กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-06-2015, 17:17
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๘

ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ สำหรับวันนี้ขอกล่าวถึงเรื่องของกิเลสหยาบ ที่คอยขวางกั้นการทำความดีของพวกเรา ก็คือ นิวรณ์ ๕ อย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย กามฉันทะ คือ ความพอใจในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ พยาบาท ความโกรธเกลียด อาฆาตแค้นคนอื่น ถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ชวนให้ขี้เกียจปฏิบัติ อุทธัจจกุกกุจจะ ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ และวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติว่าจะมีผลจริงหรือไม่มี

ทั้ง ๕ อย่างนี้เป็นเครื่องกั้นใจของเราไม่ให้เข้าถึงความดี เพราะว่าเมื่อกิเลสทั้งหลายนี้อยู่ จิตใจของเราก็ไม่ผ่องใส ไม่สงบนิ่งเพียงพอ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงสมาธิระดับฌานได้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ปกติแล้วนอนเนื่องอยู่ในใจของเราตลอดเวลา แต่ปรากฏชัดขึ้นมาเพราะว่าสภาพจิตของเราเริ่มนิ่ง เมื่อสภาพจิตเริ่มนิ่ง นิวรณ์ต่าง ๆ ที่เคยนอนนิ่งอยู่เหมือนกับขยะที่อยู่ใต้น้ำ เมื่อน้ำเริ่มใสขึ้น เราก็มองเห็นว่าใต้น้ำนั้นมีขยะอะไรบ้าง

แต่ท่านที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็มักจะไปเครียด ว่าทำไมเราตั้งใจปฏิบัติแล้ว กามราคะถึงเกิดขึ้น โทสะถึงเกิดขึ้น ความง่วงเหงาหาวนอนขี้เกียจปฏิบัติจึงเกิดขึ้น ความหงุดหงิด ฟุ้งซ่าน รำคาญใจ ไม่สามารถภาวนาได้ทำไมถึงปรากฏขึ้น ความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มั่นคงอยู่ในจิตใจ ทำไมถึงเกิดขึ้น

ถ้าท่านทั้งหลายไม่เสียเวลาไปดูว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร พอรู้สึกว่าอารมณ์ใจของเราฟุ้งออกไปจากการภาวนา ก็ให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกเสียใหม่ ตามดูตามรู้ลมหายใจกันใหม่ พอเผลอสติหลุดไปในนิวรณ์เรื่องใดเรื่องหนึ่งอีก ก็รีบดึงกลับมาใหม่ แรก ๆ ก็ต้องอาศัยการชักคะเย่อกัน เพราะว่าเราดึงกลับมาก็จะโดนลากกลับไป จนกระทั่งกำลังสมาธิของเราเริ่มสูงขึ้น เราก็สามารถจะดึงกลับมาอยู่กันเราได้นานขึ้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-06-2015 เมื่อ 17:23
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 57 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 25-06-2015, 17:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

พอเราตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกได้สัก ๕ คู่ ๑๐ คู่ต่อเนื่องกัน กำลังสมาธิเริ่มทรงตัว นิวรณ์ต่าง ๆ ก็จะถอยห่างไป กินใจของเราไม่ได้ ถ้าสมาธิทรงตัวถึงปฐมฌานละเอียด ก็จะก้าวข้ามนิวรณ์ทั้งหลายเหล่านี้ไปโดยอัตโนมัติ เราก็จะตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกแบบสะดวกสบาย บางทีก็เป็นไปโดยไม่ต้องบังคับ จะตามดูลมสัมผัสกี่ฐานก็จับได้ชัดเจน จะกำหนดภาวนาอย่างไรก็ตามรู้ได้ชัดเจน ถ้าอย่างนี้ก็แปลว่าท่านทั้งหลาย สามารถที่จะชนะนิวรณ์ซึ่งเป็นกิเลสหยาบได้ชั่วคราว

เมื่อชนะได้แล้วก็ได้โปรดระมัดระวัง อย่าให้นิวรณ์กลับมามีอำนาจเหนือใจของเราอีก ก็แปลว่าเราต้องใช้สติ ใช้สมาธิ ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจที่เราทำได้ หรือกำลังฌาน กำลังสมาธิที่เราทำได้ ไม่ให้หลุดลอยคล้อยเคลื่อนไปยังที่อื่น ถ้าหากว่าหลุดไปก็รีบดึงกลับมาให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นแล้วกิเลสที่โดนกดอยู่ นิวรณ์ที่โดนกดอยู่ เมื่อตีกลับมาได้ก็จะมีอาการรุนแรงกว่าเดิม

นิวรณ์ถือว่าเป็นเครื่องวัดกำลังใจของเราว่าใจเรามีคุณภาพหรือไม่ ในแต่ละวันควรจะทบทวนอยู่บ่อย ๆ ว่า ขณะนี้กำลังใจของเรามีนิวรณ์ ๕ อย่างนี้อยู่หรือไม่ ? ถ้าหากว่าไม่มี แปลว่าจิตของเรามีคุณภาพที่ดี แต่ถ้ามีนิวรณ์ ๕ อยู่ ก็แปลว่าสภาพจิตใจของเราไม่มีคุณภาพ ตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายต่ำ ทำให้จิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ไหลไปตาม รัก โลภ โกรธ หลง ได้โดยง่าย

ดังนั้น..การที่จะก้าวข้ามนิวรณ์ทั้ง ๕ อย่าง ก็ต้องดึงจิตของเรามาอยู่กับลมหายใจเข้าออก จนกระทั่งสมาธิทรงตัว ก็จะสามารถก้าวข้ามไปได้โดยง่าย

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-06-2015 เมื่อ 17:42
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 41 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:46



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว