กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 17-02-2016, 19:47
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติ คือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมด ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ เป็นการปฏิบัติธรรมประจำเดือนกุมภาพันธ์วันสุดท้าย การปฏิบัติธรรมนั้น หลัก ๆ เลยก็คืออานาปานสติ หรือลมหายใจเข้าออก เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไม่ได้ ถ้าเราไม่สามารถที่จะรักษาลมหายใจเข้าออกเอาไว้ได้ กองกรรมฐานใด ๆ ก็หาความทรงตัวไม่ได้เช่นกัน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกครั้งในการปฏิบัติ เราต้องกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา จนสมาธิทรงตัวตั้งมั่นเสียก่อน

ยกเว้นว่าท่านที่ทำจนชำนาญแล้ว เพียงแค่ใจของเรานึก ก็จะเข้าสู่สมาธิในระดับที่เรากระทำได้ ถ้าอย่างนั้นก็จะง่ายและจะสะดวกกว่าผู้หัดใหม่ แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหม่หรือผู้เก่าก็ตาม เมื่อภาวนาไประยะหนึ่ง จะเกิดอาการในลักษณะที่ว่า อารมณ์ของเราเต็มแล้ว ไม่สามารถที่จะฝืนต่อไปได้ เหมือนอย่างกับว่าเราเดินไปจนสุดทาง ตรงหน้าของเราเป็นทางตัน ไปต่อไม่ได้แล้ว สภาพจิตก็จะค่อย ๆ เคลื่อน ค่อย ๆ คลายออกจากสมาธิที่ทรงตัวอยู่

ตรงจุดนี้ทุกคนต้องระมัดระวังให้มากเข้าไว้ เพราะทันทีที่สภาพจิตคลายออกมาสู่อุปจารสมาธิ ให้เรารีบหาวิปัสสนาญาณให้สภาพจิตของเรานึกคิดพิจารณา ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วสภาพจิตของเราจะฟุ้งซ่านไปหา รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งจะฟุ้งซ่านได้อย่างเป็นงานเป็นการ เป็นหลักเป็นฐาน และดึงกลับได้ยาก เพราะว่าสภาพจิตของเราได้กำลังจากสมาธิที่เราปฏิบัติ แต่แทนที่จะเอาไปพินิจพิจารณาในวิปัสสนาญาณ กลับเอาไปฟุ้งซ่านเพราะได้กำลังจากสมาธิของเราเอง การที่เราจะยื้อยุดให้สภาพจิตหยุดฟุ้งซ่าน ก็เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-02-2016 เมื่อ 15:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 49 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 18-02-2016, 15:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วิปัสสนาญาณซึ่งเหมาะสมที่เราจะพินิจพิจารณานั้น ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดและความชำนาญของเรา ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาในสภาพของขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ หรือปฏิจสมุปบาทก็ตาม สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ให้เรามองให้เห็นชัดว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นก็ก่อให้เกิดทุกข์ เพราะไม่มีอะไรเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นของเราที่แท้จริง

หรือจะดูในลักษณะของอริยสัจ ๔ คือประกอบไปด้วยความทุกข์ ในเมื่อประกอบไปด้วยความทุกข์ ถ้าเราหาสาเหตุเจอว่าความทุกข์นั้นเกิดจากอะไร เราละเว้นจากการสร้างเหตุนั้น ๆ เสีย ทุกข์ก็ไม่เกิดกับเรา หรือจะดูในลักษณะของวิปัสสนาญาณทั้ง ๙ ก็คือดูการเกิดการดับ ดูเฉพาะการดับ ดูให้เห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย ดูให้เห็นว่าเป็นของน่าเบื่อหน่าย ดูให้เห็นว่าเป็นของที่ควรจะไปเสียให้พ้น แล้วพิจารณาเสาะหาทางที่จะไปให้พ้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ก็แล้วแต่ว่าท่านทั้งหลายจะชอบ จะถนัดในการพินิจพิจารณาแบบไหน ก็ให้เอากำลังของสมาธิที่เราทำได้ มาพิจารณาวิปัสสนาญาณแทน

ตรงจุดไหนที่เราหมดสงสัย รู้แจ้งเห็นจริงแล้ว ก็น้อมจิตน้อมใจยอมรับว่า สิ่งนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ถูกต้องอย่างแท้จริง เราจะน้อมมาประพฤติปฏิบัติตามเพื่อรักษาสภาพจิตของเราให้ผ่องใสไว้เสมอ

ในส่วนของการพินิจพิจารณา ถ้าหากรู้สึกว่าสภาพจิตของเราเริ่มเลือนราง กำลังไม่เพียงพอที่จะพิจารณาต่อ ก็ให้กลับไปหาการภาวนาใหม่ หรือว่าบางท่านพินิจพิจารณาจนอารมณ์ใจทรงตัว ย้อนกลับไปเป็นการภาวนาอีกครั้ง ก็ให้จับการภาวนานั้นต่อไป จนกระทั่งอารมณ์ใจของเราไปถึงที่สุด คือจุดที่เต็มหรือว่าตันของเรา ก็ค่อย ๆ ขยับขยายเคลื่อนคลายออกมา แล้วพิจารณาใหม่ ถ้าทำสลับไปสลับมาทำอย่างนี้ ความก้าวหน้าในการปฏิบัติของเราก็จะเห็นได้ชัดเจน

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย รัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นายกระรอก : 28-07-2023 เมื่อ 22:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 44 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว