#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๖
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 36 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ เป็นวันพระแรม ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ซึ่งตรงกับประเพณีตรุษไทยของเรา ท่านพระครูขันติวรานุสิฐ (สามารถ ขนฺติวโร) เจ้าอาวาสวัดน้อย (หลวงพ่อเนียม) ที่บางปลาม้า เจ้าคณะตำบลโคกคราม เขต ๒ ท่านเป็น FC เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน บอกว่า "หลวงพ่อช่วยพูดเรื่องตรุษไทยให้หน่อย"
คำว่า ตรุษ มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า สิ้นไป หรือว่า ตัดขาด เพราะว่าเป็นวันสิ้นปีนักษัตร ก็คือเราจะเปลี่ยนปีนักษัตรกันในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ก็แปลว่าท่านใดก็ตามที่เกิดภายในวันแรม ๑๕ ค่ำเดือน ๔ ยังต้องใช้ปีนักษัตรขาลแต่เดิมไปก่อน จนกระทั่งพรุ่งนี้ถึงจะเป็นปีเถาะ ประเพณีตรุษไทยของเรามีหลักฐานชัดเจนมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย คู่มากับประเพณีสงกรานต์ แต่คนเขาสงสัยกันว่า "แล้วประเพณีตรุษไทยมางอกอยู่ในประเทศไทยได้อย่างไร ?" เพราะว่าชื่อก็เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งถ้ากระผม/อาตมภาพพูดไป ก็เป็น "ประวัติศาสตร์นอกตำรา" ก็คือประเพณีตรุษไทยและสงกรานต์ มาจากสมเด็จพระสังฆราชสมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งถ้าเราดูในศิลาจารึกจะมีระบุไว้ว่า "ปู่ครูผู้หลวกกว่าครูทั้งหลาย ทุกตนลุกมาแต่เมืองนครศรีธรรมราช" คำว่า หลวก ในที่นี้คือฉลาด คราวนี้ทำไมปู่ครูหรือสมเด็จพระสังฆราชต้องมาจากนครศรีธรรมราช ? ก็เพราะว่าตอนนั้นนครศรีธรรมราชก็คืออาณาจักรศรีวิชัย อาณาจักรศรีวิชัยในช่วงนั้นปกครองโดยราชวงศ์ไศเลนทร์ ระวังให้ดีนะครับ เนื้อหาที่กระผม/อาตมภาพพูดอยู่นี่มีทั้งในประวัติศาสตร์ มีทั้งผีบอก แยกให้ออกด้วย ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินคำว่าท้าวจตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นกษัตริย์ของราชวงศ์ไศเลนทร์ ท่านแผ่แสนยานุภาพคลุมไปตลอดมะละกายังไม่พอ ยังข้ามอ่าวเบงกอล มหาสมุทรอินเดีย ไปยึดอินเดียและลังกาเอาไว้ภายใต้การปกครองด้วย แล้วพระเจ้าจันทรภาณุ หรือว่าท้าวจตุคาม หรือภาษาโบราณเรียกว่าท้าวขัตตุคาม ก็อยู่ปกครองทางด้านอินเดีย - ลังกา ปล่อยให้น้องชายคือท้าวรามเทพ ปกครองนครศรีธรรมราชที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยแทน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2023 เมื่อ 03:01 |
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถ้าจะกล่าวไปแล้ว สมัยนั้นก็ยังไม่เรียกว่าคนไทย แต่ในเมื่อมีบุคคลเชื้อสายเดียวกันไปเป็นกษัตริย์อยู่ทางอินเดียและลังกา พระภิกษุสงฆ์สามเณรเมืองไทย ที่อยากจะไปศึกษาพระธรรมคำสอนจากดินแดนพุทธภูมิ ก็ลงเรือข้ามทะเลไปขึ้นที่ศรีลังกาบ้าง อินเดียบ้าง
ปรากฏว่าช่วงนั้นบรรดาพระมหาเถระ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายมหาวิหาร หรือว่าฝ่ายอภัยคีรีวิหารของทางศรีลังกานั้นโด่งดังมาก แม้กระทั่งพระพุทธโฆษาจารย์จากอินเดีย ยังต้องไปขอปริวรรตพระไตรปิฎกจากภาษาสิงหลมาเป็นภาษาบาลีที่ศรีลังกา จนกระทั่งเป็นต้นกำเนิดของตำราวิสุทธิมรรคขึ้นมา เมื่อพระชาวศรีวิชัยเรียนจบพระไตรปิฎก ซึ่งสมัยนั้นส่วนใหญ่ก็คือท่องจำได้แม่นยำ มั่นใจว่าถูกต้องแน่นอน เพราะมาจากดินแดนพุทธภูมิเอง ก็เดินทางกลับมายังอาณาจักรศรีวิชัย หรือว่าเมืองไทยในปัจจุบัน โดยมาขึ้นเรือที่ท่าเรือเมืองศรีธรรมาโศกราช หรือนครศรีธรรมราช เมื่อข่าวเลื่องลือไปไกลว่าพระมหาเถระท่านจบด็อกเตอร์..ใช่หรือเปล่า ? จบพระไตรปิฎกมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะมาจากแดนพุทธภูมิ ชาวบ้านจึงให้ความเคารพนับถือ อุปถัมภ์ค้ำชู ชื่อเสียงก็โด่งดัง จนกระทั่งทางอาณาจักรสุโขทัยที่นับถือศาสนาพุทธเช่นกัน ต้องส่งทูตมาขออาราธนาท่านที่พร้อมจะเผยแผ่พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ดั้งเดิม ที่ศึกษามาจนช่ำชองแล้ว ขึ้นไปที่อาณาจักรสุโขทัย เมื่อไปถึงก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นปู่ครู หรือว่าพระสังฆราช คราวนี้ด้วยความที่ท่านศึกษาเล่าเรียนที่ศรีลังกามา ก็นำเอาขนบธรรมเนียมประเพณีทางด้านนั้น มาแนะนำให้กับทางราชวงศ์และข้าราชบริพารฝ่ายปกครองบ้าง เมื่อพระมหากษัตริย์และบรรดาข้าราชการผู้ใหญ่เห็นด้วย ก็ได้กำหนดให้มีการจัดงานในลักษณะคล้ายคลึงกันตามที่บอก จนกลายเป็นวันตรุษไทยและวันสงกรานต์ขึ้นมา แยกออกหรือยังว่าตอนไหนเป็นประวัติศาสตร์ ตอนไหนเป็นผีบอก ? อย่าไปใส่ใจมาก..นึกว่าฟังเรื่องสนุก ๆ ไปก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2023 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ตอนที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ วันตรุษไทยเขาทำบุญกัน ๔ วัน ก็คือวันแรม ๑๓ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ และวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ พอสงกรานต์ก็ทำบุญ ๕ วัน ซึ่งเรื่องนี้สมัยที่กระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่วัดท่าซุง ท่านมัคคนายกสง่า สาโรจน์ เป็นผู้รู้ดีในพิธีกรรมต่าง ๆ จะขอทำบุญตรุษไทย ๔ วัน สงกรานต์ ๕ วัน หลวงพ่อฤๅษีฯ บอกว่า "โคตรแม่มึงตาหง่าไปทำเองก็แล้วกัน พระมีงานอื่นต้องทำ"
ก็คือเรื่องนี้เป็นความเพี้ยนจากสิ่งที่เขาพูดสั้น ๆ เพื่อให้จำง่ายว่า ตรุษ ๔ สงกรานต์ ๕ สารท ๑๐ ก็คือตรุษจะเป็นวันสิ้นเดือน ๔ สงกรานต์เป็นวันกลางเดือน ๕ และสารทเป็นวันสิ้นเดือน ๑๐ คนที่ไม่เข้าใจความหมายตรงนี้ ก็เลยไปทำบุญ ๔ วัน ๕ วัน ยังโชคดีที่วันสารทไม่ทำบุญ ๑๐ วัน ไม่อย่างนั้นพระเจ้าไม่ต้องทำมาหากินอะไรหรอก รอสวดมนต์รับภัตตาหารจากโยมอย่างเดียวเท่านั้น คราวนี้ค่านิยมของวันตรุษไทยนั้นจะต้องมีขนม ๒ อย่างเป็นหลัก ก็คือข้าวเหนียวแดง กับกาละแม ซึ่งถ้าหากว่าบ้านไหนมีลูกสาวสวยก็เหนื่อยน้อยหน่อย เพราะว่าบรรดาหนุ่ม ๆ แห่กันมาทั้งหมู่บ้านหรือทั้งตำบล..! มาช่วยงาน ไม่ว่าจะขูดมะพร้าว คั้นกะทิ ผ่าฟืน กวนข้าวเหนียวแดง กวนกาละแม ถ้าอยากรู้ว่ากาละแมกวนแล้วลำบากยากเข็ญขนาดไหน ก็ต้องกวนกันจนกะทิแห้ง กระทะใบบัวใหญ่ ๆ กะทิเกือบเต็มกระทะ กวนจนแห้ง เล่นกันข้ามวันข้ามคืน แต่ก็เป็นโอกาสเดียวที่หนุ่มสาวสมัยนั้นจะใกล้ชิดกัน เพราะว่าพ่อแม่จะไม่ห้าม ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกันอีกที ก็ต้องตอนไปวัดโน่นเลย..! สมัยเด็ก ๆ กระผม/อาตมภาพเองโดนพี่สาวเอาไปเป็น "ไม้กันหมา" อยู่เสมอ ก็คือถ้าผู้หญิงออกจากบ้านไป ก็ต้องมีพี่น้องที่เป็นผู้ชายไปด้วย ผู้หญิงสมัยก่อนเขาวางตัวยิ่งกว่าพระสมัยนี้อีก..! ก็คือต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดความเสียหายต่อชื่อเสียงทุกอย่าง เพราะว่าคนสมัยนั้นรักชื่อเสียงวงศ์ตระกูลมาก ทำอะไรจะไม่คิดถึงเฉพาะความต้องการส่วนตัว แต่จะคิดถึงเรื่องของชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเป็นใหญ่ พี่สาวของกระผม/อาตมภาพมากับเพื่อนผู้หญิง มาเที่ยววัดโกสินารายณ์ที่ท่ามะกา กลับบ้านไปโดนพ่อตีด้วยไม้รวกทั้งท่อน..! ไม่ใช่ไม้เรียว ฟาดเป็นตีวัวตีควายเลย ทั้ง ๆ ที่ไปกับเพื่อนผู้หญิงแท้ ๆ เพราะฉะนั้น..ในเรื่องพวกนี้ ต้องบอกว่าโบราณเขายังถือเคร่งครัดกันอยู่ ที่ว่าถ้าหากว่าผู้ชายไม่บวช ไปขอเมียบ้านไหนก็ไม่มีใครเขาให้ เพราะเขาถือว่าเป็น "คนดิบ" ยังไม่ผ่านกันการขัดเกลาทางพระพุทธศาสนามาก่อน ซึ่งสมัยนี้ไม่ค่อยจะถือสากันแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2023 เมื่อ 03:08 |
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
คราวนี้ในวันตรุษไทยมีค่านิยมในการทำบุญ พระท่านจะสวดบทรัตนสูตร ทำน้ำมนต์พรมให้ญาติโยมทั้งหมู่บ้านเลย ในลักษณะเดียวกับการไล่โรคที่เมืองเวสาลี ซึ่งมีโรคระบาดจนเป็นต้นกำเนิดของรัตนสูตร บางวัดก็มีการสวดภาณยักษ์ บท "วิปัสสิสสะ นะมัตถุฯ" นั่นแหละ เขาเรียกว่าเป็นการไล่เคราะห์ไล่โศกให้ บางทีก็มีการจุดพลุ จุดตะไล เสียงตึงตังโครมครามเพื่อไล่ผีอีกด้วย..!
เรื่องพวกนี้ไล่ได้จริง ๆ นะครับ พวกท่านทั้งหลายอาจจะคิดไม่ถึง ก็คือบรรดาผีต่าง ๆ เวลาที่เขาจะปรากฏตัวให้พวกเราเห็น เขาต้องใช้กำลังรวบรวมเอาธาตุ ๔ ในบริเวณนั้น ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม รวมกันเข้ามาเป็นกายหยาบเพื่อให้พวกเราเห็น จะได้ติดต่อกับพวกเราได้ แต่ท่านที่มีกำลังน้อย บางทีก็รวบรวมเป็นตัวไม่ได้ ได้ยินแต่เสียงบ้าง เห็นแค่เงาแวบ ๆ บ้าง หรือได้แค่กลิ่นบ้าง ส่วนท่านที่รวบรวมเป็นตัวได้ก็ยังเวรกรรมอีก พอมีประทัด มีปืน มีพลุ มีอะไรเกิดขึ้นมา ไอ้แรงอัดก็ไปดันเอาธาตุ ๔ กระจัดกระจายหมด..! รวมเป็นตัวไม่ได้ ก็เลยทำให้ผีหลอกเราไม่ได้ เพราะว่าหลอกให้ตายเราก็ไม่เห็น ดังนั้น..เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว โบราณเขารู้ว่าทำอย่างไรถึงจะพ้นจากสิ่งที่กลัวเหล่านี้ได้ ก็มีการจุดประทัดแบบคนจีนบ้าง จุดพลุ จุดตะไลแบบคนไทยบ้าง แม้กระทั่งการเปิดไฟ การกระพริบของไฟฟ้า ๕๐ ครั้งต่อวินาที เราอาจจะเห็นว่านิ่ง ๆ แต่ความจริงแล้วมีการกะพริบแผล็บ ๆ ๆ ๆ กระแทกอยู่ตลอดเวลา พวกผีที่กำลังน้อย ๆ กำลังจะรวมอนุภาคต่าง ๆ เข้ามาให้เป็นกายหยาบ โดนกระแทกเข้าก็หลุด โดนกระแทกก็หลุด ก็ไม่ต้องเป็นตัวเป็นตนกันสักทีหนึ่ง..! ดังนั้น..ใครที่กลัวผีเปิดไฟนอนนั้นทำถูกแล้ว แต่ว่าถ้าไปเจอผีระดับด็อกเตอร์ เที่ยง ๆ ก็มาได้..! ก็แปลว่ากันได้เฉพาะพวกผีระดับต่ำ ๆ เท่านั้น ถ้าใครเปิดไฟนอนแล้วผียังมานี่ ต้องอาศัยพระเป็นที่พึ่งอย่างเดียวแล้ว ไม่มีใครช่วยคุณได้หรอก ถ้าหากว่าเปิดไฟแล้วยังมาได้ ส่วนใหญ่ก็ผีระดับสูงมากแล้วทั้งนั้น ดังนั้น..ในเรื่องของวันตรุษไทยก็คือวันสิ้นปีนักษัตร ก็จะสิ้นปีขาลในวันนี้ แล้วพอรุ่งเช้าได้อรุณเมื่อไรถึงจะเป็นปีเถาะ ถ้าใครเกิดคืนนี้ก่อนได้อรุณยังเป็นปีเสืออยู่ เกิดพรุ่งนี้หลังจากพระออกบิณฑบาตแล้ว ถึงจะเป็นปีเถาะได้ ในเรื่องของวันตรุษไทย ปัจจุบันนี้ความสำคัญน้อยลงไปมาก อย่างทางด้านทองผาภูมิของเรานี่ เมื่อเช้าบิณฑบาตแทบจะไม่เจอข้าวเหนียวแดง - กาละแมอะไรเลย ส่วนใหญ่ที่มาคือขนมเค้ก ขนมปัง ดูแล้ว "น้ำตาจิไหล" เหมือนกัน...! ก็ขอจบการบรรยายประวัติศาสตร์ผีบอกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ เรื่องวันตรุษไทยแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอังคารที่ ๒๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 22-03-2023 เมื่อ 03:13 |
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|