนหลังพวกเราใช้คำว่าปืนกับอาวุธเพลิง อย่างพวกปืนคาบศิลา ปืนแก๊ป ไล่ขึ้นมาจนถึงปืนในปัจจุบันนี้ ก็เลยลืมไปว่า ปืนของคนโบราณนั้นไม่ใช่ปืนของคนในปัจจุบัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2023 เมื่อ 03:07 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ปืนของคนโบราณเขาจะวัดขนาดลำกล้อง ใช้หัวแม่มือทาบลงไปในแนวตั้ง แล้วก็ไล่ไปเรื่อยว่าปืนกระบอกนั้นดีหรือไม่ดี มีตั้งแต่ "ตูมตายเสี้ยง เขียงหน้าก่อง ขน่องยานดาย ไปตายไพรอื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมือง เก็บผักเหลืองใส่ซ้า ง้างี้แบกคืนดาย" น่าจะเป็นตำราภาคเหนือ
ตูมตายเสี้ยง ก็คือยิงเมื่อไรก็ตายเรียบ เขียงหน้าก่อง ถึงขนาดที่เรียกว่าสับเนื้อจนกระทั่งเขียงแหว่ง กร่อนไปเลย ขน่องยานดาย นี่ไม่ดีแน่ เดินจนน่องยานยังไม่เจออะไรเลย ปืนประเภทนี้ต้องเอาไปทำฟืน..! ไปตายไพรอื่น ยิงถูกก็ไม่ได้กิน หนีไปที่อื่น ไปตายที่อื่น แห่เจ้าหมื่นเข้าเมือง อะไรจะได้มากมายขนาดนั้น ทั้งแบกทั้งหามกันมา เก็บผักเหลืองใส่ซ้า ก็พอกัน เข้าไปล่าสัตว์ ๓ วัน ๔ วันกลับมาเก็บได้แต่ผัก ตะกวดสักตัวยังไม่ได้เลย ง้างี้แบกคืนดาย อันนี้ง้างนกปืนไปตั้งแต่บ้าน แบกเดินป่าไปจนเสบียงหมด กลับมายังไม่ได้ยิงอะไรเลย แต่คราวนี้แปลกตรงที่ว่าวัดด้วยนิ้วโป้งเหมือนกัน แต่พอมาเป็นพวกมีด พวกดาบ เขาไม่ได้วัดแนวตั้ง เขาวัดในแนวขวาง เวลาวัดดาบก็ "ร่มโพธิ์ ร่มไทร ไกวแขนไปก่อนท้าว น้าวของท่านมาเรือน ง้าวคมเบือนฟันเจ้า ง้าวไม่เข้าฟันเมีย ฟันเมียเสียลูกแท้ง ก้อนคำแห้งใส่ถุง" ร่มโพธิ์ - ร่มไทร ใครใช้ดาบเล่มนั้น ส่วนใหญ่ก็ต้องเป็นผู้นำ เป็นที่พึ่งของคนอื่นเขา ไกวแขนไปก่อนท้าว พวกนี้จะต้องอาสาทำงาน ถึงจะได้ดี น้าวของท่านมาเรือน อันนี้ประเภทไปที่ไหนก็ได้แต่ข้าวของเงินทองมา ง้าวคมเบือนฟันเจ้า อันนี้ไม่ดี มักกลับมาทำร้ายตัวเอง ง้าวไม่เข้าฟันเมีย อันนี้ยิ่งหนักใหญ่เลย นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ลูกเมียยังเดือดร้อนถึงตาย ฟันเมียเสียลูกแท้ง อันนี้ก็ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่ ก็คือไม่ใช่แค่ทำร้ายครอบครัวตัวเอง มีลูกเต้ายังแท้งหมด อาจจะไปฆ่าคนไว้มาก แล้วผีหายโหงอาฆาตหรืออย่างไรก็ไม่รู้..!? ก้อนคำแห้งใส่ถุง ยังพอไหว อย่างน้อยก็พอมีเงินมีทองอยู่บ้าง วัดขวางไล่ไป ทีละนิ้วหัวแม่มือจนถึงปลายดาบ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2023 เมื่อ 03:12 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
มีดก็วัดในลักษณะเดียวกัน แต่มีดน่าจะเป็นของภาคกลาง เพราะว่ามี "ศรีวิชัย ภัยนิรันดร์ สุพรรณลาภ ปราบนคร จรประสิทธิ์ ฤทธิเดช วิเศษสมบัติ พลัดบ้านเมือง เลื่องลือยศ"
ศรีวิชัย ไปไหนก็ชนะ ภัยนิรันดร์ นี่ไม่ไหวหรอก หาแต่เรื่องเดือดร้อนมาให้ อาจจะถึงตายด้วย..! สุพรรณลาภ ก็ได้ลาภผลเงินทอง ปราบนคร ไปตีบ้านตีเมืองเขาก็ชนะ ได้ข้าขอบขัณฑสีมา จรประสิทธิ์ อันนี้ต้องขยัน อาสางานหรือเดินทางถึงจะประสบความสำเร็จ ฤทธิเดช ก็คงจะประมาณดาบฟ้าฟื้นของขุนแผน มีฤทธิ์มีอำนาจมากกว่าคนอื่นเขา วิเศษสมบัติ ลักษณะเดียวกัน คล้ายกับแก้วสารพัดนึก อยากได้อะไรก็ได้อย่างนั้น พลัดบ้านเมือง นี่รีบ ๆ ให้คนอื่นเขาไปเถอะ หรือไม่ก็เอาตีใหม่ เป็นคราดเป็นไถอะไรแทน เลื่องลือยศ ชนะศึกกลับมาได้ยศได้ตำแหน่ง แต่คราวนี้เท่าที่กระผม/อาตมภาพวัดดูก็ไม่ค่อยเกี่ยง ถ้าไม่ดีก็ทำให้ดีก็หมดเรื่อง สั้นเกินไปก็ดึงให้ยาวหน่อย ยาวเกินไปก็กระทุ้งให้สั้นหน่อย เคยทำให้ดูทีหนึ่ง ตอนนั้นคุณติ๊ก (ถาวภักดิ์ ตียาภรณ์) เห็นต่อหน้าต่อตา เลยขอบูชามีดเล่มนั้นไป พอดีว่าวัดแล้วไปลงที่ไม่ดี ยาวเกินไปนิดหนึ่ง ก็เลยจับดึงให้เท่ากับที่ดีพอดี ๆ ถ้าใครทำได้อย่างนี้ได้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปสนใจหรอกว่าวัดแล้วจะลงอะไร..!? แต่ว่าบางสิ่งบางอย่างเหมือนอย่างกับเป็นภูมิปัญญาโบราณ ถ้าไม่ลำบากมากนักจะถือเอาไว้หน่อยก็ดี แต่ถ้าหากว่าลำบากมากก็อะไรก็ได้ ต่อให้พาความซวยมาให้ แต่ตอน "หน้าศึกหน้าเสือ" อย่างไรมีอาวุธก็ดีกว่าไม่มี..! ส่วนใหญ่สมัยก่อนมักจะทำอาวุธส่วนตัวกัน ประมาณว่าเป็นอาวุธคู่ชีวิต ล่าสุดไม่นานที่ลงไปเป็นดาบน้ำพี้ เล่มนั้นน่าเสียดายมาก คาดว่าเป็นดาบยศของเจ้านายระดับพระยา หรือเจ้าพระยาเลย โดยเฉพาะเป็นเหล็กน้ำพี้อีกด้วย พวกเราอย่าไปคิดว่าเหล็กน้ำพี้จะต้องหนัก เหล็กน้ำพี้จริง ๆ เป็นโลหะเบา เพียงแต่ว่ามีความคมมากเท่านั้น บางทีมีคนสงสัยทำไมน้ำพี้เบา ? เขาเอามาทำดาบยศ ดาบยศส่วนใหญ่ก็คือใช้สำหรับแสดงออกว่า ตนเองได้รับพระราชทานยศถาบรรดาศักดิ์ในระดับไหน ? ถ้าไม่ถึงขั้นนี่ห้ามใช้ด้วยนะ ถึงขั้นขึ้นไปสูงกว่านั้นก็ยังมีอีก จะต้องเป็นนาก เป็นเงิน เป็นทองหรืออะไรประมาณนั้น พวกเรารุ่นหลัง ๆ ไม่ได้ศึกษาไว้ เรื่องพวกนี้ก็จะลบเลือนไปตามกาลตามเวลา ของบางอย่างมีอยู่ก็ต้องแล้วแต่บุญคนอีกด้วย พอถึงเวลาเอาลงกระทู้ไป บางทีราคาแพงมาก ไม่น่าจะมีคนบูชา ก็แผล็บเดียวหายเกลี้ยง จนบางทีกระผม/อาตมภาพก็รู้สึกเครียดเหมือนกัน..! สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-03-2023 เมื่อ 03:17 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|