กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ปี ๒๕๖๘ > เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนเมษายน ๒๕๖๘

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 13-04-2025, 19:51
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 500
ได้ให้อนุโมทนา: 3,308
ได้รับอนุโมทนา 24,997 ครั้ง ใน 988 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๘


ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 34 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 14-04-2025, 00:40
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันสงกรานต์ คราวนี้วันสงกรานต์โบราณกับวันสงกรานต์ปัจจุบันไม่ค่อยจะตรงกัน เนื่องเพราะว่าทางราชการไทยไปกำหนดวันตายตัว แต่สงกรานต์โบราณถือตามปฏิทินจันทรคติ จึงทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนกันเสมอ

คราวนี้การมาอ้างโบราณก็อยู่ในลักษณะ "เล่าความหลัง" ตามแบบฉบับของคนแก่..! ก็คือคนแก่มักจะมีภาพจำเกี่ยวกับเรื่องเก่า ๆ อยู่มาก หรือไม่ก็อย่างที่พระบางท่านบอกเอาไว้ว่า "บวชนานนิทานมาก" ก็คือมีเรื่องเล่าต่าง ๆ ทั้งในวงการสงฆ์และชาวบ้านมากมายขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่ผ่านไป

ถ้ามาเล่าความหลังเรื่องอื่น ๆ ก็จะมีประโยชน์น้อย วันนี้อยากจะเล่าความหลังเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของตนเอง เผื่อเป็นเนติ คือ แบบอย่างของทุกคน

ตั้งแต่พอจำความได้ ตอนนั้นน่าจะประมาณ ๒ ขวบ โยมพ่อก็อุ้มคอพับคออ่อนสวดมนต์อยู่ทุกคืน อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า ท่านไปได้คาถาวิเศษมาจากพระธุดงค์ แล้วพระท่านก็ให้ถวายข้าวพระ พร้อมกับสวดคาถาไว้ทุกวัน คาถานั้นก็คือ อิติปิ โสฯ สวากขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ เต็มบท เพียงแต่ว่าโยมพ่อไม่ได้ถามรายละเอียดอื่นมากไปกว่านั้น ก็เลยไม่เข้าใจค่านิยมของคนไทยว่า การถวายข้าวพระก็คือให้ทำก่อนเพล โยมพ่อก็เลยอาศัยว่าพอทำงานเสร็จ อาบน้ำอาบท่า กินข้าวกินปลาแล้ว ถึงจะมาถวายข้าวพระ แล้วก็สวดมนต์

ด้วยความที่กระผม/อาตมภาพโดนกรอกหูอยู่ทุกวัน ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็คือการสร้างพื้นฐานของสมาธิ ฟังอยู่ทุกวันก็เลยจำได้ พอเริ่มเข้าชั้นเรียน ซึ่งสมัยนั้นก็อายุประมาณ ๗ หรือว่า ๘ ขวบ เริ่มเรียนชั้นประถมปีที่ ๑ ไม่มีศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ไม่มีโรงเรียนอนุบาล เข้าเรียนเมื่อไรก็ชั้นประถมปีที่ ๑ ซึ่งสมัยนั้นเขาเรียกว่า "โรงเรียนประชาบาล" ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตั้งอยู่กับวัด

พอเข้าชั้นเรียนไป ปรากฏว่าเพื่อนร่วมห้องเรียนเป็นหนุ่มเป็นสาวกันเสียเกินครึ่งห้อง..! เนื่องจากสมัยนั้น ถ้าใครสอบได้ไม่ถึง ๕๐ เปอร์เซ็นต์ เขาให้เรียนซ้ำชั้น เรียกว่า "สอบตก" เรียนซ้ำชั้นไปเรื่อย ๆ บางคนซ้ำชั้นมาเป็น ๑๐ ปีแล้ว ในเมื่อเข้าเรียนตอน ๗ หรือ ๘ ขวบ เรียนซ้ำชั้นไป ๑๐ ปีก็คืออายุ ๑๗ - ๑๘ กันหมดแล้ว สมัยนั้นเขาเรียกกันว่า "เจ้าพ่อโรงเรียน" หรือ "เจ้าแม่โรงเรียน" ขยันมาก ต้องไปเรียนทุกวัน แต่เรียนเท่าไรก็ไม่เข้าหัว

พอกระผม/อาตมภาพเข้าเรียน สามารถสวดมนต์ได้ ครูก็เลยยกให้เป็นหัวหน้าชั้น ต้องไปคุม "เจ้าพ่อโรงเรียน" "เจ้าแม่โรงเรียน" เกินครึ่งห้อง..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2025 เมื่อ 01:43
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 14-04-2025, 00:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ไม่รู้ว่าพื้นฐานการสวดมนต์อยู่ทุกวันเป็นการสร้างสมาธิ เมื่อมีพื้นฐานสมาธิ ทำให้กำหนดจดจำหนังสือได้ง่าย กระผม/อาตมภาพจึงกลายเป็นคนเรียนเก่ง อยู่ไม่ทันจะถึง ๑ เทอม ซึ่งสมัยนั้นเรียนกัน ๓ เทอม ก็คือ เทอมต้น เทอมกลาง แล้วก็เทอมปลาย ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เรียนกันสองเทอม เพื่อน ๆ ก็รู้ว่าเรียนเก่งขนาดคนเก่าที่เรียนมาเป็นสิบปียังไล่ไม่ทัน..!

บรรดา "เจ้าพ่อโรงเรียน" "เจ้าแม่โรงเรียน" ก็เลยต้องมาอาศัย ว่าอยากจะสอบผ่านเสียที ให้ช่วยกันบ้าง จึงเปิดโอกาสให้
กระผม/อาตมภาพยื่นเงื่อนไขได้ว่า "ห้ามเกเร ถ้าสั่งอะไรแล้วไม่เชื่อฟังก็จะไม่ช่วย..!" จึงเป็นที่เหลือเชื่อว่าสามารถคุมเพื่อนตัวโต ๆ ที่เป็นหนุ่มเป็นสาวได้ทั้งหมด พอเรียนชั้นประถมปีที่ ๓ ก็กลายเป็นประธานนักเรียน คราวนี้คุมเพื่อนทั้งโรงเรียน..!

การเรียนสมัยแรก ๆ นั้นยังหยุดวันโกน - วันพระ พอวันโกนก็หยุดครึ่งวัน เรียนแค่ช่วงเช้า ช่วงบ่ายครูบาอาจารย์จะพาไปวัด ซึ่งก็อยู่ติดกับโรงเรียนนั่นแหละ เพราะว่าเป็นพื้นที่เดียวกัน การตั้งโรงเรียนสมัยก่อนอาศัยวัดเป็นที่ตั้งทั้งสิ้น ไปช่วยกันทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถูวัด ล้างถ้วยล้างจาน ล้างปิ่นโตคว่ำเอาไว้ สำหรับผู้ที่จะมาทำบุญในวันรุ่งขึ้น
ก็คือวันพระได้ใช้ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นวันหยุดที่เข้ากับบริบทสังคมได้ดีมาก แม้กระทั่งกระผม/อาตมภาพมาอยู่ทองผาภูมิปีแรก คือปี ๒๕๓๒ อยู่ทองผาภูมิเกือบ ๑๐ ปี พี่น้องมอญพม่าที่ทำงานอยู่กับหน่วยป่าไม้ก็ยังหยุดวันโกน - วันพระกันอยู่เลย

แต่ว่าพอเรียนชั้นประถมปีที่ ๒ เทอมกลาง ทางราชการประกาศให้ใช้วันหยุดเสาร์ - อาทิตย์แทนเพื่อให้เป็นสากล กระผม/อาตมภาพรู้แต่วันขึ้นแรม รู้แต่ว่าถึงเวลาวันโกนจะได้หยุดครึ่งวัน วันพระจะได้หยุดเต็มวัน ไม่รู้ว่าวันเสาร์วันอาทิตย์หน้าตาเป็นอย่างไร ก็ได้พี่สาว ก็คือป้ามุกดา (นางสาวมุกดา เพชรชื่นสกุล) ที่พวกท่านเรียกกัน พาไปดูปฏิทิน

สมัยก่อนปฏิทินนั้นส่วนใหญ่มักจะเป็นรูปดารา แล้วก็มีแผ่นวันที่ โตสักครึ่งฝ่ามือของกระผม/อาตมภาพนี่แหละ ๓๖๕ แผ่นบ้าง ๓๖๖ แผ่นบ้าง ก็จะมีวันที่ มีวันขึ้น - แรม มีวัน เสาร์ - อาทิตย์ บอกกล่าวอยู่ในแผ่นนั้น พี่เขาก็ใช้วิธีง่าย ๆ เปิดให้ดู บอกว่า "นี่..ใบสีแดงนี่คือวันอาทิตย์" ซึ่งต้องบอกว่าคนทำปฏิทินเก่งมาก ก็คือพอครบ ๗ วัน วันที่ ๗ ก็จะเป็นกระดาษสีแดง ในเมื่อสีแดงเป็นวันอาทิตย์ ก่อนสีแดง ๑ วันก็คือวันเสาร์ ให้จำเอาไว้ เป็นวิธีสอนแบบเด็ก ๆ ที่ง่ายดีเหมือนกัน

แล้วปฏิทินสมัยก่อนก็ไม่มีการทิ้งการขว้าง เพราะว่าตัวแผ่นปฏิทินที่เป็นรูปดารา ส่วนใหญ่ก็โดนเอาไปทำปกสมุดหนังสือ เพราะว่าเป็นกระดาษแข็ง สามารถเก็บรักษาสมุดหรือหนังสือ ถนอมไว้ได้นาน เนื่องจากสมัยนั้นหนังสือจะส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น รุ่นพี่เรียนต้องทะนุถนอมให้ดี ส่งต่อให้รุ่นน้องได้เรียนต่อไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2025 เมื่อ 01:48
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 31 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 14-04-2025, 00:46
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

สมัยแรก ๆ ที่เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๑ ปีที่ ๒ ยังไม่ได้ใช้สมุด ต้องใช้ "กระดานชนวน" เพื่อนคนไหนที่สติน้อย ถึงเวลาเล่นกันรุนแรงมาก กระดานชนวนก็มักจะแตก บางคนเหลือกระดานชนวนแค่สักฝ่ามือเดียว ถึงเวลาเขียนด้วยดินสอ ขีดลงไปก็จะเป็นตัวหนังสือขึ้นมา แต่ว่าดินสอชนวนนั้นก็คือหินนั่นเอง ครูสอนให้ใช้ผ้าชุบน้ำลบอย่างไรก็ไม่สำเร็จ เด็ก ๆ พอถึงเวลาไม่ทันใจ ก็ถ่มน้ำลายใส่แล้วก็ถู ๆ ๆ เพื่อที่จะเขียนใหม่..!

ชุดนักเรียนที่ใส่ก็มักจะเป็นกางเกงสีกากีสั้นแล้วก็เสื้อขาว แต่จะมี "หมวกกะโล่" ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าสมัยนี้ยังพอจะมีตัวอย่างเหลืออยู่หรือเปล่า ? เป็นหมวกพลาสติกแข็ง ๆ แล้วก็มีสายรัดคาง ซึ่งมักจะเป็นของเล่นชนิดหนึ่งของเด็กผู้ชาย ก็คือถึงเวลาก็ร่อนใส่เพื่อน เพื่อนก็เตะคืนมา หมวกก็แตกบ้าง แหว่งบ้าง..!

สรุปว่าการละเล่นทุกอย่างอาศัยสิ่งรอบตัวที่มีอยู่ พังบรรลัยอย่างไรก็ได้ แต่ถ้าหากว่าไม่รู้จักรักษาก็รอไปเถอะ โน่น..ปีหน้าขายข้าวแล้วค่อยได้ของใหม่ เพราะว่าส่วนใหญ่พ่อแม่ก็เป็นชาวไร่ชาวนา ไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย สมัยนั้นบ้านไหนมีเงิน ๑ ชั่งถือว่าเป็นมหาเศรษฐี ๑ ชั่งก็คือ ๘๐ บาท ส่วนใหญ่ก็เป็นเหรียญบาทใหญ่ ๆ เหรียญใหญ่มาก เหรียญสยามรัฐ แล้วก็มีรัศมีตรงตราแผ่นดิน

กระผม/อาตมภาพจำได้ว่าพอเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๓ น้องชาย ก็คือพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล ก็เข้าชั้นประถมปีที่ ๑ ไอ้เจ้านี่เป็นลูกผู้ชายคนเล็กที่สุดในบ้าน พ่อแม่ที่เป็นคนจีนจะรักลูกผู้ชายมาก โดยเฉพาะลูกคนเล็ก ร้อยวันพันปีกระผม/อาตมภาพกับพี่สาวไปเรียน ไม่เคยได้สตางค์ไปโรงเรียน พอน้องชายไปโรงเรียน แม่ให้เงินไป ๕๐ สตางค์ เป็นเหรียญสมัยรัชกาลที่ ๘ ใหญ่เท่าเหรียญบาทใหญ่รุ่นเก่า สีดำ ๆ บอกว่า "อยากกินอะไรก็เอาเงินนี้ให้แม่ค้า เขาก็จะขายให้เรา"

พอถึงเวลาหยุดกลางวัน น้องชายอยากจะกินข้าวเหนียวทุเรียน กระผม/อาตมภาพก็ไม่เข้าใจว่าเงินนั้นใหญ่แค่ไหน ก็ส่งเหรียญให้แม่ค้า บอกว่า "เอาข้าวเหนียวทุเรียนหมดนี่แหละ..!" แม่ค้าทำตาโต ถามว่า "กินหมดหรือ ?" ยืนยันว่าหมด ปรากฏว่าได้ข้าวเหนียวทุเรียนมาเกือบกะละมัง..! เพิ่งจะรู้ว่าตอนนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละสลึงเดียว แล้วเราไปซื้อข้าวเหนียวทุเรียน ๕๐ สตางค์..! ก็ถือว่าเป็นบทเรียนชีวิตอย่างหนึ่ง เริ่มใช้เงินครั้งแรกในชีวิตก็ "ปล่อยไก่" เสียแล้ว

คราวนี้การไปวัด ไม่ทราบเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ชอบไปขนาดนั้น ? วัดสมัยก่อนส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ชายทุ่ง บางทีก็ชายป่า แล้วก็จะมีป่าช้าด้วย อากาศเย็นมาก เย็นจนไปถึงวัดแล้วอยากจะนอนทันทีเลย โดยเฉพาะหลังจากถูศาลาเสร็จ ก็นอนกลิ้งเล่น เผลอหน่อยเดียวก็หลับไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2025 เมื่อ 01:54
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 32 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 14-04-2025, 00:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ตอนนั้นไม่เข้าใจ รู้แต่ว่าไปวัดแล้วเย็น ไม่ได้รู้เรื่องของกระแสความศักดิ์สิทธิ์ความขลังอะไรเลย มารู้เอาตอนแก่แทบตายแล้วนี่แหละว่า กระแสคุณงามความดีที่พระภิกษุสามเณรท่านร่วมกันทำ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ทำวัตร สิ่งหนึ่งประการใดที่เกี่ยวข้องด้วยศีล ด้วยธรรม คุณงามความดีเหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่ว่ารวมตัวกันอยู่ ทำให้กลายเป็นพลังงานฝ่ายดีที่คอยดึงดูด ใครที่มีวิสัย สามารถสัมผัสเรื่องเหล่านี้ได้ ก็จะรู้สึกว่าอยากเข้าวัด เพราะว่าเข้าไปแล้วจิตใจสงบ อยากจะหลับเดี๋ยวนั้นเลย..!

คราวนี้ความสงบจากการปฏิบัติธรรมนั้นยังไม่รู้จัก มารู้จักความสงบครั้งแรกจากความซนของความเป็นเด็ก ก็คือพอหน้าฝน ริมถนนซึ่งสมัยก่อนก็มักจะขุดดินจากด้านข้างขึ้นมาพูนเป็นคันสูง เพื่อที่ให้รถยนต์วิ่งได้ จำได้ว่าเรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ ๒ กำลังจะขึ้นประถมปีที่ ๓ มีรถยนต์คันแรกเข้ามาในหมู่บ้าน เป็นรถยนต์ที่ผู้ใหญ่บ้านซื้อมา เด็กทั้งหมู่บ้านวิ่งไปดูรถกัน เป็นรถจี๊ปหน้ากบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ การสร้างถนนต้องขุดดินด้านข้างขึ้นมา จึงทำให้สองฝั่งเป็นคูน้ำ ยิ่งหน้าฝนน้ำก็ยิ่งมาก เด็ก ๆ ก็ไปเล่นน้ำกัน กระโดดน้ำกันทั้งวัน ขี้โคลนพอกตัวจนผู้ใหญ่เขาบอกว่า "พอที่จะลอกออกมาปั้นช้างได้..!"

คราวนี้ความซนยังไม่พอ ยังไปช่วยกันทำแพ โดยการตัดเอาต้นกล้วย ๓ - ๔ ต้นมาสลับหัวท้ายกัน แล้วก็เหลาไม้แหลม ๆ ตอกให้ติดกันเป็นแพ เริ่มออกผจญภัย แต่ด้วยความที่
กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะถ่อแพเป็นครั้งแรก ไม่รู้ว่าการถ่อแพนั้น เขาแค่ออกแรงยันเล็กน้อยเท่านั้น จึงใส่เสียเต็มที่เลย ไม้ถ่อจมลงไปในโคลน พอถึงเวลาดึง แพก็เคลื่อนไปข้างหน้าแล้ว แต่ไม้ถ่อไม่ตามมา จึงตกน้ำตูมไปเลย..!

ทันทีที่จมน้ำ ใบหูตกอยู่ใต้น้ำ ความรู้สึกว่าเงียบ "วิ้ง" ขึ้นมา รู้สึกว่าเราคุ้นเคยกับความสงบแบบนี้อย่างบอกไม่ถูก ก็เลยไม่ดิ้นไม่รนไม่อะไร นั่งเงียบ ๆ อยู่ใต้น้ำนั่นแหละ ไม่ทราบว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ปรากฏว่าพี่มุกดาแกควานไปเจอ ก็ดึงผมขึ้นมา ทั้ง ๆ ที่มีผมอยู่หน่อยเดียวนั่นแหละ..! ทุกคนตกอกตกใจจนเลิกล่องแพกันหมด แต่อาตมภาพกลายเป็นเด็กใบ้ไปเลย คนเขาว่า "ตกใจขวัญหายที่ตกน้ำ" แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ หากแต่จิตนิ่งสงบจนไม่อยากจะพูดกับใคร

แล้วก็ไม่รู้ว่าที่ตัวเองจมน้ำอยูนานเป็น ๑๐ นาทีนั้นหายใจอย่างไร มารู้ทีหลังว่าการที่เราฝึกสมาธิ พอไปถึงระดับหนึ่งจะเหลือแต่ลมหายใจละเอียด ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยจมูกก็ได้ ก็แปลว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่เคยฝึกฝนมาตั้งแต่อดีตชาติ สามารถข้ามชาติข้ามภพมาจนถึงปัจจุบันได้ ทรงสมาธิโดยไม่รู้ตัว แล้วเป็นสมาธิระดับสูงชนิดที่ไม่ต้องหายใจอีกด้วย..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2025 เมื่อ 01:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 14-04-2025, 00:52
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 32,387
ได้ให้อนุโมทนา: 157,933
ได้รับอนุโมทนา 4,479,258 ครั้ง ใน 35,996 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

หลังจากนั้นในเรื่องของสมาธิพวกนี้ ก็ยังมีผลตามมาอีก ก็คือบ้านนอกถึงเวลามีงานศพ เขาจะมีการเล่นการพนันกัน เขาอ้างว่า "เล่นเป็นเพื่อนศพ" แต่ความจริงก็คืออยากเล่นการพนันนั่นแหละ..!

กระผม/อาตมภาพไปนั่งดูรุ่นพี่ ๆ เขาเล่นไพ่กัน พอถึงเวลาดึกแล้วกลับมานอน ปรากฏว่านอนไม่หลับ โพธิ์ดำ โพธิ์แดง ดอกจิก ข้าวหลามตัด ติดตาบินว่อนไปหมด ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าลักษณะนั้นก็คือการทรงกสิณได้ ก็คือตั้งใจดูอะไรก็ติดหูติดตา เพราะว่าความเคยชินจากของเก่าเดิม ๆ มีอยู่ แม้กระทั่งเขาเปิดหน้าศพให้ดู ภาพศพก็ติดตาไป ๓ - ๔ วัน จนคิดว่าโดนผีหลอก หันไปทางไหนก็เห็นแต่หน้าศพนั่นแหละ..!

ด้วยความที่ไม่รู้ว่านั่นก็คือภาพอุคหนิมิตติดตาของกสิณ จึงกลัวจนกระทั่งไม่กล้าออกไปฉี่นอกบ้าน อั้นจนหูตาลายทุกคืน..! สมัยก่อนเป็นส้วมหลุม เขาต้องไปทำไว้ไกล ๆ บ้าน อย่างน้อยก็ ๓๐๐ - ๔๐๐ เมตร ส่วนใหญ่ก็ท้ายไร่ ป้องกันไม่ให้กลิ่นเข้ามาถึงบ้านได้

กลายเป็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เคยฝึกเคยฝนเอาไว้ ไม่ว่าในอดีตก็ดี มาเพิ่มเติมในปัจจุบันก็ดี พวกสถานการณ์ต่าง ๆ ค่อย ๆ บังคับ เริ่มตั้งแต่โยมพ่อจับนอนหลับคอพับคออ่อนสวดมนต์ตั้งแต่ประมาณ ๒ ขวบ จนกระทั่งโรงเรียนที่หยุดวันโกน - วันพระ การนำเพื่อนสวดมนต์ทุกวัน การอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาปริตร แม้กระทั่งการไปดูคนอื่นเขาเล่นการพนันหรือว่าดูหน้าศพ ช่วยฟื้นของเก่าที่ตัวเองทำมา โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ว่านั่นคือกรรมฐาน

เอ้า..หมดเวลาแล้ว เอาแค่นี้ก่อน ถ้าไม่ลืมเดี๋ยวพรุ่งนี้จะเล่าต่อให้ฟัง

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันอาทิตย์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-04-2025 เมื่อ 02:01
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 
คำสั่งเพิ่มเติม

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:06



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว