#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 39 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ ภารกิจสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือไปเป็นเจ้าภาพงานเทศน์มหาชาติเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี
ความจริงเรื่องของการเทศน์มหาชาตินั้น ต้องบอกว่าตั้งแต่บรรพบุรุษของเรามาก็มีความนิยมเป็นอย่างสูงยิ่ง ชาวบ้านเขาเรียกง่าย ๆ ว่า เทศน์คาถาพัน ก็คือทั้ง ๑๓ กัณฑ์จะขึ้นต้นด้วยพระคาถาที่เป็นเหมือนกับหัวเรื่อง รวมแล้ว ๑,๐๐๐ พระคาถาพอดี ส่วนที่ยาวที่สุดก็น่าจะเป็นทานกัณฑ์ ๒๐๙ พระคาถา เทศน์มหาชาติประกอบไปด้วย ๑๓ กัณฑ์ เริ่มตั้งแต่ทศพร หิมพานต์ ทานกัณฑ์ วนประเวศน์ ชูชก จุลพน มหาพน กุมาร มัทรี สักบรรพ มหาราช ฉกษัตริย์ แล้วก็นครกัณฑ์ ความจริงของว่า ฉกษัตริย์ ท่านให้อ่านว่า ฉะ-กะ-สัด ฉะ คือ ๖ กษัตริย์ทั้ง ๖ รวมกันอยู่ แต่ปรากฏว่าถ้าใช้คำว่าฉะ สมัยโน้นเขาถือว่าหยาบคาย หลวงปู่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พฺรหฺมรํสี) วัดระฆัง ท่านเลยบอกว่า ให้อ่านว่า "ฉ้อ" แล้วก็แล้วกัน ในส่วนของการเทศน์มหาชาตินั้น กระผม/อาตมภาพนั้นก็เคยฝึกอยู่ระยะหนึ่ง แต่ปรากฏว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านเตือนว่า การขับลำด้วยเสียงอันยาวต้องอาบัติ ลักษณะเดียวกับที่พระเณรของเราตัดหญ้า ตัดแต่งต้นไม้ หรือว่าขุดพื้นดิน ซึ่งล้วนแล้วแต่ต้องอาบัติทั้งนั้น แต่ว่าสิ่งที่ทำไปนั้น ก็เพื่อความสะอาดเรียบร้อยของวัดวาอาราม คนเห็นแล้วเกิดศรัทธา ไม่ใช่ว่าพระเณรอาศัยอยู่กินอย่างเดียว ปล่อยให้วัดรกจนเลี้ยงเสือได้..! ก็แปลว่าในส่วนของบุญที่ได้ กับส่วนของบาปที่ละเมิดพระวินัยนั้น พอที่จะหักกลบลบล้างแล้วมีส่วนดีมากกว่า ถ้าเป็นนิสัยของพ่อค้าที่ชอบเสี่ยงก็คือ "ลงทุนได้" แต่ในเมื่อครูบาอาจารย์ท่านเตือนว่าจะต้องอาบัติ กระผม/อาตมภาพก็ต้องเลิกไปโดยปริยาย เพราะว่าถ้าหากว่าไปอ่านดูในวินัยมุขจะเห็นชัด พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า การขับลำด้วยเสียงอันยาวนั้นก่อให้เกิดโทษหลายประการ อันดับแรก ตนเองหลงเสียงตนเอง ก็คือคิดว่าตัวเองเสียงไพเราะ บุคคลอื่นฟังแล้วหลงยึดติดในเสียงนั้น ก็แปลว่าถ้าตั้งใจจะเอามรรคเอาผล เอาความหลุดพ้นกันจริง ๆ ก็ไม่ควรที่จะไปยุ่งด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2022 เมื่อ 01:40 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
หลังจากนั้น เมื่อกลับมาถึงวัดก็ได้ทำการบรรพชาให้กับสามเณรก่อน เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้เหลืองานให้น้อยที่สุด เนื่องจากว่ามีงานอบรมพระนวกะของคณะสงฆ์อำเภอบ่อพลอยรออยู่ กระผม/อาตมภาพจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำเวลาในการอุปสมบทหมู่เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล ในโอกาสเจริญพระชนมายุ ๙๐ พรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
คาดว่าการอุปสมบทพวกเราทั้งหมด น่าจะใช้เวลาไม่เกิน ๒ ชั่วโมงครึ่ง คงจะวิ่งไปทันงานเขาในช่วงเพล เพียงแต่ว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ก็จะเป็นผู้บรรยายในช่วงบ่าย ถ้าหากว่าพระเถระที่อาวุโสมากกว่ามีจำนวนมาก ก็อาจจะยาวไปถึงตอนเย็นเลย น่าจะกลับมาช้าอยู่สักหน่อย ในส่วนนี้เป็นเรื่องของงาน ส่วนเรื่อง "ดราม่า" ในวงการสงฆ์ระยะนี้ ท่านทั้งหลายบางคนก็อาจจะได้ข่าวแล้ว ก็คือเรื่องที่ครูบาบุญชุ่ม ญาณสํวโร ออกจากกรรมฐาน ๓ ปี ๓ เดือน ๓ วัน แล้วมีอาการแปลก ๆ ซึ่งถ้าหากว่าท่านทั้งหลายสังเกต ก็จะเห็นว่าท่านไม่ค่อยจะปกติ ตรงนี้กระผม/อาตมภาพมั่นใจ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าเกิดจากอาการมาลาเรียขึ้นสมองของท่านกำเริบ เหตุที่มั่นใจขนาดนั้นก็เพราะว่าเชื้อมาลาเรียตัวที่ท่านได้รับกับตัวที่กระผม/อาตมภาพได้รับก็คือตัวเดียวกัน ก็แปลว่าเป็นเชื้อดื้อยาเหมือนกัน ถ้าหากว่าพักผ่อนไม่พอเมื่อไรก็อาละวาดเมื่อนั้น แล้วจะทั้งขึ้นสมองและลงกระเพาะสลับผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป สมัยที่ท่านเป็นใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพก็เคยบุกไปหาที่โรงพยาบาลเพื่อนำยาไปถวายท่าน ต้องฝ่าด่านลูกศิษย์เป็นจำนวนมาก เพราะเขากลัวว่ากระผม/อาตมภาพจะไปรบกวนครูบาอาจารย์ของเขา คราวนี้ในเมื่อท่านเป็นมาลาเรีย อาการที่แสดงออกก็คือขาดสติเพราะเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าพระภิกษุสามเณรของเราศึกษาในอนาปัตติวาร คือการที่พระภิกษุละเมิดศีลเพราะอาการเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะอาการเพ้อคลั่งด้วยเป็นบ้า พระพุทธเจ้าท่านยกให้ว่าไม่ต้องอาบัติ อย่าว่าแต่อาการที่ครูบาบุญชุ่มท่านแสดงออก ไม่ได้หนักหนาถึงขนาดละเมิดศีล แต่เป็นการแสดงท่าแปลก ๆ ที่คนไม่เคยเห็นเท่านั้น รวมทั้งการวิ่งลงจากธรรมาสน์ไปไหว้สามเณรน้อยด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องที่บรรดาญาติโยมทั้งหลายจะมากังวล เพราะว่าในส่วนของการละเมิดศีล ท่านก็ยังไม่ได้ละเมิด อาการที่แสดงออกก็เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วยพาไป เพราะว่ามาลาเรียขึ้นสมองนี่ ถ้าไม่ได้ตั้งหลักเข้าสมาธิเตรียมตัวไว้ก่อน ก็เสร็จทุกราย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2022 เมื่อ 01:44 |
สมาชิก 33 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
กระผม/อาตมภาพเองเคยโดนมาหนัก ๆ อุณหภูมิร่างกายขึ้นไปถึง ๔๒ องศาเซลเซียส ไปหาหมอที่เวชศาสตร์เขตร้อน ไปถึงตอน ๒ ทุ่มกว่า เจอพยาบาล ๒ คนเข้าเวรอยู่ กำลังดูละครหลังข่าวอย่างมีความสุขมาก เจอคุณมงคล หรือที่พวกคุณเรียกว่า "น้าแดง" ไปด้วย ก็ไปถามคุณมงคลว่า "เป็นอะไร ?" คุณมงคลก็บอกว่า "ที่เป็นน่ะหลวงพี่ครับ ไม่ใช่ผม" พยาบาลเห็นกระผม/อาตมภาพเดินได้ปกติอยู่ ก็เลยส่งเทอร์โมมิเตอร์ให้อมเพื่อวัดไข้ แล้วก็ดูหนังกันต่อไป เพลิดเพลินเจริญใจเสียไม่มี..!
เวลาผ่านไปน่าจะเกิน ๑๕ นาที ค่อยนึกได้ว่ามีพระป่วยนั่งหน้าจ๋อยอยู่ ก็เลยหยิบเอาเทอร์โมมิเตอร์ไปดู แล้วก็ทำตาโต "๔๒ องศาฯ..! แล้วท่านเดินมาได้อย่างไร ?" "ก็เดินมาอย่างที่เห็นนี่แหละ ถ้าหากว่าโยมดูหนังนานอีกหน่อย อาตมาก็คงดูด้วยจนจบนั่นแหละ..!" พวกเขารีบยัดพาราฯ ลดไข้แก้ปวดให้ ๒ เม็ด แล้วก็เจาะเลือดไปตรวจ คราวนี้หมอวิ่งมากันหมดเลย บอกว่าให้แอดมิทเดี๋ยวนี้ อาตมาบอกกับหมอว่า "ไม่ได้ พรุ่งนี้ยังมีงานสำคัญรออยู่ ขอแค่ยาเท่านั้น" หมอบอกว่า "เชื้อสองล้านห้า ขนาดนี้เมื่อวานนี้เพิ่งจะตายไป ๑ ศพ..!" ก็เลยบอกกับหมอไปว่า "อาตมาเป็นแบบนี้มาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ถ้าจะตายก็ตายไปแล้วล่ะ ในเมื่อยังไม่ตายก็ขอทำงานก่อน เพราะฉะนั้น..จัดยามาก็แล้วกัน" ในเรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าหากว่าเราไม่ได้เข้าสมาธิรอไว้ก่อน จะเข้าไม่ได้เลยนะ พอร่างกายแย่นี่ เรื่องสมาธิสมาบัติไม่เอาด้วยเลย แต่บังเอิญว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนที่ไม่ค่อยยอมปล่อยให้สมาธิหลุด ก็เลยยังพอไปได้ อีกครั้งหนึ่งที่ไปโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ที่หาดใหญ่ เพราะโยมเห็นว่าป่วยมาก พาไปให้หมอตรวจ ทั้ง ๆ ที่อาการเห็น ๆ อยู่ แต่ว่าผลตรวจออกมา ตรงกันข้ามกันหมด ตัวร้อนฉ่า อาการไข้ก็น่าจะไม่ต่ำกว่า ๔๐ องศา แต่วัดดูแล้วปรากฏว่าได้แค่ ๓๕.๖ องศาฯ ร่างกายเย็นกว่าคนปกติอีก นั่นคือเครื่องมือหมอ ความดันขึ้นหัวจะระเบิด วัดได้ไม่ถึง ๑๑๐ คราวนี้ไปเจอดีตรงที่หมอเวร เขาเรียกนายแพทย์เวร แต่อาตมาเรียกหมอเวร..! เหมือนกับด่าหมอ ถามว่า "ท่านเป็นโรคอุปาทานหรือเปล่า ?" ถามได้น่าเตะมาก..! กระผม/อาตมภาพก็คิดว่า "กูจะทำอย่างไรดีวะ ?" ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยต้องคลายกำลังใจออกมา พอดีพยาบาลเขาวัดความดันใหม่ ความดันตกฮวบลงมาเลย จากประมาณ ๑๐๙ - ๑๑๐ ลงไปเหลือแค่ ๖๐ เท่านั้น..! ทั้ง ๆ ที่เจ็บไข้ได้ป่วย หูอื้อตาลาย ได้ยินพยาบาลกรี๊ดชนิดขี้หูกระเด็น เพราะว่าอาการแบบนั้นคือคนไข้ช็อค..! แพทย์เวร ๔ รายวิ่งมาดูหมดเลย ก็เลยบอกว่า "หมอจำไว้นะ คนไข้บางประเภทกำลังใจสามารถคุมร่างกายได้ เจ็บไข้ได้ป่วยแค่ไหนก็ไปได้ เพราะฉะนั้น..ถ้าเขาบอกว่าป่วยเป็นอะไร ขอให้หมอเชื่อเถอะ ไม่ใช่โรคอุปาทานหรอก กรุณาช่วยจัดยาให้หน่อย"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2022 เมื่อ 01:48 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
หมอบอกว่า "ถ้าตรวจไม่พบอาการ โดยจรรยาแพทย์แล้วไม่สามรถจัดยาได้ครับ" ก็บอกว่า "ถ้าอย่างนั้นอาตมาขอกลับ" หมอบอกว่า "ท่านกำลังช็อคอยู่แล้วจะกลับอย่างไร ?" ก็เลยถามกลับไปว่า "แล้วหมอเคยเห็นคนไข้ช็อคแล้วคุยกับหมอได้แบบนี้ไหม ?" บอกว่าขอเวลา ๓ นาที รวบรวมกำลังใจได้ก็เดินขึ้นรถกลับ..!
เรื่องพวกนี้ ถ้าหากว่าเราตั้งท่ารับอยู่ก็พอที่จะรับไหว แต่ถ้าหากว่าเผลอปล่อยหลุด ก็จะออกอาการแบบครูบาบุญชุ่ม ก็คือถึงเวลาใจเราคิดอย่างหนึ่ง แต่ปากอาจจะพูดไปอย่างหนึ่ง หรือว่าใจเราอยากจะทำแบบนี้ แต่ถึงเวลาแล้วร่างกายกลับไปทำอีกอย่างหนึ่ง เพราะว่าสมองรวนหมดแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่บรรดาลูกศิษย์จะต้องกังวลว่าครูบาอาจารย์ตัวเองเป็นอย่างไร ? แล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปเสื่อมศรัทธาว่าทำไมครูบาอาจารย์ของเราทำไมถึงเป็นแบบนี้ ? เพราะว่าอาการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นได้ทุกคน บรรดาพระนักปฏิบัติ เวลาที่อาการกำเริบ อาการจะหนักกว่าคนทั่วไปอีก เพราะว่าสภาพจิตละเอียด สามารถรับอาการไข้ได้ทั้งหมด เพียงแต่ท่านจะแสดงออกหรือไม่เท่านั้น กระผม/อาตมภาพเห็นคนจำนวนมากกังวลเรื่องนี้ จึงนำมาบอกกล่าวเอาไว้ว่า ใครไม่เคยเป็นมาลาเรีย จะไม่รู้หรอกว่ารสชาติชีวิตเป็นอย่างไร กระดูกกี่ข้อมีอยู่ตรงไหนก็รู้หมด ท่านสามารถขึ้นไปเทศน์ให้โยมเป็นหมื่นฟังได้ก็นับว่าเก่งมากแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๐ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-08-2022 เมื่อ 01:51 |
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|