กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 19-04-2023, 18:36
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 351
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,068 ครั้ง ใน 829 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๙ เมษายน ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-04-2023, 00:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,417,997 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพรับสังฆทานและตอบปัญหาธรรมอยู่ที่บ้านเลขที่ ๗๗/๒ ซอยโบฟอร์ต ๑ หมู่บ้านกุลพันธ์วิลล์ โครงการ ๙ ตำบลบ้านแหวน อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่

ในที่นี้มีเรื่องหนึ่งที่อยากจะพูดถึงก็คือ มีญาติโยมท่านหนึ่งมีปัญหาในการทำกิจการ แล้วท่านก็เที่ยวไปสอบถามบรรดาพระเถระครูบาอาจารย์หลายต่อหลายรูป โดยที่ท่านใช้คำว่า "พระเถระรูปนี้เป็นพระอรหันต์ ผมมั่นใจ..เพราะว่าผมคิดอะไรอยู่ในใจท่านรู้ไปหมด"

เรื่องนี้จะว่าไปแล้วเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถ้าหากว่าเราดูจากในพระไตรปิฎก เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลทรงทรุดพระองค์ลงกราบนักบวชเชนซึ่งกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเขตแคว้นแห่งหนึ่ง พลางกล่าวว่า "พระคุณเจ้าทั้งหลายเหล่านี้เป็นพระอรหันต์" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ดูก่อนมหาบพิตร บุคคลผู้ยังเสพกาม นอนเบียดกับมาตุคามอย่างพระองค์ท่าน จักไปรู้ได้อย่างไรว่าผู้ใดเป็นพระอรหันต์ผู้หมดแล้วซึ่งกิเลส" พระเจ้าปเสนทิโกศลจนแต้ม จึงต้องยอมสารภาพว่า นักบวชเหล่านั้นเป็นจารชนที่พระองค์ให้ปลอมตัวไปสืบข่าวตามเขตแคว้นต่าง ๆ

นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้ชัดเจนที่สุดว่า บุคคลธรรมดาจะไปบอกว่าผู้นั้นเป็นพระอริยเจ้า ผู้นี้เป็นพระอรหันต์นั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะว่าตนเองเรียนอยู่ชั้นอนุบาล จะไปยืนยันว่าท่านนี้จบปริญญาตรี ท่านนี้จบปริญญาโท ท่านนี้จบปริญญาเอก จะเอาความรู้ที่ไหนไปยืนยัน ว่าท่านนั้นท่านนี้จบชั้นใดได้ ?

ส่วนในเรื่องของการรู้ใจคนอื่น คือเจโตปริยญาณนั้น บุคคลที่เข้าถึงโลกียฌานธรรมดาก็สามารถทำได้ แล้วบรรดาพระโสดาบันก็ดี พระสกทาคามีก็ดี พระอนาคามีก็ดี ตลอดจนกระทั่งถึงพระอรหันต์ก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกท่านจะรู้กำลังใจของคนอื่น

เนื่องเพราะว่าพระอรหันต์ก็ยังมีอยู่ถึง ๔ ประเภท ได้แก่ สุกขวิปัสสโก เป็นผู้ที่บรรลุธรรมโดยไม่มีคุณวิเศษอื่น ๆ ประกอบ เตวิชโช เป็นผู้บรรลุธรรมพร้อมด้วยความสามารถพิเศษ ๓ ประการ ก็คือระลึกชาติได้ รู้ว่าคนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน และทำกิเลสให้สิ้นไปได้

เราจะเห็นว่าแม้แต่ในระดับวิชชา ๓ ก็ไม่ใช่บุคคลที่มีความสามารถในการรู้ใจคนอื่น ทั้ง ๆ ที่ท่านก็เป็นพระอรหันต์เช่นกัน หลังจากนั้นก็เป็นพระอรหันต์อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ทั้งสองประเภทนี้จึงสามารถที่จะรู้ใจคนอื่นได้

แม้พระอริยเจ้าเบื้องต้นอย่างพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ถ้าไม่ได้มีวิสัยมาด้านอภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทาญาณ ๔ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ใจผู้อื่นได้เช่นกัน

ดังนั้น..การที่โยมท่านนั้นไปฟันธงว่าพระรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ พระรูปนี้เป็นพระอรหันต์ จึงเป็นในลักษณะของ "ตาบอดสอดตาเห็น" โอกาสที่จะผิดพลาดย่อมมีเกิน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..! จึงเป็นเรื่องที่ญาติโยมทั้งหลายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังเอาไว้ เพราะว่าสมัยนี้ "พระอรหันต์ลูกศิษย์ตั้ง" นั้นมีมากต่อมากด้วยกัน ถ้าหากว่าเป็นสมัยพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านก็ใช้คำว่า "พระกังหัน" ก็คือยังหมุนไปหมุนมาอยู่เลย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2023 เมื่อ 01:45
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 20-04-2023, 01:11
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,417,997 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ในส่วนนี้จะไม่ขอกล่าวถึงอีก ขอไปกล่าวถึงในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา มีโยมท่านหนึ่งนำนาคบาศก์มาถวาย ก็คือเป็นงูเห่า ๒ ตัวกลืนหางกัน กระผม/อาตมภาพเห็นปุ๊บก็ฟันธงเลยว่า "ของปลอม" หลังจากที่อุทิศส่วนกุศลให้กับงูทั้งสองตัวแล้ว ให้พระท่านนำไปฌาปนกิจเสียในเตาเผาของทางวัด..!

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ อยากจะบอกกล่าวเป็นครั้งที่ ๙๐๐ ก็ว่าได้..! ว่าญาติโยมทั้งหลาย ถ้าหากว่าไม่ได้ศึกษามาในเรื่องของพระเครื่องหรือว่าเครื่องรางของขลัง อย่าได้ไปใช้สายตาตัวเองคิดว่าใช่ คาดว่าใช่ หรือไปฟังเรื่องราวประกอบการขาย ที่บรรดานักเล่นในวงการเขาใช้คำว่า "นิทาน" แล้วท่านก็ไปหลงคารม จ่ายเงินซื้อเขามาแพง ๆ กระผม/อาตมภาพอยากจะยืนยันว่า วงการนี้สกปรกกว่าที่ท่านทั้งหลายจะคิด..! เนื่องเพราะว่าหากมีบุคคลต้องการสิ่งหนึ่งประการใด เพียงไม่นานเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็จะทำสิ่งนั้นขึ้นมา

โดยเฉพาะที่พบมาก็คือครุฑ แต่ว่าความจริงแล้ว เป็นการนำไก่มาถอดปากออก แล้วนำเอาปากเหยี่ยวหรือนกอินทรีใส่เข้าไปแทน นำเอากรงเล็บของนกเหยี่ยวหรือนกอินทรีใส่เข้าไปแทน แล้วก็อ้างว่าเป็นพญาครุฑจากป่าหิมพานต์ ตรงจุดนี้ท่านทั้งหลายควรที่จะทราบว่า พญาครุฑนั้นมีร่างกายที่ใหญ่โตมโหฬารมาก แค่ขยับปีกครั้งเดียวก็ไปไกลถึง ๑๖ กิโลเมตร ดังที่ในกลอนกล่าวเอาไว้ว่า พระบินหนักกวักละโยชน์ด้วยฤทธี จึงจักข้ามนทีสีทันดร ซึ่งถ้าหากว่าพญาครุฑตัวแค่ไก่บ้าน แล้วจะขยับปีกอย่างไรให้ครั้งหนึ่งไปได้ไกลถึง ๑ โยชน์หรือว่า ๑๖ กิโลเมตร ?

โดยเฉพาะพญาครุฑนั้น ขนมีสีแดงเจิดจ้า เป็นสีแดงที่อธิบายได้ใกล้เคียงที่สุดว่าเป็นสีโลหะที่หลอมละลาย ก็คือเป็นสีแดงอมทอง ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าเคยไปร่วมหล่อพระ หล่อโลหะ แล้วเห็นโลหะที่หลอมละลาย ก็จะรู้ว่าสีที่กระผม/อาตมภาพพูดนี้คือสีอย่างไร ไม่ใช่สีเหมือนกับไก่บ้าน นี่เป็นประการหนึ่ง

อีกประการหนึ่งก็คือบุคคลที่โดนหลอกให้ซื้อหากระดูกซี่โครงวัว แล้วเขาอ้างว่าเป็นงาช้างน้ำ ซึ่งความจริงแล้วเป็นกระดูกซี่โครงคู่สุดท้ายของวัว ที่เขาเลื่อยออกมาจากกระดูกซี่โครง นำมาทับให้ตรงแล้วก็ขาย โดยอ้างว่าเป็นงาช้างน้ำ แต่ถ้าท่านสังเกตจะเห็นว่า
โคนกระดูกนั้นจะเป็นสี่เหลี่ยม ถ้าหากว่าเป็นงาช้างน้ำที่ถอดออกมาอย่างแท้จริงนั้น ย่อมอยู่ในลักษณะกลม ถ้าโดนเลื่อยออกมา หน้าตัดก็จะกลมและตัน แต่ถ้าหากว่าเป็นงาที่โดนถอดทิ้ง ข้างในก็จะกลวง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2023 เมื่อ 01:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 20-04-2023, 01:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,417,997 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

และโดยเฉพาะงาช้างน้ำนั้น ชิ้นที่ใหญ่ที่สุดที่กระผม/อาตมภาพพบมา ก็ประมาณนิ้วมือผู้ใหญ่เท่านั้น เพราะว่าช้างน้ำที่ตัวใหญ่ที่สุดก็ประมาณหมูตัวเล็ก บรรดาช้างน้ำตัวเล็ก ๆ ที่โดนจับได้นั้นก็คือลูกช้างน้ำ ซึ่งยังไม่รู้ถึงอันตราย แล้วก็ซุกซนเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น จนโดนคนจับได้

หลังจากนั้นไม่นาน ของปลอมก็มีเต็มตลาด มีการเอาหนูบ้าง สัตว์อื่นที่มีหุ่นใกล้เคียงกันอย่างตัวตุ่นบ้าง มาใส่เอางาปลอม ซึ่งทำจากก้างปลาใหญ่บ้าง ทำมาจากงาแท้ แต่ว่าเกลาให้เล็กบ้าง
ซึ่งสิ่งทั้งหลายเหล่านี้นั้น ท่านต้องการอะไรก็จะได้อย่างนั้น ทางด้านตลาดสามารถผลิตออกมาได้อย่างทันอกทันใจ..!

หรือแม้กระทั่งมักกะลีผลที่โดนกล่าวอ้างถึงนั้น ก็เป็นการเอาเถาวัลย์ป่ามาปั๊มเป็นรูปคล้ายคลึงกับตัวคนเท่านั้น มักกะลีผลที่แท้จริงนั้นเป็นผลไม้รูปหญิงสาว มีขนาดใกล้เคียงกับมนุษย์จริง เมื่อถึงเวลาแล้ว ถ้าหากว่าเหี่ยวย่นลงไป ก็จะกลายเป็นเหมือนอย่างกับผลไม้แห้งเหี่ยว ไม่ใช่เถาวัลย์แข็งโป๊กชนิดที่ว่าขว้างหัวคนแตกแบบนั้น..!

ที่กระผม/อาตมภาพกล้าฟันธงทันทีที่มองเห็นนาคบาศก์อันนั้นว่าเป็นของปลอม ก็เพราะว่าอันดับแรกเลย
งูเห่าทั้งคู่ไม่ได้ถอดกรามของตนเองออกมาเพื่อกลืนอีกฝ่ายหนึ่งลงไป เป็นการที่ตัดตัวงูครึ่งหนึ่ง แล้วก็เอาส่วนนั้นยัดเข้าปากไปเฉย ๆ

ดังนั้น..ในส่วนของกรามงูที่ไม่ได้ถอดออก ผิวหนังตรงนั้นจึงไม่ได้บวมแล้วก็บางให้เห็นอย่างชัดเจน ทำให้สามารถฟันธงได้ในทันทีทันใดว่าเป็นของสร้างปลอมขึ้นมา ไม่ใช่งูที่กลืนหางกันเอง แล้ว
ถ้าหากว่าเป็นงูเห่าที่กลืนหางกันเองนั้น เมื่อถึงเวลากลายเป็นวงกลมแล้ว ก็จะไม่กลมพอดิบพอดีแบบนั้น มีเบี้ยวมีโย้ไปด้านโน้นด้านนี้บ้าง ซึ่งไม่ใช่อยู่ในลักษณะกลมดิกอย่างที่ท่านได้มา

กระผม/อาตมภาพเห็นแล้วก็ได้แต่เสียดายเงินแทนท่าน ไม่ทราบเหมือนกันว่าโดนเขาหลอกไปกี่หมื่นกี่แสน ถึงได้ไปบูชาของปลอมมาในลักษณะแบบนั้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2023 เมื่อ 01:50
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 20-04-2023, 01:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,696
ได้ให้อนุโมทนา: 152,041
ได้รับอนุโมทนา 4,417,997 ครั้ง ใน 34,286 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีบางท่านนำเอาพระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จองค์ปฐมมาถวายกระผม/อาตมภาพทีเป็นถัง..! ด้วยความภาคภูมิใจว่าสามารถนำของหายากสุด ๆ มาถวายครูบาอาจารย์ได้ กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ถอนใจ เมื่อมีการสร้างพระก็นำบรรจุไปเลย

เหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงในเรื่องของความเป็นทิพย์ แค่ใช้ตรรกะง่าย ๆ ว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้นบารมีขนาดไหน ? ท่านเองยังได้มาแค่ ๒ องค์ แล้วคุณเป็นใคร ? มาจากไหน ? ถึงหามาได้ทีหนึ่งเป็นถัง ๆ พระบรมสารีริกธาตุขององค์สมเด็จองค์ปฐมนั้นหาได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ ? จึงสามารถที่จะครอบครองกันได้ทีหนึ่งมากขนาดนั้น..! แค่ใช้ตรรกะง่าย ๆ แบบนี้ ท่านทั้งหลายก็จะรู้ว่าสิ่งที่ท่านกำลังตั้งใจไปไขว่คว้ามา เพราะเห็นว่าเป็นของหายาก ราคาแพงนั้น ท่านกำลังโดนหลอกแน่นอนเกิน ๙๙ เปอร์เซ็นต์แล้ว..!

อีกส่วนหนึ่งก็คือมีข่าวที่ครูบาอาจารย์ท่านหนึ่งไปนำเอาปรอทมา แล้วให้ญาติโยมเอามาทาหน้า นั่นเป็นสิ่งที่อันตรายสุด ๆ ท่านอาจจะรู้จักแค่วิธีในการดักปรอทตามแหล่งน้ำโสโครก หรือว่าดักปรอทในป่า แต่ว่าท่านไม่สามารถที่จะทำปรอทนั้นให้แข็งตัวและหมดฤทธิ์ลงได้

การที่ปรอทนั้นแข็งตัวยังไม่ได้หมายความว่าหมดฤทธิ์ ยังสามารถที่จะหนีไปได้ จนกว่าท่านทั้งหลายจะใช้สมุนไพรในการกัดกร่อนเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน หลังจากนั้นค่อยหลอมตามวิธีการ และควบคุมจนกระทั่งอยู่ใต้อำนาจจิตแล้ว จึงสามารถจะกลายเป็นปรอทสำเร็จได้ ไม่ใช่ว่าเป็นปรอทน้ำ ซึ่งยังไหลไปมาในลักษณะของปรอทปกติ แล้วก็ไปอ้างว่าเป็นปรอทสำเร็จ สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นโลหะหนักที่จะก่อให้เกิดโทษมากกว่าประโยชน์ ยิ่งถ้าใครเผลอกินเข้าไป มีสิทธิ์ถึงตายได้ทันที..! จึงเป็นเรื่องที่อยากจะบอกกล่าวให้ท่านทั้งหลายได้ทราบเอาไว้

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงแค่นี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๙ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-04-2023 เมื่อ 01:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:38



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว