|
อีหรอบเดียวกัน อีหรอบเดียวกัน โดยพระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#21
|
||||
|
||||
ฟังเพลงจบเดียวจาก ๗๕ ก.ม. เหลือแค่ ๖๐ ก.ม. เท่านั้น..! “หอมเอย...หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง มองเห็นบัวสล้าง ลอยปริ่มริมบึง...ฯลฯ” ฟังเพลงเพลิน ๆ ก็ทำให้ระยะทางผ่านไปไม่รู้ตัว “ไอ้หนุ่มตังเก” หาปลาบนถนนไม่ประสบความสำเร็จ เห็นภูมิประเทศเป็นป่ามากกว่า “มนต์รักลูกทุ่ง” จึงตามมาติด ๆ ตอนที่ป้ายบอกระยะทาง Dijon 60 เฮ้ย...เป็นไปไม่ได้ เพลงหนึ่งประมาณ ๓ นาที นายสันโดษแกวิ่งมา ๑๕ กิโลเมตร แปลว่าใช้ความเร็ว ๓๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง Oh…no…I can’t believe..! “อย่าขี้สงสัยสิครับ ฝีมือพวกผมเอง” เสียง “ลุงหนวด” เฉลย แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือลุง ? พรรคพวกยังไม่มีใครรู้ตัวสักคน ว่าโดนมัคคุเทศก์ล่องหนกับคณะเล่นกลย่นระยะทางซะแล้ว ยังคงเพลิดเพลินเจริญใจกับเสียงของ “พิเชฐ ลูกสุโขทัย” ที่ปล่อยเงาเสียงไพรวัลย์ ลูกเพชรออกมาเป็นชุด เหตุที่ชอบเพราะว่าส่วนใหญ่อยู่ในระดับ สว. ทั้งนั้น ทันเสียงเพลงและบรรยากาศในยุค “แก่ ๆ” กันทุกคน “ว่างจากงานหว่านไถ จะร้อยมาลัยใบข้าว ห้อยคอสาวจำปา เจ้าเป็นเทพธิดา ของบ้านนาบ้านทุ่ง นุ่งผ้าถุงไทยเดิม...ฯลฯ” เสียงเพลง “เทพธิดาผ้าซิ่น” ของเสรี รุ่งสว่าง มาแทนไพรวัลย์ พอถึงตอน “แม่ดอกบัวที่อยู่ในสระ จะบานคอยพระหรือบานคอยเณร ถ้าบานคอยพี่ ไว้พรุ่งนี้ ตอนเพล...ฯลฯ” เรียกเสียงปรบมือกราวทั้งคันรถ หมาเห็นปลากระป๋องชัด ๆ ฮ่า..ฮ่า..! รถของเราข้ามแม่น้ำที่ไม่ใหญ่นัก เทพธิดาผ้าซิ่นจบลงที่ป้าย Dijon 35 ช่วงนี้ “ลุงหนวด” ติดจรวดให้ที่ความเร็ว ๕๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ไม่มีใครสงสัยบ้างเลยหรือนี่ ? “จะมีก็แต่พลขับนั่นแหละครับ แต่เขาก็ไม่ได้มาบ่อยจนชินทาง จึงพอที่จะ “แหกตา” กันไปได้” ฟัง “ท่านนายพล” เฉลยแล้ว ทำให้รู้สึกว่าผีหรือเทวดานี่บางทีก็มีความประพฤติที่ไม่น่าไว้วางใจเท่าไร “ถ้าท่านจะฉันเพลสักบ่ายสองโมง ผมกับคณะก็จะได้ปล่อยให้ไปตามความเร็วปกติครับ” เฮ้ย..นาฬิกาหน้ารถบอกเวลาเที่ยงสองนาทีแล้ว ทุกคนเพลินกับเสียงเพลงจนลืมหิวไปเลยนะนี่...! เอาเร็วกว่านี้ได้ไหมลุง ? แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 11-06-2017 เมื่อ 08:52 |
สมาชิก 69 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#22
|
||||
|
||||
เพิ่งเข้าเขตเมืองก็มีเรื่องตื่นเต้นช่วยให้เจริญอาหาร..! นายสันโดษนำรถเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงสาย A 39 วิ่งยาวไปจนถึงทางแยก A 5 ก็เลี้ยวอีกทีมุ่งไปทาง Dijon นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงครึ่งก็มาถึงด่านใหญ่หน้าเมือง คุณเอ๋ย...สงสัยไม่เคยมีแฟน ที่จะมาเกี่ยวแขน คู่เป็นแฟนของคุณ เมื่อยามผมจ้อง เห็นต้องหลบชุลมุน สงสัยแท้แม่คุณ จะรอไออุ่นจากใคร...ฯลฯ พิเชฐ ศรีสุโขทัย มาแทนชาตรี ศรีชล โดยไม่สนใจว่าใครจะผ่านด่านอย่างไร พาหนะของเราวิ่งเข้าไปในเมืองตามทางวันเวย์ ผ่านตึกรามบ้านช่องหน้าตาโบราณ ๆ ที่สูงแค่ ๓ ๔ ชั้น มีปล่องเตาผิงอยู่บนหลังคา บางบ้านใหญ่หน่อยก็มีถึง ๔ ๕ ปล่องด้วยกัน... เดี๋ยวผมจะพาพระอาจารย์ทุกท่านไปฉันเพลที่ภัตตาคารจีนนะครับ หลังจากนั้นค่อยไปขึ้นรถไฟกัน เฮ้ย..! มัคคุเทศก์รูปหล่อหลุดเสียงอุทานออกมาแบบไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าพลขับของเราเบรกจนแทบหงายหลังฟาดพื้น สาเหตุมาจากเด็กผู้ชายที่อายุน่าจะไม่เกิน ๕ ๖ ขวบ วิ่งไล่เพื่อนอีกคนลงมาบนถนน ท่ามกลางเสียงร้องหาพระเจ้าของผู้ใหญ่ที่พบเห็น นายสันโดษยกมือขอโทษที่เบรกกะทันหัน มัคคุเทศก์ที่เกือบจะลงไปวัดพื้นรถหัวเราะแหะ ๆ ตื่นเต้นดีครับพระอาจารย์ จะได้ช่วยให้เจริญอาหารยิ่งขึ้น อีตอนนี้ก็หิวแทบจะแทะรถลงไปทั้งคันแล้ว ยังจะต้องมาเจริญอะไรกันอี๊ก..! ไปไว ๆ หน่อยได้ไหมโอ๋ ? พระครูญาณฯ ที่กลืนน้ำลายขอร้องมา เด็ก ๆ ช่างสวยเหลือเกิน ขืนอยู่นาน ๆ คงได้ตกหลุมรักซัก ๔ ๕ หน ช่วยบอกให้มาร์โกขับเร็ว ๆ หน่อย มันทรมานใจมาก น่าน...ไอ้วอกออกไปถึงโน่น นึกว่าเร่งเพราะหิวข้าว หลบ ๆ ลงไปหน่อย ขายหน้าคนอื่นเขา องปลัดเอามือตบ หัวงู ของพระครูญาณฯ ให้มุดกลับไปตามเดิม อีกฝ่ายเลยถองพลั่กเข้าให้ เพราะรู้ว่าเพื่อนแกล้งตบกบาลเล่น..! ขณะที่มัคคุเทศก์รูปหล่อโทรศัพท์ถึงร้านอาหาร แจ้งว่าคณะของเรามากันแล้ว อีกประมาณ ๕ นาทีจะไปถึงที่ร้าน ให้เตรียมออกอาหารได้เลย... |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#23
|
||||
|
||||
บ้านตระกูลเฉิน...ไม่ทราบว่า "แจ๊กกี้" อยู่ไหมครับ ? บ้านเมืองเขาดูสงบน่าอยู่มาก ตามตึกต่าง ๆ มีป้ายเล็ก ๆ ซึ่งถ้าไม่สังเกตก็มองไม่เห็น บอกว่าเป็นร้านหมอบ้าง ระวังเด็กข้ามถนนบ้าง ป้ายหนึ่งเป็นดิจิตอลบอกว่าอากาศขณะนี้อยู่ที่ ๓๑ องศาเซลเซียส นายสันโดษนำรถเข้าไปจอดที่ลานจอดรถหน้าป้าย Office de Tourisme พวกเรากรูกันลงจากรถด้วยความกระฉับกระเฉง แสดงว่าความหิวช่วยให้ตื่นตัวกันมาก บรรดานักปฏิบัติธรรมถึงได้ปล่อยให้ตนเองอยู่ในสภาพ “กึ่งหิว” อยู่เสมอ สติสมาธิจะได้จดจ่ออยู่กับเฉพาะหน้าได้ง่าย... ลงจากรถได้คุณโอ๋ก็พาเดินตรงไปข้างหน้า มีท่านไพฑูรย์กับพระครูปรีชาตามไปติด ๆ อาตมาตามไปเป็นคนที่สาม ข้ามถนนซอยที่ฝั่งตรงข้ามเป็นสวนสาธารณะ มีดอกไม้สีขาวบานสะพรั่ง กลิ่นหอมมากเสียด้วย เลาะตามกำแพงตึกไปประมาณ ๓๐๐ เมตร ก็พาข้ามถนนอีกครั้ง คราวนี้เดินไปนิดเดียวก็เป็นร้านอาหารจีน ชื่อ Hua Xing มีหนังสือระบุไว้ด้านล่างว่า "บ้านตระกูลเฉิน" ไม่ทราบว่าเฉินหลงอยู่หรือเปล่า ? มัคคุเทศก์รูปหล่อผลักประตูเข้าไป ส่งเสียง "หนีห่าว" นำไปก่อน อาเจ๊หน้าตาจริงจังมากในชุดดำรีบออกมาต้อนรับ บอกว่าทำอาหารไว้นานจนเย็นหมดแล้วทำไมเพิ่งจะมาถึง ? เมื่อถามว่าเป็นโต๊ะไหนบ้าง ? อาเจ๊ก็ชี้ให้ดู พระครูปรีชาไม่สนใจเรื่องอาหาร หากแต่ตรงไปหาห้องน้ำก่อน โดยมีอาตมาตามไปติด ๆ ห้องน้ำมีแค่ ๒ ห้อง เป็นชายห้องหญิงห้อง พระครูปรีชายังลังเลว่าเปิดอย่างไร อาตมาจึงเดินแซงเข้าไปก่อน แต่ดันไปเข้าห้องซ้ายซึ่งเป็นของผู้หญิง จึงโดนอาเจ๊ประท้วงจนต้องเผ่นมาเข้าห้องตรงกันข้าม ข้างในมืดตื๋อเลย แต่เรื่องแบบนี้มืดแค่ไหนก็ไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหากับคนอื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ตอนออกมาจึงมองหาสวิทช์ไฟแล้วเปิดทิ้งไว้ให้เขาด้วย... |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#24
|
||||
|
||||
เอาของที่ทำไว้จนเย็นหมดแล้วไปก่อน กลับมาที่โต๊ะอาหาร นั่งลงข้างพระครูปรีชา บนโต๊ะมีอาหารเย็น ๆ วางอยู่สามจาน มีหมูสามชั้นผัดเห็ดหูหนูน้ำแดง ไก่ผัดหน่อไม้เห็ดหูหนู และถั่วหน้าตาเหมือนกับถั่วฝักยาว แต่ฝักสั้น ๆ ผัดน้ำมัน หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ งัดเอาข้าวไข่ดาวของเมื่อเช้านี้ขึ้นมาวางเพิ่มไปด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อยกเอาซีอิ๊วพริกขี้หนูกับน้ำพริกตาแดงมาให้ ขณะที่อาหมวยคนหนึ่งยกปลาหิมะนึ่งบ๊วยมาอีกจาน พวกเราจึงแบ่งข้าวจากกล่องของหลวงพ่อเจ้าคุณฯ กันคนละนิดหน่อย แล้วโซ้ยกันชนิดที่ไม่ต้องฟังเสียงใคร เพราะว่าหิวจนตาลายแล้ว ผัดเนื้อไก่น้ำขลุกขลิกตามมาด้วยเต้าหู้ผัดหอมหัวใหญ่ จากนั้นข้าวสวยจึงมาถึง... ท่านไพฑูรย์ตักข้าวแจกรอบวง อาเจ๊ยกเอาแกงจืดมาชามใหญ่ เป็นแกงจืดที่จืดจริง ๆ เพราะว่านอกจากผักปวยเล้งแล้ว พระครูกล้าควานจนถึงก้นชามก็ไม่เจออะไรเลย..! จึงตักส่งให้ชามที่ยื่นมา รอบด้าน อาตมากวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก แล้วคว้าขวดเปล่าเข้าห้องน้ำ หวังจะกรอกน้ำใส่ขวด แต่ก๊อกน้ำที่นี่เตี้ยมาก ทำให้กรอกไม่ได้ ต้องออกมาด้วยความผิดหวัง พอดีเห็น "ปิงสุ่ย" ที่มัคคุเทศก์รูปหล่อสั่งมาให้ขนาดขวดละลิตรครึ่ง ขวดที่โต๊ะของอาตมาเปิดแล้ว แต่มีคนเทไปนิดเดียว ส่วนใหญ่หันไปซดน้ำชากันมากกว่า อาตมาจึงคว้าน้ำแช่เย็นมากรอกใส่ขวดจนเต็ม พลางบอกกับท่านอื่น ๆ ว่าใครมีขวดให้กรอกที่เหลือไปด้วย... หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ชวนพระครูด็อกเตอร์เดินกลับไปที่รถกันก่อน อาตมาซึ่งเดินตามไปเป็นเพื่อนทั้งคนแก่ทั้งคนพิการ จึงได้ฟังวีรกรรมที่พระครูด็อกเตอร์เสียขา เพราะว่าไปเจอคนบ้าสถาบันเอาปืนจ่อหัว ท่านปัดทิ้งจึงลั่นไปโดนขา ตามมาด้วยการปัดครั้งที่สองโดนไปที่กลางหลังอีกนัด นัดนี้แหละที่ไปตัดเส้นประสาททำให้เสียขามาจนทุกวันนี้ แต่ยังโชคดีที่ท่านคว้าขวดโซดาฟาดหัวนักเรียนนักเลงสลบเหมือดไปก่อน ไม่เช่นนั้นก็อาจจะถึงตาย..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-09-2017 เมื่อ 16:05 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#25
|
||||
|
||||
ส้วมสาธารณะแบบหยอดเหรียญ นายสันโดษไม่อยู่ ไม่รู้ว่าไปกินอาหารกลางวันอยู่ที่ไหน พวกเราจึงต้องยืนรอกันอยู่ที่ข้างรถ อาตมาเห็นห้องส้วมสาธารณะหยอดเหรียญ จึงเดินไปดูด้วยความสนใจ แต่พระครูชินฯ ที่ตามมาไม่ได้สนใจเฉย ๆ หากแต่ควักเหรียญลองหยอดดูด้วย แต่เครื่องคืนเหรียญกลับมาให้ กำลังสงสัยอยู่ประตูส้วมก็เปิดออก มีฝรั่งตัวเบ้อเริ่มเดินออกมา..! ที่แท้ก็มีคนอยู่นี่เอง ระบบจึงปฏิเสธคนใหม่ อาตมาแยกตัวไปจะถ่ายรูปรถรางไฟฟ้า ที่ยาวถึง ๔ ช่วงรถเมล์ทั่วไป ซ้ำยังเป็นสีม่วงชมพูสดใส กำลังยืนรอรถรางคันต่อไปอยู่ก็มีชายคนหนึ่งถือกิ่งไม้ที่มีใบสดติดอยู่ทั้งกิ่ง พาเด็กชายอายุไม่เกินสิบขวบตรงเข้ามาหา... ด้วยความที่สมัยวัยรุ่นคลุกคลีกับเพื่อนอิสลามมามาก พอเห็นคนถือกิ่งไม้มาในลักษณะนี้ ก็รู้ทันทีว่าเป็นเพื่อนชาวอิสลามที่กำลังมาขอความช่วยเหลือ อาตมาจึงรีบทักทายก่อนว่า "อัสสะลาม มุลัยอากุม" ชายคนนั้นทรุดตัวลงแปะติดพื้น ร้องไห้ออกมาแบบไม่อายใคร พลางตอบว่า "มุลัยอากุม อัสสะลาม" อาตมาถามเขาว่า พระอัลเลาะห์ผู้ยิ่งใหญ่มีพระประสงค์สิ่งใดจึงส่งเขามา เขาบอกเป็นภาษาอังกฤษปนเซิร์บพอเดาได้ว่ากำลังอดอาหาร ตัวเขาพอจะทนได้ แต่สงสารลูกชายที่ยังเล็กอยู่ จึงต้องบากหน้ามาขอความช่วยเหลือ ไม่นึกว่าจะพบกับผู้ศรัทธาในพระอัลเลาะห์ด้วยกัน อาตมาจึงควักธนบัตรใบละ ๑๐ ยูโรส่งให้ลูกชายเขา ๑ ใบ... เขาดึงลูกชายเข้ามาใกล้ ทั้งสองคนกอดอาตมาไว้ ร้องสรรเสริญคุณพระอัลเลาะห์พลางร้องไห้พลาง อาตมาบอกซ้ำไปว่า "อัลร็อซซาก" แต่มือขวากดกระเป๋าจิงโจ้เอาไว้ "จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระวังคนไม่อาจจะละเลย" ถึงอย่างไรก็ต้องระมัดระวังเอาไว้ก่อน อีกฝ่ายทาบมือไว้กับอก น้อมตัวรับคำที่ว่า “พระผู้ทรงประทานปัจจัยยังชีพ” ของอาตมา เขาบอกปนสะอื้นว่า ตนหนีมาจากสงครามที่โคโซโว เขาทำท่ายิงปืนประกอบ การฆ่ากันไม่ใช่คำสอนของพระอัลเลาะห์ ตนจึงต้องหนีมาตายดาบหน้า ร่อนเร่มาหางานทำที่นี่ เพื่อนมุสลิมช่วยหางานให้ แต่รัฐบาลฝรั่งเศสปฏิบัติต่อพวกเขาไม่ดี กล่าวหาว่าพวกเขาเป็นตัวปัญหา นายจ้างก็ให้ตนออกจากงาน รบกวนเพื่อนมุสลิมจนเกรงใจเขามาก เพราะทุกคนก็ลำบากเหมือนกัน... |
สมาชิก 70 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#26
|
||||
|
||||
สองพ่อลูกอิสลามที่มาขอความช่วยเหลือ พยายามหางานทำก็ไม่มีใครยอมรับ วันนี้เงินหมด..กำลังอดอาหาร ตนเองอดนั้นไม่เป็นไรหรอก แต่ลูกที่กำลังโตต้องมาอดด้วย ตนเองทำใจไม่ได้ จึงบากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากบรรดานักท่องเที่ยว ซึ่งก็มีแต่คนปฏิเสธ คิดว่าเขาเป็นขอทาน กำลังอับจนไม่เห็นหนทาง พอดีเห็นคณะของอาตมา รู้ว่าเป็นนักบวช ต้องมีเมตตาสงสารเพื่อนมนุษย์ จึงหักกิ่งไม้มาขอความช่วยเหลือ ไม่นึกว่าพระอัลเลาะห์จะทรงเมตตาขนาดนี้ ทรงบันดาลให้นักบวชคนละศาสนา เข้าใจในพระประสงค์ของพระองค์ ซ้ำยังทักทายตามธรรมเนียมอิสลามอีกด้วย... อาตมาถามเขาว่าภรรยาอยู่ที่ไหน ? เขาฟังไม่เข้าใจ อาตมาจึงชี้ไปที่เด็ก ถามว่าแม่ของเด็กอยู่ที่ไหน ? เขาบอกว่าตายในสงคราม แล้วหันไปพูดกับลูกชายเป็นภาษาเซิร์บ เด็กชายเปิดกระเป๋าสะพาย ค้นเอากระดาษออกมากำหนึ่ง แต่ทุกใบมีแต่ภาษาอังกฤษไม่ก็ภาษาอารบิก ไม่มีใบไหนว่าง ชายคนนั้นทำท่าใบ้ให้อาตมารออยู่ที่นี่ ตนเองวิ่งไปที่ร้านอาหารใกล้ ๆ หายเข้าไปข้างใน อาตมาถามเด็กชายว่า "เธอชื่ออะไร ?" เด็กฟังภาษาอังกฤษไม่ออก อาตมาจึงยกมือทาบอกตัวเอง พูดช้า ๆ ว่า "อาตมาชื่อสุธัมมะ เธอชื่ออะไร ?" เด็กชายทำท่าเข้าใจ ตอบว่า "ซีดาน" พอดีกับผู้เป็นพ่อเอากระดาษสำหรับจดรายการอาหารวิ่งมาถึง ทำท่าใบ้ว่ามีปากกาหรือไม่ ? อาตมาไม่อยากให้เรื่องยาว จึงแบมือตอบว่า "น็อง" พระครูชินฯ ที่ไม่เข้าใจ ดันควักปากกาส่งมาให้เสียนี่... อาตมาจึงต้องเขียนที่อยู่ของตนเองให้กับเขา เขียนไปก็ระวังไปด้วยว่า นี่อาจจะเป็นลีลาของมิจฉาชีพ ที่หลอกให้คนขาดความระวังตัว แล้วอาจจะล้วงกระเป๋าเอาก็ได้ พอส่งที่อยู่ให้ เขาเอาไปทาบกับหัวใจ บอกกับซีดานว่า "ท่านสุธัมมะมีคุณอันยิ่งใหญ่ ช่วยชีวิตปาปากับลูกไว้ เราต้องจดจำและสวดขอพรพระอัลเลาะห์ให้แก่ท่านทุกวันนะลูก" อาตมาถามว่า "คุณชื่ออะไร ?" เขาตอบว่า "ซีนัส" อาตมาเตือนว่า "รีบพาลูกไปกินอาหารเถอะ ซีนัสทำท่าอยากคุยต่อมากกว่า อาตมาจึงถามว่า จะขอถ่ายรูปเขากับลูกได้หรือไม่ ? เขาพยักหน้ารับด้วยความยินดี อาตมาจึงส่งกล้องให้พระครูชินฯ ซีนัสกับซีดานเข้ามากอดอาตมาคนละข้าง แน่นอน..มือของอาตมายังกุมอยู่ที่กระเป๋าส่วนตัว เมื่อถ่ายรูปเสร็จแล้ว อาตมากล่าวกับซีนัสว่า "พระอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่และประเสริฐสุด แล้วพบกันใหม่ตามความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า"... |
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#27
|
||||
|
||||
ดักถ่ายรูป "กิ้งกือสีชมพู" จนได้ ซีนัสน้ำตาไหลอีกครั้ง กลั้นสะอื้นกล่าวว่า "พระอัลเลาะห์ทรงยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าเชื่อแล้วที่พระองค์ตรัสว่าทุกคนเป็นพี่น้องกัน จะเป็นพระพุทธ พระคริสต์ พระแม่มาเรีย ก็ทรงเมตตา ยิ่งใหญ่และประเสริฐสุดเช่นเดียวกัน" แล้วทรุดตัวลงคุกเข่าข้างหนึ่ง เอามือขวาทาบหัวใจ น้อมตัวก้มหัวให้ เป็นการทำความเคารพอย่างสูงสุดสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่พระเจ้า แล้วจูงซีดานเดินเข้าร้านอาหารไป... "นี่คือ เจ้าหนี้เก่า ใช่ไหม..ท่านนายพล ?" ลุงหนวด ตอบว่า "ถูกต้องแล้วครับ ข้างหน้ายังมีอีก" เห็นพระครูโจกำลังถ่ายรูปหลวงพ่อพระครูชุบกับ "กิ้งกือสีชมพู" อาตมาจึงถ่ายบ้าง แล้วเดินกลับไปที่รถ กำลังบอกเรื่องราวแก่พระครูชินฯ ที่ถามเรื่องของซีนัสอยู่ มัคคุเทศก์รูปหล่อก็นิมนต์ทุกรูปให้ขึ้นรถ ซึ่งครั้งนี้มากันพร้อมอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ทำเอามัคคุเทศก์ของเราต้องขอบคุณแล้วขอบคุณเล่า... นายสันโดษนำรถตรงไปสถานีรถไฟลา ดีจอง คุณโอ๋นำทุกคนเข้าไปยังห้องพักผู้โดยสาร ที่เขาสร้างได้เอื้อเฟื้อมาก มีเก้าอี้ทั้งนั่งสูงนั่งต่ำ ตลอดจนโต๊ะทำงานที่มีปลั๊กไฟให้ด้วย ต้องรอที่นี่ไปก่อนนะครับ จนรถไฟใกล้จะมาเขาจึงจะประกาศบอกว่าเข้าชานชาลาไหน พระอาจารย์ทุกรูปมีเวลาประมาณ ๓๐ นาที จะไปถ่ายรูปหรือเดินดูข้าวของอะไรก็ได้ ให้กลับมาก่อนเวลา ๑๓.๓๐ น.นะครับ |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#28
|
||||
|
||||
ถ่ายรูปกับรถไฟความเร็วสูง อาตมาเดินตรงแน่ว "ตามกลิ่น" ไปยังห้องน้ำ ที่นี่มีโถปัสสาวะให้ ๔ โถ แต่ห้องส้วมต้องหยอดเหรียญจึงเข้าได้ อาตมาจึงต้อง "ยืนฉี่" แทน เสร็จแล้วออกมาถ่ายรูปมุมต่าง ๆ ไว้ ทั้งถังขยะแบบใส ป้ายสัญลักษณ์สารพัดรูปแบบ เครื่องแลกเงินอัตโนมัติ เครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ เด็กน้อยผิวดำคนหนึ่งเบิ่งตาโต ๆ มองอาตมาพลางสะกิดแม่ อาตมาโบกมือทักว่า "บงชูร์" เจ้าหนูอายม้วนไปเลย... กลับมาถึงห้องพักผู้โดยสาร บอกกับทุกท่านว่า มีห้องน้ำอยู่ทางด้านโน้น พอดีเห็นท่านอาจารย์ ดร.วันชัยกำลังถ่ายรูปท่านไพฑูรย์กับรถไฟที่ด้านนอกห้องพัก พระครูปรีชากำลังเข้าไปสมทบ อาตมาบอกกับสมุห์สุมิตรที่นั่งใกล้ประตูว่า "ผมจะออกไปถ่ายรูปกับรถไฟ ถ้ามาเคาะประตูก็ช่วยเปิดให้ด้วยนะครับ" เพราะว่าประตูบานนี้เปิดจากข้างในได้อย่างเดียว เปิดจากข้างนอกเข้ามาไม่ได้ ว่าแล้วก็มุดออกไปอีกคน... ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยช่วยถ่ายรูปพวกเราให้ เสร็จแล้วกลับมาเข้าห้องพัก อาตมาไม่ได้เคาะประตูตามที่ตกลงกันเอาไว้ เพราะเห็นว่าประตูถัดไปที่อยู่ไม่ไกลนักเปิดเข้าออกได้ จึงเดินไปเข้าจากทางด้านนั้น มาถึงก็เห็นท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐกำลังถ่ายทำวิดีโอ ด้วยการสัมภาษณ์พระครูกล้า ซึ่งเป็นการกระทำที่ถูกฝาถูกตัวแล้ว เพราะว่าพระราชทินนามของท่านคือ "วาทีวรวัฒน์" บอกชัดว่าถนัดในการพูด กำลังยืนมองการถ่ายทำอยู่ อยู่ ๆ นกพิราบตัวหนึ่งก็บินปร๋อเข้ามาในห้องพักผู้โดยสาร แล้วเดินอาด ๆ หาของกินตามพื้นดินแบบไม่กลัวใครเลย อาตมาจึงหันไปถ่ายรูปนกพิราบแทน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-09-2017 เมื่อ 17:13 |
สมาชิก 65 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#29
|
||||
|
||||
รถไฟความเร็วสูงของฝรั่งเศส หน้าตาน่าใช้บริการมาก มัคคุเทศก์รูปหล่อประกาศเรียกทุกรูปให้ไปรอขึ้นรถไฟที่ชานชาลา I พวกเราจึงเดินตามกันเป็นงูกินหางลงบันไดไปยังชั้นใต้ดิน แล้วเดินไปตามทางอุโมงค์ยาว ๆ ที่มีป้ายโฆษณามากมาย แต่ป้ายที่ต้องการคือป้ายบอกทางนั้น กลับแผ่นเล็กไปหน่อย แต่ก็บอกว่าสำนักงาน ลานจอดรถ ห้องเก็บกระเป๋า และชานชาลาต่าง ๆ ไปทางไหนบ้าง ซ้ำยังมีเครื่องกดเงินอัตโนมัติอีกด้วย จนกระทั่งมาโผล่ยังชานชาลาข้างบน... เมื่อไปถึงบริเวณชานชาลาสำหรับรอรถไฟแล้ว ตู้ของพวกเราอยู่ในช่วงไหน ดูตำแหน่งได้จากจอภาพที่ติดไว้ใกล้หลังคา มัคคุเทศก์รูปหล่อแจกตั๋วโดยสารให้คนละใบ ของอาตมาเป็นที่นั่งหมายเลข ๖๑ ดูจากราคาที่นั่งละ ๔๗.๕๐ ยูโร เท่ากับ ๑,๙๐๐ บาท รวมทั้งคณะก็เท่ากับ ๕๑,๓๐๐ บาท งานนี้ทางบริษัทรีเจนซี่ทัวร์จะมีกำไรหรือขาดทุนกันแน่ ? อาตมาเห็นรถไฟด่วนจอดเทียบอยู่ทางด้านหลังขบวนหนึ่ง จึงชวนท่านอาจารย์คณบดีไปผลัดกันถ่ายรูป เมื่อกลับมารอยังที่เดิม เหลือบเห็นแหม่มสาวอวบอั๋นรายหนึ่ง กำลังยกกล้องส่องมาทางอาตมา จึงโบกมือแล้วยืนนิ่งให้เธอถ่ายรูป อีกฝ่ายยิ้มดีใจที่อาตมาไม่ว่า ซ้ำยังเต็มใจให้ถ่ายอีกด้วย กดชัตเตอร์แล้วร้องขอบคุณว่า "แม็กซิ" พลางเปิดภาพยื่นให้เพื่อนชายดู... |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#30
|
||||
|
||||
สาวฝรั่งเศสขอถ่ายรูปด้วย เมื่อเห็นว่าเธอมีเพื่อนชายมาด้วย อาตมาจึงบอกให้เธอถ่ายรูปคู่กับอาตมาก็ได้ แต่อย่ากระทบถูกอาตมาก็แล้วกัน เธอรีบส่งกล้องให้เพื่อนชาย อาตมาจึงส่งกล้องของตัวเองให้พ่อหนุ่มนั่นช่วยถ่ายให้ด้วย เธอเข้ามายืนเคียงข้างพลางยกมือซ้ายขอเช็กแฮนด์ อาตมาขอโทษ บอกว่าเป็นพระ มีข้อห้าม (Precept) ถูกตัวผู้หญิงไม่ได้ เธอจึงยืนเอียงคอยิ้มน่ารักให้กล้อง เสร็จแล้วขอบคุณอีกครั้งก่อนจะไปเปิดรูปดูผลงาน... "นั่นแน่..พระครูวิลาศฯ เสน่ห์แรงอยู่คนเดียวเลยนะ.." เพื่อน ๆ ท่านอื่นยืนดูตามปกติ แต่ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐแซวมา อาตมาตอบว่า "ประกาศนียบัตรจากสถาบันภาษา มจร. ของผมไม่ใช่ได้มาเปล่า ๆ ครับ ของผมใช้งานจริงได้ด้วย" ทำเอาเพื่อน ๆ หลายคนตีหน้าเหมือน "คนใบ้อมบอระเพ็ด" ขมเท่าไรก็พูดออกมาไม่ได้..! ๑๔.๒๕ น. รถไฟเข้าสถานีตรงเวลา ถ้าจะจับผิดกันจริง ๆ จากนาฬิกาของทางสถานีก็คือ เลยเวลาไป ๒๐ วินาที..! พวกเรารอจนผู้โดยสารลงหมดแล้ว ก็เดินขึ้นไปเป็นแถว อาตมาดูหมายเลขที่นั่งจากด้านบนระหว่างเบาะ แล้วเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงที่นั่งแถวสุดท้ายจึงเป็นหมายเลขที่ ๖๑ ได้นั่งคู่กับหลวงพ่อพระครูญา เจ้าคณะอำเภอท่ายาง... |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#31
|
||||
|
||||
หลวงพ่อพระครูญานั่งภาวนาทำกำไรไปเรื่อย เก้าอี้นั่งเป็นชุดสี่ตัวหันเข้าหากัน มีโต๊ะขนาดเล็กอยู่ตรงกลาง สามารถเปิดขยายให้กว้างขึ้นเพื่อทำงานได้ มีปลั๊กไฟอยู่ด้านข้างให้ด้วย ที่นั่งตรงข้ามเป็นท่านอาจารย์คณบดีกับใบฎีกาวรัญญู จึงผลัดกันถ่ายรูปเอาไว้เป็นที่ระลึก... รถไฟเคลื่อนออกจากสถานี ขณะที่มหานพพลกำลังเครียด เพราะว่าที่นั่งหมายเลข ๒๔ ของท่านมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว หญิงใหญ่ ส่งตั๋วของตัวเองไปเปลี่ยนให้ พอไปที่นั่งใหม่ก็ยิ่งเครียดกว่าเดิม เพราะว่าเป็นที่นั่งคู่กับคุณโอเล่ คุณมหาจึงมานั่งแปะกับพระครูชินฯ ไปก่อน รอให้มัคคุเทศก์รูปหล่อมาแก้ปัญหาให้... อาตมาเอาโน้ตบุ๊กขึ้นมาพิมพ์บันทึกการเดินทาง หลวงพ่อพระครูญามองดูอย่างสนใจ แต่พอเห็นว่าเป็นเรื่องของพวกเรากันเอง ท่านก็หลับตาภาวนาของท่านไป นอกจากลืมตามาส่งตั๋วให้นายตรวจแล้ว ที่เหลือท่านเอาแต่ภาวนาอย่างเดียว มัคคุเทศก์รูปหล่อเจรจากับนายตรวจเรื่องที่นั่งของมหานพพล ดูท่าว่าจะไม่มีปัญหา เพราะว่ายังคงนั่งคู่กับพระครูชินฯ เหมือนเดิม... |
สมาชิก 66 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#32
|
||||
|
||||
ถ้าเปลี่ยนไปใส่สูทก็มีมาดนักธุรกิจเหมือนกันนะนี่ วันนี้เครื่องโน้ตบุ๊กรวนมาก พิมพ์ได้ไม่กี่ตัวก็กระโดดไปบรรทัดใหม่ ต้องคอยดึงกลับมาอยู่เรื่อย ทำให้ไม่ได้มองทิวทัศน์รายทาง นอกจากเวลามืดตื๋อก็รู้ว่ากำลังผ่านอุโมงค์ รู้สึกว่ารถไฟวิ่งไม่เร็วสมกับเป็นรถไฟความเร็วสูงเลย ค่อนข้างจะถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่างเสียด้วยซ้ำไป แต่ยังพิมพ์งานได้ไม่เท่าไรเสียงมัคคุเทศก์รูปหล่อก็บอกว่า "จวนถึงสถานีปลายทางแล้ว พระอาจารย์ทุกรูปเตรียมตัวลงได้แล้วนะครับ" หือม์...เห็นช้า ๆ แท้ ๆ ทำไมถึงเร็วนักวะ ? “เขาวิ่ง ๒๕๐ ก.ม. ต่อ ช.ม.ครับ” พนักงานรถไฟล่องหนเมตตาบอกให้ทราบ... เก็บเครื่องโน้ตบุ๊กแล้วไปห้องน้ำ เสียงแหบยังไม่พอ ซ้ำยังเริ่มไออีกด้วย จึงขอยาจากคุณโอเล่ ซึ่งมีแค่ยาแก้แพ้กับยาแก้ปวดลดไข้ตามเคย กลืนลงไปพร้อมกับน้ำทั้งขวด แล้วหิ้วกระเป๋ากับขวดเปล่าตามไปต่อแถว เพื่อเตรียมลงยังสถานี Gare de Lyon... ลงมาถึงด้านล่าง ฉวยโอกาสที่ยังมากันไม่ครบ ส่งกล้องให้พระครูปรีชา ช่วยถ่ายรูปกับรถไฟขบวนที่นั่งมาด้วย มัคคุเทศก์รูปหล่อตรวจนับจำนวนคนแล้ว ก็พาเดินลัดเลาะอ้อมรางรถไฟและหัวรถจักร ย้อนกลับไปนิดหนึ่งก็เลี้ยวซ้าย ตรงนี้เป็นอาคารโครงเหล็ก หลังคาเป็นกระเบื้องสีขาวขุ่น ทำให้แสงสว่างลอดลงมาได้มาก มัคคุเทศก์ของเราแจ้งกับทุกรูปว่า ให้รออยู่ตรงนี้ ถ้าคุณโอเล่ที่คอยปิดท้ายขบวนมาถึง ก็ให้นำไปที่รถคันใหม่เลย ตนเองจะไปติดต่อประสานงานเรื่องเรือล่องแม่น้ำแซนน์ก่อน... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2017 เมื่อ 12:20 |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#33
|
||||
|
||||
เดินไปใกล้นิดเดียว..! ในเมื่อมีเวลาพวกเราจึงพากันถ่ายรูปกับรถไฟความเร็วสูงเป็นการใหญ่ เมื่อคุณโอเล่ถ่ายรูป หญิงใหญ่ กับรถไฟความเร็วสูงเสร็จ ก็พาคณะพวกเราเดินออกจากสถานีรถไฟ เลาะข้างสถานีไปยังบริเวณที่จอดรถทัวร์ ซึ่งต้องเดินไปไกลเกือบครึ่งกิโลเมตร ผ่านทั้งห้องน้ำ ผ่านทั้งจุดรวมพล ไปถึงก็เห็นรถทัวร์สีแดงคันแรกติดป้าย Regency Travel หราเลย คนขับหนุ่มหน้าตาดีมากเสียด้วย อาตมากล่าวทักทายด้วยเสียงแหบ ๆ ว่า "บงชูร์" แล้วเอากระเป๋าเก็บบนชั้นวางของ พอนั่งลงก็รู้สึกดีใจ เนื่องจากที่นั่งกว้างกว่ารถของนายสันโดษเยอะ ทำให้ไม่เจ็บสะโพกมากนัก... ทุกคนขึ้นมากันหมดแล้ว หลวงพ่อพระครูชุบบอกว่า "ช่วยขอให้เขาเปิดแอร์ให้หน่อย" พระครูสันติฯ เห็นอาตมาเสียงแหบกว่าเป็ดตั้งเยอะ คงกลัวว่าอาการจะทรุดหนักไปกว่านี้ ท่านจึงเดินเข้าไปตีใบ้กับพ่อรูปหล่อ ชี้มือไปที่ช่องลมแล้วชี้ไปที่ปุ่มเปิด อีกฝ่ายรีบเปิดเครื่องปรับอากาศให้ ท่านกลับมาพูดด้วยความภูมิใจว่า "ถึงผมจะพูดภาษาของเขาไม่ได้ แต่ผมก็ใบ้ได้ชัดเจนแหละครับ"..ฮ่า..! จะว่าไปแล้วนิสิตปริญญาเอกรุ่นนี้ มากความสามารถกันทุกรูป เพียงแต่จะได้แสดงออกในด้านที่ตนเองถนัดหรือเปล่าเท่านั้น... นั่งรอกันอยู่พักใหญ่ มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงมาถึง จับไมโครโฟนได้ก็แจ้งข่าวทันทีว่า กราบขออภัยพระอาจารย์ทุกท่านครับ เนื่องจากว่ามีเวลาเหลือไม่พอที่จะพาทุกท่านไปล่องเรือชมแม่น้ำแซนน์ได้ทันในวันนี้ ผมจึงขอเปลี่ยนแผนมาเป็นการพาทุกท่านไปช็อปปิ้งแทน ส่วนการล่องเรือขอเลื่อนไปเป็นวันอื่นที่เหมาะสมนะครับ ไม่เห็นด้วยก็ไม่ได้ เพราะว่าตอนนี้เกือบจะบ่ายสี่ครึ่งแล้ว ขืนไปล่องเรือในเวลาโพล้เพล้ก็คงจะชมอะไรได้ไม่ถนัดนัก แล้วพรรคพวกส่วนมากก็เป็นบรรดา ขาช็อป ทั้งนั้น เอาไป ปล่อยผี เสียก่อนก็ดีเหมือนกัน... |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#34
|
||||
|
||||
เขามาเชียร์เทนนิสกันครับ พลขับรูปหล่อที่เหมือนกับตั้งใจมาประชันความหล่อกับมัคคุเทศก์ของเรา นำรถออกจากลานจอด วิ่งผ่านตัวอาคารที่กำลังก่อสร้าง ส่วนที่มองเห็นชัดที่สุดคือชั้นล่างสุดของตัวอาคาร ที่เป็นเสาประกอบกับวงโค้ง ซึ่งก่อด้วยอิฐแดงอย่างประณีต จนเหมือนกับตั้งใจโชว์แบบสุดฝีมือ รถของเรามาติดไฟแดงอยู่ที่สี่แยกขนาดมหึมา ที่รอบด้านมีต้นไม้ร่มครึ้มเหมือนกับเป็นป่า แสดงให้เห็นถึงการรักษาธรรมชาติได้เป็นอย่างดียิ่ง แล้ววิ่งข้ามสะพานเข้าไปสู่เขตที่อยู่อาศัย ที่อาคารแต่ละหลังเหมือนกับหลุดมาจากภาพยนตร์ยุค หลุยส์ สวยงามประทับใจจนพวกเราต่างก็ถ่ายรูปเป็นการใหญ่ ผ่านอาคารยุค หลุยส์ สี่ชั้นขนาดมหึมาซึ่งมีลายปูนปั้นสวยงามมาก ที่หน้าอาคารมีอนุสาวรีย์ทรงม้าหล่อด้วยสัมฤทธิ์เขียว น่าจะเป็นศาลาว่าการกรุงปารีส... พอเลี้ยวขวามาถึงด้านหน้าศาลาว่าการ ก็เห็นคนเป็นพัน ๆ กำลังรวมตัวกันอยู่ด้านหน้า เขามาเชียร์เทนนิสกันครับ ท่านนายพล ชี้แจงแถลงเหตุ นี่ถ้าบ้านเรามีคนตามเชียร์นักกีฬาไทยขนาดนี้ ไม่ว่ากีฬาอะไรเราคงจะไม่แพ้ชาติใดในโลก รถวิ่งผ่านสี่แยกที่การจราจรค่อนข้างหนาแน่น มองเห็นยอดสิ่งก่อสร้างที่มีลวดลายแบบเรอเนสซองส์สวยงาม โผล่พ้นต้นไม้และหลังคาสูงขึ้นไปมาก นั่นคือโบสถ์นอตเตรอะดามที่มีชื่อเสียงที่สุดของฝรั่งเศสครับ บริการของมัคคุเทศก์ล่องหนช่วยแก้ข้อสงสัยได้เป็นอย่างดีที่สุด พาหนะของเราเลี้ยวข้ามสะพานที่มีลวดลายสวยงาม ผ่านเข้าไปพื้นที่อีกเขตหนึ่ง ช่วงนี้มีตัวอาคารเรียงรายกันเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละช่วงก็มีความงามแตกต่างกันออกไป จนอดไม่ได้ที่จะต้องถ่ายรูปไปเรื่อย ผ่านสี่แยกอีกแห่งหนึ่งคราวนี้รถของเราวิ่งเลียบไปกับแม่น้ำ คงจะเป็นแม่น้ำแซนน์ที่เราจะไปล่องเรือกันนั่นเอง... ริมแม่น้ำเป็นรั้วเหล็กโปร่งที่สูงเกินสองเมตร มีคนนั่งพักอยู่กับขอบรั้วอยู่หลายคน ด้านหลังรั้วส่วนที่เป็นชายฝั่งแม่น้ำ มีต้นไม้ขึ้นเป็นแถวเป็นแนวยาวไปตลอดชายฝั่งช่วงนี้ มาถึงสี่แยกอีกแห่งหนึ่ง อาคารสองชั้นครึ่งที่อยู่ทางซ้ายมือสวยสุด ๆ ชั้นล่างเป็นประตูโค้ง ๗ บาน เสาประตูแต่ละบานมีรูปปั้นทั้งแบบนูนต่ำและลอยตัวที่สวยงามสุด ๆ ชั้นกลางเป็นเสาแบบกอธิคขนาดใหญ่ที่ค้ำ ประตู อีก ๗ บานอยู่ข้างละสองต้น แต่ละบานประตูยังมีเสาขนาดเล็กอีกบานละ ๒ ต้น ข้างบนที่เป็นขอบประตูสูงเป็นเมตรนั้น เจาะช่องวงกลมประดับลวดลาย กลางวงกลมดูไกล ๆ เห็นเหมือนกับรูปปั้นครึ่งตัว ส่วนบนหลังคาซ้ายขวานั้น มีรูปปั้นลอยตัวขนาดใหญ่ที่เป็นสีทองเจิดจ้า มีตัวหนังสือสีทองอยู่ตรงขอบชั้นสองเขียนว่า ACADEMIE NATIONALE DE MUSIQUE เรียกกันง่าย ๆ ว่า โอเปร่า เฮ้าส์ ครับ อ้าว...แล้วทำไมไปเขียนซะยากเลยวะ..? |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#35
|
||||
|
||||
ร้านกว้างเท่าไรไม่รู้ ? แต่ยาวแค่ที่เห็น..! ข้างหน้านั่นคือร้านที่ผมพาพระอาจารย์ทุกท่านมาช็อปปิ้งกันนะครับ ชื่อร้านลาฟาเย็ตต์ นับเป็นร้านที่มีชื่อเสียงที่สุดในปารีสทีเดียวครับ มัคคุเทศก์รูปหล่อไม่ได้บอกต่อว่าแพงที่สุดด้วยหรือเปล่า ? พลขับรูปหล่อนำรถเลี้ยวขวาตรงสี่แยกข้างร้าน วิ่งตรงไปจนถึงอีกสี่แยกหนึ่ง จึงเลี้ยวซ้ายอีกที วิ่งตรงไปจนสุดทางก็คือสี่แยกแห่งที่สาม ตรงนี้มีโบสถ์ขนาดใหญ่สวยสง่ามาก แต่เงียบเป็นผีหลอกเลย มีคนเดินอยู่แถวนั้นแค่สามสี่คน ส่วนมากเขาไปช็อปปิ้งกันที่ร้านลาฟาเย็ตต์นั่นแหละครับ โบสถ์แห่งนี้อยู่ใกล้กับห้างดังมากเกินไป จึงกลายเป็นโบสถ์ที่ถูกลืม นี่ ท่านนายพล หมายความว่าเป็นโบสถ์คนเมินใช่ไหม ? เลี้ยวซ้ายหน้าโบสถ์วิ่งไปจนสุดทาง ก็เลี้ยวซ้ายที่สี่แยกอีกที คราวนี้วิ่งชิดขวามาจอดที่หน้าร้านซึ่งมีคนแน่นไปหมด ดูหน้าตาแล้วก็คือบรรดาอากง อาม่า อาแปะ อาอึ้ม อาเฮีย อาตี๋ อาเจ๊ อาหมวย แทบทั้งนั้น รีบลงหน่อยครับ รถของเราจอดนานไม่ได้ มัคคุเทศก์รูปหล่อเร่งทั้งที่พวกเราก็นับว่าลงเร็วอยู่แล้ว เมื่อเห็น รถทัวร์" อีกสามคันที่มาจ่อท้าย แล้วผู้คนไหลพรูลงมา ส่งภาษาจีนเจี๊ยวจ๊าวไปหมด ก็เป็นอันเข้าใจว่าทำไมถึงต้องรีบ คุณจราจรและคุณ รปภ. ที่ช่วยโบกรถให้ต้องทำงานหนักเป็นอย่างยิ่ง ถ้าผู้คนมากันขนาดนี้ทั้งวันก็แปลว่ามีลูกค้าวันละนับหมื่นคน..! บนชายคาตึกของร้านค้า มีป้ายสีแดงที่มีคำว่า GALERIES LAFAYETTE ติดอยู่ยาวเหยียดตลอดตัวตึก ซึ่งดูแล้วน่าจะไม่ต่ำกว่า ๕๐ ๖๐ เมตร ก็แปลว่าถ้าเป็นมาตรฐานตึกบ้านเรา ร้านนี้น่าจะมีพื้นที่ประมาณ ๑๕ ห้อง โอ้..แม่เจ้า..อะไรจะมหึมามโหฬารขนาดนี้ มัคคุเทศก์รูปหล่อพาคณะของเราเดินเข้าประตูกระจก ขึ้นบันไดเตี้ย ๆ ประมาณ ๗ ๘ ขั้นสองช่วง ซึ่งต้องเบียดกับบรรดานักท่องเที่ยวชาวจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บรรดาอาอึ้ม อาเจ๊ อาหมวย ก็ไม่มีใครคิดที่จะหลีกพระซักคน อาตมาได้แต่ทำตัวลีบ ๆ บังหลังท่านไพฑูรย์ที่พอจะบังได้มิด ค่อย ๆ ไหลตามคณะไปเรื่อย ๆ ผ่านสินค้าที่ตั้งแสดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นน้ำหอม จนมาหยุดอยู่ที่ แผนกคนไทย โอ๊ย..จะเป็นลม นี่ถึงขนาดมีแผนกคนไทยโดยเฉพาะเลยหรือนี่ ? |
สมาชิก 60 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#36
|
||||
|
||||
แผนกคนไทยของห้างลาฟาเย็ตต์ สวัสดีค่ะ ยินดีต้อนรับทุกท่านค่ะ สองสาวผมยาวในเสื้อสีเทาลายจุดสีขาวคนหนึ่ง เสื้อสีขาวอีกคนหนึ่ง ยกมือไหว้ทักทายมาด้วยอัธยาศัยอันดี ท่านต้องการสินค้าอะไรเมื่อเลือกแล้ว มาจ่ายเงินตรงนี้นะคะ ดิฉันทั้งสองจะออกใบเสร็จพร้อมกับใบคืนภาษีให้ค่ะ ด้านหลังของสองสาวมีตัวหนังสือสีทองบนแผ่นแกรนิตสีดำ ทั้งภาษาฝรั่งเศส ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษาไทย และภาษาอินโดนีเซีย เป็นใจความเดียวกันว่า ยินดีต้อนรับ และ ขอบคุณผู้มีอุปการคุณทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม..! แล้วพบกันใหม่เร็ว ๆ นี้... มัคคุเทศก์รูปหล่อทักทายฝากฝังคณะของเรากับสองสาวแบบคนคุ้นเคย แล้วต้อนพวกเราเดินต่อเพื่อไปยังแผนกผู้ชาย ผ่านสารพัดสินค้าบำรุงความงาม ที่วางล่อตาล่อใจไปตลอดทาง ผ่าน ห้องเสื้อ และ ร้านขายอัญมณีอีกหลายแห่ง ที่ข้างฝากระจกนั้นมีแมลงและผีเสื้อ ที่วางประกอบกันขึ้นมาด้วยสินค้ายี่ห้อ LOUIS VUITTON ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า สารพัดรูปแบบ นับว่าเป็นแนวความคิดที่สุดยอดมาก ผู้คนแน่นจนอาตมาท้อใจ บอกกับมัคคุเทศก์รูปหล่อว่า อาตมาไม่ไปต่อแล้วนะคุณโอ๋ จะออกไปเดินดูบ้านดูเมืองของเขาด้านนอก แล้วจะรออยู่หน้าประตูด้านที่เข้านั่นแหละ เมื่ออีกฝ่ายรับทราบ อาตมาก็กลับหลังหัน เดินย้อนกลับออกไปทันที... กว่าจะหลุดออกมาที่ถนนด้านนอกได้ก็ถึงกับเหงื่อตก ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปจนสุดตึก จากนั้นเลี้ยวขวามุ่งไปยังโบสถ์คนเมินที่เห็นอยู่ลิบ ๆ ทรงโบสถ์ที่โดดเด่นสง่างาม มีโดมสูงลิบให้ใกล้ชิดพระเจ้า แต่คนกลับไปเดินห้างจนหมด เหมือนกับประเทศอะไรแถว ๆ อาเซียนที่อาตมารู้จักดีเลยว่ะ..! Yaaakkk..! เสียงแผดร้องลั่นมาทางด้านหลัง อาตมาหันขวับกลับมาก็เจอฝรั่งรูปร่างกำยำล่ำสัน เงื้อมือในท่าคาราเต้พุ่งปราดเข้ามาประชิด ท่าทางเหมือนจะฟันให้หัวขาดในฝ่ามือเดียว อะไรกันวะนี่ ? สมองหมุนจี๋ประมวลผลเร็วพอ ๆ กับซูเปอร์คอมพิวเตอร์..! |
สมาชิก 64 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#37
|
||||
|
||||
โบสถ์หมาเมิน เอ๊ย..คนเมิน..! “ล้อเล่นหรือเปล่าวะ ?” เป็นความคิดแรกที่พุ่งเข้ามา เพราะว่าพวกฝรั่งมักจะเห็นพระไทยเป็นพระวัดเส้าหลินเสมอ แต่ท่าทางที่พุ่งเข้ามานั้นจริงจังเกินกว่าที่จะล้อเล่น มิหนำซ้ำยังเปล่งรังสีอำมหิตมาแต่ไกล จากทีแรกที่คิดจะถีบยันเอาไว้เฉย ๆ แต่รูปร่างใหญ่ขนาดนี้ถ้ามันเอาจริงอาตมามีหวังตายแน่ จาก “ไกรสรข้ามห้วย” หรือ “มอญยันหลัก” จึงแปลงเป็น “กวางเหลียวหลัง” ด้วยการเบี่ยงตัวถีบขวายื่นส้นเท้านำหน้า “พลั่ก..!” “Ukk..!” สองเสียงดังขึ้นเกือบจะพร้อมกัน แรงปะทะทำเอาอาตมาเสียวแปลบไปทั้งสะโพกข้างซ้ายที่เจ็บ เกือบจะทรุดลงไปกองกับพื้น บรรลัยแล้ว...เหลือแค่ขาเดียวแล้วจะไปสู้อะไรกับมันได้..! ร่างหนา ๆ ประมาณหมีควายพุ่งเข้ามาชนส้นเท้าที่ตอกเข้าลิ้นปี่อย่างถนัดถนี่ ม้วนกลิ้งลงไปคลุกฝุ่น แต่พอลุกขึ้นมาได้กลับเผ่นแน่บไม่เหลียวหลัง แบบนี้ชัดแล้วว่ามันเอาจริง ถ้าอาตมาตัดสินใจผิดมี “งานเข้า” อย่างแน่นอน เพราะว่าถ้าล้อเล่นก็คงจะลุกขึ้นมาตัดพ้อต่อว่า ไม่ใช่หนีหน้าไปเฉย ๆ แบบนี้ “Cool..!” เสียงตะโกนประมาณว่า “เจ๋งมาก” แล้วหนุ่มฝรั่งร่างผอมในเสื้อยืดสีดำ ดูอายุอานามน่าจะประมาณวัยรุ่น ยกหัวแม่มือให้อาตมาทั้งสองข้าง ปราดเข้ามาจับมือเขย่าเป็นการใหญ่ ทำเอาอาตมาต้องฝืนยิ้มแย้มแจ่มใสจับมือจับไม้ด้วย ทั้งที่เจ็บสะโพกแทบตาย..! “ไอ้หนู” บ้าวีรบุรุษล้วงกระเป๋ากางเกงหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา ขออนุญาต “เซลฟี่” ด้วย เจ้าประคุณเถอะ...โทรศัพท์ของนายนี่ “โชกโชน” กว่าอาตมาเยอะเลย กระจกหน้าทั้งแตกทั้งลายพร้อย อีกฝ่ายฉีกยิ้มจนเห็นฟันเกือบหมดทั้งปาก กดไปซะสองรูป เสร็จแล้วอาตมารีบบอกลา ขืนช้าเดี๋ยวมีรายการฝรั่งมุง เพราะว่าเริ่มมีคนสนใจมองมาทางนี้แล้ว ตอนแรกทั้งถนนเหมือนกับไม่มีใคร ทำไมตอนนี้ผู้คนดูเยอะนักวะ ? ขืนช้าเกิดมีใครโทรแจ้งตำรวจ อาตมาก็คงน้ำลายแห้งกว่าจะอธิบายให้เข้าใจได้ จึงลากขาเจ็บ ๆ เผ่นแน่บ กลัวเจอ “แฟนคลับ” เรียกเพื่อขอถ่ายรูปอีก..! แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2017 เมื่อ 19:23 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#38
|
||||
|
||||
ร้านกาแฟข้างถนนขนานแท้ “คนของท่านทำแบบนี้หมายความว่าอย่างไรวะ ?” อาตมาคาดคั้นกับ “ท่านนายพล” ซึ่งหน้าที่หนึ่งก็คือองครักษ์ แต่กลับบกพร่องต่อหน้าที่ “เป็นพวกต่อต้านต่างชาติครับ พวกนี้ส่วนมากจะไม่ชอบชาวเอเชียหรืออาฟริกัน เพราะว่ามาแย่งงานของคนฝรั่งเศสทำ จึงมีการประท้วงหรือทำร้ายเอาอย่างที่เห็น รายนี้มีกรรมที่ต้องชดใช้กับท่าน ผมจึงไม่ได้แทรกแซงครับ” แปลว่าถ้าอาตมาไม่มีความสามารถพอ ก็บาดเจ็บล้มตายไปเอง...ว่าอย่างนั้นเถอะ “ผมไม่ปล่อยให้เป็นไปถึงขนาดนั้นหรอกครับ ถ้าจะเป็นถึงขนาดนั้น ด้วยหน้าที่ซึ่งได้รับมาก็จำเป็นต้องแทรกแซงครับ”... มาถึงสี่แยกอาตมาก็เลี้ยวซ้าย แต่ไม่ข้ามถนนไปฝั่งเดียวกับห้างลาฟาเย็ตต์ หากแต่เดินเลาะฝั่งตรงข้ามไป ด้านนี้มีแต่คนนั่งกินกาแฟ ซึ่งเป็นร้านกาแฟแบบที่ค่อนข้างประหลาด คือเป็นโต๊ะกลมเล็ก ๆ พอที่จะวางกาแฟได้สักสองสามชุด วางชิดกับผนังตึกหรือหน้าร้าน มีเก้าอี้วางหันหลังให้กับผนัง เรียงรายไปเป็นแนวยาว เหมือนร้านกาแฟที่นั่งเดียว ดูแล้วกิจการดีเสียด้วย เพราะว่ามีคนนั่งกันเต็มไปหมด สาว ๆ หลายนางแต่งตัวเหมือนกับเพิ่งหลุดออกมาจากแคตตาล็อกแฟชั่น แต่ก็ดูดีและกลมกลืนไปกับบรรยากาศอย่างคาดไม่ถึง... ไปถึงสี่แยกอาตมาเดินข้ามถนนไปยังอีกฝั่งหนึ่ง พอข้ามไปได้รถราก็บีบแตรเสียงดังลั่น ที่แท้ไฟเขียวคนข้ามกลายเป็นไฟแดงไปแล้ว แต่ว่าคนยังเดินตามกันมาเป็นแถวยาว บรรดารถที่ติดไฟแดงอยู่จึงบีบแตรประท้วง บางคันก็ออกตัวเลย เรียกเสียงวี้ดว้ายจากสาว ๆ ที่กำลังข้ามถนนดังขึ้น โดยเฉพาะแม่สาวอินตะระเดียรายหนึ่ง ถึงกับร้องกรี๊ดแล้วหันหลังวิ่งกลับไปยังฝั่งเดิม ทั้งที่เหลืออีกไม่ถึงครึ่งก็จะพ้นถนนแล้ว เลยทำเอารถราเบรกกันจนหัวทิ่ม และยิ่งบีบแตรประท้วงกันใหญ่ เออ..แบบนี้ก็มีเหมือนกัน เป็นความเถรตรงหรือรักษาสิทธิประโยชน์ของตนจนเกินไปที่ได้พบเห็นในประเทศนี้... |
สมาชิก 63 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#39
|
||||
|
||||
คุณยายยิปซี "เจ้าหนี้เก่า" ข้ามถนนอีกทีตรงไปยัง “โอเปร่า เฮ้าส์” ถ่ายรูปบรรดารูปปั้นต่าง ๆ ที่ประดับหน้าตึก ซึ่งส่วนมากเป็นเทวดานางฟ้าที่ลำบากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ หรืออย่างดีก็มีแค่ผ้าพันกายหลุดลุ่ยอยู่ผืนเดียว กับบรรดารูปปั้นนูนต่ำ ที่น่าจะเป็นกษัตริย์หรือวีรบุรุษต่าง ๆ ในวงกลมประกอบลายเครือเถา บรรดาผู้ที่ยืนรอคนหรือนั่งพักอยู่ตามขั้นบันไดหลายคน ยกโทรศัพท์หรือกล้องขึ้นถ่ายรูปอาตมาไปด้วย บางคนก็ถ่ายกันตรง ๆ แล้ว “แม็กซิ” หลายคนก็แอบถ่ายเพราะไม่แน่ใจว่าจะโดนเรียกเก็บเงินหรือเปล่า ? เมื่อได้รูปที่ต้องการครบแล้ว อาตมาก็เดินออกไปเพื่อหาภาพมุมกว้าง... ผ่านนักร้องพเนจรที่โซโล่กีตาร์ร้องเพลงเปิดหมวก ข้ามถนนไปยังเกาะกลางเพื่อถ่ายรูปมุมกว้าง เจอหนุ่มสาวคู่หนึ่งยักแย่ยักยัน “เซลฟี่” กันแบบคน “ไม่เป็นมวย” หรือไม่ก็อยากจะได้รูปตัวอาคารทั้งหลังแต่แขนสั้นจนเกินไป ยืนดูอยู่พักหนึ่งเห็นว่าไม่เสร็จสักที ที่สำคัญคือบังมุมที่อาตมาจะถ่ายไปด้วย จึงอาสาถ่ายรูปให้เพื่อที่จะได้ไล่ไปให้พ้น กดไปให้ ๑ รูปยังมีเสียงขอมาอีกว่า “One more” จึงต้องกดซ้ำให้ เมื่อรับโทรศัพท์คืนไปแล้วกดภาพดู น่าจะเป็นที่พอใจทั้งสองจึงบอกขอบคุณแล้วโบกมือบ๊ายบาย เดินพ้นไปจากมุมที่อาตมาต้องการเสียที... ได้รูปมุมกว้างของตัวอาคารทั้งหลังแล้ว มองไปยังประตูของร้านลาฟาเย็ตต์ ยังไม่มีสีเหลืองของจีวรเลยแม้แต่มุมเดียว อาตมาจึงข้ามถนนไปอีกฝั่งหนึ่ง เดินเลาะไปตามทางเท้า เจอหญิงชราชาวยิปซีนางหนึ่ง ในเสื้อคลุมกันลมสีเทาดำ มีผ้าลาย ๆ โพกหัว ถือไม้เท้าเดินงก ๆ เงิ่น ๆ เสียงของ “ลุงหนวด” ดังมาว่า “รายนี้ครับ” อาตมาจึงดึงเสื้อคลุมให้หยุด เมื่อเธอหันมาก็ควักธนบัตรใบละ ๕ ยูโร ส่งให้ บอกด้วยภาษาฝรั่งเศสปนอังกฤษว่า “กรองด์แมร์, เพรสเซนต์ ฟอร์ ยู” อีกฝ่ายเบิกตาโตด้วยความคาดไม่ถึง รับเงินไปแล้วขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วรู้สึกว่าเพราะที่สุดในโลก “แหม็กซี้...แม็กซิ”... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 20-09-2017 เมื่อ 17:58 |
สมาชิก 62 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#40
|
||||
|
||||
ภาพมนุษย์ต่างดาวที่ประตูห้องน้ำ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้รับคำขอบคุณที่ฟังแล้วไพเราะจับใจขนาดนี้ คุณยายพูดภาษาฝรั่งเศสที่อาตมาไม่กระดิกหู หรือจะเป็นภาษายิปซีก็ไม่รู้ ? แต่ฟังแล้วเข้าใจได้ประมาณว่า อาตมาเป็นเทวดามาโปรดแท้ ๆ โดยชี้มือขึ้นฟ้ายืนยันความเป็นเทวดาของอาตมาอีกด้วย เมื่อเห็นดังนั้นอาตมาจึงยื่นกล้องให้ดู พร้อมกับขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ซึ่งคุณยายยอมให้ถ่ายแต่โดยดี เสร็จแล้วอาตมาโบกมือลา “เจ้าหนี้” อย่างคุณยาย แล้วเดินต่อไปข้างหน้า ซึ่งเป็นป้ายรถเมล์ มีคุณลุงรูปร่างล่ำบึ้ก ไว้หนวดเคราสั้น ๆ มาดคล้ายกับ “ตาเฒ่าซานดิเอโก” ในเรื่อง The old man and the sea ตาลุงแกยื่นมือขวา ทำท่าหัวแม่มือรูดกับนิ้วชี้นิ้วกลางถี่ ๆ พลางยิ้มให้... ด้วยความที่ไม่ใช่ “เจ้าหนี้เก่า” ทำเอาอาตมาโง่ไปสนิทใจ จึงโบกมือให้แล้วเดินเลยไป จนไกลมากแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ เฮ้ย..ไอ้ท่านี้แปลว่าลุงแกขอเงินนี่หว่า..! จะย้อนกลับไปก็ไกลเกินกว่าที่จะเดินให้เจ็บสะโพก เออหนอ...เมื่อไม่มีกรรมสัมพันธ์กันมาก่อน ก็ทำให้คนฉลาดกลายเป็นคนโง่ไปได้เหมือนกัน ไปจนถึงสี่แยกก็ข้ามถนนไปยังฝั่งร้านลาฟาเย็ตต์ เดินเข้าประตูกระจกไปเพราะจำได้ว่า มีป้ายบอกทางไปห้องน้ำอยู่ทางขวามือ และอาตมาตอนนี้กำลังปวดฉี่ค่อนข้างมาก จึงหลบหลีกผู้คนโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน พร้อมกับเล็งหาป้ายห้องน้ำไปด้วย... “พระอาจารย์จะไปไหนครับ ?” พระครูปรีชาที่เดินสวนออกมาจากในร้านพร้อมกับท่านไพฑูรย์ถามขึ้น เมื่อรู้ว่าจะไปห้องน้ำก็บอกว่า “ผมกับท่านไพฑูรย์จะออกไปเดินถ่ายรูปแถวนี้” อาตมารีบบอกให้ระวังว่าจะเจอดีแบบที่เจอมา ทั้งสองท่านเพิ่งทราบว่าเพื่อนฝูงไปผจญภัยอะไรมา ถึงกับกลืนน้ำลาย “ถ้าเป็นผมคงถูกมันอัดกองอยู่ตรงนั้นไปแล้ว” พระครูปรีชาคราง “ไปเถอะ..ระวังตัวไว้ด้วยก็แล้วกัน” ว่าแล้วอาตมาก็ผลุบเข้าห้องน้ำไป โชคดีที่มีห้องว่างพอดี จึงมุดเข้าไป เฮอะ..มีคนมือบอนวาดรูป "มนุษย์หัวขวด" เอาไว้ด้วย ฝีมือดีทีเดียว ปลดทุกข์เบาจนเรียบร้อย ก็ออกมาล้างมือที่อ่าง ล้วงเอาขวดน้ำออกมาดื่มจนหมด แล้วจัดการกรอกน้ำจนเต็ม จากนั้นเดินแหวกผู้คนออกมาที่หน้าประตูกระจกใหม่... แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย วสันต์วิษุวัต : 22-02-2018 เมื่อ 15:54 |
สมาชิก 58 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ สุธรรม ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|