|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#81
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในบรรดาพระพุทธรูปปางต่าง ๆ อาตมาติดใจพระปางนาคปรกมาตั้งแต่เด็ก สมัยเด็ก ๆ พี่ชายเล่นพระเครื่อง มีพระนาคปรกลพบุรีอยู่องค์หนึ่ง หน้าตักประมาณนิ้วหนึ่ง เห็นแล้วอยากได้ใจจะขาด ตอนหลังได้เหรียญหลวงปู่ท่านเจ้าคุณนรฯ ธมฺมวิตกฺโก ที่เขาเรียก เหรียญจเรตำรวจ ถูกใจมาก..เพราะว่าเป็นพระพุทธรูปนาคปรกเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ไม่ทราบว่าทำไมถึงชอบพระพุทธรูปปางนาคปรก พอฝึกกรรมฐานถึงได้รู้ว่าเคยเกิดเป็นพญานาคบ่อยมาก
ในช่วงฉลอง ๒,๖๐๐ ปี พุทธชยันตี ถึงได้สร้างพระนาคปรก โดยเฉพาะพระนาคปรกขอม เนื้อเรซิ่นองค์สีขาว ๆ องค์นั้นขลังสุด ๆ เพราะว่าท่านเลือกสีของท่านเอง ทางร้านทำตัวอย่างมาให้หลายสี พอเห็นสีขาวก็สะดุดตา ตั้งใจจะถ่ายรูปท่าน ปรากฏว่ากล้องถ่ายเอง ถ่ายเองจนกระทั่งคนอื่นสงสัยว่าทำไมถ่ายเร็วขนาดนั้น โชคดีที่มีพยาน ตาเอ๋ (มะลิแก้ว) อยู่ใกล้ ๆ ยกให้เขาดูว่าอาตมาตั้งกล้องไว้เฉย ๆ นิ้วยังไม่ได้แตะชัตเตอร์เลย กล้องลั่นเองได้ สรุปว่าท่านเลือกเอาสีนั้นของท่านเอง สีอื่นไม่ต้องมาเลย ถ่ายไป ๘ รูปไม่ต้องกดชัตเตอร์เลย แค่หันกล้องตรงก็ถ่ายรูปเองได้ หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านประทานพระนาคปรกขอมให้องค์หนึ่ง บอกว่า "องค์นี้เหมาะกับคุณ" คำว่าเหมาะของท่าน ท่านเองก็คงใช้คำพูดที่เหมาะสมที่สุดในช่วงนั้นแล้ว ที่เหลือให้ไปรู้กันเองว่าเหมาะเพราะอะไร คราวนี้ทำพระขึ้นมาด้วยความที่เป็นวาระสำคัญก็คือครบ ๒,๖๐๐ ปี การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ที่ทำพระนาคปรกมีอีกความหมายหนึ่งก็คือ การปกป้องรักษาพระพุทธศาสนา การพิทักษ์พระพุทธศาสนา แล้วขณะเดียวกันองค์เล็กก็อยู่ในลักษณะที่ว่า นอกจากรักษาพระพุทธศาสนาแล้วยังรักษาตัวเราด้วย พระนาคปรกองค์ที่เป็นนาคไทยองค์เล็กสร้างยากที่สุด เพราะว่าเศียรนาคแหลม ๆ พลาดหน่อยเดียว ถ้าไม่หักก็งอ ช่างต้องใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-07-2015 เมื่อ 15:11 |
สมาชิก 211 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#82
|
||||
|
||||
ถาม : คนสมัยก่อนเวลาใส่บาตร ใส่แค่ข้าวกับไข่ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วสมัยโน้นกับข้าวที่หาได้ง่ายที่สุดก็คือไข่ ขณะเดียวกันกล้วยน้ำว้าแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันไปเลย เป็นของที่หาง่ายแล้วก็ใส่ง่าย ตอนสมัยผมเด็ก ๆ จะมีความนิยมอย่างหนึ่งว่า ถ้าไม่มีกับข้าวหรือหากับข้าวไม่ทัน จะตักข้าวสวยขึ้นมา โรยเกลือลงไป แล้วก็ใส่บาตร พูดง่าย ๆ ว่าโรยเกลือพอให้มีรสพอฉันได้ มักง่ายยิ่งกว่ากล้วยน้ำว้ากับไข่ต้มอีก รุ่นผมโตมาด้วยกล้วย ไม่มีของอย่างอื่นกิน