๕๒. คาถาตาทิพย์
“
...มาจะกล่าวบทไป ถึงท้าวสหัสนัยน์ตรัยตรึงศา ทิพยอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กระด้างดังศิลาประหลาดใจ จะมีเหตุมั่นแม่นในแดนดิน อมรินทร์เร่งคิดสงสัย จึงสอดส่องทิพยเนตรดูเหตุภัย ก็แจ้งใจในนางรจนา...ฯลฯ”
บทกลอนที่ยกมานี้ มาจากวรรณคดีเรื่อง
สังข์ทอง ตอน
ตีคลี บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของพระอินทร์ เกิดแข็งกระด้างนั่งไม่สบายขึ้นมา เหตุเพราะคนดีกำลังเดือดร้อน พระอินทร์ก็เลยคว้ากล้องส่องทางไกล เอ๊ย...! ส่องทิพยเนตรดูว่าใครเป็นสาเหตุกันแน่...? เนื้อเรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไรก็ช่างมันเถอะ ที่ติดใจคือคำว่า
ทิพยเนตรนั่นแหละ ถ้าใครมีละคุณเอ๋ย...แทงไฮโลว์อย่างเดียวก็รวยอื้อแล้ว...! “
ไอ้โลภแบบนี้มันน่าไปนรกนิ...!” แฮ่...คิดแค่นี้ ลุงจะลากไปปิ้งซะแล้วไหมละ...!
“
หลวงพ่อ” เคยใช้
คาถาดูโปเหมือนกัน ใช้สีผึ้งปิดหน้าคนตายวันเสาร์ เผาวันอังคาร ใช้นิ้วตัวเองทำเป็นก้อนเส้า เสกคาถาหุงสีผึ้ง ตำราว่าทำสามเดือนจะได้ผล แต่ “หลวงพ่อ” ทำแค่ไม่กี่วัน แถมได้แบบสุดยอดซะด้วย...! ทีนี้ก็มาลองกัน ปั่นเองแทงเอง มันออกมาตามที่เห็นจริง ๆ กำลังรุมทดลองกันเพลิน ๆ
หลวงปู่ปานมาจากเขาวงพระจันทร์ตอนไหนไม่รู้ เอาไม้เท้าล่อกบาลเรียงตัวเลย บังคับให้เอาไปทิ้ง โธ่...น่าเสียดาย...!
พระรูปที่เอาไปทิ้งเอาซ่อนไว้ในกระเป๋าอังสะ กลับมาบอกหลวงปู่ว่าทิ้งไปแล้ว เลยโดนซะอีกโป๊กเบ้อเร่อ “
ชะ..ชะ...แล้วในกระเป๋าอังสะนั่นอะไร...คิดว่าพระแก่ตาไม่ดีเรอะ...?” จ๋อยไปซิ...ต้องเอาไปทิ้งทั้งที่สุดแสนเสียดาย... แสดงว่าตาทิพย์แบบดูโป สู้ทิพยจักขุของหลวงปู่ไม่ได้ ซึ่ง “
ทิพยจักขุ” แปลว่า “
ความรู้สึกทางใจที่รู้ได้เหมือนมีตาทิพย์” ไม่ใช่ทิพยเนตร เพราะ
ทิพยเนตรคือ
ตาทิพย์ มีได้เฉพาะโอปปาติกะประเภทต่าง ๆ เช่น เทวดา พรหม พระบนนิพพาน เป็นต้น
หลวงปู่มหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ติดคำว่าทิพยเนตรอยู่นาน เพราะคิดว่าเป็นการใช้ตาเห็น ไม่ใช่ใช้ใจเห็น “หลวงพ่อ” เล่าว่า วันแรกที่หลวงปู่มหาอำพันมาหา
ท่านเจ้าคุณนรฯ ลอยคุมหลังมาด้วย... ท่านเจ้าคุณนรฯ บอก “หลวงพ่อ” ว่า “
ท่านช่วยสงเคราะห์น้องชายผมด้วยเถอะ เขาต้องการทิพยเนตรท่าเดียว ผมหมดปัญญาแล้ว...” ซึ่ง “หลวงพ่อ” แนะนำนิดเดียวเท่านั้น หลวงปู่ก็ทำได้ดี เพราะเข้าใจแล้วว่า ตาเห็นกับใจเห็นนั้นต่างกันอย่างไร ภายหลังพอหลวงปู่เล่าเรื่องลูกศิษย์ถูกเชือดคอ เห็นท่านเจ้าคุณนรฯ มาช่วย ท่านย้ำเสียงใสว่า “
ใจเห็นนะ ไม่ใช่ตาเห็น...”
สมัยหลวงพ่อสอบเปรียญ ๔ ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามพอดี ครูบาอาจารย์อพยพหนีลูกระเบิดกันหมด เลยไม่ได้เรียน แต่ถึงเวลาก็ไปสอบกับเขา แบบนี้ถ้าสอบได้ก็มหัศจรรย์ล่ะ แต่เหตุมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจนได้ซิน่า...!
ท่านปู่พระอินทร์มาบอกคาถาบทหนึ่ง ท่านว่าเป็น
คาถากันลืม อ่านหนังสือแล้วจะจำได้ แต่ “หลวงพ่อ” ท่านเรียกว่า “
คาถารู้ก่อนเกิด” เพราะบาลีนั้น ถ้าไม่มีครูสอนให้แปล อ่านไปจำได้แต่แปลไม่ได้จะมีประโยชน์อะไร...คาถาว่าดังนี้...
“สหัสสเนตโต เทวินโท ทิพจักขุง วิโสธายิ”
เวลารับกระดาษสอบมาอย่าเพิ่งอ่าน ให้คว่ำกระดาษลงก่อน ให้นึกขอบารมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม และเทวดาทั้งหมด มีท่านปู่พระอินทร์เป็นที่สุด ขอให้ช่วยสงเคราะห์ทำข้อสอบนี้ได้โดยถูกต้อง และถูกใจผู้ตรวจด้วย จากนั้นว่าคาถา ๓ จบ แล้วพลิกอ่านดู ถ้ายังไม่เข้าใจให้คว่ำกระดาษลงใหม่ ว่าคาถาอีก ๗ จบ คราวนี้อยากทำอยากเขียนอะไรให้ลุยได้เลย...!
“หลวงพ่อ” บอกว่าพอว่าคาถา ๓ จบ แล้วดูข้อสอบ มันแปลได้เกือบครึ่ง ว่าอีก ๗ จบ คราวนี้ทำได้หมดเลย ท่านเขียนแค่ ๑๕ นาทีเสร็จ เอากระดาษคำตอบไปส่ง
ท่านเจ้าคุณธรรมปาหังสนาจารย์ ที่คุมห้องสอบถามว่า... “
จะไม่ทำซะหน่อยรึ...?” “หลวงพ่อ” บอกว่า “
เสร็จแล้วครับ” ท่านก็งง ถามว่า “
ทวนแล้วยัง...?” “หลวงพ่อ” บอกว่า “
ทวนหรือไม่ทวนก็เหมือนกันครับ...” ความหมายของ “หลวงพ่อ” คือ ตกแน่ ๆ แล้วจะไปทวนทำไมให้เสียเวลา...!
กลับไปนอนตีพุงที่
วัดประยุรวงศาวาส วันประกาศผลสอบ พระรูปอื่นนั่งล้อมวิทยุฟังผลกัน “หลวงพ่อ” นอนเขลงอยู่คนเดียว หลังจากประกาศผลไม่นาน เสียงเจ้าคุณธรรมปาหังสนาจารย์ ตะโกนโหวกเหวกว่า... “
ไอ้มหาสิบห้านาทีอยู่กุฏิไหนวะ...?” มีพระชี้กุฏิให้ ที่แท้ท่านสงสัยว่า “หลวงพ่อ” ทำข้อสอบอย่างไรเร็วนัก เลยจดชื่อ – ฉายา และวัดเอาไว้ ถึงเวลา “หลวงพ่อ” สอบได้จริง ๆ ท่านเลยรีบมา ช่วงสงครามข้าวของหายากยิ่งนัก ท่านอุตส่าห์เอานมกับโอวัลตินมาถวาย “หลวงพ่อ” จนได้...
นั่น “หลวงพ่อ” ทำ ทีนี้มาถึงตัวอาตมาเอง ตอนเป็นนักเรียนทหารสอบอะไร ๆ ก็ผลออกมายอดเยี่ยม เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ซะเรื่อยไป แม้แต่วิชาแผนที่ – เข็มทิศ ที่เป็นยาขมหม้อใหญ่ ก็ไม่เห็นยากสักนิด แต่บังเอิญตัวเองความจำดี เลยแยกไม่ถูกว่าเป็นอานุภาพของคาถา หรือตัวเองจำแม่นกันแน่...?
พอมาบวชเข้าคราวนี้ชัดเลย สอบนักธรรมไม่ว่าจะเป็นนวกะ ตรี โท เอก อ่านหนังสือเองแล้วไปอาศัยสนามสอบในเมือง วิธีอ่านหนังสือคือ เอาหนังสือวางบนอกแล้วกรนคร่อก ๆ ตามสบาย... เที่ยงจะไปสอบ เช้ายังนอนตีพุงอยู่เลย พอรับข้อสอบมา คว่ำกระดาษว่าคาถาซะรวดเดียว ๑๐ จบ แล้วตะลุยโลด รู้สึกมีพลังลึกลับแทรกมาทางขม่อม มันให้รู้ไปหมด ว่าควรเขียนอย่างไร ควรตอบอย่างไร...! ๑๕ นาทีเสร็จเหมือนกัน ส่งกระดาษคำตอบแล้วกลับมานอนต่อ ใช้วิธีแบบนี้มาตลอด สอบได้ทุกที คะแนนยอดเยี่ยมซะด้วย จนพนันกันว่า ถ้าอาตมาสอบตกจะต้องเลี้ยงโต๊ะจีนทั้งวัด จนป่านนี้ยังไม่มีใครได้ฉันสักคน...!
ตอนสอบนักธรรมเอก อาตมาป่วยเป็นไวรัสลงตับ ซังกะตายไปสอบอย่างนั้นเอง หนังสือตั้งเบ้อเร่อออกแค่ ๗ ข้อ น่าตกหยอกใครล่ะ...แถมป่วยจนไม่ได้อ่านด้วย ก็ต้องเล่นคาถาตามเคยซิ...! พอว่าคาถาจบ มือมันเขียนเองจนบังคับแทบไม่ได้
ตอนไหนเสือกรู้ดีไปแก้ ความรู้จะขาดวับไปเลย ทำต่อไม่ได้ จนยอมตอบตามความรู้สึกนั่นแหละ จึงต่อติดทำได้เหมือนเดิม จะยากง่ายแค่ไหนก็ ๑๕ นาทีเสร็จ...
ถ้ากรรมการออกข้อสอบรู้ว่า ข้อสอบที่ท่านพยายามเค้นออกมาเล่มละ ๑ ข้อนั้น คนไม่อ่านหนังสือก็ทำได้ คงแค้นจนแทบกระอักโลหิตตาย ก็ช่วยไม่ได้นี่ครับ “หลวงพ่อ” ของผมเก่งนี่นา...!
๑๓ เมษายน ๒๕๓๓
พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
หมายเหตุ : ตอนนั้นหมอวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสลงตับ มาตอนนี้ทราบชัดว่าที่จริงแล้วเป็นมาเลเรีย...!
๙ สิงหาคม ๒๕๔๙
พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