เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดี ๑๘ กันยายน ๒๕๖๘

[ตัวเล็ก]

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดี ๑๘ กันยายน ๒๕๖๘

[เถรี]

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ อีก ๙ วันโดยประมาณก็จะถึงงานใหญ่ของวัดท่าขนุน ก็คืองานบวงสรวงไหว้ครู และเป่ายันต์เกราะเพชร ท่านใดที่ตั้งใจจะรับยันต์เกราะเพชร เพื่อความแน่นอนก็ให้ทรงอารมณ์ภาวนา อิติปิ โสฯ ๓ ห้องเอาไว้แต่เนิ่น ๆ พูดง่าย ๆ ว่าเตรียมพร้อมในการรับยันต์

เนื่องเพราะว่ายันต์เกราะเพชรนั้นมีอานุภาพพิเศษอยู่อย่างหนึ่งก็คือ ผู้ที่รับไปจะไม่ตายโหง ก็แปลว่าแทบจะประกันชีวิตให้ไปในตัวเลย ความจริงอยากให้พี่น้องทหารตำรวจที่อยู่ชายแดนมาเข้าพิธีให้หมด หรือไม่ก็ถ้ารู้เวลาแล้วตั้งใจรับที่ชายแดนก็ได้ กระผม/อาตมภาพจะตั้งใจขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ให้เป็นพิเศษ

ในเรื่องพวกนี้ ถ้าอยากรู้ต้องถามพี่ณพ (พันตำรวจเอกอรรณพ กอวัฒนา) ตอนช่วงที่ท่านยังเป็นร้อยตำรวจตรี ร้อยตำรวจโท ท่านสังกัดตำรวจตระเวนชายแดน มาตอนหลังถึงได้ย้ายเข้าส่วนกลาง ตำแหน่งสุดท้ายน่าจะเป็นผู้บังคับการกองตรวจคนเข้าเมือง

ทหารตำรวจของเราที่ออกรบ ถ้าหากว่าบาดเจ็บ ทางราชการจะมีรางวัลให้ ในส่วนที่เป็นเงินเดือนเรียกว่า พ.ส.ร. ก็คือ เงินเพิ่มพิเศษจากการสู้รบ อีกส่วนหนึ่งก็จะเป็นพวกเหรียญกล้าหาญ ก็คือ เหรียญผ่านศึก เหรียญชายแดน เหรียญชัยสมรภูมิ เหล่านั้นเป็นต้น ซึ่งถ้าได้ผ่านศึกชั้น ๑ ก็จะครอบคลุมสวัสดิการรักษาพยาบาลทั้งของตนเอง พ่อ แม่ ลูก เมีย

คราวนี้ "พี่ณพ" ไม่ได้ต้องการถึงขนาดชั้น ๑ แต่ต้องการ พ.ส.ร. ดังนั้น..ถึงเวลาแล้ว "พี่ณพ" ก็ต้องขอบารมีพระช่วยเปิดให้เจ็บตัวหน่อย..! ไม่อย่างนั้นแล้วทำอย่างไรก็ยิงไม่ถูก เรื่องนี้กระผม/อาตมภาพยืนยัน เพราะว่าตนเองก็เหมือนกัน โดยเฉพาะหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านสั่งเอาไว้ว่า"เสียงปืนด้านไหนหนาแน่นที่สุด ให้ฝ่าออกไปด้านนั้น..!" พูดง่าย ๆ ก็คือ กำลังใจของเราห้ามกลัวเด็ดขาด..!

กระผม/อาตมภาพอยู่ชายแดนทั้งหมดปีกว่า ปะทะใหญ่ ๆ เล็ก ๆ ๒๖ ครั้ง ไม่เคยโดนอะไรกับใครเลย คุยอะไรกับใครก็ไม่ได้..! ส่วนที่ได้มาก็เลยกลายเป็นผ่านศึกชั้น ๓ ซึ่งใช้อะไรได้น้อยมาก อย่างเช่นว่าขึ้นรถเมล์แล้วเขาลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งทหารถ้าหากว่าแต่งเครื่องแบบขึ้นรถ เขาลดให้ ๑ ใน ๓ มากกว่าเสียอีก..! เป็นพระเขาก็ลดให้ครึ่งราคา ท้ายสุดกระผม/อาตมภาพก็เลยโยนเอกสารพวกนั้นไปไว้ไหนก็ไม่รู้ ? เพราะว่าไม่มีโอกาสได้ใช้ ?

ในเมื่อเป็นเช่นนั้น "พี่ณพ" ก็เลยต้องขอว่า "ขอให้โดนอาวุธของเขาบ้าง" ไม่อย่างนั้นออกรบแล้วคุยกับใครไม่ได้ กระผม/อาตมภาพยังไม่บ้าขนาดนั้น..! ท้ายที่สุดทุกวันนี้ "พี่ณพ" ก็เดินไม่ถนัด ขาเป๋ไปข้างหนึ่ง เพื่อนฝูงที่สนิทสนมกับบางทีก็เรียก "ไอ้เป๋" หน้าตาเฉย..!

[เถรี]

ในส่วนนี้จะว่าไปแล้ว อยากให้พี่น้องทหารตำรวจ ถ้ามีโอกาสก็เข้าพิธีด้วย เวลา ๑๐ โมงตรงกับบ่ายโมงตรง ของวันเสาร์ที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘ นี้ ถ้าตั้งใจรับยันต์เกราะเพชร ให้เตรียมธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม ธูปจะขนาดเท่าไรก็ได้ แต่เทียนน้ำหนักต้องได้ ๑ บาท คือ เกินได้..ไม่เป็นไร แต่ห้ามขาด..!

ตั้งใจภาวนา นึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ อธิษฐานว่า "บารมีใดที่ท่านเมตตาสงเคราะห์ลงมา เราขอรับด้วยทั้งหมด" ถ้าใครทำแบบนี้ได้แล้วมีอาการแปลก ๆ เกิดขึ้น อย่างเช่นว่า ร้อนหู ร้อนหน้า หนักหัว หนักไหล่ บางคนก็ร่างกายโยกโคลงบ้าง ขนลุกเป็นระยะบ้าง ให้รู้ว่าตอนนั้นยันต์เกราะเพชรกำลังเข้าตัวแล้ว

แต่เป็นที่น่าเสียดายว่ายันต์เกราะเพชรจะอยู่คุ้มครอง ก็ต่อเมื่อเรารักษาศีลได้อย่างน้อย ๒ ข้อ ก็คือ ไม่กินเหล้าเมายา กับ ไม่ลักขโมยคนอื่น ซึ่งทหารตำรวจที่อยู่ชายแดนนั้น ไม่ได้มีความบันเทิงอะไรให้เลย ก็อดไม่ได้ที่จะต้องกินเหล้ากันเป็นอาชีพ..! จนกระทั่งเขามี "ม็อตโต้" ว่า "เป็นเมียทหารนับขวด" ก็ขวดเหล้านั่นแหละ หลายท่านก็จะเห็นว่าบรรดาเมีย ตชด.ของทองผาภูมิเรา ก็คือกองร้อยที่ ๑๓๕ ทำกับข้าวถวายพระ จะออกแนวกับแกล้มมากกว่าทุกที..!

ที่ปรารภตรงนี้ก็เพราะว่าเป็นห่วงสถานการณ์ ที่พวกเขมรหน้าด้านพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ เพื่อผลประโยชน์ทั้งของตนเอง และเพื่อนฝูงของตนที่อยู่ในประเทศไทย..! ในเมื่อเป็นเช่นนั้น บรรดาท่านทั้งหลายที่อยู่แนวหน้า จึงเป็นอะไรที่น่าสงสารที่สุด ตัวเองพร้อมที่จะสละชีพเพื่อรักษาประเทศชาติของเรา แต่บรรดาเจ้าใหญ่นายโตที่อยู่บน "หอคอยงาช้าง" มักจะพร้อม "สละชาติเพื่อชีพ" ตัวเองอยู่เสมอ อะไรที่ทำให้กูรวยได้กูเอาหมด เป็นเรื่องที่พูดไปแล้วเดี๋ยวของขึ้น..!

เพียงแต่ว่าเราท่านทั้งหลายถ้ามีอะไรพอที่จะสนับสนุนได้ก็สนับสนุนไป จากเมื่อวานนี้ที่มีการสลายม็อบเขมร ซึ่งเหิมเกริมมาก ถ้าเป็นสมัยที่กระผม/อาตมภาพอยู่ ก็โดนไปนานแล้ว..! แต่ต้องขอชมเชยผู้บังคับบัญชาในพื้นที่ ซึ่งรอจนเขาเหิมเกริมถึงที่สุด เพื่อจะได้มีหลักฐานอย่างชัดเจนว่าใครเป็นฝ่ายผิด แล้วถึงได้ทำการสลายม็อบ ทำให้กระผม/อาตมภาพไปนึกถึงคำว่า "ท.ทหาร อดทน" ความอดทนในที่นี้ไม่ได้อดทนต่อความเหนื่อยยากตามความหมาย แต่เป็นการอดทนอดกลั้นตามหลักขันติธรรมในพระพุทธศาสนา ก็ถือว่าถ้าท่านทั้งหลายสร้างขันติบารมี คงจะได้บุญได้กุศลไปอย่างเต็มที่ เพราะว่ามีของจริงทดสอบอยู่ทุกวัน..!

เรื่องพวกนี้จะว่าไปแล้ว เราจะเห็นว่าไม่ว่าจะฝั่งเขมร หรือว่าฝั่งพม่า ก็หาความสงบสุขไม่ได้ แล้วประเทศไทยเราก็อยู่ในภูมิประเทศที่เป็นทำเลทอง คือเป็นศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้า "โครงการแลนด์บริดจ์" สามารถทำสำเร็จได้ บ้านเราจะเจริญรุ่งเรืองกว่านี้อีกจนนับไม่ได้..!

[เถรี]

ถ้าท่านทั้งหลายเกิดทัน จะเห็นว่าสมัยก่อน นักการเมืองคนไหนอยากได้เงินจากสิงคโปร์ ให้พูดว่า "จะทำโครงการขุดคอคอดกระ" ไม่กี่วันลีกวนยูจะรีบเดินทางมา เพื่อสานสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศไทยทันที..!

ความจริงก็คือมาคุยกับแบบลับ ๆ ประมาณว่า "เฮียจะเอาเท่าไร ถ้าหากว่าไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ ?" เพราะว่าถ้าเรือต้องวิ่งอ้อมช่องแคบมะละกา ซึ่งจะก่อประโยชน์ให้สิงคโปร์อย่างมหาศาล แต่ว่าตัดผ่านช่วงคอคอดกระของไทยเราไปเลย นอกจากจะประหยัดเวลาไปครึ่งค่อนเดือนแล้ว ยังไม่ต้องไปเสี่ยงอันตรายในทะเล ซึ่งเป็นระยะทางที่ค่อนข้างจะไกลกว่ามาก แต่ก็ต้องรอดูว่าบ้านเราเมืองเรา จะมีนักการเมืองที่เห็นประโยชน์ของชาติมากกว่าตัวเองหรือเปล่า ?!

รุ่นของพวกกระผม/อาตมภาพรอ "สนามบินหนองงูเห่า" ซึ่งปัจจุบันคือ "ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ" ตั้งแต่เริ่มโครงการ ๕ พันล้านบาท แล้วก็มาได้ทำในช่วงที่ขึ้นราคาไปหลายแสนล้านบาท ก็เพราะว่าจะทำเมื่อไร นอกจากพวกเราจะเตะตัดขากันเองแล้ว ทางด้านสิงคโปร์ยังคอยขัดคอมาโดยตลอด แล้วทุกท่านก็เห็นว่า ปัจจุบันนี้ท่าอากาศยานทั้งหมดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สายการบินลงท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิมากที่สุด..!

ต้องบอกว่าประเทศไทยหาคนเก่งได้ยาก เพราะว่าคนเก่งจริงย่อมเล็งเห็นว่า การเมืองไทยสกปรกโสโครกขนาดไหน ?! ก็เลยไม่ไปยุ่งด้วย แต่ประเทศของเราได้รับการวางพื้นฐานมาอย่างยาวนาน โดยในหลวงรัชกาลที่ ๙ แล้วในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ยังสืบสาน รักษา และต่อยอดมาด้วย ทำให้ไม่เก่ง แต่เฮงอยู่เสมอ..!

แม้กระทั่งไม่กี่วันก่อน การจลาจลที่ประเทศเนปาล การบินไทยก็ได้รับคำสั่งให้เร่งอพยพคนไทยออกจากเนปาล แล้วก็มาเปิดเผยกันทีหลังว่าเป็นพระกระแสรับสั่งของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ เอง สรุปว่าบ้านเราเมืองเรา ถ้าไม่มีนักการเมืองจะเจริญกว่านี้หลายเท่า..! พูดแบบนี้ไม่รู้ว่าจะ "โดนปูนหมายหัว" หรือเปล่า ?

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๑๘ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)