กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 14-06-2015, 13:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘

ขอให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ มีญาติโยมถามว่า ปกติภาวนาคาถาเงินล้านเป็นประจำ แต่ไม่ได้ใช้วิธีการนั่งพิจารณา หากแต่ว่าเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น ต้นไม้ ดอกไม้ แล้วพิจารณาว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทำแบบนี้จะใช้ได้หรือไม่ ? ต้องขอตอบว่าใช้ได้มากกว่าที่คิด

เนื่องจากวิปัสสนาญาณนั้น เราจะต้องกระทำจนกระทั่งเป็นธรรมชาติ คือ ไม่ว่าจะเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุธาตุสิ่งของใด ๆ ก็ตาม แม้กระทั่งบ้านเรือนตึกรามต่าง ๆ ก็ต้องเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ปกติธรรมดาของสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น คนอื่นเป็นอย่างนั้น สัตว์อื่นเป็นอย่างนั้น วัตถุธาตุเป็นอย่างนั้น แม้แต่ตัวเราก็มีอาการเช่นนั้น ถ้าสามารถพิจารณานี้ได้ สามารถเห็นอย่างนี้ได้ ก็แปลว่าท่านทั้งหลายมีวิปัสสนาญาณที่ทรงอยู่ในใจแล้ว

เราก็แค่ต่อท้ายไปว่า ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมีสภาพเช่นนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาเพื่อมีสภาพเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเช่นนี้ เราไม่มีความต้องการอีก เราต้องการแห่งเดียวคือพระนิพพาน เมื่อพิจารณาเช่นนี้แล้ว ให้กลับไปเอาใจจดจ่ออยู่ที่พระนิพพาน ภาวนาของเราไปจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าเต็มที่ ไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้อีก ก็หันมาพิจารณาสิ่งต่าง ๆ รอบด้านเช่นนี้อีก

การเห็นทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป จัดเป็นอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ ถ้าเห็นเฉพาะความดับอย่างเดียว ว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นเป็นเช่นนี้ วัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนี้เรียกว่า ภังคานุปัสสนาญาณ

หรือพิจารณาเห็นว่าร่างกายของเรานี้ มีแต่โทษมีแต่ภัย ก็คือ มีความหิวความกระหายเป็นปกติ จะกินจะดื่มอย่างไร ร่างกายนี้ก็ยังคงทวงอยู่ตลอดเวลา มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ ต้องคอยประคับประคองรักษาพยาบาลเพื่อให้ดำรงขันธ์อยู่ได้ มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ต้องคอยอาบน้ำชำระร่างกายอยู่เสมอ ถ้าหากเห็นดังนี้เรียกว่า ภยตูปัฎฐานญาณ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-06-2015 เมื่อ 17:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 54 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 15-06-2015, 09:20
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,395
ได้ให้อนุโมทนา: 157,983
ได้รับอนุโมทนา 4,479,624 ครั้ง ใน 36,004 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ฉะนั้น..ในวิปัสสนาญาณทั้งหลายเหล่านี้ เราต้องเห็นให้ได้เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เมื่อสภาพจิตของเรายอมรับ ก็ให้พิจารณาต่อไปว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดมาเพื่อมีสภาพเช่นนี้ จะไม่มีอีกสำหรับเรา ถ้าหากว่าตายลงไป เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

หลังจากนั้นก็ไปพินิจพิจารณาเกี่ยวกับเรื่องของศีล ว่าเรามีศีลทุกข์สิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? เราล่วงศีลด้วยตนเองหรือไม่ ? ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นล่วงศีลหรือไม่ ? เห็นผู้อื่นล่วงศีลแล้วเรามีความยินดีหรือไม่ ? ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แม้ต่อหน้าหรือลับหลัง ตั้งเป้าเอาไว้ให้แน่วแน่ว่า ถ้าตายลงไปเมื่อไร เราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว เอาจิตจดจ่ออยู่ในสถานที่สุดท้ายคือพระนิพพาน

ถ้ารู้สึกว่ากระทำได้ไม่ชัดเจน ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่ง ที่เรารักเราชอบมากที่สุด ว่านั่นคือพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อยู่บนพระนิพพาน เรากำหนดนึกถึงท่านได้ เราเห็นท่านได้ คือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับพระองค์ท่านคือเราอยู่กับพระนิพพาน แล้วภาวนาเอาใจเกาะเอาไว้เช่นนั้น ขอให้ทุกคนตั้งกำลังใจไว้ในลักษณะนี้ จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-06-2015 เมื่อ 15:00
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:49



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว