|
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๔ เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนตุลาคม ๒๕๖๔ |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๔
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด (-/\-) (-/\-) (-/\-) |
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ตัวเล็ก ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ เป็นวันตักบาตรเทโวและทอดกฐินสามัคคีของวัดท่าขนุน ซึ่งปีนี้ได้รับความสะดวกจากสื่อโซเชียลอย่างเว็บเพจหรือว่ากลุ่มไลน์ ทำให้ญาติโยมที่มาร่วมงานไม่ได้ สามารถเป็นเจ้าภาพผ้าไตรวัดท่าขนุนได้ สรุปว่าจำนวน ๑,๓๔๓ ไตรที่มา เป็นของทางเว็บพลังจิตไป ๓๗๐ ไตร อีก ๙๗๓ ไตร เป็นของทางวัดท่าขนุนเอง ก็ขออนุโมทนากับทุกท่านที่ร่วมกันเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคีในครั้งนี้ด้วย
ในช่วง ๓ วันที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพเข้ากรรมฐานอยู่ตามปกติ งานสำคัญหลัก ๆ เลยก็คือ กราบขอบารมีพระให้ท่านช่วยสงเคราะห์ในการปลุกเสกวัตถุมงคล กับลบผงเพื่อสร้างพระยอดขุนพลกาญจนบุรี ซึ่งตอนนี้ก็ออกแบบพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผงก็ได้จำนวนใกล้เคียงกับที่ต้องการ โดยจะเพิ่มบรรดาผงวิเศษต่าง ๆ ที่สะสมมาหลายปีลงไปด้วย โดยเฉพาะผงสัมฤทธิ์ ซึ่งกระผม/อาตมภาพทำอย่างไรก็ไม่ได้อย่างท่าน เพราะว่าครูบาอาจารย์ท่านทรงความเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเต็มระดับ คราวนี้ในการเข้ากรรมฐานนั้น สายกรรมฐานอื่นไม่ทราบว่าทำอย่างไรบ้าง ? แต่ถ้าเป็นสายของหลวงพ่อวัดท่าซุง ที่ท่านแนะนำให้กระผม/อาตมภาพมา มี ๒ วิธีด้วยกัน วิธีแรกก็คือ ดับความรู้สึกทั้งหมดนิ่งอยู่ภายในอย่างเดียว กำหนดเวลาไว้ว่าจะออกเมื่อไร ก็คือสภาพจิตจะไม่ยุ่งกับร่างกายเลย อะไรเกิดขึ้นกับร่างกายตอนนั้น จะประเภทแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดอะไรก็ไม่สนใจ อารมณ์ตัดจากร่างกายอย่างสิ้นเชิง วิธีที่สองก็คือ ส่งจิตไปท่องเที่ยวตามภพต่าง ๆ แต่ก็ไปแบบเดียวกัน คือสภาพจิตไม่ได้ยึดเกาะร่างกายเลย ถ้าทิ้งไปแบบนั้น คนไปเจอเข้าก็จะคิดว่าตายไปแล้ว แต่ความจริงไม่ได้ตาย เพราะว่าร่างกายยังมีปราณละเอียดเหลืออยู่เส้นหนึ่ง ถ้าหากว่าดูด้วย "สายตาของนักปฏิบัติธรรม" จะเห็นเป็นเส้นเล็ก ๆ ใส ๆ เหมือนกับใยแมงมุม วิ่งอยู่ระหว่างจมูกกับใต้สะดือ ๓ นิ้ว ถ้าสายนี้ขาด..ตายแน่นอน แต่ถ้าสายนี้ยังอยู่ ต่อให้ไม่หายใจอย่างไรก็ไม่ตาย เพราะว่าเป็นการหายใจด้วยปราณละเอียดแทน ถ้าวัดด้วยเครื่องมือแพทย์ จะไม่ปรากฏชีพจร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 24-10-2021 เมื่อ 07:38 |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ตรงจุดนี้หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านเข้าห้องเมื่อไร ท่านจะล็อกประตูเลย ส่วนกระผม/อาตมภาพเองเมื่อหลายปีก่อนนั้นพลาด ล็อกประตูเหมือนกัน แต่ว่าทั้งพระทั้งแม่ชี มีกุญแจกุฏิเจ้าอาวาสกันทุกคน ไม่รู้จะมีไปทำอะไร ประมาณว่าพกเอาไว้แล้วอุ่นใจ เหมือนอยู่ใกล้หลวงพ่อ ก็เลยเปิดประตูเข้าไปได้
พอเจอสภาพแบบนั้นเข้า ก็จัดแจง "ยำใหญ่" อาตมาเสียเละเป็นโจ๊ก โดยเฉพาะการเอาผ้าขนหนูทั้งผืนชุบน้ำร้อน แล้วก็ถูทั้งตัว โดยที่คิดว่า ถ้าทำให้ร่างกายอุ่นขึ้นแล้วหลวงพ่อจะได้ฟื้น อาตมาถอนจิตกลับมาตอนตี ๒ แสบไปทั้งตัว ต้องบอกว่าแทบจะหนังถลอกปอกเปิกไปหมด..! ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็กลายเป็นคนผิวเสีย โดนอากาศเย็นหรือโดนเครื่องปรับอากาศนิดหน่อย ผิวจะแตกร้าวแล้วก็คัน ต้องคอยให้ญาติโยมช่วยทาครีมให้อยู่เรื่อย เพราะว่าตัวเองทาไม่ถึงข้างหลัง ต้องบอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมของตัวเอง เพราะว่าต่อให้สั่งไว้ ถ้ากระผม/อาตมภาพเงียบไปเฉย ๆ ก็จะมีคนเข้าไปดูอยู่ดี คราวนี้ในเรื่องของการเข้ากรรมฐาน กระผม/อาตมภาพได้กราบขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ด้วยการปลุกเสกวัตถุมงคลก่อน เพราะว่าถ้าลืมก็เป็นเรื่อง..! คราวนี้เนื่องจากวัตถุมงคลนั้นมีพระขุนแผนเคลือบ ที่สร้างเลียนแบบขุนแผนกรุวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งพี่ณพ (พันตำรวจเอกอรรณพ กอวัฒนา) ทำมา แล้วมีตัวหนังสือระบุชัดว่าเป็นสมเด็จองค์ปฐม จึงต้องบอกว่ากลายเป็น "ไฟท์บังคับ" เพราะว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ไม่มีพระองค์ใดยอมเสกพระรูปของสมเด็จองค์ปฐม กระผม/อาตมภาพก็ต้องไปกราบขอบารมีของพระองค์ท่านเอง ถ้าหากว่าใครไม่เคยไป ไม่เคยเข้าใกล้ ก็จะไม่รู้ว่าพระองค์ท่านน่ากลัวขนาดไหน ขออภัยนะครับ...คำว่าน่ากลัวนี่ไม่ได้ใช้ผิด ลองไปถามมหาเอดู ท่านพระมหานันทวัฒน์ เขมธมฺโม ไปเจอพระองค์ท่านเข้า นั่งสั่นแหง็ก ๆ เป็นเจ้าเข้า อาตมาต้องไปช่วยลากออกมา ไม่อย่างนั้นก็ขาดใจตายไปแล้ว..! คือบารมีของท่านที่แผ่ออกมานี่ พวกเราเหมือนกับลูกไก่อยู่ต่อหน้าพญางู แทบจะกระดิกตัวไม่ออกเลย..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2021 เมื่อ 03:46 |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
สมัยที่พระองค์ท่านสงเคราะห์หลวงพ่อวัดท่าซุงอยู่ ถ้าพระองค์ท่าน "ลง" เมื่อไร คำว่าลงนี่ก็คือพระองค์ท่านคลุมลงมา ไม่ใช่เข้าทรง แต่เป็นการที่ตั้งใจสงเคราะห์ด้วยการ "ผ่าน" หลวงพ่อวัดท่าซุงลงมา พระวัดท่าซุงทุกรูปก้มหน้าดูดินหมด ไม่มีใครหาญกล้าสบตาแม้แต่รูปเดียว..!
จนกระทั่งเป็นที่สังเกตของพวกกระผม/อาตมภาพกันมา ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า ถ้าหากว่าหลวงพ่อสมเด็จพระสมณโคดมเสด็จ หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะผิวขาวผ่อง ถ้าหากว่าเป็นหลวงพ่อพระพุทธกัสสป ผิวหลวงพ่อท่านจะออกสีเหลืองทอง ถ้าเป็นสมเด็จองค์ปฐมมาเมื่อไรก็ดำปี๋เลย แล้วเรื่องพวกนี้เราต้องสังเกตกันเอง หรือไม่ก็สังเกตจริยาในการที่พระองค์ท่าน พูดคุยกับพวกเราผ่านหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านออกมา ถ้ารู้จักสังเกต ก็จะแยกแยะออกว่าเป็นพระองค์ไหน ในเรื่องของกำลังของพระ หรือพรหม เทวดา ที่ท่านคลุมลงมานั้น ถ้าหากว่าไม่สังเกตจริง ๆ จะไม่รู้ตัว บังเอิญว่ากระผม/อาตมภาพได้ทำหน้าที่อยู่ข้างหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลมอยู่หลายปี เมื่อถึงเวลาพระองค์ท่านสงเคราะห์ กำลังที่คลุมลงมา ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อท่าน ก็พลอยได้รับไปด้วย แล้วความที่เป็นคนช่างสังเกต จึงทำให้รู้ว่าตอนนี้เป็นกำลังของพระองค์ไหน ถึงเวลาถ้าหลวงพ่อวัดท่าซุงท่านจะพูด จะคุย จะตอบปัญหา แต่ละพระองค์มีลีลาอย่างไร และจะตอบว่าอย่างไร ซึ่งหลวงพ่อท่านใช้คำว่า "ท่านให้ฉันพูดอย่างนั้น" หลวงตาวัชรชัยบอกว่า "ข้าโดนจับปากพูด" ส่วนกระผม/อาตมภาพเอง ก็ว่าไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้ใส่ใจตรงนั้น ถือว่าสงเคราะห์คนอื่นได้ก็พอ ปรากฏว่าสมเด็จองค์ปฐมท่านเสด็จมาอยู่ตั้งแต่วันแรก จนกระทั่งกรานกฐินเสร็จพระองค์ท่านถึงได้กลับไป ถ้าใครทิพจักขุญาณดี ๆ จะเห็นพระองค์ท่านนั่งอยู่ ใหญ่เต็มจักรวาลเลย โดยมีวัดท่าขนุนตรงนี้เป็นศูนย์กลาง ตอนแรกพระองค์ท่านมา กระผม/อาตมภาพจำไม่ได้ เพราะว่ามาขาวจัด พระองค์ใหญ่มาก สว่างจัดมาก พระพักตร์เหมือนกับ "หลวงพ่อสุคโต" เลย ไม่ใช่ว่าพระพักตร์ของพระองค์ท่านเป็นอย่างนั้น แต่พระองค์ท่านตั้งใจทำให้เห็นว่าเป็นอย่างนั้น เป็นการแสดงออกว่า พระองค์ท่านสงเคราะห์ในการปลุกเสกหลวงพ่อสุคโตในส่วนที่เหลือด้วย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2021 เมื่อ 03:52 |
สมาชิก 61 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ในระหว่างนั้นกระผม/อาตมภาพก็ท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่าง ๆ ปรากฏว่าไปเจอหลวงปู่อินสม สุวีโร กำลังเข้ากรรมฐาน รักษากำลังของตัวเองอยู่เหมือนกัน ก็เลยชวนกันไปเฮฮา พาหลวงปู่ท่านไปเสียคนหรือเปล่า ? เปล่านะ..หลวงปู่ท่านพาไปเอง บอกว่าไปกราบพระสำคัญกันองค์หนึ่ง ปรากฏว่าไปถึงแล้วจำท่านไม่ได้ เพราะว่าสวยเป็นพิเศษ ต้องใช้คำว่า "หล่อสุด ๆ" จนกระทั่งท่านเอ่ยปากถึงได้รู้ว่าคือหลวงปู่ฟู วัดบางสมัคร ที่เพิ่งจะมรณภาพไปไม่กี่วัน
หลวงปู่ฟู วัดบางสมัครนั้น ตอนช่วงที่มีงานปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกัน เป็นพระที่อาตมภาพอยู่ด้วยแล้วสบายใจมาก เพราะไม่ว่าพระหรือว่าพรหม เทวดา ครูบาอาจารย์ บอกให้ทำอย่างไร ท่านรู้หมด ถึงเวลานั่งลง ถ้าหากว่าพระท่านบอกว่า "เต็มแล้ว..พอแล้ว" ลืมตาขึ้นมาก็จะมองหน้ากันพอดี เพราะว่าเป็นคำสั่งเดียวกัน บางทีท่านก็พยักหน้าให้ "เต็มแล้ว..ไปเถอะ" ปล่อยให้ท่านอื่นเขานั่งกันต่อไป สองคนปู่หลานก็ออกมาข้างนอก ให้เจ้าภาพเขาประเคนไทยธรรม รับแล้วก็กลับกันเลย น่าเสียดายว่าหลวงปู่ท่านมรณภาพไปแล้ว แต่ว่าช่วงจังหวะที่ท่านมรณภาพ ก็น่าจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของประเทศไทย จากหนักให้เป็นเบาขึ้นมาบ้าง ตรงส่วนนี้ก็ต้องบอกว่า บางทีพระท่านเองถึงอายุขัย ก็ยังหาจังหวะไปเพื่อสละตนเอง เป็นการตัดเคราะห์ใหญ่ของประเทศชาติไปในตัว ซึ่งในส่วนนี้พระเถระที่มีความรู้พิเศษมักจะทำกันเป็นประจำ ก็คือไหน ๆ จะมรณภาพแล้ว ก็ขอทิ้งประโยชน์ครั้งสุดท้ายเอาไว้ให้ชาวโลกบ้าง เพราะฉะนั้น...ต้องบอกว่าประเทศไทยของเราโชคดีมาก อยู่ในภูมิประเทศที่เหมาะสม แล้วขณะเดียวกัน มีพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่เป็นจำนวนมาก เมื่อถึงเวลา ท่านเองก็สร้างประโยชน์ให้กับเรามาก เวลาอยู่ พรหม เทวดา ท่านก็ช่วยสงเคราะห์ เวลาไปก็ยังเป็นการตัดเคราะห์ตัดกรรมให้กับประเทศชาติอีกด้วย แต่ว่าในส่วนหนึ่งก็คือ เราเองจะต้องสร้างความดี ให้เพียงพอกับการที่ท่านจะสงเคราะห์ด้วย ความดีตรงจุดนี้ ถ้าใครตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน โดยเฉพาะตั้งแต่ความเป็นพระโสดาบันขึ้นไป พรหม เทวดา ท่านจะสงเคราะห์เป็นพิเศษ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2021 เมื่อ 03:56 |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
มีบุคคลประเภทหนึ่งที่ในพระไตรปิฎกกล่าวไว้ชัดเจนว่า ฐิตกัปปี ผู้ยังกัปให้ตั้งอยู่ ในบาลีบอกไว้ชัดว่า ถ้าหากว่าไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก แล้วยังมีบุคคลประเภทนี้อยู่ อย่างไรเสียไฟก็ยังทำลายโลกไม่ได้ เพราะว่าท่านจะต้องเข้าถึงมรรคผลก่อน ดังนั้น...ถ้าฐิตกัปปีบุคคล คือบุคคลที่ยังกัปให้ตั้งอยู่ มีความตั้งเจตนาอย่างแน่วแน่ว่าจะปฏิบัติเพื่อมรรคผล แล้วมีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จ ถ้าหากว่าบุคคลประเภทนี้มีอยู่ ในสถานที่นั้นต้องบอกว่าปลอดภัยชั่วคราว ถ้าสิ้นท่านเมื่อไรก็เป็นอันว่า "ไหลมาเทมา"..!
ตรงจุดนี้ก็ขอให้พวกเราทุกคนช่วยกัน เพราะว่าท่านทั้งหลายเอง ต้องบอกว่า "เหลือกันอยู่แค่นี้" ก็คือไม่กี่สิบ ที่ตั้งใจอยู่ปฏิบัติธรรมให้ครบตามเวลา เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมีการตรวจสอบรายชื่อ เพื่อที่จะเตรียมออกวุฒิบัตรให้ในวันสุดท้าย เพราะว่าที่ผ่านมาส่วนใหญ่แล้วก็มั่วไปหมด คือคนนี้จะอยู่ คนนี้จะไป พอหลังงานก็ชัดเจนแล้วว่าใครอยู่ใครไปบ้าง ส่วนพระภิกษุสามเณรของเรา ออกพรรษาแล้วจะสึกหาลาเพศ ท่านไหนพร้อมก็ดูฤกษ์พรหมประสิทธิ์เอา ยกเว้นวันนี้ไปแล้ว วันไหนก็ได้ เพราะว่าวันนี้คือวันพระพุทธเจ้าเปิดโลก ตั้งแต่พระนิพพานยันอเวจีเห็นถึงกันหมด หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "วิสัยคนมักจะไหลลงต่ำ" ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะทำให้มีโอกาสลงต่ำมากกว่า ควรจะเลี่ยงการสึกหาลาเพศในวันเปิดโลก หรือวันตักบาตรเทโวนี้เสีย คราวนี้ในเรื่องของการบวชนั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องดูฤกษ์ เพราะว่าเท่ากับเราอยู่ในที่ร้อน เข้ามาที่เย็น เร็วเท่าไรก็เป็นคุณแก่ตัวเท่านั้น แต่การสึกหาลาเพศนั้น จากที่เย็นเราจะไปอยู่ที่ร้อน ควรจะหาจังหวะให้ดี ก็คือดูฤกษ์เสียหน่อย ไม่เช่นนั้นออกไปผิดจังหวะอาจจะไหม้ทั้งตัว แล้วเดี๋ยวก็ปีกหัก..กลับวัดมาอีก..! แต่วัดเราถึงจะสึกหาลาเพศไปก็ตาม จำนวนพระก็ไม่น่าจะน้อยลง เพราะว่าออกพรรษาแล้ว ท่านที่ไปจำพรรษาอยู่วัดอื่นก็จะกลับมากันหลายรูป อยู่กันมาก ๆ ก็ต้องระมัดระวัง กาย วาจา ใจ ให้ดี ไม่ใช่ว่า "ทำอะไรทุกอย่าง..กูถูกไปหมด..!" ถ้าหากว่าใครคิดว่าตนเองทำอะไรแล้วถูกไปหมด ขอให้รู้ว่ากิเลสยังท่วมหัวอยู่ เพราะว่าคนเราตราบใดที่ยังไม่ไปสู่พระนิพพาน ตราบนั้นยังหาดีไม่ได้จริง ๆ แม้กระทั่งพระอรหันต์ ถ้ายังทรงขันธ์อยู่ ท่านก็ยังว่าหาความดีไม่ได้ เพราะว่าต้องอาศัยอยู่ในขันธ์ ๕ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2021 เมื่อ 03:59 |
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ดังนั้น...ในส่วนของการงานหน้าที่ซึ่งท่านทั้งหลายรับผิดชอบ ก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวเอง แต่ถ้าหากว่ามีหน้าที่รับผิดชอบ แล้วไปสำคัญตนผิด แทนที่จะละกิเลส ก็กลายเป็นกิเลสเจริญงอกงาม เพราะจะไปคิดว่า "กูดีกว่า" "กูมีความสามารถมากกว่า" ถ้าหากว่าอยู่ตรงจุดนี้ ท่านเองก็จะมีการกระทบกระทั่งกับผู้อื่นเสมอ
ถ้าหากว่าไปดูสำนวนของโกวเล้ง ท่านบอกว่า เหมือนกับเม่นในฤดูหนาว เม่นเบียดเข้าหากันหวังความอบอุ่น แต่ด้วยความที่ขนตัวเองแหลม ก็ไปทิ่มแทงตัวอื่น กลายเป็นว่าอยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ ต้องทนหนาวอยู่เดียวดาย มีการเปรียบเทียบเอาไว้ชัดเจนแบบนี้ ซึ่งคนลักษณะอย่างนี้ ภาษาจีนเขามีระบุเอาไว้ เขาใช้คำว่า "โดดเดี่ยวเพราะมีพิษ" พิษในที่นี้ก็คือสิ่งไม่ดีไม่งามที่ออกจาก ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ของเรา ทำให้คนอื่นเขาจะต้องลำบาก ต้องเดือดร้อน ก็เลยไม่มีใครอยากที่จะอยู่ใกล้ ตรงนี้ต้องระมัดระวังแก้ไขให้ดี เมื่อมาอยู่ในวัดแล้วก็ควรจะทำตัวให้สมกับการอยู่วัด ก็คือมาวัดความดีกัน แข่งขันกันสร้างความดี ไม่ใช่แข่งขันกันสะสมในสิ่งที่ไม่ดี กิจการงานอะไรที่เรารับผิดชอบ ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการขัดเกลาตัวเอง ไม่ใช่ทำให้เราเข้าใจผิด คิดว่ากูสำคัญกว่าคนอื่น วันนี้ก็รบกวนเวลาของพวกเรามากแล้ว จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณร และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๔ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-10-2021 เมื่อ 04:02 |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|