ก็เอากล้วยน้ำว้าเผา ถึงเวลาขูดใส่ปากเด็ก เอาข้าวสวยผสมกับกล้วยน้ำว้า บางทีก็มีไข่แดงหน่อยหนึ่งบี้ให้เข้ากันแล้วป้อนเด็ก เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นหลัง ๆ พลังงานเหลือเฟือ สารพัดของที่ไปบำรุง บำรุงมาก ๆ จนพลังงานล้นเกิน แต่สติสมาธิของเขาก็ยังเป็นเด็กทารก เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นหลังอยู่ในลักษณะไฮเปอร์แอกทีฟ พลังงานล้นเกินก็ซนฉิบหายวายป่วง รุ่นผมนี่ไม่มี เพราะที่กินเข้าไปสารอาหารเลี้ยงตัวยังไม่พอเลย จะเอาไปซนอย่างไรไหว ทุกวันนี้ที่เด็กโตเป็นหนุ่มเป็นสาวเร็วก็ดี หรือว่าไฮเปอร์แอกทีฟหยุดนิ่งไม่ได้ กลายเป็นสมาธิสั้น เกิดจากอาหารบำรุงทั้งนั้น คือวิทยาศาสตร์ของเราอยู่ในลักษณะที่ว่า พอรู้ว่าอะไรดีก็ใส่ลงไปตะบันราดเลย โดยไม่รู้ว่าทุกอย่างต้องใช้สายกลางของพระพุทธเจ้า ถึงจะใช้ได้ เกินเมื่อไรก็เป็นเรื่องเมื่อนั้น ขาดเมื่อไรก็ไม่พอ ถาม : สมัยก่อนไม่ค่อยมีอะไรสมัยนี้ คนสมัยก่อนจะอายุยืนมากกว่า ? ตอบ : มีส่วนที่ว่าทำให้จิตใจของผู้คนสงบเยือกเย็นง่ายกว่า รุ่นผมอายุ ๑๒ – ๑๓ ปี ยังแก้ผ้าโดดน้ำกันอยู่เลย ไม่รู้เรื่องผู้หญิงผู้ชายเลย เพราะอัตราการเจริญเติบโตของร่างกายช้า ผู้หญิงบางที ๑๗-๑๘ ปี เพิ่งจะมีประจำเดือน สมัยนี้บางที ๘-๙ ขวบ ก็มีกันแล้ว เพราะไปกระตุ้นร่างกายมากเกินไปแล้วสติสมาธิเท่าเดิมก็แย่ ส่วนคนสมัยก่อนในเมื่อเป็นไปตามสภาพ ไม่มีสิ่งกระตุ้นเร้า โอกาสที่จิตสงบในขณะปฏิบัติธรรมก็มีมากกว่า มีส่วนเกี่ยวเนื่องกันอยู่มากทีเดียว ถาม : มีทฤษฎีออกมาจากญี่ปุ่นว่า ให้กินวันละมื้อ ร่างกายจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง สภาพร่างกายจะรักษาตัวเองเวลาที่หิวแล้วน้ำย่อยออกมามาก ๆ ตอบ : ดูว่าหลวงปู่ หลวงพ่อของเราที่มาสายวัดป่าท่านกลับเป็นเด็กไหมเล่า ? ถ้ากลับไปเป็นเด็กท่านกลับก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายที่ไม่หนักด้วยอาหาร การปฏิบัติธรรมจะสะดวกกว่า ในขณะเดียวกันความกังวลในการหากินก็น้อยลง ที่แน่ ๆ คือประหยัดทรัพยากรไป ๒ ใน ๓ เลย เคยกินอาหารญี่ปุ่นบ่อยไหม ? แต่ละชุดที่จัดมา เรากินให้ตายอย่างไรก็ไม่อิ่ม นั่นแหละคือลักษณะอย่างนั้น มีค่านิยมของทางด้านเซ็น เขาว่าถ้าปล่อยให้ร่างกายกึ่งหิว จิตจะมีสภาพตื่นรู้ได้ง่าย คำว่ากึ่งหิวก็คือไม่อิ่ม ให้กินบ้างแต่ไม่เต็มที่ พวกเราถ้าไปญี่ปุ่น บางทีสั่งอาหารจนเจ้าของร้านมองค้อน ของเขาชุดเดียวก็จบ ของเราสั่งแล้วสั่งอีก อยู่ในลักษณะที่ว่ากระบือกินดอกโบตั๋น ไปนึกถึงควายกินดอกโบตั๋น ไม่ได้เข้าถึงสุนทรียภาพเลย ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ สีสัน ตั้งหน้าตั้งตาจะกินให้อิ่ม ผมฉันอาหารญี่ปุ่นครั้งแรก เซ็งมากเลย รสชาติไม่เค็ม แต่เห็นซีอิ๊วก็เลยใส่ลงไป ก็ไม่เค็ม ใส่อีกก็ไม่เค็ม ใส่ซีอิ๊วลงไปเป็นช้อน ๆ ก็ไม่เค็ม ตกลงซีอิ๊วเขามีรสเดียว จืดสม่ำเสมอกันทั้งขวด ซีอิ๊วบ้านเราถ้าเติมมากจะเค็มขึ้น คนญี่ปุ่นอายุยืนเพราะกินอาหารรสจืด ขณะเดียวกันอาหารเขาเป็นธรรมชาติมาก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 16-07-2015 เมื่อ 14:35 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#83
|
||||
|
||||
ถาม : เรื่องของเซ็นเขาเอาถึงมรรคถึงผลหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มีถึงเหมือนกัน แล้วแต่บารมีของบุคคลที่สั่งสมมา การที่เขาบอกว่าซาโตริ หรือการตื่นรู้ของเขา บางคนก็แค่ระดับสมาธิที่ลึกขึ้น แต่บางคนเป็นการเข้าใจในหลักธรรมจริง ๆ ขึ้นอยู่กับการสั่งสมของเขามาเหมือนกัน ถ้าหากว่าศีล สมาธิ ปัญญา บ่มเพาะมาจนได้ที่ ถึงเวลาสะกิดนิดเดียวก็ได้เลย แต่ขณะเดียวกันบางคนก็แค่เข้าถึงอุปจารสมาธิขั้นปลาย ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน หยาบ กลาง ละเอียด จนถึงจตุตถฌานไล่ขึ้นไปตามลำดับ ฉะนั้น..บางคนถึงได้บอกว่าซาโตริเป็นไปได้หลายครั้งหลายหน บางคนก็ยืนยันว่าได้ครั้งเดียว พวกที่ไปเป็นตามลำดับขั้น เขาก็ยืนยันว่ามีหลายขั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2015 เมื่อ 03:02 |
สมาชิก 187 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#84
|
||||
|
||||
ถาม : ถ้าผมบวชที่วัดอื่น แล้วย้ายไปอยู่อีกวัดหนึ่ง ?
ตอบ : ต้องให้พระอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านอนุญาตก่อน เพราะว่าเราบวชพระกับใคร พระอุปัชฌาย์อาจารย์จะเป็นคนรับผิดชอบเรา ถ้าท่านไม่อนุญาตเราก็โยกย้ายไม่ได้ ต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อนว่า บวชแล้วผมไม่ได้อยู่กับท่าน ขออนุญาตไปอยู่ที่อื่นได้ไหม ? เสร็จแล้วถ้าท่านตกลง ก็ให้ทำหนังสือส่งตัวไป จะได้ไปเข้าสังกัดวัดโน้นได้ ไม่อย่างนั้นเราจะต้องสังกัดที่วัดเก่า พระเราต้องมีสังกัด ในเมื่อต้องมีสังกัด เราบวชที่ไหนก็สังกัดที่นั่น แต่ถ้าท่านทำหนังสือส่งตัวไป เขาก็รับเข้าสังกัดวัดเขาได้
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2015 เมื่อ 14:52 |
สมาชิก 177 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#85
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "ส่วนใหญ่แล้วพิธีบวชก็มักจะมีการเจริญพุทธมนต์แล้วเลี้ยงเพลฉลองพระใหม่ ที่วัดใหม่ยายนุ้ยบวชเสร็จก็คงจะเลี้ยงเพลฉลองพระใหม่ กว่าจะเสร็จก็หลังเที่ยง แล้วช่วงบ่ายก็บวชอีกรูปหนึ่ง ต้องบอกว่าบางอย่างก็เป็นเรื่องของทิฐิมานะ
อย่างวัดท่าขนุนจัดบวชฟรีปีละ ๔ ครั้ง มีญาติโยมหลายคนที่ลูกมาสมัครแล้วเขามาถอนชื่อออก บอกว่าขอจัดงานบวชเอง เพราะว่าพอวัดจัดแล้วตัวเองไม่ได้เลี้ยงแขกอะไร รู้สึกว่าเหมือนกับไม่ได้จัดลูกบวช อย่างคราวก่อนโน้นผู้ใหญ่พลกับอบต.ทุ่ง ผู้ใหญ่บ้านคลิตี้บนหรือบ้านทุ่งเสือโทนจัดบวชลูก สั่งโต๊ะจีน ๕๐ ตัวเลี้ยงลูกบ้าน ตั้งเต็มถนนจากหน้าโรงรถไปถึงโรงครัว สรุปแล้วก็คือขนลูกบ้านมาทั้งหมู่บ้านเลย แถมหมู่บ้านอื่นด้วย เอามาบวชลูกชาย จะว่าไปแล้วก็คือคิดถึงมวลชน คือคนที่สนับสนุนเขา ตัวเองเป็นผู้ใหญ่บ้าน บวชลูกทั้งทีก็ควรที่จะบอกลูกบ้านทั้งหมด บอกก็ไม่ได้หวังให้เขาช่วยอะไรหรอก ให้มาช่วยกินนั่นแหละ เพราะว่าเป็นผู้ใหญ่บ้านมีช่องทางทำกินมากกว่า เปิดร้านขายวัสดุก่อสร้างด้วยใหญ่ ๆ โต ๆ ก็เลยไม่คิดจะพึ่งพาลูกบ้าน กลายเป็นคืนกำไรให้ลูกบ้านไป จัดโต๊ะจีนเลี้ยง ก็ดี..แต่เสียดายว่าบวชแล้วไม่คุ้ม อยู่ได้ ๒ อาทิตย์ พ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน แม่เป็นอบต. บวชลูกทีก็เลยต้องจัดกันใหญ่หน่อย แต่ว่ารายนี้รู้ฤทธิ์ของอาจารย์เล็กดี เพราะฉะนั้น..บอกว่า ๗ โมงครึ่งต้องพร้อม เขาก็พร้อม ท่านที่ยังไม่รู้ฤทธิ์ มาผิดเวลาโดนด่ากระจายมาเยอะแล้ว พระอุปัชฌาย์มานั่งรออยู่ นาคยังจะแห่อีก บอกให้มา ๗ โมงครึ่ง ย้ำ ๓ ครั้งทุกคนรู้กัน แต่ ๘ โมงครึ่งเสียงแห่เพิ่งจะมาถึงหน้าวัด พระอุปัชฌาย์มานั่งรอตั้งแต่ ๐๘.๑๕ น. ที่ให้เขามา ๗ โมงครึ่งเพราะให้เขามีเวลาแห่กัน คราวนี้เกือบ ๙ โมงแล้วค่อยโผล่มายังจะแห่อีก ก็เลยบอกว่าถ้าจะแห่ก็แห่ไปบวชวัดอื่นเลย เขารู้สึกว่าไม่ครบ มีการมากระซิบถามอีกว่า ไม่ได้แห่แล้วจะได้บุญไหม ? ถ้าบุญอยู่ตรงแห่ก็ดีสินะ..! สมัยก่อนที่เขาแห่นาค โดยเฉพาะบางคนแห่ข้ามตำบลเลย นอกจากไปกราบขอขมาพระผู้ใหญ่และท่านที่เคารพนับถือแล้ว ก็ยังให้คนอื่นได้รู้เห็นและโมทนาด้วย แต่สมัยนี้การแห่นาคเป็นเพื่อความสนุกครึกครื้นโดยส่วนเดียว บางทีเมากันหัวทิ่ม เคยเจอประเภทให้นาคขี่คอ แต่คนให้ขี่ก็เมา..พานาคหัวทิ่มพื้นเลยก็มี"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2015 เมื่อ 14:56 |
สมาชิก 188 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#86
|
||||
|
||||
ถาม : เห็นพวกผีอยู่ตลอด ก็เลยกลัวครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรหรอก วันนี้เราทำบุญก็ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขาทั้งหมดที่เราเห็น เพราะว่าจริง ๆ แล้วเขามีอยู่ทั่วไป แต่ถ้าแสดงให้เราเห็นอาจจะเป็นเพราะมีความผูกพันกันมาบ้าง ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วบอกว่าไม่ต้องมาให้เห็นหรอก..กลัว ถาม : ..(ไม่ชัด)...แต่งตัวสวยเชียว ? ตอบ : เอาอย่างนี้ ที่บ้านมีพวกโมบายที่แขวนแล้วกระทบกันเป็นเสียงดังบ้างไหม ? ถ้ามีเอาออกให้หมดเลย เพราะเขาชอบเสียงพวกนี้ ถึงเวลาเขาจะมากันเยอะ เอาที่แขวน ๆ โมบายพวกนั้นออก เดี๋ยวเขาก็ไป เวลาเขาได้ยินเสียงก็วน ๆ เข้ามาดู เหมือนกับเราเชิญแขก เอาพวกนั้นออก เดี๋ยวเขาไม่มีอะไรให้เล่น เขาก็ไปเอง ถาม : ข้างบ้านนึกว่าเราเป็นอัลไซเมอร์ ? ตอบ : ยังดีเขาถามว่าอัลไซเมอร์หรือเปล่า ? ของอาตมาเขาถามว่าบ้าหรือเปล่า..!? คนที่เห็นอะไรไม่เหมือนชาวบ้าน ส่วนใหญ่เขาก็คิดว่าบ้า ไม่มีอะไรหรอก กลับไปเอาออกให้หมด เดี๋ยวเขาก็ไปกันเอง พวกเราไม่รู้ว่าเสียงพวกนั้นทำให้พวกที่เร่ร่อนอยู่มีจุดหมายให้ยึด เหมือนคนหลงทางได้ยินเสียงเรียก ก็ไปตามเสียงนั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2015 เมื่อ 22:20 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#87
|
||||
|
||||
ถาม : มีนกพิราบมาเกาะตามหน้าบ้านแล้วขี้เลอะเทอะ คิดว่าจะไปซื้อกระดิ่งมาแขวน จะเป็นการเรียกแขกหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : พวกเสียงกระดิ่ง เสียงระฆังโมบาย เขาชอบ เขาได้ยินก็มักจะแวะมา เพราะว่าพวกนี้ถึงเวลาแล้วร่อนเร่ไม่มีจุดหมาย พอได้ยินเสียงเขาถือว่าเป็นจุดหมาย เป็นเป้าหมายอย่างหนึ่ง ก็ตรงไปหา ถาม : พระภูมิเจ้าที่กันไม่ได้หรือครับ ? ตอบ : กันได้ แต่หมายความว่าเราบูชาท่านเป็นประจำ ขอให้ท่านช่วย ส่วนที่กันไม่ได้เพราะเราไม่เคยนึกถึงท่าน กลายเป็นเจ้าของบ้านเชิญแขก แล้วท่านจะไปห้ามอะไรได้ ถาม : แก้อย่างไรกับนกพิราบที่มาเกาะเป็นประจำครับ ? ตอบ : เอารูปแกะสลักนกฮูก ไปตั้ง ๆ ไว้บนหลังคา ถาม : เป็นรูปภาพได้ไหมครับ ? ตอบ : ต้องเป็นตัว เป็นนกฮูกหรือเหยี่ยวอะไรก็ได้ ที่เป็นนกนักล่า เหมือนกับที่วัดพระพุทธฉาย นั่นก็เอารูปจระเข้ไปมัดไว้ตามหลังคา กันลิงขึ้นไปซน จระเข้ตัวใหญ่ ๆ อ้าปากแดง ๆ ลิงไม่กล้าเข้าใกล้ สัตว์อย่างไรก็เป็นสัตว์ พอเห็นเป็นสัตว์นักล่าก็ไม่เข้าไปยุ่งเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2015 เมื่อ 22:22 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#88
|
||||
|
||||
ถาม : ทำบุญแต่ทำไมยังได้รับความทุกข์อยู่ ?
ตอบ : กรรมส่วนกรรม บุญส่วนบุญ ถ้าเราสร้างบุญกุศลต่อเนื่องไป กรรมเข้าแทรกไม่ได้ ความทุกข์ก็น้อยลง ถ้าบุญกุศลขาดช่วงความทุกข์ก็เข้ามาได้อีก ถ้าจะทำบุญต้องทำต่อเนื่องกันไป แล้วเรื่องของศีลเป็นแค่ปานกลางเท่านั้น จะเอาบุญใหญ่กว่านั้นคือภาวนา ถ้าสามารถภาวนาได้ กำลังบุญสูงกว่า ก็จะห่างความชั่วออกไปได้มากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-07-2015 เมื่อ 22:23 |
สมาชิก 195 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#89
|
||||
|
||||
ถาม : จะซื้อหนังสือคู่มือคาถาเงินล้านไปแจกโยมที่ใส่บาตรประจำ ควรไหมครับ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วก็สมควร แต่การที่เราแจกไปก็ต้องดูด้วย ถ้าอยู่นอกสายเขาก็จะไม่เกิดความศรัทธาเท่าไร
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2015 เมื่อ 18:03 |
สมาชิก 182 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#90
|
||||
|
||||
ถาม : ทำไมบทรัตนสูตรถึงอ้างคุณพระโสดาบันเยอะจังครับ ?
ตอบ : แล้วอ้างไม่ได้หรือ ? ถาม : อ้างได้ครับ แต่ส่วนใหญ่บทอื่นจะอ้างคุณพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ แค่แปลกใจว่าทำไมบทนี้อ้างพระโสดาบันเยอะมาก ? ตอบ : ใกล้ตัวที่สุด ถาม : เป็นเพราะพระอานนท์เป็นคนทำใช่ไหมครับ ? ตอบ : ถ้าไม่ใช่พระอานนท์แล้วใครจะเป็นพระโสดาบัน ? ลักษณะการอ้างก็เหมือนกับการตั้งสัตยาธิษฐาน ต้องอ้างตามความเป็นจริง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 19-07-2015 เมื่อ 18:05 |
สมาชิก 172 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#91
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พระองค์นี้เขาสร้างแบบพระมหามุนีของพม่า แต่ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่าเป็นพระทรงเครื่องเหมือนกัน แสดงว่าท่านที่สามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้ ล้วนแล้วแต่เห็นอยู่ในลักษณะมีทรงเครื่องเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในลักษณะของการทรงเครื่องก็เป็นไปตามอุปาทาน คือการยึดถือของแต่ละชนชาติ ลักษณะของบุคคลที่มีศักดิ์มีอำนาจมากที่สุดนิยมการทรงเครื่องแบบไหน ก็จะทรงเครื่องให้พระแบบนั้น ไปดูพระแก้วที่ราชวังเขมรินทร์ของกัมพูชาแล้วน่าสงสารที่สุด ทั้งเนื้อทั้งตัวมีสังวาลย์อยู่เส้นเดียว จะบอกว่าไม่มีเงินก็เป็นไปไม่ได้ เพราะเขาหล่อพระพุทธรูปทองคำทั้งองค์ แสดงว่าไม่ได้ไปเห็นของจริง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2015 เมื่อ 18:04 |
สมาชิก 184 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#92
|
||||
|
||||
ถาม : เขาบอกว่าพระแก้วมรกตยังมีส่วนที่ฐานยาวลงไปอีก ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้ เฉพาะแก้วแกะสลักองค์พระก็ใหญ่โตมโหฬารแล้ว คุณยังคิดว่าจะมีได้มากกว่านั้นอีกหรือ ? หน้าตัก ๑๖ นิ้วนะพ่อคุณ ถ้ายังมีลงไปถึงข้างล่างอีกก็ต้องประเภทภูเขาทั้งลูกแล้ว..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-07-2015 เมื่อ 18:05 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#93
|
||||
|
||||
ถาม : กระผมปฏิบัติแล้วมักจะโดนมนต์ดำเล่นงานครับ ?
ตอบ : พุทธคุณดีที่สุด อำนาจพุทธคุณไม่มีอะไรที่จะประมาณได้ ถ้าภาวนาจนสามารถทรงฌานได้ พวกมนต์ดำเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เป็นเรื่องแปลกว่า บางคนบุคลิกภาพอะไรบางอย่างไปสะดุดตาชาวบ้าน ทำให้เขาอยากลอง พระครูแสงน้องชายผมก็แบบนี้แหละ ผมถึงได้บอกว่า “สงสัยเอ็งจะเกิดราศีตีน ไปไหนก็เรียกตีนได้เรื่อย..!” ถาม : การที่หน้าตาหรือบุคลิกภาพเราทำให้คนอื่นที่เห็นไม่ชอบใจ เป็นเพราะกรรมเก่าหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถือว่าเป็นสิ่งที่ทำมาในอดีต เราไปแก้ไม่ได้ แก้ปัจจุบันเราให้ดีก็แล้วกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2015 เมื่อ 16:05 |
สมาชิก 174 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#94
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "มีใครไปโพสต์เรื่องนักศึกษาโดนจับบ้างไหม ? ประเทศชาติบ้านเมืองเหมือนกับกาน้ำเดือด ต้องมีช่องทางให้เขาระบายได้ ไม่อย่างนั้นก็จะระเบิด การแสดงออกทางการเมืองของนักศึกษา ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศชาติและประชาชน แล้ววิธีที่ดีที่สุด ก็คือทหารตำรวจไปช่วยดูแลการจัดกิจกรรมของเขา ภาพที่ออกมาจะสวยงามมาก
แต่ทุกวันนี้ต้องบอกว่า บางทีทหารตำรวจก็ทำงานเกินกว่าที่เจ้านายต้องการ บางทีนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แต่ลูกน้องเกรงว่าเจ้านายจะไม่ชอบใจ เลยชิงไปจัดการเสียก่อน เรื่องของเรื่องแทนที่จะกลายเป็นว่ามีช่องทางให้เขาแสดงออก ก็ไปปิดกั้น เมื่อไปปิดกั้น โอกาสที่จะระเบิดจึงเกิดขึ้น กลายเป็นสร้างปัญหาขึ้นมาเอง รักจะเป็นใหญ่ ต้องใจกว้าง หูหนัก ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ทหารไปพังบ้าน คุณชายคึกฤทธ์ก็นั่งหัวเราะ คนด่าท่าน ท่านบอกว่า หมายกขาเยี่ยวรดภูเขาทอง ภูเขาทองจะไปรู้สึกอะไร ต้องทำใจให้ได้อย่างนั้น ในเรื่องของการเมืองถ้าไม่มีเวทีให้แสดงออก ทุกอย่างเก็บกดไปเรื่อย ความไม่พอใจจะคุกรุ่นไปเรื่อย ถึงเวลาถ้าระเบิดออกมาจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-07-2015 เมื่อ 16:06 |
สมาชิก 165 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#95
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "พวกเราขนาดมีรถไฟฟ้ายังเอารถมากันอีก อาตมาอุตส่าห์ยอมเสียเงิน ๓๐ กว่าล้านบาท หาที่ตรงนี้ไว้สร้างบ้าน ไว้อาศัยรถไฟฟ้าให้พวกเรามา ก็ไม่นึกว่ายังอุตส่าห์เอารถมากันอีก ถ้ารู้ว่าไม่ต้องมีรถไฟฟ้าก็มาได้ ก็ไม่ต้องเสียเงินซื้อที่แพง ๆ ต้องบอกว่าพวกเราขาดจิตสาธารณะในการที่ทำเพื่อประเทศชาติบ้านเมือง
อาตมาไปยุโรป ฝรั่งตัวเท่าบ้านเท่าตึกยังยัดเข้าไปในรถเล็ก ๆ คันนิดเดียว ที่นั่งเดียวบ้าง สองที่นั่งบ้าง เขาทำเพื่อประเทศชาติของเขา เพื่อให้อากาศไม่มีมลพิษ ถึงเวลาจะจอดก็เสียบหัวเข้าข้างทาง กินเนื้อที่เท่ากับรถมอเตอร์ไซต์ ๒ คัน ต้องบอกว่าฝรั่งตัวเล็กกว่าควายนิดเดียว ยังยอมลำบากเพื่อประเทศชาติตัวเอง แต่พวกเราใช้รถกันอย่างครึกครื้น ไม่ได้ดูว่าสิ้นเปลืองเท่าไร จะว่าไปแล้วระบบขนส่งมวลชนของเราก็ยังไม่ดีพอ เพราะว่าทุกรัฐบาลที่ผ่านมา แก้ไขปัญหาการจราจรด้วยการสร้างถนน ซึ่งเป็นการแก้ไขที่ผิด ยิ่งสร้างถนน คนก็ยิ่งเอารถขึ้นมาบนถนนกันมากขึ้น ปัจจุบันนี้บ้านเราถ้าเอารถทุกคันออกมา จะไม่มีแม้แต่ที่ให้จอด รถใหม่แค่ไหน แพงแค่ไหน พอมีโฆษณา อีกไม่กี่วันบ้านเราต้องมีออกมาวิ่ง ฉะนั้น..ในจุดที่รัฐบาลควรจะแก้ไขคือ การสร้างระบบขนส่งมวลชนให้ดี อย่างประเทศญี่ปุ่น รถไฟเขาช้าอย่างมากที่สุดไม่เกิน ๓ วินาที ขอยืนยันว่า ๓ วินาที ถ้าอย่างนั้นทุกคนจะสามารถกำหนดได้ว่า จะไปถึงที่ทำงานกี่โมงกี่ยาม จึงไม่จำเป็นต้องมีรถ คนญี่ปุ่นจะซื้อรถ คนขายต้องไปสำรวจบ้านก่อนว่ามีที่จอดหรือไม่ ถ้าขายรถไปโดยที่คนซื้อไม่มีที่จอด คนขายติดคุกหัวโต ญี่ปุ่นอนุญาตให้ใช้รถยนต์บนท้องถนนได้แค่ ๓ ปี ปีแรกเสียภาษีปกติ ปีที่ ๒ เสียเพิ่มเป็นเท่าตัว ปีที่ ๓ เกือบเท่ารถใหม่ เท่ากับบังคับให้เปลี่ยนรถโดยปริยาย รถยนต์ห้ามวิ่งเกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ต้องทิ้งช่วงห่างกัน ๑ เสาไฟฟ้า ใครวิ่งเร็วกว่านั้น หรือจี้ติดมากกว่านั้น โดนจับยึดใบขับขี่ ดังนั้น..ถ้าอยากเดินทางช้าในญี่ปุ่นให้เดินทางด้วยรถส่วนตัว แต่ถ้าอยากเดินทางเร็วให้ใช้ขนส่งมวลชน ที่บ้านเขาทำอย่างนั้นได้เพราะว่าเขาคุมราคารถไว้ที่ ๑๐ เท่าของเงินเดือนขั้นต่ำ อย่างของบ้านเรา ถ้าเงินเดือนขั้นต่ำคือ ๑๕,๐๐๐ บาท ราคารถยนต์จะไม่เกิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท อย่างฮ่องกง คุณซื้อรถได้เสรี แต่ค่าจอดแพงหูดับตับไหม้ จึงไม่มีใครอยากมีรถยนต์ ออสเตรเลีย ถ้าจะซื้อคันใหม่ ต้องเอาคันเก่าไปให้เขาบี้เป็นเศษเหล็กก่อน แล้วถอดทะเบียนคันเก่า ไปให้เขาลงประวัติใหม่แล้วเอาไปใช้ต่อ ถ้าคุณมั่นใจว่าไม่ได้ใช้รถเดือนนี้ ถอดป้ายทะเบียนไปฝากตำรวจไว้ ก็ไม่ต้องเสียภาษีเฉพาะเดือนนั้นได้ แต่บ้านเราส่วนใหญ่แล้วบริษัทจำหน่ายรถจะสนับสนุนพรรคการเมือง จึงต้องหาทางช่วยเขาขายรถให้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกันก็ไม่ยอมปล่อยให้ค่าน้ำมันลอยตัวเป็นไปตามตลาด เราจึงใช้รถกันแบบไม่รู้สึกรู้สา สังเกตได้ว่า ตอนน้ำมันขึ้นจาก ๑๓ บาทกว่ากลายเป็น ๒๔ บาท รถหายจากท้องถนนไปเกินครึ่ง แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนก็ออกมาเต็มถนนเหมือนเดิม เพราะเริ่มตายด้านอีกแล้ว ตอนที่อาตมาไปเขมรเมื่อปีก่อนโน้น น้ำมันลิตรละ ๕๗.๕๐ บาท บังเอิญว่าญาติโยมที่ไปสามารถเข้านอกออกในบ้านท่านนายกฯ ฮุนเซนได้ เมื่อฝากคำถามว่าทำไมถึงปล่อยให้น้ำมันแพงอย่างนั้น ชาวบ้านจะอยู่ได้อย่างไร ท่านนายกฯ ฮุนเซนที่ใคร ๆ บอกว่าไม่จบ ป.๔ ตอบง่ายมากว่า "ถ้าเขามีปัญญาซื้อรถ เขาก็ต้องมีปัญญาเติมน้ำมันรถ" บ้านเรามีนายกฯ คนไหนกล้าทำอย่างนี้ไหม ? ทุกวันนี้ส่วนที่สิ้นเปลืองที่สุดก็คือรถ ซื้อมาก็ "ลด" ทันที ไม่มีเพิ่ม"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-07-2015 เมื่อ 17:14 |
สมาชิก 167 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#96
|
||||
|
||||
เก็บตกเดือนกรกฎาคมปี ๕๘ หมดแล้วค่ะ ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี รัตนาวุธ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 20-07-2015 เมื่อ 17:15 |
สมาชิก 157 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|