#1
|
||||
|
||||
![]()
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าเผลอไปคิดเรื่องอื่น รู้ตัวเมื่อไรก็ดึงกลับมาอยู่กับลมหายใจเข้าออกใหม่ ส่วนคำภาวนาจะใช้อะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม
วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ ในส่วนของการปฏิบัติซึ่งจะกล่าวถึงในวันนี้ ก็คืออานาปานสติ คือลมหายใจเข้าออกของเรานี่เอง ซึ่งหลายคนอาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องหญ้าปากคอก ก็คือใกล้ตัว แต่เนื่องจากว่าใกล้เกินไปจึงมองข้ามไปเสียเป็นส่วนใหญ่ คำว่าหญ้าปากคอกนี้ก็คือ ในส่วนของสมัยก่อนที่เราเลี้ยงวัวเลี้ยงควายอยู่ เมื่อถึงเวลาเช้าเปิดคอก วัวควายที่หิวมาตลอดทั้งคืนก็ประดังกันออกจากคอกไปเพื่อที่จะไปหากิน ด้วยความที่ต่างตัวก็ต่างหวังจะไปหากิน ก็รีบมุ่งไปที่ไกล ลืมของใกล้คือหญ้าตรงปากคอกของตัวเอง ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น อานาปานสติกรรมฐานเป็นกรรมฐานที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่มีอานาปานสติ กรรมฐานทุกกองปฏิบัติไปก็ไม่ได้ผล การที่เราจะต่อสู้กับกิเลส อานาปานสติยิ่งมีความสำคัญหนักเข้าไปอีก เพราะว่าถ้าขาดอานาปานสติ เราก็จะขาดกำลังจากสมาธิ เมื่อขาดกำลังจากสมาธิ เราจะเอากำลังที่ไหนไปสู้กับกิเลสได้ ? ก็แปลว่าถ้าทิ้งอานาปานสติกองเดียว ไม่ว่าจะทำกรรมฐานกองไหนก็ไม่เกิดผลทั้งสิ้น ดังนั้น...ทุกท่านอย่าได้เห็นอานาปานสติเป็นเหมือนหญ้าปากคอก ก็คืออยู่ใกล้เพราะว่าเราหายใจอยู่ทุกวัน แต่เรามีสติระลึกรู้ตามลมหายใจไปเท่าไร เราหายใจทั้งวันเรารู้ตัวว่าเราหายใจสักวันละกี่นาที ? กี่ชั่วโมง ? ถ้าบุคคลที่เป็นนักปฏิบัติจริง ๆ ก็คือต้องรู้อยู่ตลอดเวลา รู้อยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง รู้ทั้งเวลาหลับรู้ทั้งเวลาตื่น ถามว่าหลับอยู่รู้ได้ด้วยหรือ ? อาตมาขอยืนยันว่ารู้ได้ ขอให้ทำถึงจริง ๆ เท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 10-05-2018 เมื่อ 20:57 |
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
![]()
โดยเฉพาะในส่วนของการตัดกิเลสนั้น ถ้าสภาพจิตของเราฟุ้งซ่านไปในอดีตหรืออนาคต กิเลสก็จะเจริญงอกงามใหญ่โตไปเรื่อย เพราะว่าส่วนใหญ่ก็ไปหวนหาอาลัยอดีต ฟุ้งซ่านในอนาคต ทำให้สภาพจิตเกิดการปรุงแต่งเป็น รัก โลภ โกรธ หลง อยู่ตลอดเวลา
การที่เราจะหยุดการปรุงแต่งได้นั้น ต้องหยุดใจของเราอยู่กับปัจจุบัน การที่จะหยุดใจของเราให้อยู่กับปัจจุบันได้ วิธีที่ดีที่สุดคืออยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าอยู่กับลมหายใจเข้าออกของเราตรงหน้านี้ เท่ากับว่าเราหยุดอยู่กับตอนนี้ เดี๋ยวนี้ สภาพจิตไม่ได้วิ่งไปหาอดีตหรืออนาคต สติรู้ตัวอยู่กับลมหายใจในปัจจุบัน สภาพจิตก็ไม่ไปปรุงแต่งหา รัก โลภ โกรธ หลง กิเลสก็เกิดไม่ได้ ถ้ากำลังเราสูงกว่าก็กดกิเลสดับลงได้ชั่วคราว ถ้ากำลังของเรามากจริง ๆ ก็อาศัยกำลังนี้บวกกับปัญญา สามารถขุดรากถอนโคนกิเลสต่าง ๆ ออกจากใจของเราได้ เพราะว่าปัญญาจะมองเห็นว่า การที่เราฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปต่าง ๆ นั้น จะเกิด รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร เมื่อมีสติก็สามารถที่จะระงับยับยั้งได้ เมื่อมีสมาธิหยุดตัวเองได้แล้ว ก็จะใช้ปัญญาร่วมด้วยในการขุดรากถอนโคนกิเลส เมื่อรู้ว่าสมุทัยคือสาเหตุของการเกิดกิเลสนั้น เกิดจากการที่เรานึกคิดปรุงแต่ง ก็จะทำให้เราสามารถหยุดยั้งได้ทัน ในเมื่อเราไม่ไปนึกคิดปรุงแต่ง กิเลสต่าง ๆ เกิดขึ้นไม่ได้ ก็จะเข้าถึงความดับตามแต่ระดับสภาพจิตของเรา ตามแต่ระดับปัญญาของเรา ว่าจะเข้าถึงสมาธิสูงแค่ไหน มีปัญญาแหลมคมว่องไวถึงระดับไหน ก็จะตัดกิเลสได้ตามลำดับขั้นที่เราเข้าถึง ดังนั้น...ในการปฏิบัติพวกเราทุกคนจะทิ้งอานาปานสติไม่ได้ เพราะถ้าทิ้งเมื่อไรการปฏิบัติจะไม่มีผล แล้วโดยเฉพาะคือ ควรที่จะทำคู่กับพุทธานุสติ จะจับภาพพระไปด้วย หรือจับลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาพุทโธไปด้วยก็ได้ ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเราไป อย่าไปบังคับ ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ จะหนัก จะเบา จะยาว จะสั้น แล้วแต่สภาพร่างกายของเราต้องการ แค่กำหนดคำภาวนาหรือกำหนดภาพพระไปพร้อมกับลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ถ้าลมหายใจเบาลง ให้กำหนดรู้ว่าลมหายใจเบาลง ถ้าลมหายใจหายไป ก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจหายไป ถ้าคำภาวนาหายไป ก็กำหนดรู้ว่าคำภาวนาหายไป อย่าไปตกใจดิ้นรนออกจากสภาพนั้น จิตของเราก็จะดิ่งลึกเข้าสู่อัปปนาสมาธิที่แนบแน่น จนกระทั่งเข้าถึงที่สุดของสมาธิได้ ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันศุกร์ที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-05-2018 เมื่อ 03:04 |
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
![]() |
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
คำสั่งเพิ่มเติม | |
|
|