กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 24-04-2025, 20:04
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 35 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 24-04-2025, 23:39
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,260 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ข่าวที่สะเทือนใจในวงการสงฆ์ก็คือ เรื่องที่ผู้ก่อการร้ายยิงสามเณรภาคฤดูร้อน ที่อำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดสงขลา จนเสียมรณภาพ ๑ รูป บาดเจ็บอีก ๑ รูป แล้วอีกฝ่ายหนึ่งก็ยังออกมาให้ข่าวอีกด้วย ก็คืออยู่ในลักษณะที่ว่า ถ้าหากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยยื่นคำขาดภายใน ๗ วันว่า จะต้องจับตัวผู้ก่อการร้ายให้ได้ ก็จะทำให้เรื่องลุกลามหนักขึ้น โดยที่บอกว่าที่ตัวเองลงมือก็เพราะว่าเกลียดข้าราชการสีเทาที่รังแกชาวบ้าน

หวังว่าพวกท่านคงจะไม่โง่หลงประเด็นตามไป "มึงเกลียดข้าราชการ แล้วเกี่ยวอะไรกับพระเณรด้วย ?" แต่ว่าเรื่องพวกนี้ปล่อยทางราชการเขาเวียนหัวกันไปเถอะ พวกเรามาฟังเรื่อง "เล่าความหลัง" กันต่อ

เมื่อวานนี้กล่าวถึงเรื่องหนึ่งก็คือการหุงข้าว ซึ่งสมัยก่อนนั้นมีทั้ง "หุงข้าวเช็ดน้ำ" และ "หุงข้าวไม่เช็ดน้ำ" ส่วนใหญ่ที่หุงข้าวเช็ดน้ำนั้น ก็เพราะว่าจะเอาน้ำข้าวไว้เลี้ยงหมูเลี้ยงหมา ส่วนการหุงข้าวไม่เช็ดน้ำ ต้องอาศัยความชำนาญในการกะเกณฑ์ว่า จะต้องใช้น้ำเท่าไร ? ข้าวถึงจะสุกและนุ่มพอดี

ตอนหลังก็มีการนึ่งข้าว ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้กับข้าวเหนียวเพื่อทำขนม ก็จะใช้หม้อดินที่ใช้สำหรับต้มน้ำ แล้วก็วางหม้อดินที่ก้นมีรูพรุน ซึ่งบางคนเรียกว่า "ลังถึง" เอาไว้ด้านบน แล้วใช้ผ้าขาวบาง สมัยนี้มีหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? ห่อข้าวเหนียวซึ่งแช่น้ำเอาไว้จน "ได้ที่" แล้ววางลงไป แล้วก็ปิดฝา ก่อไฟ เมื่อน้ำเดือดก็จะส่งไอความร้อนขึ้นไปชั้นบน ทำให้ข้าวสุก

จนกระทั่งเด็ก ๆ เอามา "ทายอะไรเอ่ย ?" กัน ซึ่งสมัยนั้นเป็นการลองปัญญา อย่างเช่น "อะไรเอ่ย ต้นเท่าครก ใบปรกดิน ?" "อะไรเอ่ย ต้นเท่าขา ใบวาเดียว ?" แต่อันนี้เป็นของยาก เขาถามว่า "อะไรเอ่ย เอาดินตั้งดิน เอาดินซ้อนดิน เอาดินปิดดิน ?" เพราะว่าสมัยก่อนเตาก็ทำด้วยดิน เตารุ่นเก่า ๆ จะมีแผ่นดินที่ทำแผ่ยื่นออกมาด้านหน้า ซึ่งเขาเรียกกันว่า "เชิงกราน" เวลาที่หุงข้าวบนบ้าน ฟืนไฟจะได้ไม่กระเด็นออกมา หรือลามไปไหม้บ้าน ตรงส่วนที่ทำแผ่กว้างออกมาทางด้านล่างของเตา เพื่อช่วยป้องกันไฟไหม้ เขาเรียกว่า "เชิงกราน"

ในเมื่อทำด้วยดิน พอถึงเวลาเอาหม้อดินต้มน้ำตั้งขึ้นไป ก็เท่ากับว่าเอาดินตั้งบนดินแล้ว หลังจากนั้นก็เอาหม้อดินที่เป็น "ลังถึง" ก็คือที่ก้นเป็นรู วางซ้อนลงไป ก็เป็นเอาดินซ้อนดิน เมื่อใส่ข้าวลงไปเรียบร้อยแล้วปิดฝา ก็คือเอาดินปิดดิน เพราะว่าฝาหม้อก็เป็นดินเช่นกัน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2025 เมื่อ 02:47
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 24-04-2025, 23:42
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,260 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

การหุงข้าวเช็ดน้ำ พอมาภายหลังเปลี่ยนจากหม้อดินมาเป็นหม้ออะลูมิเนียม ซึ่งถ้าหากว่าอย่างที่บ้านกระผม/อาตมภาพ แม่มีลูกมาก โยมแม่ก็จะหุงข้าวด้วย "หม้อเบอร์ ๓๕" ใหญ่แค่ไหนถ้าไม่รู้จักก็เดาเอาเองแล้วกัน..! ถึงเวลาจะรินน้ำข้าวออก ตอนแรกก็ยังพอได้ แต่ถ้าหากว่ารินมากไป ข้าวจะหลุดไปด้วย ก็ต้องเหลาไม้มาทำไม้ขัดหม้อ คราวนี้ไม้ขัดหม้อเบอร์ ๓๕ ยาวประมาณศอกหนึ่ง พอถึงเวลาดื้อก็โดนไม้ขัดหม้อฟาด กระเจิดกระเจิงกันทั้งบ้าน..! ใครมีประสบการณ์โดนไม้ขัดหม้อฟาดก้นมาบ้าง ?

ภาชนะต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นดินปั้น ท่านทั้งหลายจะต้องจำให้ได้ว่า ที่กระผม/อาตมภาพเล่าก็คือตอนสมัยเด็ก แล้วที่บ้านอยู่ในส่วนที่เขาเรียกว่า "ไกลปืนเที่ยง" ก็คือในสมัยตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ พอถึงเวลาเที่ยงตรง ก็คือไม้ที่ปักไว้กลางแจ้งไม่มีเงา เขาจะให้ยิงปืนใหญ่เป็นสัญญาณให้คนรู้ว่าเป็นเวลาเที่ยงแล้ว ก็เลยเรียกว่า "ปืนเที่ยง" คราวนี้ถ้าหากว่าใครอยู่ไกลจนไม่ได้ยินเสียงปืนใหญ่ ก็เป็นพวกบ้านนอกหลังเขา อะไรประมาณนั้น เขาเรียกว่า "ไกลปืนเที่ยง" ดูห่างความเจริญ ดูท่าวันนี้ไม่ต้องไปไหนแล้ว..เรื่องเดียวจบ..หมดเวลา..!

ภาชนะที่ใช้กันเป็นประจำและเป็นดิน ก็มีอีกอย่างหนึ่งคือโอ่ง จะมีโอ่งน้ำที่ปั้นด้วยดินเหนียวอย่างเดียว แล้วก็เคลือบสีแดง ๆ หรือว่าเผาจนแดงก็ไม่มั่นใจ แต่เขาเรียกว่า "โอ่งแดง" ใส่น้ำฝนแล้วเย็นดีมาก แล้วก็จะมี "โอ่งเคลือบ" ซึ่งมักจะวาดเป็นรูปลายมังกรดั้นเมฆ จนเขาเรียกกันว่า "โอ่งมังกร" มีชื่อเสียงที่สุดก็ "โอ่งมังกรราชบุรี"

สิ่งของต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ทำกันเอง ยกเว้นพวกถ้วยชาม ซึ่งจะมีของที่โรงงานทำขาย ถ้าไม่วาดเป็นรูปดอกไม้ ก็วาดเป็นรูปไก่ จนกระทั่งเขาเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ชามตราไก่" ขนาดเล็กจะเป็นชามใส่ข้าวใส่แกงธรรมดา ขนาดใหญ่หน่อยเขาเรียกว่า "ชามโคม" ก็คือใบใหญ่ขนาดโคมจีน (เต็งลั้ง)

โคมไฟจีนจะสานด้วยไม้ไผ่ซี่เล็ก ๆ โค้งเป็นทรงรี หัวท้ายเท่ากัน ปิดกระดาษบาง ๆ กันลมพัดไฟดับ ถ้าหากว่าตัดครึ่งก็ลักษณะเหมือนกับชาม เขาก็เลยเรียกว่า "ชามโคม" เพราะหน้าตาคล้าย ๆ กับโคมจีนตัดครึ่ง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2025 เมื่อ 02:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 24-04-2025, 23:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,260 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

แม้กระทั่ง "ครกตำน้ำพริก" ก็ยังทำด้วยดินเผา แต่คนตำต้องมือเบา ไม่อย่างนั้นแล้วครกจะทะลุ..! แล้วเรื่องครกทะลุนี่โบราณถือว่าเป็นอาถรรพ์มาก พวกหมอผีหมอไสยศาสตร์ชอบใช้บาตรแตก เอามาลงยันต์ลงคาถาเกี่ยวกับพวกแตกแยก ถ้าเอาบาตรแตก ไปฝังไว้บ้านไหน บ้านนั้นก็ทะเลาะกันทั้งบ้าน ผัวเมียก็แตกกัน..!

แต่ครกทะลุไม่ใช่ ครกทะลุนี่เป็นเคล็ดลับมหาเสน่ห์ แต่เป็นในด้านที่ไม่ดี เนื่องเพราะว่าเขาจะไปทำไสยศาสตร์ แล้วโยนลงไปในบ่อน้ำของหมู่บ้าน เขาว่าอำนาจของมันจะทำให้ผู้หญิงหมู่บ้านนั้นตะกายหาผัวตั้งแต่ "นมยังไม่ทันจะตั้งเต้า" อันนี้ก็เป็นศัพท์โบราณเหมือนกัน ถ้าเป็นประมาณสมัยนี้ก็น่าจะไม่เกินเด็ก ป.๕ - ป. ๖ อันตรายมาก..!!

ดังนั้น..ถ้าหากว่าบ้านไหนตำน้ำพริกแล้วครกทะลุ เขาจะรีบทุบละเอียด..ทิ้งไปเลย..! จะไม่ให้เหลือเอาไว้ เริ่มเลี้ยวไปออกเรื่องลี้ลับแล้ว มาภายหลังถึงได้มี "ครกหิน" ซึ่งสกัดขึ้นมาจากหินแกรนิต แต่สมัยก่อนเรียกว่า "หินอัคนี" แล้วก็ยังมี "ครกไม้" ส่วนใหญ่จะใช้ไม้ตาลกลึงขึ้นมา

ในเมื่อครกมีอาถรรพ์แล้วสากมีไหม ? มี..ถ้าหากว่าบ้านไหนแม่ม่ายผัวร้าง แม่ม่ายผัวตาย ก็จะไปขโมยสากเอาไปให้อาจารย์เขาลงคาถา ช่วยให้ค้าขายดีมาก ซึ่งสมัยหลังปรับเป็นปลัดขิก ก็คงลักษณะเดียวกัน เพราะว่ารูปร่างใกล้เคียงกัน คือส่วนใหญ่เขาเชื่อกันว่าแม่ม่ายเสน่ห์แรง ความจริงไม่ใช่ คือแม่ม่ายส่วนใหญ่ผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว กล้าพูดเรื่องเพศอย่างเปิดเผย ก็เลยทำให้ผู้ชายเข้าใจง่ายว่าเขามีใจกับตัวเองหรือเปล่า ? คนก็เลยไปมองว่าแม่ม่ายเสน่ห์แรง

เขาจึงเชื่อว่า "สากกะเบือแม่ม่าย" ก็ต้องเรียกลูกค้าได้ดี เพราะว่าตัวแม่ม่ายอยู่บ้านไหน หนุ่ม ๆ มักจะขึ้นบ้านจนบันไดลื่น สมัยนั้นเขาเรียกว่า "หัวกระไดไม่แห้ง" เพราะว่าเขาจะมีอ่างล้างเท้าอยู่ ของพวกเรายังดี..ยังได้เห็น เพราะว่าอ่างล้างเท้าตรงหน้าหอฉันยังมีอยู่ ล้างเท้าเสร็จเดินขึ้นบันไดก็เปียกติดบันไดบ้าง คนไปมามากจนกระทั่งทั้งวันหัวกระไดไม่แห้ง คิดดูว่าคนมากเท่าไร ? จะไปได้ไกลกว่านี้ไหม ? เวลาจะหมดแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2025 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 24-04-2025, 23:54
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,260 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เรื่องของโอ่งนั้นยังมีระดับอีก ก็คือจะมี "โอ่งเคลือบ" เป็นการเคลือบสีเดียวบ้าง มีการวาดลวยลายลงไปบ้าง ถ้าเคลือบสีเดียวที่เขานิยม ก็จะอยู่ในลักษณะว่าปั้นโอ่งเสร็จแล้ว เอาน้ำโคลนทาให้ทั่ว ถึงเวลาแล้วเผาจะเป็น "โอ่งเคลือบ" ถ้าไม่ทาน้ำโคลน จะเป็นโอ่งดินเผาธรรมดา ไม่ใช่โอ่งเคลือบ ใครเคยทันจะรู้ว่าเป็นได้เพราะอะไร ?

คราวนี้โอ่งเคลือบที่เขานิยมมากที่สุดก็คือ "สีเขียวไข่กา" ไม่รู้จักอีก ?
ไข่อีกาหน้าตาเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็น ขอให้มีความสุขความเจริญ..! ตูจะทำอย่างไรดีวะ ?! ต่อไปคงจะต้องบรรยายโดยฉายโปรเจ็คเตอร์ขึ้นจอให้ด้วย..ใช่ไหม ? จะได้รู้ว่าแต่ละอย่างที่พูดถึงมีหน้าตาเป็นอย่างไร

มากล่าวถึงว่าสมัยนั้นไฟฟ้ายังไม่มี ไม่ต้องไปพูดถึงเตาถ่าน เตาแก๊ส ชาวบ้านทั่ว ๆ ไปส่วนใหญ่ก็ใช้ฟืนใช้แกลบเป็นเชื้อเพลิง ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ส่วนใหญ่ก็ทำเองสร้างเองในบ้าน แต่ว่าจะมีบรรดาคนจีนที่เดินทางเข้ามาเมืองไทย ถ้าเป็นรุ่นโยมพ่อ เขาเรียกว่า "พวกต่างด้าว" อพยพเข้ามาจากต่างประเทศเลย พวกนี้ต้องมา "ขึ้นทะเบียนคนต่างด้าว" ทำงานเสียภาษีให้ประเทศไทย ๑๐ ปีแล้วจะได้สัญชาติไทย แต่จะต่อท้ายว่าเชื้อชาติจีน..!

คนจีนมาใหม่ ๆ จะมี "อาชีพรับจ้างย้อมผ้า" บ้าง ผ้าสมัยก่อนเขาย้อมสองอย่าง ถ้า "ย้อมมะเกลือ" จะเป็นผ้าดำ ถ้า "ย้อมคราม" จะเป็นผ้าสีน้ำเงิน หรือที่ทางเหนือเขาเรียก "หม้อห้อม" รับจ้างย้อมผ้า ผ้าใครเก่าเอาไปจ้างให้เขาย้อมใหม่ เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าให้พระของเราที่ไปหาผ้าเก่ามา ซักสะอาด เย็บเป็นสบงจีวรแล้ว ก็ทำการย้อมด้วยสีกรัก หรือว่าย้อมขมิ้น สมัยก่อนพระก็ใช้วิธีง่าย ก็คือย้อมขมิ้น พอถึงเวลาสีขมิ้นตกใส่ตัวก็เหลืองอร่ามไปด้วย จนเขาชมว่า "ผิวเหลืองเหมือนทอง" แต่ความจริงแล้วเหลืองขมิ้น ไอ้ตัวเองผิวลงรัก..ยังไม่ทันจะปิดทอง..ดำปี๋เลย..!

"อาชีพรับจ้างลับมีด ลับกรรไกร" สมัยนี้ยังมีหรือเปล่าไม่รู้ ? เขาบอกว่า "ถ้าผู้ชายคนไหนลับมีดคม แสดงว่ากลัวเมีย" พูดง่าย ๆ ว่าลับมีดไม่คมเมียจะด่า ก็ต้องหัดลับมีดจนกระทั่งคม อาชีพลับมีด ลับกรรไกร "อาชีพขายหวานเย็น" สะพายกระติก ถ้าคนขยันหน่อยก็สองใบเลย ไอ้หวานเย็นสมัยนี้เขาเรียก "ไอศกรีม" ถึงเวลาก็สีเขียวบ้าง สีแดงบ้าง สีส้มบ้าง ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นสีกินได้หรือกินไม่ได้ แต่ว่าสีแดงส่วนใหญ่จะเป็นสีของ "น้ำยาอุทัยทิพย์" ซึ่งกลิ่นจะหอมชื่นใจมาก น้ำกระติกใหญ่ ๆ หยดน้ำยาอุทัยทิพย์ลงไปหยดเดียว จะเป็นสีชมพู ซึ่งเด็กสมัยหลังนี้ได้ยินว่าเขาเอามาทาแก้มกัน เมื่อไม่นานนี้ก็ยังฮิตกันอยู่ เคยเห็นกันสักอย่างหรือเปล่าวะ ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2025 เมื่อ 14:53
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 24-04-2025, 23:58
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,260 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

มี "อาชีพรับซ่อมเตา ซ่อมโอ่ง" ซ่อมอะไรที่รั่ว แล้วก็จะมีคนแขกซึ่งมี "อาชีพขายถั่ว" กับ "อาชีพขายผ้า" ซึ่งถ้าหากว่าเจอคนจีน เราก็เรียกว่า "เจ๊ก" ความจริงมาจากคำว่า "เจ็ก" ที่เป็นภาษาแต้จิ๋ว แปลว่า อา (น้องพ่อ) พอเจอแขก เราก็เรียก "บัง" กันหมด ทั้ง ๆ ที่ "บัง" นั้นแปลว่า "พี่" บางคนน่าจะรุ่นปู่แล้ว เครายาวเกือบถึงพุง แต่คนก็เรียก "อาบัง" กันหมด ถือว่าเป็นการนับญาติกันไปโดยปริยาย..!

อาบังมีความอึดและอดทนมาก เดินขายผ้าทั้งหมู่บ้าน "วันนี้ไม่ซื้อไม่เป็นไรนะนายจ๋า พรุ่งนี้ฉานค่อยมาใหม่" ใครจะ "ซื้อผ่อน" ก็ได้ ขนาดยุคหลัง ๆ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๐ ไปแล้ว สมมติว่าซื้อผ้า ๒๐ บาท เขาจะให้ผ่อนวันละบาท ให้ ๒ บาทก็ไม่เอานะ ถ้าให้ ๒ บาท อาบังก็หยิบวางไว้ที่หัวเสา "อีนี่ฉานไว้ตรงนี้หนานาย เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาเอา" แล้วรู้ไหมว่าทำไม ? เขาจะได้มีโอกาสหาข้ออ้างเดินวนเข้ามาใหม่ในวันพรุ่งนี้ แล้วไอ้บ้านที่ไม่ซื้อก็อาจจะซื้อเขาอีก เป็นวิธีค้าขายของเขาแบบหนึ่ง

บรรดาอาชีพต่าง ๆ สมัยก่อนเขาจะสงวนไว้สำหรับคนไทย เช่น "อาชีพตัดผม" ทุกวันนี้เดี๋ยวต้องไปดูข้อมูลก่อนว่าอาชีพสงวนมีอะไรบ้าง ? ช่วงนี้เห็นไล่จับต่างด้าวกันอุตลุด ว่ามาแย่งอาชีพคนไทย พวกนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าอาชีพไหนสงวนไว้สำหรับคนไทยโดยเฉพาะ เห็นพอทำมาหากินได้ก็ทำ แต่ไม่ต้องมาจับแถวทองผาภูมินะ เดี๋ยวนี้บรรดาเจ้าของร้านแทบจะเป็นต่างด้าวกันหมดแล้ว แต่เป็นต่างด้าว รุ่น ๒ รุ่น ๓ รุ่น ๔ อะไรก็แล้วแต่เถอะ ไล่ขึ้นไปไม่เชื้อสายมอญก็เชื้อสายพม่า ต่อไปเขาทั้งหลายเหล่านี้จะเป็นเถ้าแก่ใหญ่กันหมด แล้วคนไทยก็จะกลายเป็นลูกน้อง ฟังแล้วเศร้าใจ..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2025 เมื่อ 14:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 38 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:07



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว