กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะ เรื่องราวในอดีต และสรรพวิชา > กระทู้ธรรม > ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-08-2010, 16:35
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 188,897 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default สังขารุเบกขาญาณตัวจริงนั้นเป็นอย่างไร

สังขารุเบกขาญาณตัวจริงนั้นเป็นอย่างไร


เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๕ ส.ค. ๒๕๓๖ สมเด็จองค์ปฐม ได้ทรงพระเมตตาตรัสสอนไว้ดังนี้

๑. “ร่างกายไม่ดี ฝืนไม่ได้ก็จงอย่าฝืน การกำหนดรู้เวทนาเป็นของดี การวางเฉยไม่บ่นในเวทนานั้นก็เป็นของดี แต่จักให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ก็จงดูอารมณ์ว่า มีความวิตกกังวลกับร่างกายมากน้อยเพียงใด ดูผิวเผินเสมือนหนึ่งไม่มีจิตเกาะเวทนานั้น ๆ แต่ควรจักมองให้ลึก ๆ เข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่โปร่งของจิต ก็จักเห็นอาการของจิตที่ยังเกาะเวทนานั้นอยู่ไม่มากก็น้อย คือ ลักษณะของอารมณ์จิตยังอึดอัดมีการเหมือนอดทนต่อเวทนานั้น จิตยังมีอาการหนักอึดอัดก็คือ จิตไม่วางอาการเวทนาของร่างกาย”

๒. “หากเป็นสังขารุเบกขาญาณตัวจริง เวทนาจักสูงสักเพียงใด อารมณ์ของจิตจักไม่หนักใจในอาการนั้น จิตโปร่งไม่ยึดเกาะอาการเวทนาใด ๆ ทั้งสิ้น เหมือนดั่งในวาระที่ท่านฤๅษีจักละขันธ์ ๕ มาครั้งนั้น เจ้าก็รู้สึกถึงอารมณ์จิตของท่านฤๅษีได้ว่าโปร่งเบา มิได้ขัดเคืองกับทุกขเวทนาของขันธ์ ๕ เลย นั่นแหละเป็นของจริงแห่งอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ คือ จิตยอมรับและปล่อยวางร่างกายไปตามสภาพของความเป็นจริง ยอมรับกฎของกรรม หรือธรรมดาของร่างกาย อย่างจริงใจ

๓. “แต่ก็ยังเป็นการดีที่เจ้าลดอารมณ์จิตบ่นไปได้บ้างแล้ว หมั่นคุมตัวนี้ให้ดี ๆ และหมั่นลดความหนักของจิตให้น้อยลงไปด้วย”

๔. “อาการหนักของจิต จักต้องดูและรู้ด้วยตาปัญญา คือ อย่าให้กิเลสมันมาบังความจริงว่า จิตหามีความหนักไม่ทั้ง ๆ ที่ยังมีอารมณ์หนักอยู่ เหมือนคนเดินตัวเปล่าก็โปร่งเบา ซึ่งต่างกับคนเดินแบกสัมภาระย่อมหนัก ฉันใดก็ฉันนั้น หากจิตไม่เกาะเวทนาจริง ๆ ก็จักมีสภาพตามนี้ สอบจิตดูอารมณ์เอาไว้ให้ดี ๆ

๕. “การจักปลดความหนักของจิตลงได้ ต้องอาศัยพิจารณากฎไตรลักษณญาณ เห็นเกิด เสื่อม ดับของขันธ์ ๕ ซึ่งยึดถือมาเป็นแก่นสารสาระไม่ได้ และยึดสมถะภาวนา ๓ กองมาเป็นกำลัง คือ มรณานุสติและอสุภะ และกายคตานุสติ ทำลายความยึดมั่นถือมั่นลงไปในความเกาะติดว่าขันธ์ ๕ นี้เป็นของเรา เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา และควบอุปสมานุสติเอาไว้ ขออยู่กับสภาพไม่เที่ยงของขันธ์ ๕ อันมีความเที่ยงของมันอยู่อย่างนั้นเป็นครั้งสุดท้าย ขันธ์ ๕ นี้ตายลงเมื่อไหร่ ตั้งใจไปพระนิพพานเมื่อนั้น”

๖. “กรรมฐานเหล่านี้ พวกเจ้าต้องทำควบคู่กันไปตลอดเวลา จักทำให้บารมี คือ กำลังใจตัดกิเลสทรงตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป รักษากำลังใจจุดนี้ไว้ให้ดี ๆ จงจำปฏิปทาของท่านฤๅษีเอาไว้ ท่านทำเพื่อความไม่ประมาทโดยตรง รักษากำลังใจให้ดี คือ ไม่คิดให้จิตต้องเศร้าหมอง ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ท่านทำมาโดยตลอด จนกระทั่งจิตทรงตัวอยู่ในความดี มีจิตผ่องใสหมดจดจากความประมาทได้ในที่สุด”


ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-08-2010 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 40 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:42



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว