#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๕
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 45 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ วันนี้ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งของทางที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร คือ มีการวางศิลาฤกษ์เรือนวิริยะ ที่เป็นอาคารอเนกประสงค์เพิ่มเติมขึ้นมาจากส่วนอื่นที่มีอยู่แล้ว
ในส่วนที่เราท่านทั้งหลายได้ร่วมบุญ ร่วมกันสร้างสถานที่นี้มาตั้งแต่ต้น สิ่งที่ทำสำเร็จไปแล้วก็คือพระวิหารสมเด็จองค์ปฐม และ วิหารหลวงปู่ใหญ่โลกอุดร แล้วส่วนหนึ่งก็คือกุฏิที่พัก แต่ว่ายังไม่เพียงพอต่อการใช้งาน ดังนั้น...ในวันนี้ที่พวกเราจะมาพร้อมใจร่วมใจกันสร้างถาวรวัตถุ เป็นวิหารทานในพระพุทธศาสนาอีกชิ้นหนึ่ง ก็คือเรือนวิริยะที่จะเป็นอาคารเอนกประสงค์ไว้ใช้งาน ความจริงจะว่าไปแล้ว กระผม/อาตมภาพเกรงว่า จะไม่ทันกับสภาวะของบ้านเมือง หรือว่าของโลกเราในปัจจุบัน เพราะว่าในช่วง ๓ ปี ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๒ เป็นต้นมา เกิดภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ๑๙ ทำให้กิจกรรมของวัดต่าง ๆ ต้องสะดุดหยุดยั้งลง แม้กระทั่งการทำมาหากินของญาติโยมทั้งหลายก็มีอุปสรรค ทำให้เราไม่สามารถที่จะสนับสนุน เสริมสร้างถาวรวัตถุในพระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่ แล้วมาตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ก็เกิดภาวะสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งจะว่าไปแล้ว นั่นก็คือว่าที่สงครามโลกครั้งที่ ๓ ซึ่งก่อให้เกิดสภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ หนักขึ้นไปอีก โดยเฉพาะพวกพลังงานต่าง ๆ ราคาแพงขึ้นไปอีกมาก ในเมื่อเราใช้เงินเท่าเดิม แต่ซื้อสิ่งของไม่ได้มากเท่ากับในอดีต ความยากลำบากในความเป็นอยู่ก็จะมีมากขึ้น จากแต่เดิมที่หลวงพ่อนิลท่านได้ปรารภไว้ ก็คือจะใช้สถานที่นี้ในการทำการเกษตร ลักษณะของเกษตรทฤษฎีใหม่ตามรอยศาสตร์พระราชาของในหลวงรัชกาลที่ ๙ เพื่อเอาไว้รับภาวะสงครามที่จะเกิดขึ้น แต่ด้วยความที่ทุกอย่างช้ากว่าความตั้งใจ ทำให้ภาวะสงครามเกิดขึ้นก่อน แต่ว่าถาวรวัตถุที่เราตั้งใจไว้นั้นไม่เสร็จ หรือว่าเสร็จไม่ทันตามที่ตั้งโครงการไว้ ดังนั้น...ก็เลยจะทำให้สิ่งต่าง ๆ ต้องล่าช้าลงไปอีก ตรงส่วนนี้นั้น ญาติโยมทั้งหลายอย่าได้ตั้งความหวังไว้กับวัดวาอารามที่ใดที่หนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่ว่าถ้าใครมีที่มีทางที่เว้นว่างอยู่ ให้พยายามปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่อะไรไว้บ้าง ถึงเวลาการขาดแคลนอาหารขยายตัวแผ่กว้างออกไป อย่างน้อยเราก็พึ่งพาตัวเองได้ในส่วนหนึ่ง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2022 เมื่อ 18:25 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
เรื่องบางอย่างถ้าหากว่าบอกเร็วเกินไป บางทีเราท่านทั้งหลายก็จะไม่เฉลียวใจ โดยเฉพาะกระผม/อาตมภาพ บางทีบอกเพื่อนฝูงไปเขาก็ไม่ฟัง อย่างเช่นทางวัดสี่แยกเจริญพร ที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ลูกหา บอกเขาให้หยุดการก่อสร้างตั้งแต่ ๒ ปีที่แล้ว แต่ก็ยังดื้อทำมา ทำให้กระผม/อาตมภาพต้องไปแบกภาระแทนอยู่ ๒ ปีเต็ม ๆ แล้วปีนี้ก็มานั่งบ่นเข้าหูอยู่เกือบทุกเดือนว่า "วัดเงียบเป็นวัดร้างเลย..!"
ถ้าหากว่าเราดูจากสภาพปัจจุบัน บางทีจะเห็นว่าเรื่องของสงครามนั้นเป็นเรื่องไกลตัว แต่ความจริงแล้วใกล้ตัวมากกว่าที่เราคิด เพราะว่าในสภาพของโลกาภิวัตน์ การสื่อสารทุกอย่างสามารถถึงกันในระยะเวลาไม่นาน เมื่อเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนของมุมโลกก็ตาม ก็จะทำให้มีผลกระทบต่อส่วนอื่นไปทั้งหมด ในเมื่อเป็นเช่นนั้น นอกจากการเตรียมพร้อมแล้ว ก็คือถ้าสามารถปลูกผัก ปลูกข้าว เลี้ยงปลา เลี้ยงไก่ รอเอาไว้บ้างก็ให้ทำ หรือถ้าบางท่านจะเก็บเสบียงอาหารแห้งบางส่วนเอาไว้ ก็ค่อย ๆ ทยอยเก็บไป โดยเฉพาะถ้าเป็นข้าวสาร ก็ให้ซื้อหาที่เป็นการบรรจุแบบสูญญากาศ เพราะว่าจะเก็บได้นานกว่า แต่ว่าส่วนที่จำเป็นที่สุดสำหรับพวกเราก็คือ ความมีสติ มีสมาธิที่มั่นคง เพื่อที่เวลาเกิดอะไรขึ้น จะได้ไม่แตกตื่นจนถึงขนาดขาดสติจนทำอะไรไม่ถูก ก็แปลว่าเราท่านทั้งหลาย ต้องเน้นในเรื่องของศีล สมาธิ และปัญญาเป็นหลักไว้ จากที่เคยทำเล่น ๆ แบบแก้บน ก็ควรที่จะต้องทำจริงจังกันได้แล้ว โดยเฉพาะถ้าหากว่าสภาวะฉุกเฉินแผ่กว้างไปทั่วโลก พระภิกษุสามเณรหรือแม้กระทั่งแม่ชีก็จะต้องเป็นที่พึ่ง เป็นหลักให้แก่ญาติโยมทั้งหลายได้ ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องขัดเกลา ฝึกฝน ให้กาย วาจา ใจ ของเราอยู่ในกรอบของไตรสิกขา คืออยู่ในกรอบของศีล ของสมาธิ ของปัญญา โดยเฉพาะการเจริญในพุทธานุสติ ควบกับอานาปานสติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2022 เมื่อ 18:27 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยอานาปานสติ สร้างกำลังสมาธิหรือฌานสมาบัติให้เกิดขึ้น ถ้าหากว่าทำได้ในเบื้องต้นก็คุ้มครองตัวเองได้ ทำได้ในเบื้องกลาง นอกจากคุ้มครองตัวเองแล้ว ยังคุ้มครองหมู่คณะได้ ถ้าทำได้เต็มที่ นอกจากคุ้มครองตัวเอง คุ้มครองหมู่คณะแล้ว บางทียังถึงขนาดคุ้มครองประเทศชาติ หรือคุ้มครองโลกได้
ส่วนในเรื่องของพุทธานุสตินั้น เราหมายเอาธัมมานุสติ และสังฆานุสติเอาไว้ด้วย ก็คืออาศัยบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยเป็นต้นเป็นประธาน ทำให้พรหมเทวดาทั้งหลายไม่อาจจะปฏิเสธที่จะดูแลรักษาสถานที่ของเราหรือว่าตัวบุคคลอย่างเรา เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พรหมเทวดามีความเคารพในพระรัตนตรัยเป็นปกติ เมื่อที่ใดที่หนึ่งหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน แล้วยึดถือคุณพระรัตนตรัยเป็นใหญ่ ท่านก็ต้องช่วยคุ้มครอง เหมือนอย่างกับเป็นภาคบังคับ ตรงจุดนี้ ถ้าท่านทั้งหลายดูในบทสวดที่เขาเรียกว่า สวดแจง ซึ่งกล่าวถึงสุปปิยปริพาชกกับลูกศิษย์ของท่านเอง ที่เดินตามคณะขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรากฏว่าปริพาชกแค่ไม่กี่คน ส่งเสียงโวยวายไปตามกำลังใจของตน แต่พระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์หมู่ใหญ่ถึง ๕๐๐ รูป แม้ว่าเสด็จไปมากขนาดนั้น ก็สงัดเงียบประหนึ่งไม่มีผู้คน เมื่อถึงเวลาเข้าสู่ที่พัก สุปปิยปริพาชกก็ชวนพรหมทัตมาณพที่เป็นลูกศิษย์ว่า "เราเข้าไปพักอยู่ใกล้ ๆ พระสมณโคดมกันเถอะ" พรหมทัตมาณพก็สงสัย ถามอาจารย์ของตนเองว่า "อาจารย์ด่าพระพุทธเจ้ามาตลอดทาง แต่ทำไมเวลาพักจะเข้าไปพักบริเวณเดียวกัน ?" สุปปิยปริพาชกตอบแบบน่าเตะมาก บอกว่า "สมณโคดมอยู่ที่ไหน พรหมเทวดาก็รักษา เราไปอยู่ใกล้ ๆ ก็พลอยปลอดภัยไปด้วย..!"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2022 เมื่อ 18:29 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ดังนั้น...ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายต้องทำความเคารพในพระรัตนตรัยอย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธ์บริบูรณ์ พยายามสร้างสมาธิให้เกิดแก่ตนให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
และท้ายที่สุดต้องระลึกรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ไม่ใช่ว่าจะต้องตายเพราะภาวะสงครามหรือว่าโรคระบาดที่ยังมาไม่ถึง แต่อาจจะต้องตายลงไปตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ในเมื่อเราจะต้องตาย สิ่งเดียวที่เราควรจะยึดไว้เป็นหลัก ก็คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ถ้าใครสามารถปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกา ดังที่กระผม/อาตมภาพกล่าวมาแต่ต้นนี้ ก็จะช่วยให้ท่านทั้งหลายสามารถผ่านพ้นภาวะของโรคระบาดและสงครามใหญ่ไปได้ ต่อให้ลำบากก็จะไม่ลำบากมากเหมือนกับคนอื่นเขา วันนี้จึงอาศัยเวลาที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยนี้ บอกกล่าวแก่พระภิกษุสามเณรของเรา และญาติโยมทั้งหลายได้ทราบแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-05-2022 เมื่อ 18:30 |
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|