กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 20-07-2009, 07:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,995
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒

วันนี้มีคนหนึ่งมาถามว่า ทำกรรมฐานมาสิบกว่าปีแล้วไม่ได้อะไรเลย เป็นเพราะอะไร ? ก็บอกว่าเป็นเพราะไม่สามารถกำหนดใจให้อยู่กับคำภาวนาของตัวเอง ให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้

โยมอีกท่านก็ถามว่า ถ้าจะเป็นพระอริยเจ้า ต้องได้ฌานสี่หรือไม่ ? ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นไม่ต้อง กำลังปฐมฌานเพียงพอที่จะตัดกิเลสในความเป็นพระโสดาบันและพระสกิทาคามีแล้ว แต่ถ้าต้องการจะเป็นพระอนาคามีขึ้นไป จำเป็นต้องได้ฌานสี่ เพราะถ้าไม่ได้กำลังในการตัดกิเลสก็จะไม่มี

ถามต่อไปว่าทำอย่างไรฌานสี่จึงจะคล่องตัว ? วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือใช้มโนมยิทธิ ซ้อมบ่อย ๆ การใช้มโนมยิทธิของเราถ้ากำหนดรู้ได้จะเป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ จะเป็นกำลังของฌานสี่ ใช้ให้เคยชินและซักซ้อมความคล่องตัว เราจะได้มีกำลังเพียงพอในการตัดกิเลสได้

ดังนั้น..ลมหายใจเข้าออกของเราถือเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการปฏิบัติ ถ้าเราปล่อยอารมณ์ให้เป็นปกติ มันไม่ฟุ้งซ่านไปในอดีต มันก็จะฟุ้งซ่านไปในอนาคต ฟุ้งซ่านไปในอดีตก็อาจจะเสียดาย ห่วงหาอาลัยอยู่กับมัน ฟุ้งซ่านไปในอนาคตส่วนใหญ่ก็อยากเป็นนั่น อยากได้นี่ ถ้าเราสามารถหยุดกำลังใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก เท่ากับว่าเราหยุดอยู่กับปัจจุบัน ถ้าเราหยุดอยู่กับปัจจุบันความฟุ้งต่าง ๆ จะน้อยลงอย่างมาก เหลือเพียงความทุกข์ที่เกิดจากขันธ์ ๕ เท่านั้น

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องรักษาลมหายใจเข้าออกของเราให้ทรงตัวอยู่เสมอ เมื่อลมหายใจเข้าออกทรงตัวแล้วจงอย่าลืมแผ่เมตตา โดยกำหนดใจ ให้มีความรัก ความเมตตา ความหวังดีต่อสรรพสัตว์ถ้วนหน้า ขอให้เขาพ้นจากความทุกข์ ขอให้เขามีแต่ความสุข เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องกระทำเป็นประจำอยู่แล้ว

ถามว่าต้องแผ่เมตตาวันละกี่รอบ ? ก็จะเอาคำตอบของหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ ครูบาอาจารย์ใหญ่ของพระป่าสายอีสาน หลวงปู่มั่นกล่าวว่าสำหรับองค์ท่านเองแล้ว แผ่เมตตาใหญ่วันละสามครั้ง แล้วแผ่เมตตาอีกเล็ก ๆ น้อย ๆ นับครั้งไม่ถ้วน บุคคลที่มีจิตเมตตาย่อมรัก ย่อมสงสารในสรรพสัตว์ทั้งปวง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะไม่ละเมิดศีล เพราะว่าการละเมิดศีลเป็นการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น เมื่อเรามีความรักความเมตตาสงสารต่อคนอื่น ต่อสัตว์ เราก็จะกลายเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์โดยอัตโนมัติ

การปฏิบัติโดยนึกถึงลมหายใจเข้าออกของเรานั้น ถ้าหากว่าใช้คำภาวนาควบไปด้วยก็จะดี เพื่อเป็นการเพิ่มงานให้กับจิต หรือกำหนดรู้ภาพพระเพิ่มเข้าไปด้วย เมื่อจิตมีงานหลายอย่างที่ต้องระมัดระวัง ที่ต้องกระทำ ก็จะทำให้จิตไปสู่อารมณ์อื่นได้ยาก ดังนั้น..สำหรับพวกเราทั้งหมด ขอให้คิดว่าการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก การแผ่เมตตา เป็นสิ่งที่ต้องทำให้เป็นปกติ เพื่ออันดับแรก ความอยู่สุขอยู่เย็นของเราเอง อันดับต่อไป บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่เห็นตัวและไม่เห็นตัว เมื่อได้รับกระแสใจอันสุขเย็นของเรา ก็จะเกิดความหวังดี ปรารถนาดีกับเราโดยอัตโนมัติ โดยเฉพาะบรรดาเทวดาต่าง ๆ จะตามคุ้มครองรักษา ตามสภาพจิตของเรา สภาพจิตยิ่งมีความผ่องใสมากเท่าไหร่ ก็จะมีเทวดารักษามากขึ้นไปเรื่อย ๆ
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2009 เมื่อ 13:25
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 20-07-2009, 07:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,661
ได้ให้อนุโมทนา: 151,995
ได้รับอนุโมทนา 4,416,474 ครั้ง ใน 34,251 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ดังนั้น..การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เมื่อทรงตัวแล้วก็ให้แผ่เมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย จากนั้นก็ก้าวไปสู่ห้วงของการทำงานต่าง ๆ อย่างเช่นการกำหนดรู้สภาพร่างกายของเรา ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา หรือว่ากำหนดเห็นความเกิดดับของสภาพร่างกายนี้ให้เป็นปกติ หรือจะกำหนดว่าร่างกายนี้มีความเป็นทุกข์ เป็นโทษอยู่ตลอดเวลา เปรียบเสมือนกับเลี้ยงเสือร้ายไว้ให้อ้วน แล้วก็มาขบกัดทำร้ายเรา ผู้เป็นเจ้าของ

ดังนั้น..ถ้าจิตใจของท่านตัด ละออกได้จริง ๆ ก็จะทำให้ตัวของเราเองเบาทั้งกาย เบาทั้งใจ เมื่อเป็นเช่นนั้นการที่เราพิจารณาธรรมต่าง ๆ จะง่าย เมื่อจิตยอมรับสภาพแล้วว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ความห่วงหาอาลัยต่าง ๆ ก็จะลดน้อยถอยลง จนกระทั่งหมดไปเอง

ท่านทั้งหลายจึงมีหน้าที่ที่ต้องทำเป็นประจำก็คือ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก แผ่เมตตา พิจารณาในวิปัสสนาญาณข้อต่าง ๆ แล้วแต่ว่าช่วงนั้นมีเวลามากน้อยสักเท่าไร ถ้าหากท่านใดไม่ถนัดในการพิจารณาเห็นความเกิดดับ เห็นความเป็นทุกข์เป็นภัย เห็นความเป็นของน่ากลัว จะพิจารณาในความไม่เที่ยง เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุดก็ได้ หรือพิจารณาให้เห็นในความเป็นทุกข์ ทุกข์ตั้งแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ เศร้าโศกเสียใจ ความปรารถนาไม่สมหวัง กระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ หรือว่ากระทั่งท้ายสุดก็ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

จากเมื่อประมาณสองอาทิตย์เศษที่ผ่านมา เจ้าอาวาสวัดหินแหลมที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นอบรมเจ้าอาวาสมาด้วยกัน ก็ถึงแก่ความตายลงด้วยอุบัติเหตุ ท้ายสุดวัดวาอารามที่พยายามเสริมสร้างจนใหญ่โตก็ดี ทรัพย์สินสิ่งของต่าง ๆ ก็ดี ไม่มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่นำติดตัวไปได้ มีสิ่งเดียวเท่านั้นที่ติดตัวเราไปแล้วเป็นผลแก่ตัว ก็คือบุญกุศลต่าง ๆ ซึ่งเกิดจากศีล เกิดจากสมาธิ เกิดจากปัญญา

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายจำเป็นต้องปฏิบัติงานที่สำคัญ เป็นงานที่ชำระจิตชำระใจของตนให้ขาวสะอาด ให้บริสุทธิ์อยู่ในทุกวัน เมื่อปฏิบัติรักษาจิตได้แล้วก็ให้ประคับประคองอารมณ์นั้นให้อยู่กับเราให้นานที่สุด เท่าที่พึงนานได้ เพื่อเป็นการรักษากำลังใจเอาไว้ไม่ให้รัก โลภ โกรธ หลง กินได้มากนัก แล้วหลังจากนั้นค่อยไปคิด ไปตัด ไปละ ไปถอนความยินดีในร่างกายนี้เสีย ถ้าเราไม่ยินดีในร่างกายของเรา ก็ไม่ยินดีในร่างกายของคนอื่นด้วย ก็แปลว่าในเมื่อตัวเรายังไม่ต้องการ แล้วจะไปต้องการร่างกายคนอื่นไปทำไม

ท่านทั้งหลายจงกำหนดการภาวนา การแผ่เมตตาและการพิจารณาต่าง ๆ ดังนี้ ถ้าหากว่าครบรอบแล้วก็เริ่มต้นใหม่ ถ้ายังไม่ครบรอบก็ภาวนาไปเรื่อย ถ้ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ให้กำหนดลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ให้กำหนดรู้คำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกหรือไม่มีคำภาวนาให้กำหนดใจรู้ไว้ว่าสภาพมันเป็นเช่นนั้นเอง อย่าอยากให้มันเป็น และอย่ากลัวที่มันเป็น ทำใจเฉย ๆ ถ้าสามารถทำได้ดังนี้ก็จะก้าวขึ้นสู่สมาธิเบื้องสูงไปเรื่อย ๆ ได้ ยิ่งสมาธิสูงทรงตัวมากเท่าไหร่ปัญญาก็ยิ่งเกิดง่ายขึ้น

สำหรับตอนนี้ให้ทุกคนอยู่กับคำภาวนา อยู่กับการพิจารณา อยู่กับการกำหนดรู้ตามสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ปฏิบัติไปจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกให้เลิกได้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ที่บ้านอนุสาวรีย์ช่วงทำกรรมฐาน
วันศุกร์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 26-12-2009 เมื่อ 13:25
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:29



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว