กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องบูรพาจารย์ > ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน

Notices

ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน รวมประวัติ ปฏิปทาของครูบาอาจารย์อันเป็นที่เคารพจากทั่วเมืองไทย

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #481  
เก่า 28-06-2020, 13:28
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

หลวงตากับหนู

มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในช่วงจำพรรษาที่ห้วยทราย ทำให้ท่านต้องได้เอ่ยเรียกแมวให้มาขู่หนู ดังนี้
“... เราจะพูดเรื่องหนู เราก็ตัวเท่าหนูตัวหนึ่ง.. มันก็ทำให้แปลกใจเหมือนกัน มันเป็นอะไร หรือว่าแมวนี้มันมีหูทิพย์ตาทิพย์ ในห้องนั้นเอาหมอนแขวนไว้ ที่แขวนก็เพราะกลัวหนูจะกัดนั่นเอง ถึงเอาเชือกมาผูกหมอนนี้แขวนเอาไว้ ก็หนูนี่แหละขึ้นไปกัดเชือกขาดตกลงมา แล้วหนูอีกนั่นแหละเป็นผู้ขยำหมอนแหลกหมด


เราไปเห็นเข้าจึงพูดว่า ‘แมวมันไปไหน ดงนี้ไม่มีแมวเหรอ ทำไมหนูถึงได้พิลึกนักหนา หนูมันมาทำลายศาสนาแหลกหมดแล้วนี่ เห็นไหมในห้องนี้น่ะ’ เราว่างั้น

พอดีตอน ๕ โมงเย็นมันแปลกอยู่นะ เณรไปบอกว่า ‘ที่ครูอาจารย์ถามหาแมว เรียกหาแมวเมื่อเช้านี้ มันมาจริง ๆ แล้วนะ’

‘มันมาอยู่ไหนล่ะ’

‘มันมาอยู่ใต้ห้องเก็บหมอนนั้นแล้ว’ เณรตอบ

เราถาม ‘เอ๊ะ ทำไม มันมาได้ยังไง ?’

‘ก็ไม่ทราบ แมวตัวใหญ่มาก’ เณรว่างั้น

‘มันอยู่ไหนล่ะ’

‘มันหมอบอยู่ใต้ห้องนั้นละ อยู่ที่พื้น’

เณรว่ามันอยู่พื้น แต่ความจริงมันอยู่ใต้ห้องที่หนูกัดหมอนนั่นแหละ ‘อยู่ตรงไหนนะ เราจะไปดูหน่อย’ เราจึงเดินไปดู ไปดูมันอยู่นั่นจริง ๆ ด่าง ๆ สีกระต่ายบ้าง สีขาวบ้าง

ส่วนพระท่านมายืนดูอยู่เต็มไปหมด แล้วแมวเหล่านั้นมันไม่เคยมีมา ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วก็มีมาบันดลบันดาลเอาวันนั้น อันนี้เราก็ไม่ได้พูดว่าเราศักดิ์สิทธิ์นะ เราพูดถึงเรื่องแมว มันมีหูทิพย์ตาทิพย์ต่างหากนะ

เราจึงบอกแมว พูดกับแมวว่า ‘มึงอย่าไปหากัดหนูนะ กูเรียกพวกมึงมาเฉย ๆ’

แล้วแมวทั้งหลายเหล่านั้นก็มาแทบทุกวัน พอ ๕ โมงเย็นมาแล้ว เดินฉากโน้นฉากนี้.. ตรวจตราปราบขู่หนู ทีนี้พอตกกลางคืนนี้ เขาจะทำท่าฉลาดมากนะ เขาจะร้องเสียงดัง อ๊าว ๆ ๆ อยู่รอบวัด ตั้งแต่นั้นมาหนู... เงียบเลย นี่มันก็แปลก...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 28-06-2020 เมื่อ 16:33
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 18 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #482  
เก่า 29-06-2020, 12:22
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บ้านหนองกะปาด

“... บ้านหนองกะปาด (อ. คำชะอี จ.มุกดาหาร) เขาเลี้ยงวัวฝูงไว้ วัวฝูงนั้นเมื่อพ่อค้าเขาไปติดต่อ เขาก็ไปซื้อที่เจ้าของเลี้ยงวัวฝูงไว้นั้น ทีนี้พ่อค้าเขาจะให้ตัวละ ‘๓ บาท’ แต่เจ้าของนั่นจะเอาตัวละ ‘๔ บาท’

ทางนั้นให้เขา ๓ บาท ทางนี้ก็ ๔ บาท เรื่อย ๆ ..

เจ้าของผู้ขายวัวมันนั่งชันเข่า มันปล่อยหำไว้นี่น่ะ เรื่องจริงมันเป็นอย่างนั้นว่าไง อันนี้เขาก็มาซื้อวัว เขาจะให้ตัวละ ‘๓ บาท’ ทางนี้ก็ ‘๔ บาท ๆ’ พอดีเมียมันขึ้นมา มันนั่งอยู่ชานกับลูกค้าที่เขามาซื้อวัว พอขึ้นมา มาเห็นผัวนั่งชันเข่า ปล่อยหำเข้าใจไหม ปล่อยหำ

เมียมันเห็นมันอายซิเมีย เมียขยิบตาใส่ปั๊บ เข้าใจไหมล่ะ มันเห็นหำผัวละมันอายเขา ขยิบตาใส่ผัว

ผัวนึกว่าเมียให้ขึ้นราคา พอเมียขยิบตาปั๊บทางนี้ก็ ‘๕ บาท ๆ’ เลย เมียก็เข้าไปในห้อง

‘อู๊ย ตั้งแต่ ๓ กับ ๔ บาทก็ยังไม่ลงกันได้ ทำไมอยู่ ๆ ก็ไป ๕ บาท ๖ บาทยังไงนี่ ไม่เอาแล้วเรา’

เขาก็ลงไป พอเขาลงไปแล้วเมียก็ออกมาบอกว่า ‘ที่เขาจะซื้อตัวละ ๓ บาท มันก็น่าจะขายให้เขาได้แล้วนี่นะ’

‘เอ้า ก็เธอขยิบตาใส่ฉันว่าให้ขึ้นราคา ฉันก็ขึ้นราคาละซิ’

‘ไม่ขยิบยังไง ปล่อยหำให้เขาเห็น มันอายเขาจะตายแล้ว อู๊ย.. เสียดาย เขาไปได้ห้าทวีปแล้ว’

นี่ละ หำนี้หำขาดทุน เข้าใจไหม มันปล่อยหำ หำขาดทุน ไม่ได้กำไร ๔ บาทก็เลยไม่ได้ ยังจะบืนเอา ๕ บาทอยู่ เขาก็เปิดละซี...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2020 เมื่อ 17:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 15 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #483  
เก่า 29-06-2020, 12:41
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ท่านพ่อลีกับสมเด็จฯ

“... สมเด็จมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) วัดบรมนิวาส กรุงเทพฯ ท่านพูดเรื่องอาจารย์ลี ที่วัดอโศการามนั้นแหละ ท่านนิมนต์ท่านอาจารย์ลีไปที่นั่นเสมอ ท่านมหาสมบูรณ์ด้วยนะ ที่เป็นคู่ติดกันนั้นละ

ก็มีท่านอาจารย์ลีนี่แหละที่เข้ากับท่านได้สนิท มีขู่มีอะไรได้ ขู่สมเด็จฯ ได้เชียวนะท่านอาจารย์ลีน่ะ เพราะท่านนิสัยอาจหาญด้วยนี่นะ พอมาถึงท่านใส่เอาเลย พูดอะไรก็ไม่รู้นะ พูดถึงหลักภาวนา

‘ท่าน (สมเด็จฯ) ก็ไม่ค่อยเชื่อ เรื่องสมาธินี่นะ ท่านไม่ค่อยเชื่อ’

ท่าน (อาจารย์ลี) ว่า ‘แต่ท่าน (สมเด็จฯ) ก็สนใจนะ ท่านหาเหตุผล ท่านศึกษา แต่ท่านไม่เชื่อ ท่านสอบถามเราว่าอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องภาวนา.. เราก็สอดแทรกเข้าไปให้ท่านได้เป็นคติ แต่ท่านก็ยังไม่ยอม.. ในใจของท่านก็ยังไม่ลง

‘มันเป็นยังไงนะ จะดัดผู้เฒ่าองค์นี้ซักหน่อยนะวันนี้ คอยฟังนะ ไม่นานหรอก’ (อาจารย์ลี) กระซิบบอกพระ

สักพักเดียว (สมเด็จฯ) ก็บอกพระว่า ‘เอาท่านลีขึ้นไปเดี๋ยวนี้ เป็นไร ๆ เป็นไข้ตัวสั่นเชียว ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ดี ๆ ก็ตัวสั่น’

‘อ๋อ.. มันไม่เป็นอะไรหรอก ถ้าเราภาวนาเดี๋ยวก็หายสั่น นี่ไม่ภาวนามันก็สั่นนะซิ’ ท่าน (อาจารย์ลี) พูดไป

สมเด็จฯ ก็มองหน้าแต่ไม่พูด

ท่านอาจารย์ลี พูดอีก ‘เดี๋ยวมันก็หาย แบบนี้มันสั่นแบบไม่มีภาวนา ถ้ามีภาวนา.. เดี๋ยวสั่นมันก็หายเอง’

ท่านว่า ท่านเพ่งจิตใส่อย่างนั้น ดัดท่านสมเด็จฯ หลายครั้งหลายหน บางทีเอาร้อน ๆ ร้อนไปทั้งตัว เป็นฟืนเป็นไฟเลยนะ

สมเด็จฯ ท่านว่า ‘ไม่รู้เป็นอะไร อยู่ดี ๆ ก็ร้อนขึ้นมาเฉย ๆ’

แล้วอาจารย์ลีก็ค่อย ๆ สอน คอยแทรกหลายครั้งหลายหน สมเด็จฯ ท่านลงกับท่านอาจารย์ลีนะ

สมเด็จฯ ท่านเล่ามาว่า ‘ท่านอาจารย์ลีมีอะไรสำคัญนะ หลายครั้งหลายหนมีลักษณะเป็นการมาดัดเรา อยู่ดี ๆ มาทำให้เป็นไข้ตัวสั่น พอท่านลีขึ้นมาก็หายเลย แล้วอยู่ดี ๆ ตัวร้อนขึ้นมาเป็นฟืนเป็นไฟ พอเรียกท่านลีขึ้นมาก็หายเลย สงสัยท่านลีคงจะทำเราแหละ’

สมเด็จฯ ท่านพูดเองนะ ครั้นพอท่านอาจารย์ลีมาพูด ก็แบบเดียวกัน ‘นี่ทำสมเด็จฯ ซะหน่อย ผู้เฒ่าทิฐิสูง’ คือท่านเป็นคนทำเอง นี่แหละ ท่านพูดไม่ยิ้ม ไม่ขบขัน แต่เราหัวเราะจะตาย

ท่านอาจารย์ลี ท่านรุนแรงด้านจิต พลังจิตอย่างที่ว่าแหละ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-06-2020 เมื่อ 18:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 14 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #484  
เก่า 29-06-2020, 23:27
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

พระสาวก.. ครั้งพุทธกาล

องคุลีมาล

พระพุทธเจ้าและพระสาวกอรหันต์ผู้ชำนาญ มิได้มองลักษณะคนเพียงภายนอกที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น ทรงมองสัตว์โลกด้วยพระญาณหยั่งทราบ รู้รอบการเกิด การตาย และอุปนิสัยแห่งสัตว์ และยังสามารถจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ สามารถพลิกชีวิตผู้ที่กำลังดิ่งอเวจีมหานรก มาสู่การบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เช่น “องคุลีมาล” ดังองค์หลวงตาได้เทศนาไว้ ดังนี้
“... พระองคุลีมาล นั่นมีอุปนิสัยถึงขั้นจะเป็นพระอรหันต์ แต่ก็เพราะความหลงกลของความชั่วช้าลามก พระองคุลีมาลเป็นเด็กอยู่ในสำนักอาจารย์เดียวกัน.. เป็นเด็กดี เด็กทั้งหลายไม่ดี.. มันก็ขี้อิจฉากันซี รวมหัวกันยกโทษองคุลีมาลว่าไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่เด็กคนนี้ดี คืออาจารย์รักนั่นเอง อิจฉา.. เห็นว่าเด็กคนนี้ดี อาจารย์รัก เลยไปฟ้องอาจารย์ให้พลิกสติปัญญาเสียใหม่ แล้วเชื่อกลอุบายของพวกลามกนี่ล่ะ ‘เอ้อ.. เราจะจัดการทีหลัง’ จากนั้นจึงหากลอุบาย เพราะองคุลีมาลบอกนอนสอนง่ายนี่นะ คนดีมันก็ตรงไปตรงมานั่นซี อาจารย์ก็บอกว่า ‘ให้ไปฆ่าคนให้ได้ถึงพันคน ฆ่าใครตายแล้วให้เอาเล็บมาหนึ่งเล็บ พอฆ่าคนถึงพันคน.. ได้เล็บหนึ่งพันเล็บแล้วมา เราจะประสิทธิ์ประสาทวิชาให้’


ทางนี้ก็เชื่อแบบเถรตรงอย่างว่านะ ก็ไปตามฆ่าคน ฆ่าไป ๆ ทีนี้แม่.. ความกังวลก็สุดหัวใจว่างั้นเถอะ สุดท้ายก็ตัดสินใจจะไปหาลูก ลูกมันไม่ได้ว่าแม่นะ.. มันจะเอาเล็บเท่านั้น มันไม่ได้คิดว่าแม่ว่าพ่ออะไร ไม่ได้คำนึงถึงบาปถึงบุญ.. มีตั้งแต่คำนึงถึงวิชาที่จะเอาให้ได้ครบ

พระพุทธเจ้าทรงเล็งญาณเห็นไหมล่ะ ‘โอ๋ ตาย องคุลีมาลนี้ถ้าเทียบแล้ว ตัดกิ่ง ตัดก้าน ตัดดอก ตัดใบ หดเข้ามา ๆ แล้ว คราวนี้เป็นคราวสุดท้ายก็จะถอนลำต้นนี้ขึ้น.. ไม้ต้นนี้ก็จะตาย ตัดกิ่งก้านสาขา ดอกใบไม่ถึงตาย.. ยังไม่เสีย ถ้าถอนต้นโค่นต้นมันลงแล้วตาย ฆ่าใครก็ตามกี่คนก็ตาม.. เหมือนกับตัดกิ่งตัดก้านเข้าใจไหม ยังไม่สามารถที่จะทำลายอุปนิสัยของพระอรหันต์ได้.. ถ้ามาฆ่ามารดาเสียอย่างเดียวเท่านั้น.. หมดเลย

พระองค์ทรงทราบแล้ว พอตื่นเช้ามาก็เสด็จไปเลย หาองคุลีมาล ไปก็ไล่จะฟัน จะฆ่าพระพุทธเจ้าเอาเล็บ พระพุทธเจ้าก็หลบหลีก

นี่ก็วิ่งไล่ บอกว่า ‘หยุด ๆ’

ท่านก็เอาธรรมะตอบมา ‘เราหยุดแล้ว มีแต่เธอวิ่งตลอด ๆ วิ่งทำความชั่ว’ นั่นเห็นไหมล่ะ ‘เราหยุดทำความชั่วมานานแล้ว หยุดน่ะ.. หยุดทำความชั่ว’

เวลาท่านแก้นะ ทางนี้ไล่ตามท่าน ท่านวิ่ง บอกให้ท่านหยุด ท่านบอกท่านหยุดแล้ว ยังไม่หยุดแต่เธอ.. กำลังจะสร้างบาปสร้างกรรมตลอดเวลา ฟังสะดุดกึ๊กเลย นี่ละ.. อุปนิสัยมี

ทรงเล็งญาณทราบแล้วก็รีบมาสกัด ไม่งั้นหลังจากนั้น.. แม่มาแล้วก็จะฆ่าแม่ ทีนี้อุปนิสัยนี้เหมือนกับถอนต้นไม้ขึ้นทั้งรากเลย .. หมด .. พระองค์จึงมาสอน แล้วได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา นี่ละเรียกว่าเล็งญาณดู

ภัพพา ภัพเพ วิโลกานัง ทรงเล็งญาณดูสัตวโลก ใครมาข้องแห่งตาข่ายคือพระญาณหยั่งทราบ ก็เสด็จไปโปรดคนนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2020 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #485  
เก่า 29-06-2020, 23:36
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

๘. วัดป่าบ้านตาด สมรภูมิฝึกทายาทธรรม

ความเจ็บป่วยของโยมมารดา ทำให้องค์หลวงตาต้องได้หวนกลับมาที่บ้านเกิด และได้สร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นตั้งแต่บัดนั้น กลายเป็นวัดที่เรียบง่าย ไม่หรูหรา แต่มีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด และเข้มข้นที่สุดแห่งหนึ่งในวงกรรมฐาน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2020 เมื่อ 02:41
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #486  
เก่า 29-06-2020, 23:57
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ความเป็นมาของวัดป่าบ้านตาด

พรรษาที่ ๒๓ – ๗๗

(พ.ศ. ๒๔๙๙ – ๒๕๕๔)

จำพรรษาที่วัดป่าบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

โยมมารดาป่วย หวนกลับบ้านตาด

ด้วยเหตุที่โยมมารดาล้มป่วยด้วยโรคอัมพาต องค์หลวงตาจึงพากลับมารักษาตัวที่บ้านตาด หมอที่รักษาโรคอัมพาตใช้อ้อยดำผสมในสูตรยาด้วย ท่านจึงหาอ้อยดำมาปลูกไว้ข้าง ๆ กุฏิของโยมมารดา หมอทำการรักษาอยู่ถึง ๓ ปี โรคจึงหายขาด

จากการที่ต้องอยู่พยาบาลโยมมารดาเป็นเวลานาน ทั้งโยมมารดาก็มีอายุมากแล้ว การจะหอบหิ้วไปอยู่ด้วยกันในสถานที่ทุรกันดารตามอัธยาศัยเดิมของท่าน.. ที่ชอบหลีกเร้นแต่ผู้เดียวนั้น ก็มีแต่จะสร้างความลำบากให้กับโยมมารดามาก ความคิดก่อตั้งวัดป่าบ้านตาดจึงเกิดขึ้นด้วยเหตุผลนี้เอง

ประจวบกับเวลานั้น ชาวบ้านตาดก็ได้ยินกิตติศักดิ์ กิตติคุณของท่านมานานแล้ว มีความประสงค์อยากให้ท่านตั้งวัดขึ้นเช่นกัน จึงได้พร้อมใจกันถวายที่ดิน ทำให้วัดป่าบ้านตาด เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นต้นมา ท่านเล่าเหตุการณ์ในช่วงนั้นไว้ ดังนี้
“... ทีแรกเรามาพักอยู่นอกบ้านทางนู้น เขาจึงนิมนต์ให้มาพักที่ตรงนี่ มีสองเจ้าภาพถวายที่ดิน จึงกลายเป็นวัดขึ้นมา แล้วก็สงบ สงัดดี เป็นเอกเทศ


ประจวบกับโยมมารดาบวชชี เมื่อมีอายุครบ ๖๐ ปีพอดี ส่วนโยมบิดานั้นได้สิ้นชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้วตอนอายุ ๕๕ ปี จากนั้นเราจึงได้พาโยมมารดาไปจำพรรษาด้วยที่จังหวัดจันทบุรีเป็นเวลา ๑ พรรษา โยมมารดาได้ล้มป่วยลงด้วยโรคอัมพาต จึงหวนกลับพามารักษาตัวที่บ้านตาด

โรคของโยมมารดาถูกกับยาหมอที่อยู่บ้านจั่น ซึ่งไม่ห่างจากบ้านตาด (ประมาณ ๔-๕ กิโลเมตร) เรามาพักและรักษาโรคของโยมแม่พร้อม ๆ กัน ทีนี้พอนาน ๆ ไปก็เลยกลายเป็นสร้างวัดป่าบ้านตาดขึ้นมา เรื่องมันเป็นอย่างนั้น...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2020 เมื่อ 02:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 13 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #487  
เก่า 30-06-2020, 15:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สร้างวัดป่าบ้านตาด

ชาวบ้านตาดเล่าว่า ในเบื้องต้นเมื่อองค์หลวงตาพาโยมมารดากลับจากจันทบุรี ได้พาโยมมารดาและคณะมาพำนักอยู่ที่บริเวณเหล่าภูดิน ซึ่งเป็นที่ดินของโยมบิดามารดาของท่าน และอยู่ทางทิศตะวันออกของโรงเรียนอุดรธรรมานุสรณ์ ซึ่งเป็นโรงเรียนมัธยมศึกษา และตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของบ้านตาด ติดถนนสายบ้านตาด-กกสะทอน

ต่อมาคุณตาก้อน วังคำแหง*๑ และคุณตาบุดสา บัวสอน*๒ ซึ่งมีที่ดินอยู่ติดกัน ได้นิมนต์ไปดูที่ดินซึ่งทั้งสองจับจองไว้ โดยแปลงหนึ่งเป็นที่ดินหัวไร่ปลายนาของคุณตาก้อน ซึ่งมีลักษณะเป็นที่สูงและไม่สามารถใช้ทำนาได้ คุณตาก้อนนี้มีที่น่าอยู่ด้านทิศเหนือทางเข้าวัดป่าบ้านตาด ตั้งแต่ประตูหน้าวัดจนถึงสระน้ำ ส่วนคุณตาบุดสาได้ถวายที่ดินที่ได้จับจองไว้ทำไร่ทำสวนให้แก่องค์ท่าน กว้าง ๘ เส้น ยาว ๘ เส้น ซึ่งอยู่ติดกันกับที่ดินของคุณตาก้อน และเมื่อรวมที่ดินทั้งสองแปลงสองเจ้าของเข้าด้วยกัน จึงเป็นเขตวัดป่าบ้านตาดมาแต่เริ่มแรก

ส่วนชื่อวัดป่าบ้านตาดที่มีชื่อเป็นทางการว่า วัดป่าเกษรศีลคุณ นั้น หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ แห่งวัดป่าบ้านนาคูณ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งอยู่กับองค์หลวงตามาตั้งแต่เริ่มตั้งวัดในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ อธิบายว่า เป็นนามขององค์หลวงตา คือ “บัว” ซึ่งเป็นชื่อของดอกไม้ (คำว่า “เกษร” แปลว่า ดอกไม้)

เกี่ยวกับสภาพวัด และการดำเนินการในช่วงเริ่มต้นสร้างวัดนั้น องค์หลวงตาเคยกล่าวไว้เช่นกันว่า
“... วัดป่าบ้านตาด เมื่อเริ่มสร้างวัดใหม่ ๆ มีพระเณรอยู่ด้วยกันหลายรูป ตอนที่เรามาสร้างวัดนี้นะ วัดนี้เป็นดงทั้งหมด ติดต่อจากนี้ไปถึงอำเภอหนองแสง เป็นดงใหญ่ทั้งนั้น ทะลุปรุโปร่งไปหมด มีแต่ดงแต่ป่า สัตว์นี้เต็มไปหมด มีทุกประเภทของสัตว์ ช้างเป็นโขลง ๆ เต็มดง กระทิง วัวแดง กวาง หมูเป็นฝูง ๆ ฝูงละเป็นร้อย ก็มีหมูป่าในดงนี้ พวกเก้ง พวกกวาง พวกอะไร.. ไก่ป่า ไก่ฟ้า อีเห็น เม่น เต็มดงนี้...


หมูป่าเป็นฝูง ๆ ยังพากันมาอาศัยนอน และเที่ยวหากินอยู่ตามบริเวณหน้ากุฏิพระเณรในเวลากลางคืน ห่างจากที่ท่านเดินจงกรมราว ๒-๓ วาเท่านั้น ได้ยินเสียงมันขุดดิน หาอาหารด้วยจมูกดังตุ๊บตั๊บ ๆ อยู่ในบริเวณนั้น ไม่เห็นมันกลัวท่านเลย เวลาท่านเรียกกันมาดูและฟังเสียงมันอยู่ใกล้ ๆ ก็ไม่เห็นมันวิ่งหนีไป ยังพากันเที่ยวหากินตามสบายในบริเวณนั้นแทบทุกคืน ทั้งหมูและพระเณรเคยชินกันไปเอง แต่ทุกวันนี้ยังมีเหลือเล็กน้อย และนาน ๆ พากันมาเที่ยวหากินทีหนึ่ง ... ต่อไปไม่กี่ปีคงจะเรียบไปเอง

ต้นไม้เดี๋ยวนี้ใหญ่โตแล้ว (ปี ๒๕๕๐) ตอนตั้งวัดแต่ก่อนไม่มี (ชี้ไปทางกุฏิองค์หลวงตา) ถูกเขาทำลายทำสวน ป่าราบไปหมด.. ๕๐ ปีได้ขนาดนี้ต้นไม้ เรียกว่าคนละโลกไปเลย มาอยู่ที่นี่ ทีแรกเป็นป่าเบญจพรรณ ป่าอะไร (ชี้ไปทางด้านหน้าศาลา) .. พอมาสร้างวัด ต้นไม้ก็ขึ้นขนาดนี้.. ๕๐ ปี ดงต่อกันนะ นานี่ไม่มี เป็นดงต่อไปเป็นดงใหญ่ พวกหมู กวาง เก้ง หมี เสือ สร้างวัดทีแรกมันผ่านเข้ามาในวัด มันเดินผ่านทางที่เข้าบ้าน เสือโคร่งใหญ่ ก็ป่าเขานี่มันผ่านไปผ่านมา .. พวกหมี พวกเสือโคร่ง ผ่านไปผ่านมา

ท่านแสวง (ดูว่าไปตายที่วัดเขาน้อยละมั้ง) ท่านกลัวหมี ทีแรกมันออกมากุฏิเรา กุฏิเราเป็นกระต๊อบ พอมาเจอกุฏิเราเข้า ตีสามมันจะข้ามไปดง ข้ามไปข้ามมา หมีใหญ่ ตัวใหญ่ตัวดำ ๆ เดือนหงาย ๆ มันออกมาหาเรา แต่ยังไม่ทันเห็นเรา เสียงมันดังโครมคราม ๆ มาเจอกุฎิเราแล้วก็เลาะไปเจอเอากุฏิพระแสวง กุฏิมีแต่กระต๊อบนะ พระแสวงยืนตัวสั่นอยู่ในกระต๊อบ มันออกมาเจอกระต๊อบ มันก็หลบอีก มันไม่ผ่าน หลบไปทางนู้น หมีใหญ่มีสองสามตัว รอยมันผ่านไปผ่านมา เดี๋ยวนี้หมด เสือไม่มี พวกสัตว์เนื้อหมด เขาตั้งอำเภอแถวนั้นแหละ ดงใหญ่...

แถวนี้ไม่มีต้นไม้ (ชี้ไปทางกุฏิองค์หลวงตา) เป็นพุ่มหมดเลย ใหญ่ขนาดนี้ต้นไม้ มันเป็นดงเก่าเขามาทำไร่ทำสวน เตียนโล่งไปหมด พอเรามาสร้างวัดที่นี่มันขึ้นใหม่นะนี่ ต้นใหญ่ ๆ ขึ้นใหม่หมดเลย ประมาณ ๕๐ ปี พระก็ดูเหมือน ๑๒ องค์ ปีแรกมาอยู่นี่ ๑๒ องค์ เขารับจำกัด ๑๘ องค์ ..

วัดป่าบ้านตาด (ระยะต่อ ๆ มา) .. มีเนื้อที่กว้างขวางก็ดี ทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม เพราะวัดนี้เป็นวัดของแผ่นดิน ทำประโยชน์ก็เพื่อแผ่นดิน

ตั้งแต่สร้างวัด เราก็ทำประโยชน์เรื่อยมา ถนนหนทางทำตั้งแต่บ้านดงเค็งเข้ามาถึงบ้านตาด ให้ลูกศิษย์ลูกหาช่วยกันทำเรื่อยมา

ถนนจากหมู่บ้านเข้ามาถึงวัดนี้ก็เหมือนกัน นี่เราทำเอง ขอชาวบ้าน ขอลูกเต้าหลานเหลนทำ ทางมา แหวกทางมา ขอมาเรื่อย ๆ แล้วก็ขึ้นค่าสินน้ำใจเขา เราไม่ขอเอาเฉย ๆ เราให้ค่าสินน้ำใจตอบแทน ค่าตอบแทนเราก็ไม่ให้ต่ำ ให้สูงไว้เสมอ ๆ เพราะฉะนั้น สองฝั่งทางนี้มันจะมีหลักฝังอยู่ นี่เราก็จ่ายเงินเขาไปหมดแล้ว

สระน้ำหน้าวัดนี้ก็เหมือนกัน เราก็ทำให้เพื่อชาวบ้าน ทางสายหน้าวัดนี้แต่ก่อนมันเป็นดงนะ มันไม่มีบ้าน นี่เราขอเอาไว้ก่อนเลย

หลวงตาบิณฑบาต ไม่ได้บิณฑบาตแต่ข้าวอย่างเดียวนะ แม้กระทั่งถนนหนทางก็ขอบิณฑบาต ขอไปไหนได้หมด เขาก็ว่า ‘อู้ย ! หลวงตาขออะไรได้หมดแหละ’

และเขาก็ให้หมดจริง ๆ นะ ถนนหนทางมันจึงกว้าง ...”

........................................................................

*๑ องค์หลวงตาเรียกคุณตาก้อนว่า “ผู้เฒ่าก้อน” หรือ “พ่อออกสิน” เป็นการเรียกชื่อตามชื่อลูกคนโต ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวอีสาน คุณตาก้อนมีความเกี่ยวพันเป็นญาติผู้น้องของโยมมารดาขององค์หลวงตา โยมบิดาและโยมมารดาเรียกคุณตาก้อนว่า “น้าบ่าว”

*๒ องค์หลวงตาเรียกคุณตาบุดสาว่า “พ่อออกใจดี” หรือ “เฒ่าใจดี” เพราะความสนิทสนมคุ้นเคยกันแต่ครั้งเป็นฆราวาส โดยองค์หลวงตาเป็นเพื่อนกับน้องชายคนหนึ่งของคุณยายสีกา ภริยาคุณตา วันหนึ่งได้ซ้อมมวย เตะต่อยชกกันเล่นตามประสาวัยรุ่น แล้วถูกคุณยายสีกาผู้เป็นพี่สาวดุด่า กล่าวหาว่าเป็นเรื่องน่ารำคาญ ไร้สาระ อันเป็นการบอกสอนปรามน้อง ๆ ด้วยเกรงจะไปในทางไม่ดี ในขณะที่คุณตาบุดสาผู้เป็นสามี แม้จะนั่งดูหรือเห็นการชกต่อยของน้อง ๆ คุณตาก็ไม่ได้ว่ากล่าวใด ๆ คงนิ่งเฉยเสีย แม้ในเวลาต่อ ๆ มา คุณตาก็จะไม่ค่อยพูด เป็นลักษณะของคนใจดี องค์หลวงตาจึงเรียกคุณตาว่า พ่อออกใจดีหรือผู้เฒ่าใจดีตลอดมา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2020 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #488  
เก่า 30-06-2020, 16:11
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ฝังลึกคำพูด “ผู้เฒ่าก้อน”

เมื่อถึงคราวต้องสร้างวัด การปรับที่ปรับทางก็มีความจำเป็นขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้ท่านซึ้งในน้ำใจของคุณตาก้อน ญาติฝ่ายโยมแม่ ชนิดฝังลึกไม่มีวันลืม ดังนี้
“... ทีแรกเรามาพักอยู่นอกบ้านทางนู้น เขาจึงนิมนต์ให้มาพักตรงนี้ มี ๒ เจ้าภาพถวายที่ดินจึงกลายเป็นวัดขึ้นมา ดูแล้วก็สงบสงัดดี เป็นเอกเทศ ... ทำถนนเข้ามานี่ สร้างวัดนี้ พ.ศ. ๒๔๙๘ เดือนพฤศจิกายน เดินบุกไปตามคันนา ไม่มีถนนหนทาง พอปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ผู้เฒ่าก้อนเจ้าของนา ๒ แปลงก็ให้ที่ดินทำถนน ทำจากสะพานหน้าวัดเข้ามา ให้เงินเท่าไหร่แกก็ไม่ยอมเอา ผู้เฒ่าก้อนแกบอกว่า
เงินไม่เอา จะเอาบุญนี้ ตัดทางเข้ามาเลย


เราจะเอาอะไรให้แกก็ไม่เอา ให้เป็นล้าน ๆ ก็ไม่เอา จะเอาบุญเท่านั้น คำพูดของผู้เฒ่าเรายังไม่ลืมฝังลึกมากนะ แกบอกว่า ‘จะไต่ไปทำไมคันนา พระตกคันนา มันไม่เหมือนเด็กน้อยตกนะ รีบไปทำถนนเข้าสิ พระตกคันนามันมีบาปด้วยละ’ ...

ผู้เฒ่าก้อนถวายที่ทั้งหมดให้เป็นวัด นาก็ให้เลย นาของแก ตัดทางเข้ามาเลย ผู้เฒ่านี่เป็นคนใจบุญนะ ใจบุญถวายที่นี่ ยกที่ดินถวายทั้งหมดเลยก็เลยได้อยู่ที่นี่ ผู้เฒ่าให้นา ผู้เฒ่านะ.. ตัดเข้ามา มันมีนาสองเจ้า มีเจ้าหนึ่ง ๆ ถ้าหากว่าเขาให้ก็ตัดตรงเข้ามา ถ้าเขาให้นา แบ่งนาให้เป็นทานนะ เราก็ตรงเข้ามาเลย ติดต่อเขาก็ง่ายนิดเดียว เขาอยากให้อยู่แล้ว เขาให้เลย จากนั้นทางมันจึงตรงเข้ามานี่ ...

พอเวลาผู้เฒ่าแก่มากเข้าจริง ๆ เราก็บอกว่า ‘ให้ตายใจ หลับตาให้สบาย หายห่วงนะ หลานจะเผาศพให้เอง’

เวลาผู้เฒ่าตายก็สั่งเขาให้มาเผาที่หน้าประตูวัดได้ แกเป็นเจ้าของที่นี่ เวลาตายก็เราเป็นเจ้าของศพ เป็นเจ้าภาพเลย.. ดูแลทุกอย่าง การทำบุญให้ทาน.. ให้ทุกอย่างครบหมดเลย เผาที่หน้าประตูวัด เราทำบุญให้ทานถึงผู้เฒ่าเรียบร้อยทุกอย่างเลย ...

ผู้เฒ่านี้เป็นน้องแม่ มามีเมียอยู่ทางนี้ เพราะฉะนั้น นา ๒ แปลงนี้จึงมีคุณค่ามาก ลึกซึ้งมากภายในหัวใจและในวัดนี้ เพราะคุณธรรมเป็นของลึกซึ้งมาก เงินล้านสู้ไม่ได้ อันนี้เป็นน้ำใจ น้ำเงินกับน้ำใจต่างกัน น้ำใจนี้ลึกซึ้งมาก...”

สำหรับคุณตาก้อนและคุณตาบุดสานั้น องค์หลวงตาได้แสดงออกให้คุณตาก้อนและลูกหลานเห็นว่า องค์ท่านระลึกถึงความดีงามที่คุณตาก้อนได้ถวายที่ดิน เพื่อสร้างวัดป่าบ้านตาดอย่างเสมอต้นเสมอปลายตลอดมา เช่น ในยุคแรกที่บุกเบิกวัดป่าบ้านตาด ซึ่งมีแม่ชีอยู่ ๔ ท่าน เวลาทำนาท่านจะให้แม่ชีนำกับข้าวมาแขวนไว้ที่ต้นไม้ ตรงคันนาหน้าวัดแล้วบอกว่า
“จะได้มีเวลาทำนา ไม่ต้องกังวลกับการหากับข้าว”


และเมื่อคุณตาก้อนถึงแก่กรรมในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ขณะอายุ ๘๙ ปี ท่านก็เมตตาให้นำศพของคุณตาก้อนไปเผาที่บริเวณหน้าวัดป่าบ้านตาด นอกจากนี้ ในยุคที่เหลือแต่ลูก ๆ ของคุณตาก้อน องค์ท่านก็ปรารภว่าไม่ปรารถนาเลย.. ในการที่จะให้ผู้มีศรัทธามาซื้อเอาที่ดิน ตรงบริเวณเหนือทางเข้าวัดป่าบ้านตาดมาเป็นที่ดินของวัด เนื่องจากเป็นที่ดินของผู้มีบุญคุณต่อวัดป่าบ้านตาด แต่เมื่อลูกหลานของคุณตาก้อนกราบเรียนว่า ได้ซื้อที่ดินแปลงอื่นทดแทนแล้ว องค์หลวงตาจึงยอมให้ผู้มีศรัทธาซื้อที่ดินนั้นถวายวัด

สำหรับคุณตาบุดสานั้นถึงคราวเจ็บป่วย จำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล องค์หลวงตาก็ได้เมตตารับผิดชอบเงินค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด และเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ขณะอายุ ๘๒ ปี คุณตาบุดสาก็ถึงแก่กรรมลง องค์ท่านได้เมตตาช่วยจัดงานศพจนแล้วเสร็จ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2020 เมื่อ 19:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #489  
เก่า 30-06-2020, 16:20
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

สัญชาตญาณรับผิดชอบ

เหตุการณ์คราวหนึ่งในช่วงกำลังสร้างวัดป่าบ้านตาด องค์ท่านเข้าปกป้องเด็กให้พ้นอันตรายโดยท่านเองยอมเจ็บปวดแสนสาหัส ดังนี้
“... ต่อนี้ปวดมาก ที่รู้ได้ชัดก็คือว่าอยู่ตะวันตกกุฏิเราไป พาเด็กเข้าไปในนั้น สร้างวัดใหม่ ๆ กุฏิของเราที่อยู่ทุกวันนี้ (ตอนนั้น) ยังไม่ได้สร้าง (เพิ่ง) มาสร้างวัดใหม่ ๆ


วันนั้นพาเด็กไปเอาอะไรอยู่ข้างใน แล้วมีต่อรังใหญ่รังหนึ่ง ทีนี้เถาวัลย์กับรังต่อนี่มันเกี่ยวกันกับสายทางที่เราจะไป พอไปผ่านนี่ปั๊บ มันก็กระเทือนรังต่อ มันก็ต่อยเอาเลย

แต่ทีนี้ ไม่มีใครไปผ่านละซีก็วัดป่าด้วย เป็นทำเลของเราอยู่ด้วย ใครไม่กล้าผ่านไปแถวนั้น พอเด็กอายุ ๑๕ ขวบเดินผ่านไป ผ่านเถาวัลย์.. นี่จับเถาวัลย์ดึง รังต่อมันติดอยู่ข้าง ๆ มันเกี่ยวโยงกันกับเถาวัลย์ พอไปดึงนี้ ต่อก็แตกรังออกมาเลย ทางไปนี้

มันใส่เด็กปั๊บ เด็กก็ร้อง “แว้” เด็กร้อง “แว้” เรามองดู มันเป็นต่อ

นี่ที่เรียกว่า สัญชาตญาณรับผิดชอบ มันเป็นของมันเอง พอรู้ว่าเป็นต่อเท่านั้นละ.. ปัดเด็กหนีเลย เพราะมันเป็นช่องเล็ก ๆ

ปัดเด็กออกไปเลย เรากันไว้ให้มันซัดเรา เราก็ยืนกันอยู่นั่น มันก็ฟาดหลังเราปุ๊บเลยต่อทั้งรัง

เด็กดูเหมือนจะตอดได้ตัวเดียวหรือไง อายุ ๑๕ ปีเป็นไข้เลยนะเด็ก ส่วนเรานับไม่ได้เลย ฟังซิ ว่าสัญชาตญาณยืนกันไว้เลย มันจะตามต่อยเด็ก.. ไม่ให้ไป ปิดประตูป่าช่องแคบ ๆ เรายืนกันไว้เลย มันก็ซัดเราเสียจน .. ฟาดเรากลางหลังหมดรังเลย ปวด.. เรากันไว้ให้มันซัดเรา ทีนี้พอเสร็จแล้วให้หมู่เพื่อนมาดู มันเป็นจ้ำ ๆ ๆ แดง ๆ หมดรัง ไข้เลย เด็กถูกต่อยตัวเดียวเท่านั้นก็เป็นไข้ ไอ้เราหมดรังเป็นไข้ทันทีเลย

ตีสอง ตีสามค่อยสงบ ตั้งแต่บ่ายสี่โมงนะ นี่เรียกว่ามันยกขบวนมันทั้งรังเลยนะ ใส่ข้างหลังเรา...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-06-2020 เมื่อ 19:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #490  
เก่า 02-07-2020, 21:59
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

บันทึกคำนิมิตฝัน

ขอยกนิมิตที่องค์ท่านบันทึกไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๔ ดังนี้
“... คืนวันที่ ๒๓ เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๔ ตรงกับขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ วันพุธ เวลา ๒๓.๐๐ น. ดังนี้


ขณะนั้นปรากฏว่า เราอยู่วัดแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในป่าเปลี่ยวมาก ห่างจากบ้านไม่มีประมาณ อยู่กับสามเณร ๓ องค์ ไม่รู้จักนาม คล้ายกับว่าเณรอยู่ในวัดของเราขณะนี้ เวลานั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนตรง เราพาเณรทำธุระอยู่หน้ากุฏี (กุฏิ) ห่างจากกุฏีประมาณ ๑๐ วาหลวงพอดี เสร็จแล้วล้างมืออยู่ที่หน้ากุฏีนั้นด้วยกัน พอต่างล้างมือเสร็จแล้วเราขึ้นไปกุฏีก่อนเณรทั้งสาม

กุฏีนั้นปรากฏว่าเป็นกุฏี ๒ ชั้น พอเราขึ้นไปถึงกุฏีชั้นบน ปรากฏว่ากุฏีชั้นบนนั้น.. บานประตูเปิดอยู่ก่อนแล้ว แต่เราไม่ได้นึกสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น จึงตรงเข้าไปในห้องกุฏี พอเข้าไปในห้องปรากฏในสายตาตรงประตูด้านตะวันตก ซึ่งเปิดบานอยู่แล้วเช่นกัน ก็ปรากฏเห็นรูปบุรุษคนหนึ่ง เดินผ่านหน้าประตูแวบเดียวด้วยความเร็วของเขา จึงนึกสงสัยว่าจะเป็นคนชนิดไร ขึ้นมากุฏีในกลางคืนซึ่งเป็นยามดึก ก็รีบสอดสายตาดักฟากมุมเสาตรงประตูด้านหนึ่ง ก็พอดีสายตาไปสบกับบุรุษนั้น ซึ่งลอบ ๆ มอง ๆ เข้ามาข้างในห้องที่เราอยู่

พอเราทราบว่าเป็นผู้ร้าย แน่ในใจแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ตรงเข้ามาถึงตัวเราทันที แต่ไม่ได้จับต้องกายของเราแต่อย่างใด เป็นแต่นั่งใกล้ชิดเรามาก แม้เราเองในขณะนั้น ก็ปรากฏว่านั่งกระโหย่งเช่นเดียวกับเขา แล้วจึงถามเขาว่า ‘เข้ามาทำไมกัน’

เขาก็ตอบทันที พร้อมทั้งมือข้างขวาก็ถือปืนสั้นทำท่าขู่เราอยู่ว่า ‘มาฆ่าท่านนั่นเอง’

แล้วเราก็ถามซ้อนอีกว่า ‘จะฆ่าอาตมาทำไม อาตมามีความผิดอะไร หรือท่านต้องการสิ่งของอะไรซึ่งมีอยู่ภายในกุฏี ก็เชิญถือเอาไปตามต้องการ จะมาฆ่าอาตมาเอาประโยชน์อะไรล่า ?’

เขาก็ตอบว่า ‘เมื่อท่านยังอยู่.. จะทำประโยชน์แก่พระศาสนามาก ใคร ๆ เขาก็นับถือท่านมากจนลือกระฉ่อนไปหมดแล้วเวลานี้ เฉพาะอย่างยิ่งหนังสือ “ปัญญาอบรมสมาธิ” ที่ท่านแต่งพิมพ์ไปแล้ว รู้สึกว่าคนสนใจและชอบมากจริง ๆ กำลังจะเป็นหนังสือตัวแทนของท่าน และเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว ถ้าหากว่าฝืนให้ท่านยังมีชีวิตอยู่ต่อไป ศาสนาจะเจริญขึ้นมาก คล้าย ๆ กับสมัยพระพุทธเจ้ายังอยู่และทรงประกาศศาสนาเอง ฉะนั้นผมเห็นเหตุนี้เองจึงจะรีบมาฆ่าท่านเสีย ศาสนาจะได้เสื่อมโทรมไป คนจะได้มืดมนหลงอยู่ในโลกนี้เป็นเวลานาน ๆ ผมนี้คือพญามาร เคยทำลายพระศาสนาและฆ่าพระมามากแล้ว’

ดังนี้ พอพูดกันจบลงเพียงนี้ ก็ปรากฏสามเณรทั้ง ๓ ขึ้นมา บุรุษคนนั้นไม่เห็นมีอาการสนใจอะไรกับเณร นอกจากคุมเชิงกับเราอยู่เท่านั้น เณรก็ไม่อาจพูดอะไรเช่นกันเพราะกลัวเขา ต่อจากนั้น เราก็พูดกับเขาอีกว่า ‘การที่ท่านมาที่นี่ ประสงค์จะฆ่าเราคนเดียวเท่านั้น ไม่ประสงค์อย่างอื่นใช่ไหม’ เขาตอบว่า ‘ใช่’

ถ้าเช่นนั้น เราขอกราบพระ สวดมนต์ และอำลาพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ก่อน เสร็จแล้วค่อยฆ่า เราไม่หนีไปไหนหรอก’ เขาก็ยอมให้ทำ

พอเสร็จแล้ว เราก็เริ่มสั่งเณรว่า ‘เราจะตาย นับแต่ขณะนี้เป็นนาทีสุดท้าย’ เณรก็ทราบอาการจะตายของเราทันที เพราะตัวเหตุผู้จะฆ่าก็นั่งรออยู่แล้ว พวกเณรเห็นถนัดทุกองค์ แต่ไม่กล้าพูดอะไรเพราะกลัวเขา จากนั้นเขาก็เริ่มเอาปืนจ่อเข้าตรงหน้าอกเรา เราเองไม่ปรากฏว่ามีความหวั่นไหวแม้แต่น้อย มีน้ำใจองอาจกล้าหาญจนวินาทีสุดท้าย ขณะที่เขายิงเรานั้นปรากฏเสียว ๆ ร้อน ๆ ที่ทรวงอกแพล็บ ๆ สองครั้ง ในขณะเดียวกันก็ปรากฏขึ้นเป็นคำว่า อรหํ – สวากฺขาโต – สุปฏิปนฺโนฯ ภายในใจอย่างแจ้งชัด โดยที่เรามิได้ว่า แต่เป็นคำปรากฏขึ้นมาเอง

พอเขาทราบว่าเราตายแล้ว เขาก็พาเณรลงจากกุฏีจะรีบหนี พอลงไปถึงหน้ากุฏี ก็มีคนจำนวนมากมารุมจับเขามัดคอไว้อย่างแน่น ตัวเราเองที่เข้าใจว่าเขาฆ่าตายแล้ว ก็มีความรู้สึกอันหนึ่งซึ่งเหมือนยังไม่ตาย แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ผ่านบ้านออกไปทางทิศเหนือ โดยรำพึงในใจว่า
‘การนิพพานเป็นอย่างนั้น โดยไม่มีความทุกข์ร้อนอะไรเลย แม้แต่ขณะจะตาย ในเวลาเขาฆ่าก็ไม่มีอาการเจ็บปวด ตายแล้วก็ไม่ทุกข์ สบายเช่นเดียวกับยังมีชีวิตอยู่’


กำลังเดินรำพึงอยู่อย่างนี้ ก็พอดีบุรุษนั้นวิ่งตามมาทัน แล้วกระโดดเข้าสวมกอดเราทันที เราก็รีบถามเขาอีกทันทีว่า ‘มาสวมกอดเราทำไม’ ตอบว่า ‘มาอาศัยท่าน เขาจะรุมฆ่าผม ผมไม่มีที่พึ่งแล้ว ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมด้วย’

เราจึงตอบเขาว่า ‘เวลาเป็นอยู่เห็นเราเป็นข้าศึก เวลาจะตายก็วิ่งมาพึ่ง นี่สมชื่อว่ามารเอาเสียจริง ๆ มารกับอสรพิษเป็นสัตว์ประเภทเดียวกัน ไม่รู้จักบุญคุณของใครทั้งนั้น รู้จักแต่ทำลายโดยถ่ายเดียว’

เขาไม่ตอบว่าอะไร นอกจากกอดรัดเราไว้ ทั้งกลัวเขาจะมาฆ่าจนตัวสั่นริก ๆ ไปเท่านั้น นิมิตมาถึงนี้ก็พอดีรู้สึกตัวตื่นขึ้น จึงทราบว่านิมิตฝันไป จึงรีบบันทึกไว้ในขณะนั้นนั่นเอง...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2020 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #491  
เก่า 02-07-2020, 22:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

นิมิตปืนจ่อยิง

เมื่อคราวมาอยู่วัดป่าบ้านตาดระยะแรก มีนิมิตเกิดขึ้นแบบถนัดชัดเจน ดังนี้
“... เรื่องนิมิตนี่แปลก ๆ มันเป็นหลายครั้งหลายหน ถ้านิมิตชนิดอย่างชัด ๆ จริง ๆ แล้วไม่ค่อยผิด หลายครั้งหลายหนที่เราเคยเป็น อย่างคราวมาอยู่ที่วัดป่าบ้านตาดทีแรกก็เหมือนกัน


คืนวันนั้น แหม ! นิมิตแสดงออกมานี้ จนกระทั่งเรานี้ไม่กล้าพูดอะไรให้ฟังเลย ทำไมนิมิตจึงเป็นอย่างนี้

นิมิตปรากฏว่า มีกำแพงรอบ เราไปอยู่ตรงกลาง ไม่มีทางออกเลย นายพรานมือแม่นปืนมาขอยิงเราต่อหน้า หันปากกระบอกปืนจ่อมาหาเรา ห่างกันไม่ถึงวา เราก็เปิดผ้าออก เหลือแต่เพียงผ้าอังสะแล้วพูดว่า ‘เอ้า ! ยิงเลย’

พอเขายิง ยิงยังไงก็ไม่เห็นถูก ดังเปรี้ยง ! เปรี้ยง ! อยู่เฉย ๆ จนกระทั่งลูกกระสุนดินดำหมด พอกระสุนหมดแล้วยอมเข้ามาหมอบกราบ ขอกราบท่านหน่อย หมดความสามารถแล้ว มีเท่านี้แหละความสามารถ พอกราบแล้วเขาลุกหนีไป

พวกท่านสิงห์ทอง ใครต่อใครรุมเข้ามาหาเรา
‘เป็นอย่างไร ไม่เป็นผุยผงไปหมดแล้วเหรอท่านอาจารย์’


เสียงปืนนี้ดังสนั่น เข้ามาจับผ้าอังสะของเราดูก็ไม่เห็นมีรอยขาดอะไร แล้วนี่ท่านอาจารย์ดีด้วยอะไร ‘ดีด้วยพุทโธ’ เราว่าอย่างนี้นะ ในนิมิตมันบอก

พอตื่นเช้าขึ้นมานี้ เอ ! มันเรื่องอะไรกันนาถึงได้ฝัน ? ถนัดชัดเจนจริง ๆ แต่ไม่บอบช้ำ หาทางหลีกไม่ได้.. หากไม่บอบช้ำ นี่เป็นเรื่องอะไรนา คือบอกความหมาย มันไม่มีอันหนึ่งคือ เรื่องมาแสดงนิมิตจะแสดงความหมายไปนั้นไปนี้ก็ไม่มี เราจะมาตีความหมายว่าอย่างไหน นิมิตเป็นอย่างนี้

พอตอนบ่าย ๓ โมง พวกตลาดก็มาสิ เอาจดหมายจากท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ พระอุปัชฌายะ มามอบให้ แล้วมีเด็กผู้หญิงสาวคนหนึ่งมาด้วย มาขอฝากเด็กคนนี้บวชเป็นชีในสำนักนี้
‘อ๋อ ! อันนี้เอง คือไม่มีทางไปได้เลย’


จดหมายของท่านเจ้าคุณมาหาเรา แล้วก็พวกตลาดเป็นพวกเจ้าหน้าเจ้าตากันทั้งนั้นละมา มันก็เหมือนเรื่องราวในนิมิต พอมาแล้วเราก็ชี้แจงเหตุผลให้ฟังตามเรื่องตามราว ให้ไปกราบเรียนท่าน

‘เราไม่รับ’
เราหาอุบายพูดอย่างเหมาะสมกับเหตุผลที่เขาจะยอมรับ เขาก็ยินดีจะตกลง


เราบอกว่า ‘เท่าที่มีอยู่นี้ ก็ด้วยความจำเป็นเกี่ยวกับโยมแม่ เราไม่ได้สร้างวัดเพื่อจะสั่งสมแม่ชีแม่ขาวที่ไหนมากมาย มีแต่คนแก่ ๆ อยู่ด้วยกันที่ติดมาด้วยกันแล้ว ถึงเวลาจำเป็นเรารับเท่านี้ คนอื่นเราไม่รับ ขอให้ไปกราบเรียนท่านว่า เรารับด้วยความจำเป็นเกี่ยวกับโยมแม่ ให้โยมแม่มีหมู่เพื่อนอยู่ด้วยกันเฉย ๆ เราไม่ตั้งใจว่าจะสั่งสมแม่ชีแม่ขาวให้มากมายอะไร

เราก็บอกอย่างนั้น เขาก็เลยไปกราบเรียนท่านเจ้าคุณฯ วันหลังเราก็ตามไปอีก ท่านก็บอก
เออ ! บัว ข้อยรู้ความประสงค์ของเจ้าแล้ว เราก็ไม่ติดใจอะไรแล้วละบัว อุบายของเจ้าพูดก็ดี ไม่เห็นมีอะไรขัดข้อง เราไม่ขัดข้องเจ้า เมื่อมีความจำเป็นแล้วเราก็เห็นใจ


ท่านว่าอย่างนั้น นี่ก็ไม่บอบช้ำ ท่านก็ไม่บอบช้ำ พวกตลาดก็ยอมรับเหตุผลเรา ไม่มีใครโกรธ ใครเคียดอะไรให้เรา นี่ที่ว่ามันไม่บอบช้ำคือ ยิงขนาดนี้ไม่บอบช้ำ อ๋อ ! เรื่องนี้เหรอ เข้ากันปั๊บเลย ...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2020 เมื่อ 01:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #492  
เก่า 02-07-2020, 23:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ดูลายมือที่เขาวงพระจันทร์

ครั้งหนึ่ง องค์ท่านมีความจำเป็นต้องไปเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี จึงได้ถูกชายผู้ดูแลรักษารอยพระบาทคนหนึ่ง จ้องมองดูท่านแบบผิดปกติ ดังนี้
“... เขานิมนต์แกมขอร้องเราไปที่เขาวงพระจันทร์ เจ้าของห้างขายยาเศรษฐีใหญ่ในกรุงเทพฯ เราก็ไม่เคยไปเหยียบบ้านเขาเลย เพราะเราคบคนไม่ได้คบเพื่อเงิน คบเพื่อธรรม ถ้าเป็นแบบโลก ๆ อู๊ย ! ได้โยมอุปัฏฐากใหญ่โต ห้างขายยาใหญ่ เราไม่เคยสนใจแหละ.. เรื่องอุปถัมภ์อุปัฏฐาก เราไม่เคยมีในใจนอกจากธรรม


เขาพาไป มีแต่คนแก่ ๆ ผู้หญิงอายุ ๕๐-๖๐ ผู้ชายมีแต่เพียงคนขับรถคนเดียว ฉันจังหันแล้วไปถึงนั่นตั้ง ๓ ทุ่มกว่าแล้ว จากกรุงเทพฯ ไปถึงก็มืด เขาจัดที่พักให้เราพักที่วัดชายเขาวงพระจันทร์

พอตื่นเช้าเขาก็จัดอาหารมาให้ฉัน เราก็หาอุบายถามว่าใครบ้างจะขึ้นเขาในวันนี้ คนนั้นก็ว่า ‘ฉันก็จะขึ้น’ คนนี้ก็ว่า ‘ฉันก็จะขึ้น’ มีแต่คนจะขึ้นทั้งหมด โอ๊ยตาย ! ไปกับพวกนี้ ๕ ชั่วโมงก็ไม่ถึง เขาก็ย้อนถามเรา ‘แล้วท่านล่ะ ขึ้นไหม ?’

‘โอ๊ย ! ต้องดูเหตุการณ์เสียก่อน เหตุการณ์ควรขึ้นก็ขึ้น ไม่ควรขึ้นก็ไม่ขึ้น’ เราว่าอย่างนี้

ในที่สุดพอมีโอกาสเราก็ขึ้นไปคนเดียว ๑ ชั่วโมงถึงสถานที่เลย ทหารไป ๑ ชั่วโมง ๑๕ นาทีเป็นอย่างเร็ว (ส่วน) ประชาชนต้อง ๒-๓ ชั่วโมง พอไปถึง คนที่ดูแลรักษารอยพระพุทธบาทออกมาต้อนรับ จัดหาน้ำร้อนน้ำชามาถวาย แต่ตาเขาจ้องมองเราจนผิดปกติ

เราดูเขา.. เขาไม่รู้นะ แต่เขาดูเรานี่รู้ชัดเจน มารยาทการดูมันต่างกัน เรามองดูก็รู้ว่าเขาดูเรา หากว่าเป็นคนเป็นอย่างแบบโลกก็แสดงว่ามีพิรุธต่อกัน แต่เราไม่สนใจ

เขาถาม ‘อาจารย์มากับใคร ?’

‘ที่มาตรงนี้ มาคนเดียว’ เราบอก

‘แล้วมีใครมาด้วยไหม ?’

‘มี อยู่กันข้างโน้น เขาจะขึ้นกันมาทีหลัง’

เขาจ้องมองดูแต่เรา เพ่งมองอยู่อย่างนั้น เราฉันน้ำร้อนน้ำชาให้เขานิด ๆ หน่อย ๆ แล้วเขาจ้อง พอเสร็จแล้วเขาบอกว่า ‘ขอดูลายมือ’

เราก็เข้าใจ ‘อ๋อ ! ที่เขาจ้องดูเรา หมายถึงจะขอดูลายมือนี่เอง’

ที่ไม่ลืมคำพูดของเขา ก็คือว่าประโยคคำพูดที่สำคัญ ก็คือ

‘๑. ท่านอาจารย์นี้มีเท่าไรหมด ไม่มีการสั่งสม ถ้าเป็นน้ำในคลองก็ไม่มีแอ่งเก็บน้ำ ไหลเตลิดเปิดเปิงจึงไม่มี แต่ไม่จน

๒. ปากเป็นพุทธะ ตามหลักของเขาคือ วาทะคำพูดสำคัญมาก

๓. ท่านอาจารย์ไม่ใช่พระธรรมดา

เราก็แปลกใจ เราไม่เคยถามนะ มีแต่เรื่องเขาพูดเอง แล้วเราเฉย.. ไม่สนใจถาม จำได้ ๓ ประโยค...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2020 เมื่อ 01:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #493  
เก่า 03-07-2020, 14:49
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กุฏิ ศาลา.. พออาศัย

หากจะกล่าวว่า วัดของท่านเป็นเสมือนหนึ่งทำนบน้ำอันกว้างใหญ่.. พร้อมเสมอที่จะให้บุคคลได้อาบ ดื่ม ใช้สอย และเพื่อกิจการประโยชน์อื่นใดได้ทุกขณะก็คงไม่ผิดไป เมื่อมีจตุปัจจัยเข้ามามากน้อยเพียงใด ท่านไม่เคยหวงแหนเก็บงำไว้เพื่อตัวของท่าน หรือเพื่อวัดของท่านเลย มีแต่มุ่งทำประโยชน์ช่วยโลกเรื่อยมา

เหตุนี้เอง ภายในวัดป่าบ้านตาดจึงไม่มีสิ่งก่อสร้าง* สวยสดงดงามหรูหราแต่อย่างใด ดังนี้
“... เงินวัดนี้ เงินเพื่อโลก เราไม่ได้เก็บสำหรับวัดนี้ ใครจะมาสร้างอะไรให้ เราไม่เอา นี่ดูซิ


ศาลาของหลวงตาบัว หลังนี้ก็ ๔ หนแล้วนะ เขามาขอสร้าง.. ขอรื้อสร้างใหม่

เราไม่ให้สร้าง สร้างไปหาประโยชน์อะไร สร้างหัวใจซิ ที่ประเสริฐเลิศโลกอยู่ตรงนี้.. ไม่ได้อยู่กับอิฐ กับปูน กับหิน กับทราย ไปสร้างมันหายุ่งอะไร ถ้าไม่ใช่หมาขี้เรื้อนหาเกาในที่ไม่คัน.. ฟาดกิเลส ตัวมันดิ้นมันดีดให้เกาเอาตรงนั้นซิ ไปที่ไหนก็เลยเป็นทำเล เขาเรียกรีสอร์ทรีแสดไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้วัดต่าง ๆ กลายเป็นรีสอร์ทรีแสดไปละ เป็นอย่างนั้นนะ .. ศาสนธรรมเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากยิ่งกว่าวัตถุ เครื่องก่อสร้างให้ความกังวลวุ่นวาย เราคำนึงถึงเรื่องนั้นต่างหากนะ

กุฏิ .. กุฏิเรา ๘ หนมาขอปลูกใหม่ให้ ขอรื้อใหม่ปลูกใหม่ ถ้าไม่ให้รื้อก็ปลูกใหม่.. ไม่เอาทั้งนั้นเรา ถึง ๘ หน.. หนที่ ๘ ก็ขนาบกันใหญ่ซิถึงได้หยุดมา ว่าครูบาอาจารย์อยู่อย่างนี้มันไม่เหมาะสม .. หลังที่สร้างขึ้นนี้เขาส่งเงินมาก็บอกตรง ๆ เลย เขาเห็นเราอยู่กระต๊อบสูงแค่เข่า พื้นก็สับไม้ไผ่เป็นฟากปู สร้างด้วยฟาง มุงด้วยหญ้า เราอยู่นั้นพังไป ๓ หลัง หลังที่ ๔ ถึงได้ปลูกหลังนี้ขึ้นมา (กุฏิหลังปัจจุบัน) เพราะปลวกกินต้นเสาล้มลงปลูกใหม่ ช่างพอทราบว่าเป็นกุฏิของเราก็มาต่อว่าเราที่ศาลา คนก็ยังอยู่มาก ๆ นี้ เขามาต่อว่าเรา.. ยังร้องไห้อีกด้วย บอกว่า
‘ครูบาอาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังทั่วประเทศ มาดูกุฏิแล้วหลังเท่ากำปั้น จะอยู่ได้ยังไง’


‘เอ้า ตั้งแต่อยู่ในท้องของแม่นี้เป็นยังไง ? ท้องของแม่กับกุฏิหลังนี้อะไรใหญ่กว่ากัน ? กุฏิหลังนี้.. ยืนได้ เดินได้ นั่งได้ นอนได้อย่างสะดวกสบาย ไปมาได้ ในท้องแม่ไปไหนได้ไหม ? คับแคบยิ่งกว่านี้ยังอยู่ได้ตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน อันนี้ขนาดนี้แล้วทำไมจะอยู่ไม่ได้ ถ้าต้องการกว้าง ๆ ก็ไปอยู่ทุ่งอยุธยานั่นซิ ...’

เขาไม่ยอมซิ กลับไปเขาส่งเงินตูมมา ทีนี้เราไม่ได้มีข้อสั่งเสีย หรือมีข้อแม้อะไรเอาไว้ จะส่งกลับคืนก็เหมือนประชดกันนี่ เลยได้ฝืนปลูกนะ ...

จากนั้นเราก็สั่งเลยเทียว ใครจะส่งสิ่งส่งของ เงินทองมาให้เกี่ยวกับการก่อสร้างในวัดป่าบ้านตาดนี้แล้ว ต้องให้เราทราบเสียก่อน ถ้าส่งมาสุ่มสี่สุ่มห้าก่อนหน้าอย่างนั้นไม่ได้ ถ้ายังไม่ได้ตกลงกันไว้แล้ว ส่งมาเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ต้องบอกอย่างนั้นเลย เราก็ถือปฏิบัติอย่างนั้นมา ใครจะมาสร้างหากไม่ได้ขออนุญาตให้เป็นที่ตกลงใจกันเสียก่อน เราไม่ให้ทำ ...

ที่อยู่พออยู่ ๆ ไป แต่ทางจงกรมให้เป็นเหวไปเป็นไร (เดินจงกรมมากกระทั่งทางเดินเป็นร่องลึก) นั่นละ ธรรมเจริญ พระพุทธเจ้า พระสาวก ท่านดำเนินอย่างนั้น ท่านไม่ได้เอาวัตถุออกหน้าออกตาอะไร นี่อยู่ที่ไหนมีแต่เรื่องก่อสร้างถือเป็นใหญ่เป็นโต เป็นหลักศาสนาใหญ่โตเชียว เห่อแข่งขันโน่น จะว่าอะไร ...

ห้องน้ำพระกรรมฐานเรานะ ในห้องน้ำเห็นแปรงถูฟัน เห็นอะไร ๆ ในห้องน้ำนี้.. บอกชัดเจนแล้วว่าไม่เอาไหน นั่นมันชี้บอกนะ มาถูฟงถูฟันกี่ชั่วโมงกว่าจะเสร็จกว่าจะสิ้น แสดงว่าไม่เอาไหน สติสตังไม่ทราบไปไหน ไม่รู้เลยเหมือนคนตายแล้ว ผู้ที่เป็นนักรบไม่ได้มีอะไรมากนะ เอาแต่จำเป็น ๆ จ่อกันอยู่ตลอดเวลา นี่เรียกว่านักรบ ห้องน้ำไม่มีอะไร มีแต่ที่จำเป็นเท่านั้นนอกนั้นไม่มี อันนี้ในห้องน้ำมีทุกสิ่งทุกอย่าง.. เหมือนเครื่องประดับประดาตกแต่ง .. ดูแล้วอิดหนาระอาใจนะ พึ่งมาพูดนี่ล่ะ ไม่เคยพูดนะนี่.. สำหรับพระทั่ว ๆ ไป มันปล่อยอาลัยตายอยากแล้วแหละ ที่ยังจะพอมีหวังหายใจฟอด ๆ อยู่บ้าง คือพระกรรมฐาน ..

ศาลานี่ (ศาลาใน) ศาลาหลังนี้ก็ ๔ หนแล้วนะ เขามาขอรื้อสร้างใหม่บ้าง ขอยกศาลาใหม่บ้าง ยกขึ้นเราก็ไม่ให้ยก สร้างก็ไม่ให้สร้าง ขยายใหม่เราก็ไม่ขยาย จึงอยู่อย่างนี้ ... เขาก็อยากจะมาทำใหม่ให้ เราก็ไม่เอา ตีเพดานให้เราก็ไม่ให้ตี นั่น.. นี่มันเหมาะแล้ว พอดีแล้ว โก้หรูไปอะไรเรื่องโลก ๆ ให้โก้หรูอยู่ภายในหัวใจซิ.. ใสสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ภายในใจนั่น ของอัศจรรย์อยู่ตรงนั้นต่างหาก ไม่ได้อยู่กับหิน กับทราย กับอิฐ กับปูน กับเหล็กอะไรนี่ .. ทำพออยู่ได้ พอ ...

ยกศาลา (ใน) ศาลาหลังนี้แต่ก่อนเตี้ย ๆ นะ นี่ยกขึ้นแล้ว เขามาขอสร้างใหม่เราไม่เอา สร้างอะไร ๆ ไม่เอาทั้งนั้น สุดท้ายก็เลยมาขอยกศาลาหลังนี้ขึ้นเป็นสองชั้น ชั้นบนชั้นล่างอยู่มา (เช่นปัจจุบัน) .. แล้วคนก็อยู่ข้างล่าง แล้วแขกคนมาก็ให้นอนข้างบนก็เท่านั้นล่ะ สำหรับวัดป่าบ้านตาดเวลานี้มันก็เลอะเทอะแล้ว มีความจำเป็นตั้งแต่เราช่วยบ้านช่วยเมือง แขกคน พระเณรไปมาทั้งวันทั้งคืน ทีนี้การงานเท่าไรมันก็ทำไปเรื่อย ไอ้เราไม่รู้นะ เขาทำ.. เขาทำของเขาเองเราไม่รู้ สุดท้ายก็เลยเป็นศาลาเดือนเก้าไปเลย ...

=================================================

* พระอาจารย์เส็ง เล่าเป็นข้อมูลบันทึกความจำถึงการก่อสร้างเปลี่ยนแปลงในวัดจะเป็นไปด้วยความจำเป็นและมีเหตุผลเสมอ ซึ่งแต่เดิมศาลาไม้ในวัดป่าบ้านตาดนั้นมีพักชั้นเพียง ๒ ระดับ และส่วนที่เป็นพระประธาน ต่อมาราวปี ๒๕๐๓-๒๕๐๔ เพิ่มพักล่างพื้นไม้รูปตัวยู (U) อีกระดับ รวมเป็น ๓ ระดับจนถึงทุกวันนี้ จากนั้นในปี ๒๕๒๓ ปลวกเริ่มกินเสาไม้เดิมจึงเปลี่ยนเป็นเสาคอนกรีตทั้งหมด ๖๘ ต้น ใช้เวลาดำเนินการเพียง ๓ วัน หลังการปรับปรุงเสาศาลาแล้วเสร็จ ในปี ๒๕๒๔ ก็เปลี่ยนเสาไม้กุฏิองค์หลวงตากับอีก ๒ กุฏิ เป็นเสาคอนกรีตด้วยเช่นกัน ต่อมาในปี ๒๕๓๙ ประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้องมากขึ้น จึงยกศาลาขึ้นเป็น ๒ ชั้น และเทพื้นคอนกรีตชั้นล่าง พระเณรจึงย้ายลงมาฉันจังหันด้านล่างศาลานับแต่นั้นมา

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2020 เมื่อ 15:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #494  
เก่า 03-07-2020, 15:11
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ศาลาใหญ่ บริเวณหน้าวัด เขามาขอไม่รู้กี่ครั้งกี่หน คราวนี้บริษัทกระทิงแดงกับเสี่ยกิมก่ายยกทัพมาขออีก เราพิจารณาเหตุผลเลยอนุญาตให้สร้างศาลาใหญ่ (สร้างต้นปี ๒๕๔๔) แต่ไม่ให้มีปูชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นห้องเป็นหับไม่ให้มี.. ให้โล่งไปหมดเลย เขากะความยาวมา ๕๕ เมตร ความกว้าง ๑๕ เมตร เราพิจารณาเหตุผลเรียบร้อยแล้ว เราก็อนุญาตให้เลย เวลาเราอนุญาตฟาดเสีย ๖๐ เมตร กว้างเสีย ๓๐ เมตร เขายิ่งพอใจใหญ่เลยนะ ขนาดนั้นมันถึงพอคน เพราะสถานที่นั่นเป็นสถานที่จะรวมงาน งานแต่ละครั้งคนจะนั่งได้หมด .. เราเคยคิดเมื่อไรว่าเราจะสร้างอย่างนั้น แต่มันก็เป็นเพราะสิ่งเกี่ยวข้องมันเกี่ยวโยงกันมา การช่วยชาติบ้านเมือง ประชาชนมามากมาน้อยทั่วประเทศไทยก็เข้ามาที่นี่ ผู้เกี่ยวข้องกับบุญ - คุณประโยชน์แก่ชาติ แก่ตัวเองแล้ว ก็ต้องเข้ามาหาสถานที่เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่ตายใจได้ เช่น วัด สถานที่นี้ก็คือวัดป่าบ้านตาด ครั้นเวลามาคนเต็มท้องนา ฝนตกฟ้าลงเปียกปอนงอมแงม ดูแล้วดูเล่า มันจะอดคิดได้ยังไงคนเรา เมื่อก่อนเราตัดขาดสะบั้น ๆ นะ มาสร้างไม่ได้ คิดดูซิ ศาลาหลังนี้ (ศาลาใน) เขาจะมาขอสร้างถึง ๔ หนนะ ดุกันแหลกเลย...

กุฏิในวัด ก็ไปถือกรรมสิทธิ์เหมือนอย่างทางโลก ... นี่ก็ได้ยินตามวัดต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ท่านก็เคยพูดด้วยความอิดหนาระอาใจให้ฟัง ก็เป็นผลที่เราคิดไว้แล้วทั้งนั้น ก็ไม่ทราบจะค้านยังไง .. เกี่ยวกับเรื่องประชาชนที่เข้าไปอยู่ในวัด สร้างความไม่สงบขึ้น สร้างความทะเลาะเบาะแว้งกันขึ้น สร้างเรื่องสร้างราวขึ้น ยุ่งไปหมดนะ กุฏิหลังไหนไปสร้างแล้วก็ถือกรรมสิทธิ์ ๆ ใครไปแตะไม่ได้ นั่นฟังซิ .. นิสัยของโลกเอามาใช้ในวัดมันก็ขวางวัดล่ะซิ ไม่ขวางยังไง เพราะวัดไม่ได้เหมือนโลก แต่เอานิสัยโลกมาใช้.. ของใครก็ล็อคกุญแจ เวลาไป.. ติดห้ามไว้ด้วยว่า ‘ไม่ให้ใครมาอยู่ ไม่ให้ใครมาเกี่ยวข้อง’ นั่นฟังซิ มีเท่าไรก็มาเป็นของใคร.. ของเราเป็นเจ้าอำนาจอยู่นั้นหมด

ที่เราไม่ให้ทำก็เพราะคิดเรื่องเหล่านี้ แล้วนี่ทำแล้วเป็นจริง ๆ ถ้าอนุญาตก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เราจึงไม่อนุญาตให้ทำ ใครจะมาขอสร้างขนาดไหนก็ตาม เป็นคนใหญ่คนโตขนาดไหน.. ไม่สำคัญยิ่งกว่าเหตุผลคืออรรถ คือธรรม
‘เอ้า มาอยู่เลย วัดนี้คนเคยมาอยู่กันมากแล้วไม่มีอะไรแหละ ไม่จำเป็นต้องสร้างอะไรแหละ มาอยู่เลย อยู่ได้ เขาคับเราคับ เขาแคบเราแคบ เขาแน่นเราก็แน่น เขาลำบากเราก็ลำบาก ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกันแหละ


กำแพงวัด* นี้จะเป็นประโยชน์กั้นสัตว์พวกแมวนี้ตลอดไป แล้วสัตว์ในวัดนี้ก็จะค่อยงอกเงยขึ้น เฉพาะอย่างยิ่งคือพวกกระแต ลูกกระต่ายนี้อันตรายมาก ... คลองหน้าวัดนี่ขุดลอกออกแล้ว ทีนี้ขยะมันเต็ม เราทำฝายน้ำล้นนี้.. น้ำจะขึ้นมาก เพราะฉะนั้นจึงต้องขนขยะออกให้หมด เวลาน้ำมามากจะได้ใสสะอาด วัดได้อาศัยนี่ละ .. อย่าว่าแต่ในวัดเลย ทางบ้านก็มาใช้ได้ สระนั้นใช้ได้ตลอด ... คือเราเห็นความจำเป็นของสัตว์ว่าไม่มีน้ำแถวนี้ ไม่มีเลย ก็เลยให้เขามาขุดสระ สระที่มีอยู่ทุกวันนี้ .. เวลาหน้าแล้งก็ได้อาศัยนั้นกินใช้กัน เราทำไว้เพื่อควาย...”

=============================

* กำแพงรอบวัด สูง ๒.๕ เมตร ยาวตลอดอาณาเขตของวัดทั้งสิ้น ๑,๘๘๐ เมตร สร้างเสร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ ลักษณะเป็นกำแพงคอนกรีตเสริมเหล็ก มีประตูเหล็กโปร่งกว้าง ๔ เมตร อยู่หน้าวัดด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และประตูกว้าง ๒ เมตร อยู่ข้างหลังวัดด้านทิศใต้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-07-2020 เมื่อ 16:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #495  
เก่า 04-07-2020, 14:12
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

วัดนี้ไม่มีโบสถ์ ไม่มีเมรุ

กลางปี พ.ศ. ๒๕๒๒ องค์ท่านกล่าวกับพระเณร เกี่ยวกับการสร้างโบสถ์ภายในวัดว่า
“... มีเจ้าศรัทธาท่านหนึ่ง* จะถวายเงินเพื่อสร้างโบสถ์ทั้งหลัง เรายังไม่อาจรับได้ เคยมีบ้างไหมในประเทศไทยและองค์ไหน ที่มีผู้ถวายเงินสร้างโบสถ์ทั้งหลังแล้วไม่รับ นอกจากขรัวตาวาสนาน้อยนี้เท่านั้นจึงไม่อาจรับได้


ที่ไม่อาจรับได้นั้นก็มีเหตุผลเหมือนกัน .. ความจริงหลักธรรมที่เราเล็งอยู่ ยึดถืออยู่ กราบไหว้บูชา เป็นขวัญใจและเทิดทูนสุดจิตสุดใจอยู่ตลอดเวลานั้น เป็นสิ่งที่ใหญ่โตมากยิ่งกว่าสิ่งใดในโลกธาตุ

สิ่งเหล่านั้นเราไม่ได้เทิดทูนเหมือนธรรม เพราะเป็นเพียงปัจจัยเครื่องอาศัยไปเป็นวัน ๆ เท่านั้น ส่วนธรรมเป็นเรื่องใหญ่โตมากที่ต้องรักสงวน

เรื่องการสร้างโบสถ์สำหรับวัดนี้ยังไม่มีความจำเป็น สิ่งใดที่จำเป็นก็ทำสิ่งนั้น เช่น จิตภาวนาเป็นงานจำเป็นอย่างยิ่ง การทำอุโบสถสังฆกรรมทำที่ไหนก็ได้.. ตามร่มไม้ชายเขาที่ไหนก็ได้ ไม่ขัดข้องอะไร ตามหลักพระวินัยจริง ๆ แล้ว ไม่มีอะไรขัดข้อง การสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ควรให้เป็นที่เป็นฐานที่เหมาะที่ควร ไม่ใช่จะสร้างดะไปหมด

การสร้างโบสถ์หลังหนึ่งเป็นยังไง นับตั้งแต่เริ่มแรกตกลงกับช่างในการสร้างโบสถ์เป็นยังไง ถนนหนทางเข้าไปในวัดจนถึงบริเวณที่จะสร้างโบสถ์จะต้องเปิดโล่ง ตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งถึงวันสร้างโบสถ์สำเร็จ.. ต้องบุกเบิกไปหมดยิ่งกว่าโรงงาน คนงานก็ต้องมีทั้งหญิงทั้งชายจำนวนมากมาย ที่จะเข้ามานอนกองกันอยู่นี้ ทั้งช่างทั้งคนงานไม่ทราบมาจากแห่งหนตำบลใด

บางรายหรือส่วนมากก็ไม่เคยรู้เลยว่าศาสนาเป็นอย่างไร พระเณรในวัดท่านปฏิบัติอย่างไร แล้วเขาจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย พอเป็นความสงบ งามตา แก่พระเณรในวัดได้ยังไง มันต้องเหมือนกับเอายักษ์ เอาเปรต เอาผี เข้ามาทำลายวัดนั่นเอง

ในขณะที่เปิดโอกาสตกลงกันเรียบร้อยแล้วนั้นน่ะ ไม่ว่าผู้คนหญิงชาย รถราต่าง ๆ ต้องเข้าต้องออกกันตลอดเวลา ประตูวัดปิดไม่ได้เลย และสถานที่ที่จะสร้างโบสถ์ขึ้นมาให้เป็นของสง่างามแก่วัด แก่พระสงฆ์ในวัด แต่พระเณรกลับตายกันหมดจากจิตภาวนา จากมรรคผลนิพพาน ที่ควรจะได้จะถึงจากสมณธรรม... คือ จิตภาวนา แล้วจะเอาอะไรมาเป็นความสง่างามอร่ามตา

‘ลองพิจารณาดูซิ นี่เราคิดอย่างนั้น และพูดอย่างนี้นะ จะเป็นความคิดผิด พูดผิด หรือถูกประการใดบ้าง ?’ ...”

สิ่งก่อสร้างอีกอย่างหนึ่ง หากไม่มีความจำเป็นจริง ๆ องค์หลวงตาไม่ส่งเสริมให้สร้างขึ้นในวัด คือ เมรุ ซึ่งท่านให้เหตุผลไว้ ดังนี้
“... สักกาโร ปุริสัง หันติ มันฆ่าคน ใครได้มาก็นับห้านับสิบละซิ ได้มานับเท่านั้นนับเท่านี้ สุดท้ายนับแต่เงิน ไม่ได้นับธรรมละซิ ไม่ได้หาธรรม ยิ่งมีเมรุวัดไหนด้วยแล้วนั่นละ วัดนั้นล่ะ.. เป็นวัดแหลกเหลวหมดเลย ไม่มีชิ้นดีแหละ พูดได้เต็มปาก.. นับแต่เงินทั้งนั้น วันยังค่ำ.. คืนยันรุ่งจะเป็นอะไรไป นับอรรถนับธรรมที่ไหน.. พูดให้เต็มปาก โลกมันเต็มเปาจะว่าไง ไม่ให้พูดเต็มปากได้เหรอ มีใครจะมานิมนต์ให้ไปฉันที่ไหน.. เราไม่ให้ไป วัดนี้ไม่ให้ไปเราตัดไว้หมดเลย เพื่อให้พระได้บำเพ็ญภาวนา เมื่อได้คุณงามความดีแล้ว.. พระกับโยมแยกกันไม่ออก โลกกับธรรมแยกกันไม่ออก


พระพุทธเจ้าเสด็จออกทรงผนวช.. ใครติดตามพระองค์ เวลาเป็นศาสดาเอกของโลก.. ใครทำประโยชน์ให้แก่โลกได้มากยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มี นั่นฟังซิ แยกกันออกไหมล่ะ ...”

===============================

* เป็นบุคคลสำคัญระดับประเทศ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 04-07-2020 เมื่อ 23:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #496  
เก่า 04-07-2020, 23:06
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

เครื่องใช้ไม้สอยตามเหตุผล

องค์ท่านแสดงธรรมกล่าวให้เห็นถึงหลักปฏิบัติของวัด และเครื่องใช้ไม้สอยภายในวัดอันเหมาะสมแก่บรรพชิต ดังนี้
“... เก้าอี้ เราก็ไม่ให้มี .. ให้ระวังนะ มีพระพุทธรูปใหญ่อยู่ที่ไหน หามายุ่งยากนัก คนนั้นก็ถวายพระพุทธรูป คนนี้ถวายพระพุทธรูป.. เลยเกลื่อน พระก็เกรงใจจะว่าไง.. รับไว้ ๆ เลยเกลื่อนตั้งแต่เศษเหล็กเศษทอง หัวใจคนไม่ได้เป็นทอง ทำอย่างสบาย ๆ คิดอย่างง่าย ๆ คิดแล้วไปซื้อพระพุทธรูป เขาขายแล้วเอามาให้พระแบกหาม.. พระพุทธรูปเต็ม (ไปหมด) อย่าทำนะสำนักเรา.. ให้เป็นขึ้นมาที่นี่นะ พระพุทธรูปเป็นเครื่องหมายแห่งการเคารพบูชา แต่ความเอาจริงเอาจังแล้ว จะน้อมเข้ามาสู่จิตใจปฏิบัติสำรวมระวังใจเจ้าของ...


เขาจะถวายรถยนต์ เอามาทำไมรถเต็มแผ่นดิน จะขึ้นคันไหน ลูกศิษย์คนไหนเขาพร้อมเสมอ อยากให้ขึ้นรถเขา เรามีเหตุมีผลทุกอย่างที่ห้ามอะไร พระหามาอะไร หารถ..ไม่ใช่ฆราวาสนี่... อันนี้เป็นเรื่องของโลกเขาใช้กัน พระเป็นเพียงอาศัยความสะดวกไปกับเขาเท่านั้น จะมาเป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นตัวของตัว เป็นเจ้าของรถของราขึ้นมา มันก็เหมือนโลกเขาน่ะซิ..

ไฟฟ้า เขาจะเอาเข้ามา.. เราก็ห้ามมานานแล้ว นี่ถ้าเอาไฟเข้ามา ลองดูซิ สิ่งที่แอบแฝงเข้ามา ที่จะตามเข้ามาให้วัดเสีย มาฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมกันเต็มวัดวา เลอะ ๆ เทอะ ๆ ไปหมด ไม่ทราบว่าวิทยุ โทรทัศน์ ตู้เย็น จะแอบตามกันมา...

โทรศัพท์ ก็จะมาติดขึ้นอีก.. มาขอ ๒ ครั้งแล้วนะ ผู้ว่าราชการจังหวัดมาติดต่อเรา จะขอตั้งโทรศัพท์ที่วัด เพื่อการติดต่อสะดวก.. นี่เราก็ไม่เอา เพราะผลประโยชน์ที่จะได้มีเพียงนิดเดียว ผลเสียที่ตามมานี้มากต่อมาก.. พรรณนาไม่จบไม่สิ้นเลย

สมควรแล้วเหรอ จะเอาช้างแลกแมว มันจะกริ๊งกร๊าง ๆ ทั้งวันทั้งคืน.. ไม่มีเวลาเลย ทางไหนก็โทรมา ผู้รับสายหนีไปไหนไม่ได้แหละ...

วันหนึ่ง ๆ จะเข้ามาเท่าไร แม้แต่มาจังหัน มาวัดมาวาก็โทรเข้ามา... อย่าว่าแต่ข้างนอกจะโทรเข้ามาเลย ข้างในนี้ก็เป็นบ้าไปเลยแหละ .. โทรแหลก นั่น..ฟังซิ

เราก็ให้เหตุผลกับผู้ว่าฯ ไป ก็อุดรฯ กับวัดนี้ไม่เห็นไกลกัน มีเหตุผลอะไร มีความจำเป็นอะไร รถวิ่งไปหาครู่เดียวก็ได้ ... ความมีโทรศัพท์เป็นความเสียหายมากมาย แล้วพระเณรจะคึกคะนองขึ้นอีก เราว่ายังงี้เลย จึงไม่ยอมให้ตั้ง

‘ทุกสิ่งทุกอย่าง เราคิดด้วยเหตุผลทั้งนั้น ไม่ว่าจะอนุญาต ไม่ว่าจะห้าม .. เอ้า ! ให้ค้านมา ว่างั้นเลย ถ้าเหนือนี้เรายอมรับ.. ไม่ว่าใครก็ตาม ถ้าไม่เหนือแล้ว เราไม่ทำนะ .. ไม่ใช่เรามีทิฐิมานะไม่ให้ทำนะ เราต้องการเหตุผลนี่ รักษาศาสนาก็ต้องรักษาด้วยเหตุด้วยผล อะไรที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับวัดกับวา ศาสนา พระเณร ก็ต้องมีเหตุผลซิ ทำแบบสุ่มเดาได้เหรอ’...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2020 เมื่อ 02:40
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #497  
เก่า 05-07-2020, 11:24
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ข้อวัตรปฏิบัติวัดป่าบ้านตาด

วัดป่าบ้านตาด ตั้งอยู่ ณ ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี บนพื้นที่กำแพงล้อมรอบ ๑๖๕ ไร่ ๑๕ ตารางวา (พื้นที่ใหม่ ๓๑๗ ไร่) ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีไปทางทิศใต้ประมาณ ๑๖ กิโลเมตร สภาพพื้นที่เป็นที่ราบ รอบ ๆ เป็นที่อุดมสมบูรณ์ มีน้ำดี ทำนาได้ผลดีกว่าที่อื่น สภาพภายในเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมอันสงบเรียบง่าย

ด้วยเหตุที่มีกำแพงล้อมรอบบริเวณอย่างมิดชิด จึงรักษาต้นไม้และสัตว์ป่าให้รอดพ้นจากการทำลาย หรือการลักลอบเข้ามาฆ่าสัตว์ในบริเวณได้ บรรยากาศในเขตอภัยทานแห่งนี้ จึงร่มครึ้มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่นานาพันธุ์ และเป็นที่พึ่งพิงอันอบอุ่น และปลอดภัยแก่สัตว์น้อยใหญ่หลากชนิด อาทิ ไก่ป่า กระรอก กระแต แย้ นก ฯลฯ ที่นั้นคือ วัดป่าบ้านตาด

เมื่อก้าวย่างเข้าสู่บริเวณวัด จะสัมผัสกับความร่มรื่นชุ่มตาเย็นใจกับธรรมชาติของป่า ได้ยินเสียงของแมลงมีปีกหมู่ใหญ่ร้องเสียงก้องกังวานสนั่นไพรในบางฤดูกาล ปะปนด้วยเสียงขันของไก่ป่าซึ่งออกเที่ยวหากินอย่างแข็งขัน.. ชนิดไม่มีวันหยุดงานเหมือนมนุษย์เรา

ครั้นเดินต่ออีกประมาณ ๕๐ เมตร จะพบศาลาการเปรียญอเนกประสงค์ ซึ่งเป็นศาลาไม้เนื้อแข็งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังใหญ่ และมีเพียงหลังเดียวในวัดนี้ เดิมทีเป็นศาลาชั้นเดียวยกพื้นเตี้ย แต่ภายหลังถูกยกให้สูงขึ้น เพื่อใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น

ด้านบนศาลานั้น เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่เป็นพระประธานของวัด ชั้นต่างระดับที่ใช้สำหรับตั้งพระพุทธรูป บนชั้นมีรูปถ่ายของครูบาอาจารย์ซึ่งเป็นศิษย์หลวงปู่มั่น ดังนี้

หลวงปู่ขาว วัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หลวงปู่ฝั้น วัดป่าอุดมสมพร ท่านพ่อลี วัดอโศการาม ด้านหลังพระพุทธรูป บนฝาผนังมีรูปถ่ายของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นอยู่ด้านขวา สำหรับด้านซ้ายของพระพุทธรูป มีพระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ และท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)
ตู้ด้านขวาของพระพุทธรูปนั้น เป็นที่ประดิษฐานอัฐิธาตุของหลวงปู่มั่น รวมทั้งอัฐิธาตุของครูบาอาจารย์องค์อื่น ๆ

องค์หลวงตาใช้สถานที่ชั้นบนของศาลาแห่งนี้ แสดงธรรมแก่พระภิกษุสามเณรในวัด ตลอดจนเป็นที่ประชุมทำสังฆกรรมร่วมกัน เช่น ลงอุโบสถ อธิษฐานเข้าพรรษา สวดปวารณาและกรานกฐิน เป็นต้น

ด้านล่างศาลานั้นใช้เป็นที่สำหรับฉันจังหัน นอกจากนั้นองค์หลวงตายังใช้เป็นที่แสดงพระธรรมเทศนา และปฏิสันถารกับศรัทธาฆราวาสญาติโยม ที่มาจากทุกสารทิศอย่างไม่ขาดสายไม่เว้นแต่ละวัน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2020 เมื่อ 14:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #498  
เก่า 05-07-2020, 12:55
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ประกาศที่นี้เป็นวัด

ป้ายที่เขียนไว้ว่า “ที่นี้เป็นวัด เป็นสถานที่ภาวนาเพื่อความสงบใจ ไม่มีกิจจำเป็น.. ไม่ควรมาเพ่นพ่าน” เพื่อให้มาวัดแล้วมีความสำรวมระวังใจ เฉพาะอย่างยิ่งมาดูวัดป่าบ้านตาดว่าเป็นอย่างไร ท่านดำเนินอย่างไร พระมีหลักมีเกณฑ์ มีธรรมวินัย มีความพ้นทุกข์เป็นจุดหมายปลายทาง เหมือนพวกระเกะระกะไหม มาไม่มีหลักมีเกณฑ์ในใจเลย หัวใจที่สว่างจ้ากับจมอยู่ในมูตรในคูถ คือกิเลสตัณหาทั้งหลายนี้ มันดูกันไม่ได้.. ต่างกันราวฟ้ากับดิน ภาษาธรรม เราอยู่กับธรรม.. พระปฏิบัติท่านมีสติสตัง.. มันรำคาญหนักเข้าเลยติดประกาศไว้

ป้ายประกาศธรรมออกให้รู้กันเสียบ้าง ธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมพระอรหันต์เป็นยอดธรรมทั้งนั้น

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2020 เมื่อ 14:44
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 11 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #499  
เก่า 05-07-2020, 13:05
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กุฏิที่พักของพระเณร

ที่พักของพระภิกษุสามเณรแต่ละรูป เป็นร้านเรียบง่ายคล้ายกระต๊อบเล็ก ๆ พอแก่การบังแดดฝนหรือลม และเพื่อป้องกันการรบกวนจากสัตว์เลื้อยคลาน หรือกันความชื้นจากพื้นดินและอื่น ๆ จึงยกร้านให้สูงขึ้นจากพื้นประมาณ ๑-๑.๕๐ เมตร

ร้านมีขนาดเพียงพอสำหรับนอนคนเดียว มีหลังคาสังกะสี ผนังทั้ง ๔ ด้านใช้ผ้าแป้งดิบ หรือจีวรเก่า ๆ ซึ่งแทนฝาเพื่อกันลมกันฝน และใช้มุ้งกลดกันยุง ภายในใช้เก็บบริขารที่จำเป็นของพระภิกษุสามเณร เช่น บาตร กลด ไตรจีวร เสื่อ ผ้าห่ม ตะเกียง เทียนไข หนังสือธรรมะและของใช้ที่จำเป็นอื่น ๆ

ด้านหัวนอนจะมีพระพุทธรูปหรือรูปครูบาอาจารย์ติดไว้ เพื่อกราบไหว้บูชาเป็นอนุสติ และเป็นกำลังใจในการบำเพ็ญภาวนา รอบ ๆ ร้านมีบริเวณพอเหมาะ.. ไม่กว้างจนเกินไป

ทุก ๆ ร้านมีทางเดินจงกรมอย่างน้อย ๑ สายอยู่ใกล้บริเวณ และมักทำไว้ใต้ร่มไม้ใหญ่ ทางจงกรมมีขนาดกว้างประมาณ ๑ เมตร ยาวประมาณ ๒๕-๓๐ ก้าวเดินปกติ ในยามค่ำคืนขณะเดินจงกรมจะใช้โคมเทียนจุดสว่างพอมองเห็นทาง ร้านเหล่านี้กระจายอยู่ทั่วบริเวณภายในวัดทั้งในเขตกำแพงชั้นในและกำแพงชั้นนอก แต่ละร้านจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อให้มองไม่เห็นกัน

ทางที่จะเข้าไปถึงร้านเป็นทางแคบคดเคี้ยวเลี้ยวลด ซึ่งทำให้มองเห็นร้านได้ยาก พระเณรที่เข้าพักในร้าน จึงเหมือนเข้าไปอยู่อีกโลกหนึ่งท่ามกลางป่าลึกเพียงองค์เดียว อันเป็นโลกแห่งความสงบร่มเย็น ไกลจากเสียงรบกวนใด ๆ ทั้งปวง จึงสัปปายะ สะดวกในการบำเพ็ญสมณธรรม

สำหรับกุฏิที่มีฝาผนังทำด้วยไม้ถาวร มีประมาณ ๑๐ กว่าหลัง โดยมากเป็นกุฏิของพระเถระ ภิกษุสูงอายุ หรือกุฏิรวมของฆราวาสที่มาพักภาวนาชั่วคราวช่วงสั้น ๆ ซึ่งมีแนวเขตจัดแยกออกจากกัน ระหว่างพระภิกษุสามเณร ฆราวาสชายและหญิงอย่างเป็นระเบียบ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-07-2020 เมื่อ 14:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #500  
เก่า 06-07-2020, 13:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,321 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

กิจวัตรประจำวันพระเณร

กิจวัตรหลักประจำวันของพระเณร ก็คือการนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม เพื่อฝึกฝนสติปัญญา และชำระกิเลส..ตัวร้อนรุ่มกระวนกระวายอยู่ภายในจิตใจให้เหือดแห้งไป ดังนั้น โดยปกติพระภิกษุสามเณรในวัดจึงไม่รับกิจนิมนต์ไปฉันในที่ใด ๆ นอกวัด เพื่อให้มีเวลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยด้วยการบำเพ็ญเพียรภาวนาแต่เพียงอย่างเดียว

ในยามเช้า พระภิกษุผู้มีหน้าที่จะจัดอาสนะองค์หลวงตาอย่างละเอียดประณีตด้วยความเคารพบูชายิ่ง

ช่วงเช้ามืดก่อนบิณฑบาต จะเป็นการเตรียมสถานที่สำหรับฉันจังหัน โดยทั้งพระและเณรต่างช่วยกันทำความสะอาด จัดอาสนะ กระโถน ขัดถูพื้นศาลาด้วยกาบมะพร้าว ปัดกวาดศาลา และบริเวณรอบ ๆ อย่างสามัคคีพร้อมเพรียง

งานการทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านจะพยายามทำอย่างขันแข็ง มีสติ และเป็นระเบียบเรียบร้อยตามที่ครูบาอาจารย์สอนเน้นอยู่เสมอตลอดมา

พอได้อรุณ วันใดที่ท้องฟ้าดูเป็นปกติ ไม่มีวี่แววฝนจะตก ท่านจะครองจีวรซ้อนสังฆาฏิ แล้วออกบิณฑบาตโดยพร้อมเพรียงกัน เดินมุ่งหน้าไปทางหมู่บ้านตาด ระยะทางไปกลับประมาณ ๓-๔ กิโลเมตร ขากลับแวะรับบาตรจากญาติโยม ที่มาจากในเมืองและต่างจังหวัดบริเวณหน้าวัดอีกครั้งหนึ่ง

เส้นทางเดินบิณฑบาตแต่อดีตมี ๒ สาย พระสายแรก ประกอบด้วยพระหนุ่มมีกำลังขาแข็งแรง ต้องเดินออกกำลังไปไกลพอสมควรประมาณ ๒.๕ กม. ส่วนพระสายที่สอง จะออกเดินห่างจากสายที่ ๑ ประมาณ ๕-๑๐ นาที (ในช่วงที่องค์หลวงตาอายุกว่า ๗๐ ปี ท่านก็ยังคงเดินบิณฑบาตเข้าหมู่บ้าน โดยจะขึ้นไปดัดตนบนศาลาก่อนออกบิณฑบาตประมาณ ๑๕ นาที จากนั้นจะเดินตามหลังพระที่ออกบิณฑบาตไปก่อนทั้งสองสาย โดยทั้งสองสายจะไปหยุดรอที่ กม. ๑ เพื่อจัดขบวนแล้วให้องค์หลวงตานำเดินไปหมู่บ้านตาดเป็นอุตราวัฏ)

ผู้ที่มาใส่บาตรก็เรียงรายอยู่หน้าบ้านของตน ทุกคนไม่ว่าผู้ใหญ่ เด็ก พากันพนมมือนบไหว้เมื่อแถวพระผ่านมา ปัจจุบันมีสายบิณฑบาตเพิ่มอีกหนึ่งสาย ระยะทางใกล้กว่าสายที่ ๒ ไม่มากนัก

เมื่อองค์หลวงตาชราภาพมากขึ้น ท่านก็บิณฑบาตย่นเข้า ๆ ให้พอเหมาะกับกำลังธาตุขันธ์ที่อ่อนลง ระยะต่อมาก็เมตตาบิณฑบาตบริเวณหน้าวัดเท่านั้น องค์ท่านฝึกธาตุขันธ์โปรดญาติโยมเช่นนี้อยู่หลายปี.. ทั้ง ๆ ที่ต้องรับและเทบาตรสลับไปสลับมาจำนวนมากเป็นร้อย ๆ บาตรทีเดียว และในที่สุด วันหนึ่งองค์ท่านก็ล้มลงขณะบิณฑบาตนั่นเอง

ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ องค์หลวงตาออกบิณฑบาตภายในสวนแสงธรรมตามปกติ ต่อมาเนื่องจากผู้คนหลั่งไหลมาทำบุญใส่บาตรเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านต้องถ่ายบาตรเป็นร้อยถึงสองร้อยกว่าครั้งต่อวัน การก้มและเงยศีรษะบ่อย ๆ ทำให้เวียนศีรษะ (ระยะนั้นองค์ท่านอายุ ๘๔ ปีแล้ว) ในเมื่อธาตุขันธ์ไม่อำนวย องค์หลวงตาจึงงดการบิณฑบาต และให้พระอุปัฏฐากนำบาตรขององค์หลวงตาออกรับบาตรแทน โดยในช่วงเวลาเดียวกันนี้องค์ท่านจะไปเดินจงกรม ท่านกล่าวว่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า

เมื่อเสร็จจากบิณฑบาต พระเณรและฆราวาสต่างช่วยกันจัดอาหารหวานคาวเป็นหมวดหมู่ใส่ถาดไว้ เพื่อให้ญาติโยมทั้งที่มาพักปฏิบัติธรรม และที่มาทำบุญตอนเช้าได้รับประทานหลังพระฉันเสร็จแล้ว

เมื่อพระเณรจัดอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว องค์หลวงตาจะอนุโมทนาให้พร จากนั้นพระเณรท่านจะพิจารณาอาหารในบาตรก่อนด้วย ปฏิสังขาโย นิโสฯ เสร็จแล้วฉันในบาตรด้วยอาการสำรวม เงียบกริบ เหมือนไม่มีใครรับประทานอาหารอยู่ในบริเวณนั้น

เสร็จการฉันเช้าแล้ว ผู้มาทำบุญเช้าพร้อมใจกันฟังเทศน์จากองค์หลวงตา หลังฟังเทศน์เสร็จญาติโยมพากันกลับ

สำหรับพระเณรต่างองค์ต่างกลับร้านที่พักปฏิบัติธรรม มีการเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนาตลอดวัน อาจมีการพักผ่อนบ้างแล้วความอุตสาหะพยายามของแต่ละองค์

ช่วงเวลาบ่าย เป็นเวลาที่พระมารวมกันฉันน้ำร้อนหรือน้ำปานะ.. ที่โรงไฟหรือโรงต้มน้ำร้อนแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ สัก ๑๕-๓๐ นาที อันเป็นการพักเหนื่อยจากการภาวนา เสร็จจากนี้ก็แยกย้ายเข้าที่ภาวนาต่อ จนถึงในช่วงประมาณบ่าย ๓ โมง พระเณรพร้อมเพรียงกันออกมาทำข้อวัตร ปัดกวาดร้าน และบริเวณทางเดินตลอดถึงรอบศาลา จากนั้นขัดถูทำความสะอาดพื้นศาลา เติมน้ำล้างเท้าบริเวณรอบศาลา และในห้องน้ำ ห้องส้วมให้เต็ม

ช่วงเวลาค่ำ เป็นช่วงเวลาที่พระเณรเข้าที่เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ ตามอัธยาศัยเฉพาะตน ส่วนในระยะที่องค์หลวงตามีธาตุขันธ์แข็งแรงอยู่นั้น ท่านจะเรียกประชุมเทศนาอบรมพระสัปดาห์ละครั้งโดยประมาณ ต่อมาระยะหลังเมื่อชราภาพมากขึ้นก็เว้นการประชุมพระห่างออกไปเรื่อย จนกระทั่งงดโดยสิ้นเชิงในปี ๒๕๓๙ เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เฉพาะในวันเข้าพรรษาและวันกฐินเท่านั้น ที่ท่านยังคงเมตตาแสดงธรรมอบรมพระในช่วงเวลา ๑๕ ปีสุดท้าย..ก่อนจะละขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-07-2020 เมื่อ 14:35
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 8 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
สุธรรม (06-07-2020)
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 9 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:03



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว