กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๖ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๖

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 12-04-2023, 20:14
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 356
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 19,289 ครั้ง ใน 835 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๖๖


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 12-04-2023, 23:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,754
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,631 ครั้ง ใน 34,343 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ ถ้าโบราณเขาเรียกว่า "วันสุกดิบ" ส่วนใหญ่ทั้งสุกทั้งดิบก็คือข้าวปลาอาหารที่จะถวายพระนั่นแหละ ข้าวปลาอาหาร ตลอดจนกระทั่งขนมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นไปโดยประเพณีหรือเปล่า เมื่อถึงเวลา คนโบราณจะถวายพระก่อน

ถ้าหากว่าเราศึกษาประวัติพระอัญญาโกณฑัญญเถระ จะปลูกข้าวท่านก็ทำบุญ จะเกี่ยวข้าวท่านก็ทำบุญ จะขนข้าวขึ้นยุ้งท่านก็ทำบุญ ส่วนพระสุภัททเถระไปทำบุญตอนขนข้าวขึ้นยุ้งทีเดียว

พระอัญญาโกณฑัญญเถระจึงเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่บรรลุอรหันต์ในพระพุทธศาสนาของพระสมณโคดม ส่วนพระสุภัททเถระเกือบจะไม่ทัน คือถ้าพระอานนท์ใจแข็งหน่อยเดียว ไม่ให้เข้าพบ ก็เป็นอันว่าไม่ต้องบรรลุกัน แต่พระพุทธเจ้าทรงทราบดีว่านี่ก็คือปัจฉิมสักขิสาวก ผู้ที่จะบรรลุธรรมด้วยคำสอนของพระองค์ท่านเป็นรูปสุดท้าย จึงอนุญาตให้เข้าไปฟังธรรมแล้วก็บรรลุได้

คนโบราณถึงได้กลัว..กลัวว่าถ้าจะต้องน่าหวาดเสียวขนาดพระสุภัททเถระก็คงจะเสี่ยงเกินไป ดังนั้น..ไม่ว่าอะไรที่เป็นผลผลิต เกิดจากไร่จากสวนชุดแรกก็มักจะถวายพระก่อน

ในช่วงที่ข้าวตั้งท้อง ยังเป็นน้ำนมอยู่ ก็ทำข้าวยาคูถวายพระ ในช่วงที่ข้าวตกรวงกำลังแก่ ก็ทำข้าวเม่าถวายพระ เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำบุญข้าวใหม่ถวายพระก่อน
เราจะเห็นว่าคนโบราณนั้น ทำอะไรอยู่กับบุญอยู่กับกุศลตลอดเวลา ดังนั้น..เขาทั้งหลายเหล่านั้นจึงอยู่ในลักษณะของการ "อยู่เย็นเป็นสุข" เพราะสิ่งที่ตนกระทำเอง

แม้กระทั่งในยุคปัจจุบันนี้ อย่างลุงเชิญ บุญรังษี คหบดีของจังหวัดจันทบุรี ท่านเป็นลูกศิษย์ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง เป็นเพื่อนของหลวงลุงสุนทร สุธมฺมสุนฺทโร ลุงเชิญปฏิบัติธรรมแล้วติดขัดอยู่หลายปี ไปต่อไม่เป็น พอดีปีนั้นกระผม/อาตมภาพไปเยี่ยมหลวงลุงสุนทร ถ้าจำไม่ผิดเป็นปี ๒๕๓๗ เพราะว่าหลวงลุงสุนทรท่านป่วยแล้วไปรักษาตัวที่บ้านเชิงเขาคิชฌกูฎ เมื่อไปถึง ปรากฏว่าหลวงลุงท่านเริ่มแข็งแรงดีแล้ว ก็บอกว่า "หลวงพี่..ไปเยี่ยมเพื่อนผมหน่อย เขาเป็นนักปฏิบัติธรรม" แล้วก็ให้ลูกชายพาขึ้นรถไปที่บ้านสวนบางกะจะ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 12-04-2023, 23:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,754
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,631 ครั้ง ใน 34,343 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ลุงเชิญที่ปฏิบัติธรรมแล้วติดขัดอยู่หลายปี เห็นเพื่อนคือหลวงลุงสุนทรมาก็สอบถามปัญหา หลวงลุงสุนทรท่านบอกว่า "ถามหลวงพี่ผมเถอะ" ก็คือถึงแม้ว่าท่านจะอายุมากกว่า แต่ว่าบวชทีหลัง ก็คือรุ่นของอาตมภาพแล้ว ถัดมาก็เป็นรุ่นของท่านอาจารย์ตี๋ (พระนิติ สุธมฺมสุนฺทโร) แล้วก็มาเป็นรุ่นท่านโกวิท แล้วก็รุ่นท่านสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตฺโต แล้วถึงเป็นรุ่นของท่านวิศิฏฐ์ สุธมฺมกาโม กับหลวงลุงสุนทร สุธมฺมสุนฺทโร แล้วถึงจะมาเป็นรุ่นของพระครูปลัดสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ กับท่านสำออย สุธมฺมธนปาโล ก็ห่างกันเยอะอยู่นะ..!

ลุงเชิญก็เลยขนเอาปัญหาที่ตัวเองติดขัดอยู่แล้วไปต่อไม่เป็นมาถาม กระผม/อาตมภาพแก้ไขปัญหาให้ ลุงเชิญดีใจมาก เพราะว่าบางอย่างเหมือนกับ "หญ้าปากคอก" หรือ "ผงเข้าตาตัวเอง" เขี่ยเองไม่ได้ มีคนอื่นเขี่ยให้ก็ดีใจ ปวารณานิมนต์ตลอดชีวิต แม้ตัวเองตายแล้วก็สั่งลูกหลานไว้ว่าให้นิมนต์ต่อ นี่อีกไม่กี่วันกระผม/อาตมภาพก็ต้องไปบ้านลุงเชิญอีก

คราวนี้ปรากฏว่าตอนนั้นกระผม/อาตมภาพยังอยู่ที่เกาะพระฤๅษี ลุงเชิญวิ่งจากท่าใหม่ จันทบุรี เมื่อกี้บอกว่าบางกะจะ แล้วทำไมตอนนี้บอกว่าท่าใหม่ ? เพราะว่าสวนที่บางกะจะนั้นเป็นสวนมหาสมบัติ แค่ฝนตกนี่มีพลอยกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว..! ลุงเชิญก็เลยเก็บเอาไว้ให้ลูกให้หลาน แล้วก็ไปซื้อที่ดินที่อำเภอท่าใหม่ทำสวนทุเรียน

ทุเรียนรุ่นแรกออกมา ๘ ลูก ลุงเชิญวิ่งจากท่าใหม่ไปถึงเกาะพระฤๅษี ใช้เวลา ๘ ชั่วโมง..! เพื่อเอาทุเรียนไปถวายพระอาจารย์เล็ก บอกว่าเป็นผลผลิตรุ่นแรกของสวน อยากจะถวายพระก่อน "เมื่ออยากจะถวายพระ ก็นึกถึงแต่หลวงพี่เท่านั้น" ก็เลยวิ่งเสียหลายร้อยกิโลเมตรเอามาถวาย กำลังใจลักษณะอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพฉันทุเรียนของเขาไม่ลง..! ก็คือเป็นกำลังใจที่มุ่งแต่บุญแต่กุศล อยู่ในลักษณะอย่างนั้น

มีญาติโยมอีกท่านหนึ่งก็อยู่ในลักษณะนี้ ก็คือถามปัญหาแล้วกระผม/อาตมภาพแก้ไขให้เขาได้ ควักเงินหมดตัวเลยถวายมา
กระผม/อาตมภาพบอกว่า "โยม..คิดให้ดีก่อนว่ายังมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนนี้ไหม ?" พวกเราตลอดจนกระทั่งญาติโยมทั้งหลายจะรู้ว่า ทำบุญกับวัดท่าขนุน โดยเฉพาะทำบุญกับเจ้าอาวาสนี่ยากมาก ทำเยอะก็โดนบ่น..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:51
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 29 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 12-04-2023, 23:33
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,754
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,631 ครั้ง ใน 34,343 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มีโยมท่านหนึ่งขอถวายเงินจำนวนหลายล้านบาท เพื่อร่วมสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่หน้าตัก ๒๑ ศอกหน้าวัดท่าขนุน เฉพาะองค์พระก็ประมาณ ๓ ล้านบาท รวมตัวอาคารด้วยอะไรด้วยก็หมดไป ๑๗ ล้านกว่าบาท เขาปวารณาถวาย อาตมภาพบอกยังไม่รับ กลับไปคิดให้ดีก่อนหนึ่งอาทิตย์ ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงิน หรือว่าคนในครอบครัวรอบข้างไม่มีความจำเป็นจะใช้เงินก้อนนี้ แล้วค่อยมาถวาย

เขาหายไปหนึ่งอาทิตย์แล้วกลับมา ยืนยันว่า "ไม่มีความจำเป็นครับ เงินก้อนนี้เป็นเงินที่สามารถถวายทำบุญได้" ดังนั้น..กระผม/อาตมภาพถึงได้รับเอาไว้ ก็แปลว่าถ้าหากว่าจะทำบุญกับวัดท่าขนุน ถือเงินมาส่งเดช อาจจะโดนไล่กลับบ้านไป แล้วก็โดนไล่ไปหลายรายแล้ว..!

โดยเฉพาะพวกที่อยู่ ๆ ก็แบกผ้าป่ามา ไม่ได้บอกไม่ได้กล่าว อยู่ ๆ ก็ไปทำผ้าป่า แล้วก็แบกมาถึงวัด บอก "มึงจะไปถวายวัดไหนก็ไป วัดนี้ไม่รับ เพราะว่ากูไม่ได้สั่ง..!" เพราะว่ากำลังใจของญาติโยมที่ประกอบไปด้วยบุญด้วยกุศลอย่างเดียว บางทีก็อยู่ในลักษณะ "อธิโมกขสัทธา" เป็นศรัทธาที่ไม่มีปัญญาประกอบ เกิดความศรัทธาขึ้นมาก็ทุ่มเทหมดตัว บางทีก็ไม่ได้นึกว่าตนเองและคนรอบข้างจะเดือดร้อนหรือเปล่า ?

การทำบุญในลักษณะนี้ พระพุทธเจ้าไม่ได้สรรเสริญ พระองค์ท่านบอกว่าอามิสทาน คือทานที่เป็นข้าวของเงินทองนั้น แม้ว่าสำคัญ แต่ว่าธรรมทานสำคัญกว่า ก็คือการให้ธรรมเป็นทาน

ในเมื่อญาติโยมถึงเวลาเกิดศรัทธาขึ้นมา ไม่ใช่เราเป็นพระภิกษุ สามเณร แม่ชีหรือฆราวาสอยู่วัด ก็รีบไปยุให้เขาถวายเยอะ ๆ ประมาณว่าถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นจาตุมหาราช ถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ถวายเท่านี้จะได้อยู่ชั้นยามา ถวายเท่านี้จะได้อยู่ดุสิตบุรีเฟส ๔ กูจะบ้า..!

สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนท่านไม่ได้สอนอย่างนั้น ท่านให้ทานเพื่อตัดความโลภ ดังนั้น..
การทำทานจึงไม่ใช่การถวายทีละมาก ๆ แต่เป็นการทำบ่อย ๆ ทำน้อยแต่บ่อยครั้ง กำลังใจจะตัดละได้ง่ายกว่า เพราะว่าของไม่มาก เราไม่หวง เมื่อทำไปหลาย ๆ ครั้ง สภาพจิตเริ่มเข้มแข็งขึ้น มีอำนาจเหนือความโลภ ก็จะถวายได้มากขึ้น บ่อยขึ้น แต่ก็ต้องมีปัญญาประกอบด้วยว่า ถวายไปแล้วตัวเราและคนรอบข้างจะเดือดร้อนหรือเปล่า ? ยังมีบุคคลที่จำเป็นที่จะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองตรงนี้หรือไม่ ? เพราะว่าสูงกว่านั้นขึ้นไปยังมีการรักษาศีล ซึ่งอานิสงส์มากกว่าการทำทานเป็นร้อยเท่า สูงกว่าศีลก็ยังมีภาวนา ที่อานิสงส์มากกว่าการรักษาศีลเป็นร้อยเท่า..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 12-04-2023, 23:36
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,754
ได้ให้อนุโมทนา: 152,183
ได้รับอนุโมทนา 4,420,631 ครั้ง ใน 34,343 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การทำบุญนั้น พวกเราจึงต้องระมัดระวังให้ดี สิ่งที่โบราณสอนเอาไว้ก็คือ มีโอกาสให้รีบทำไว้ ถ้าท่านทั้งหลายศึกษาขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ของไทย จะเห็นว่าเรามีเทศกาลงานบุญทุกเดือน ถ้ายิ่งทางด้านอีสานยิ่งชัดเจน ก็คือ "ฮีตสิบสอง คองสิบสี่" ประเพณีและแนวทางการดำเนินชีวิต ประเพณี ๑๒ เดือน แนวทางการประพฤติปฏิบัติ ๑๔ อย่าง ค่อย ๆ ไปศึกษาเอา ที่เขาบอกว่า "เดือน ๕ ทำบุญสงกรานต์ เดือน ๖ อีสานมีงานบั้งไฟ" นั่นแหละ...

ในเรื่องของการทำบุญจึงต้องถือตามแบบโบราณ เพราะเขามีทำทั้งปี คือทำบ่อย ๆ ทำบ่อยไม่ใช่ทำมาก เพราะถ้าทำมาก จิตใจเกิดความหวงแหนขึ้นมาก็ทำไม่ได้ ทำน้อยแต่บ่อยครั้ง อานิสงส์ของทานส่งผลให้เรามีฐานะร่ำรวยมั่นคงในภายหน้า

รักษาศีล อานิสงส์ช่วยให้เราเป็นผู้มีรูปสวย มีจิตใจดีงาม เจริญภาวนา อานิสงส์ทำให้เรามีปัญญามาก เพราะฉะนั้น..มีโอกาสให้ทานเราให้ มีโอกาสรักษาศีลเรารักษา มีโอกาสภาวนาเราปฏิบัติ จึงจะเรียกได้ว่าทำตนเป็นพุทธศาสนิกชนที่ถูกต้องอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพุธที่ ๑๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-04-2023 เมื่อ 02:57
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:32



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว